อ่านแล้วชอบจากหว้ากอ
เมื่อพลเอกจินตนาการ (Thoughts & Images) สามารถปลุกเร้าปลอบประโลมพลเรือเอกแรงขับเคลื่อน (Motives) ให้ขึงขังปึ๋งปั๋งเตะปี๊บดังได้สำเร็จ คราวนี้ก็ถึงคราวท่านพลอากาศเอกความคาดหวัง (Expectations) มาช่วยดำเนินการรบกับจิตใต้สำนึกของคุณเพื่อเข้าสู่สมรภูมิสะกดจิตแล้ว!!!
พลอากาศเอกความคาดหวังท่านมีคติพจน์ประจำใจสุดเก๋สามประโยคคือ เจ้าจง เชื่อ ว่าจะเกิด เจ้าจง หวัง ว่าจะเกิด เจ้าจง สัมผัส ว่ามันกำลังเกิดขึ้น (Believe it will happen, expect it to happen, and feel it happening)
โดยจิตแพทย์จะเป็นผู้เหนี่ยวนำให้คุณปลดปล่อยจิตใจ และตัวตนของคุณจนเปลือยเปล่าล่อนจ้อน!!! เพื่อที่จะเชื่อมต่อร่างกายคุณเข้ากับโลกเสมือนตาม สาร (Suggestion) ที่คุณได้ออกแบบไว้ และขับเคลื่อนโลดโผนโจนทะยานไปบนประสบการณ์การรู้สึกตัว (Experience of consciousness) พร้อมทั้งบรรจงบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ที่คุณปรารถนา
เมล็ดพันธุ์นี้จะไม่สามารถหยั่งรากได้เลย หากคุณยังดื้อ และไม่ยอมทำตามคติพจน์ของท่านพลอากาศเอกความคาดหวัง นั่นก็คือ เชื่อ หวัง สัมผัส (Believe Expect - Feel) อย่างสนิทใจไร้ข้อกังขา ซึ่งกระบวนการนี้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ความเชื่อใจระหว่างตัวท่าน กับจิตแพทย์เป็นอย่างมาก นั่นหมายถึงหากคุณไม่ให้ความร่วมมือกับจิตแพทย์ คุณก็ไม่สามารถถูกสะกดจิตได้!!! และคุณสามารถถอดปลั๊กออกจากโลกเสมือนนี้ได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการโดยที่ไม่ต้องใช้บริการของ Morpheus หน้าปุจากโลก The Matrix!!!
ขนาดนั้น...สำคัญไฉนฉันใด ปริมาณ...ก็ไม่สำคัญเท่าคุณภาพฉันนั้น
กระบวนฝัง สาร ในจิตใต้สำนึกระหว่างการสะกดจิตต้องอาศัยภาพฝันจินตนาการที่มีความละเอียดสมจริงคมชัดทุกอนูรูขุมขนดุจดั่งโทรทัศน์ระบบ High definition ยิ่งคุณสามารถสัมผัสได้ถึงทุกรายละเอียดของ สาร มากเท่าใด ผลกระทบที่จะเกิดจากกระบวนการสะกดจิตครั้งนั้นก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น จนคุณสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบประมวลผลของคุณทันทีหลังจากการสะกดจิตครั้งนั้นเสร็จสิ้นลง!!!
แม้คุณจะขยันหมั่นเพียรเวียนไปสะกดจิตบ่อยครั้ง แต่ถ้าคุณกลับไม่รู้สึก อิน กับ สาร นั้น เปรียบได้ว่าคุณเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ซึ่งการสะกดจิตอย่างแห้งแล้งไร้อารมณ์ร่วมนั้น ไม่สามารถเอาไปสู้กับการสะกดจิตเจ๋งๆ สักครั้งเดียวที่รสชาติหนักแน่นประดุจหมัดฮุคนักมวยแชมป์เปี้ยนเฮฟวี่เวทเสยเข้าปลายคางได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ ท่านพลอากาศเอกความคาดหวังไม่ปลื้มพวก เล็กสั้นขยันซอย แต่ท่านโปรดพวก ใหญ่ยาวสาวกรี๊ด นั่นเอง
อีกหนึ่งประการที่คุณจะต้องวางแผนเอาไว้ก่อนