Group Blog
มกราคม 2555

1
7
8
9
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
ใครคือ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งสรรพชีวิต
ใครคือ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งสรรพชีวิต



พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งสรรพชีวิตคือ ผู้ที่เป็นใหญ่สูงสุดเหนือโลกเหนือจักรวาล เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่ง ผู้ให้กำเนิดทุกดวงจิตของสรรพชีวิต ซึ่งบางลัทธิหรือบางศาสนาจะรู้จักพระองค์ในพระนามต่างๆ กัน ซึ่งก็แล้วแต่พระองค์จะบอกแก่มนุษย์ผู้ที่สามารถรับสัญญาณจากพระองค์ได้ว่า พระองค์มีพระนามว่าอย่างไร แม้แต่ผู้ที่ดำรงจิตให้ตั้งมั่นศรัทธาอยู่ใน พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธในประเทศไทยนั้น ก็ยังมีโอกาสได้รู้จักพระองค์ในพระนามต่างๆ เช่น พระเจ้าแสงแห่งธรรม, พระบรมธรรมบิดา, พระอนุตระธรรมมารดา, พระบรมบิดา, พระวิสุทธิพุทธรังสีบรมบิดา, พ่อเกิดแม่เกิดเป็นต้น ถึงแม้ว่าคัมภีร์ของพุทธศาสนาที่เรียกว่า พระไตรปิฏก จะไม่ได้พูดถึงพระผู้เป็นเจ้าไว้ก็ตาม แต่ก็มีคนไทยและชาวพุทธส่วนหนึ่ง ที่สามารถติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าได้ ซึ่งข้าพเจ้าขอรับรองความเป็นจริงตามนี้ทุกประการ และอ้างเอาเหตุแห่งคัมภีร์ของคริสต์ อิสลาม ซึ่งได้กล่าวพระนามของพระองค์ ได้ตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด คือ..พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลก หรือเรียกสั้นๆ ว่า พระผู้เป็นเจ้า,
สำหรับข้าพเจ้า จะเรียกพระองค์ในหลายๆ พระนามว่า พระบิดาสวรรค์, พระผู้เป็นเจ้า, พระบรมบิดา ซึ่งเป็นการยกย่องพระองค์ให้เป็นเจ้าแห่งสรรพชีวิต เป็นเทพเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือโลกเหนือจักรวาล ซึ่งที่แท้จริงแล้วพระองค์คือ จิตรู้นั่นเอง หรือจะเรียกว่า พลังงานจักรวาล, พลังความรู้, พลังปัญญา, หรือพลังธรรมชาติ, พลังเหนือธรรมชาติ, พลังความดีสูงสุด, หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ควบคุมกฎแห่งกรรมผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือธรรมชาติเหนือสรรพสิ่ง บางศาสนาบางลัทธิ เรียกพระองค์ว่า ฟ้า-ดิน พระองค์จะเนรมิตหรือสร้างพลังงานของพระองค์ให้มนุษย์เห็นเป็นอย่างไรก็ได้ จะทำให้มนุษย์เชื่อว่าพระองค์เป็นใครก็ได้ พระองค์คือผู้ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ สามารถจะรวมพลังงานเนรมิตเป็นจิตกายทิพย์ของใครก็ได้ มนุษย์ธรรมดาอย่างเราจะอาศัยความรู้ที่มีอยู่พิสูจน์ได้ยากยิ่ง และก็พิสูจน์ไม่ได้ถ้าพระองค์ไม่สงเคราะห์หรือต้องการให้รู้ และมนุษย์ก็ไม่สมควรที่จะสร้างรูปเปรียบ หรือรูปสมมุติแทนพระองค์ เพื่อกราบไหว้ เพื่อบูชา เพื่อความเคารพ พระองค์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนจากมนุษย์ ไม่ต้องการการกราบไหว้ ไม่ต้องการคำสวดอ้อนวอนสรรเสริญใดๆ ไม่ต้องการสิ่งใดๆ แม้แต่คำว่าขอบใจ เพราะพระองค์คือพลังงานจิตรู้สูงสุดในโลกในจักรวาล พระองค์คือสื่อสัญลักษณ์ของพลังงานความว่างเปล่าในความว่างเปล่า ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก ทั่วจักรวาล แต่เป็นพลังงานรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเหนือธรรมชาติ มนุษย์ผู้ใดสร้างรูปเปรียบพระองค์ไว้ในสถานที่แห่งใดก็ตามในโลกนี้ เท่ากับสร้างสิ่งจอมปลอมลวงหลอกเข้าสู่จิตของมนุษย์ด้วยกันเอง เพราะพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงคือ สติและปัญญาเหนือธรรมชาติทั้งปวง เรียกว่าเหนือโลกเหนือจักรวาลก็ได้ จะรู้และสัมผัสกับพระองค์ได้ด้วยจิตรู้จิตทิพย์เพียงเท่านั้น พวกเราเหล่ามนุษย์ ไม่สามารถเข้าใจในพระประสงค์ของพระองค์ได้อย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมานั้น มนุษย์เรามัวแต่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หลงในวัตถุนิยม จนไม่ยอมเข้าใจในคำว่า ธรรมชาติเหนือธรรมชาติ เหนือฟ้ามีฟ้า พระผู้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งสรรพชีวิต พระผู้เป็นเจ้าของพระพุทธเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของพระศาสดาทุกๆ พระองค์ในโลก ในจักรวาล พระองค์คือ..ผู้ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งสมมุติ มาเถิดพวกเราเหล่ามนุษย์ผู้มีจิตประเสริฐทั้งหลาย เรามาเรียนรู้ถึงสัญญาณความรู้จากพระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างสรรพสิ่งสรรพชีวิตกันเถิด สิ่งที่พระองค์ต้องการจากมนุษย์มากที่สุดในเวลานี้ก็คือ สติและปัญญาขั้นสูงสุด พระองค์บอกกล่าวให้มนุษย์ที่นับถือศาสนาฮินดู ให้รู้จักพระองค์ในพระนามว่า พระพรหมผู้สร้างโลก พระวิษณุผู้เป็นเจ้าคุ้มครองหมู่มวลมนุษย์ พระศิวะผู้เป็นเจ้าแห่งการทำลาย รวมแล้วคือ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกเหนือจักรวาลนั่นเอง พระองค์ทรงบอกกล่าวให้พระศาสดาของศาสนาอิสลาม ให้ได้รู้จักพระองค์ในนามว่า พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งต่อมาบางคนอาจจะเรียกว่าพระเจ้า บอกกล่าวผู้นำทางจิตวิญญาณของคริสต์ศาสนาให้รู้จักพระองค์ในพระนามว่า พระบิดา หรือพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในภาษาของอิสลาม หรือในภาษาของชาวคริสต์จะเรียกพระองค์ว่าอย่างไรก็ตาม เพราะถ้าแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ก็เรียกว่าพระบิดา หรือพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ทรงสอนสั่งถึงการกลับคืนสู่สวรรค์นิรันดร แต่มิได้บอกไว้โดยละเอียดว่า จะให้กลับด้วยวิธีการใดกันแน่ และให้ตั้งจิตคิดพิจารณาอย่างไร ถึงจะออกจากโลกสมมุติ ที่มนุษย์หลงยึดติดกันอย่างยาวนานเช่นนี้ ท่านผู้ทรงความดีมีปัญญาทั้งหลาย ได้โปรดรับรู้รับทราบไว้ว่า ข้าพเจ้าผู้เขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมา มิได้มีจุดประสงค์ที่จะสร้างความแตกแยก หรือเห็นว่าใครดีใครเลว หรือว่าศาสนาไหนดีกว่าใคร เพราะสุดท้ายแห่งชีวิตก็คือ ว่างเปล่า..ข้าพเจ้าเขียนและถ่ายทอดสัญญาณความรู้ ตามพระประสงค์แห่งพระองค์ ผู้เป็นพลังงานเหนือสรรพชีวิตทั้งปวง ขอให้ทุกท่านที่ได้อ่านได้ฟัง จงเรียนรู้ถึงวิธีการที่จะได้พบกับพระองค์ด้วยจิตของท่านเองเถิด....

กำเนิดจิตทั้งปวง

“...ลูกรักของพ่อทั้งหลาย เจ้าผู้ได้อาศัยอยู่ในรูปร่างกายของสิ่งมีชีวิต ผู้ที่ยกย่องขนานนามตนเองว่า มนุษย์ผู้ประเสริฐ สำหรับพ่อแล้วจะให้ความหมายของคำว่ามนุษย์คือ ผู้ที่ยังท่องเที่ยวไปในโลกสมมุติอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด ตราบใดที่พวกเจ้า ยังมิได้เข้าถึงซึ่งความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เจ้าคือใคร ใครคือเจ้า จิตคืออะไร เจ้ายึดติดในทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นเพียงสิ่งสมมุติบัญญัติ ที่พวกเจ้าพากันสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง
จิตเดิมจิตแท้ จิตต้นกำเนิดแห่งจิตของพวกเจ้าก็คือ จิตรู้ของพ่อ(พระผู้เป็นเจ้า) จิตของพ่อเป็นเพียงพลังงานรู้ ไม่มีนิมิต ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัญลักษณ์เครื่องหมายใดๆ ทั้งสิ้น จิตพ่อเป็นพลังงานรู้ที่อุบัติขึ้นมาเพียงหนึ่งเดียว ในท่ามกลางสถานที่เวิ้งว้างว่างเปล่า สว่างไสวไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน ไม่ร้อนและไม่หนาว ไม่รู้สึกอะไรถึงความสุขความทุกข์ ไม่มีความต้องการใดๆ ในทุกสิ่งทุกอย่าง จิตรู้ของพ่อไม่มีรูปร่างกายใดๆ ทำให้ไม่ต้องอาศัยในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งภายนอกเข้าไปผสมกับจิตรู้อีก จิตรับรู้ถึงความว่างเฉยๆ นิ่ง..อยู่อย่างนั้นท่ามกลางความว่างเปล่า จิตของพ่อในตอนนั้นรับรู้ว่า ในห้วงจักรวาลอันเวิ้งว้างว่างเปล่านี้ ไม่ได้มีจิตรู้ของผู้อื่นอาศัยอยู่อีก จิตของพ่อมีอยู่เพียงลำพังจิตเดียว จึงตั้งจิตปรารถนาจะรับรู้ว่า ถ้ามีพลังงานจิตรู้ของผู้อื่นเพิ่มขึ้นมาอีก สถานที่แห่งนี้จะเป็นอย่างไร จะมีลักษณะอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ สิ่งเดียวที่จะทำได้ในเวลานั้นก็คือ จิตพ่อจึงคิดสร้างพลังงานจิตรู้อื่นๆ ขึ้นมาอีก ด้วยการคิดเพียงว่า ถ้าเราจะแยกจิตรู้อีกจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ จิตรู้พ่อก็ตอบว่า..ได้ จึงคิดต่อไปอีกว่า ได้แล้วควรทำอย่างไร จิตก็คิดกำหนดขึ้นมาเลยว่า ขอจิตรู้จงแยกจิตรู้ออกมาอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วจงทำให้จิตรับรู้ด้วยเถิดว่ามีจริงได้หรือไม่ จิตรู้พ่อสามารถแยกจิตออกมาจากจิตเดิม มากมายหลายล้านล้านล้านจิต สามารถรับรู้และสื่อสารกันได้ด้วยจิต มีสติปัญญาคือ รู้ทุกอย่างที่สามารถโต้ตอบกันได้ในทันทีทันใด อุปมาเช่นเดียวกันกับพวกเจ้าผู้เป็นมนุษย์ในเวลานี้ ถ้าพวกเจ้าคนหนึ่งตั้งโจทย์ถามปัญหาขึ้นมา จิตมนุษย์ผู้ใดที่มีสติปัญญารู้ในคำตอบนั้น ก็จะโต้ตอบในปัญหาที่ถามได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลา..
จิตของพ่อเองก็เช่นกัน รับรู้ถึงจิตรู้ของจิตที่ถูกก็อบปี้..หรือโคลนนิ่งขึ้นมา การแยกจิตรู้จิตทิพย์ของตนเองออกมาเป็นจำนวนมากมาย จนเป็นความหมายหนึ่งเดียวว่า จิตพ่อก็คือจิตลูก แต่จิตลูกไม่ได้เป็นจิตพ่อ

พ่อก็คือลูก แต่ลูกไม่ใช่คือพ่อ

เมื่อจิตรู้ของพวกเจ้าที่พ่อโคลนนิ่งขึ้นมา มีจำนวนมากมาย แต่ก็มิได้ทำให้สถานที่แห่งนั้นคับแคบลงแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงสภาพเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สถานที่แห่งนั้นยังคงว่างเปล่า ปราศจากความหนาแน่นของจิต บัดนี้พ่อรู้แล้วว่า จิตรู้เป็นเพียงพลังงานแห่งความว่างเปล่าอย่างแท้จริง ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีโลกต่างๆ อีกมากมาย ในบางโลกนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยธาตุต่างๆ เช่น ต้นไม้ ต้นหญ้า ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจริญเติบโตได้เอง รวมทั้งมีต้นหว้าสุขสม มีตัวมีตนเจริญเติบใหญ่ มีหญิงมีชาย มีความงดงามทางสรีระภาพเปลือยเปล่าอยู่ในโลกนี้ และอีกหลายโลก บางโลกมิได้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย มีแต่เพียงพลังงานจากแร่ธาตุเท่านั้น...
พ่อจึงส่งจิตรู้ของพวกเจ้าจำนวนหนึ่ง ไปเรียนรู้ยังโลกสมมุติ โดยสั่งกำชับว่า จิตของพวกเจ้าจงไปเรียนรู้ยังโลกสมมุติที่ไม่คงทน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อย่าเนิ่นนานชักช้าไม่ทันกาล จงรีบเรียนรู้แล้วรีบกลับคืนสู่สถานที่แห่งนี้โดยไว จากนั้นกำหนดด้วยจิตเพื่อให้จิตรู้ของพวกเจ้า ได้รับรู้ตามจิตรู้ของพ่อว่า มีสถานที่แห่งใดบ้าง ที่จิตรู้ของพวกเจ้าควรไป จากนั้นจิตรู้ของพวกเจ้าก็ได้ลงไปเรียนรู้ยังโลกต่างๆ ต่อมามีจิตรู้จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ ของโลกสมมุติ ก็กำหนดจิตกลับสู่สถานที่เดิม เป็นจำนวนหลายหมื่นล้านดวงจิต จิตรู้ของพ่อเป็นพลังงานความรู้สูงสุด ว่างเปล่าในทุกแห่งหน เฝ้าติดตามดูแลประคับประคองจิตรู้ของพวกเจ้าอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่การจากมาของพวกเจ้า จวบจนถึงวันนี้...ลูกรักทั้งหลาย
พวกเจ้านำจิตรู้ลงมาสู่โลกนี้แล้ว หลงเพลิดเพลินจำเริญใจยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง ชื่นชอบในความงามแห่งธรรมชาติของโลกสมมุติ จนหลงลืมวิธีการกลับคืนสู่สถานที่ที่พวกเจ้าพากันจากมา เมื่อเป็นระยะเวลาพอสมควร พวกเจ้าก็ได้เรียนรู้วิธีการที่จะเสพสมภิรมย์หมายในรูปซึ่งกันและกัน โดยอาศัยรูปร่างกายของสิ่งมีชีวิต ที่ยังไม่มีพลังงานจิตยึดครองยังไม่มีจิตดวงใดเป็นเจ้าของ เมื่อยึดครองได้ก็ยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวกูของกูตลอดมา...
พวกเจ้าผู้ได้มีโอกาสอ่านตำราเล่มนี้แล้ว ถ้ายังไม่ยอมเข้าใจในจิตอันสว่างไสว ยังไม่ยอมรื่นเริงบันเทิงใจว่า โอ้หนอ เรารู้แล้วหนอ เราไม่ติดใจอะไรอีกแล้วหนอ เรารู้แล้วถึงสถานที่ที่จิตของเราจากมา ถ้าจิตของพวกเจ้าผู้ใดยังไม่แจ้งปรากฏถึงความรู้ในตำราเล่มนี้ ก็ให้รู้ด้วยจิตตัวเองไว้ว่า พวกเจ้ายังเป็นผู้ที่นิยมชื่นชอบเฝ้าสังเกตการณ์ ถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้อยู่อย่างไม่จบสิ้น นั่นก็หมายความว่า พวกเจ้ายังชอบการเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั่นเอง..
ลูกพ่อผู้มีจิตเป็นมนุษย์ นี่คือการกำเนิดจิตสิ่งมีชีวิตของพวกเจ้าในสมัยแรกเริ่มเดิมที...”






Create Date : 04 มกราคม 2555
Last Update : 4 มกราคม 2555 0:12:43 น.
Counter : 400 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ใบไม้เบาหวิว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



Friends Blog
[Add ใบไม้เบาหวิว's blog to your weblog]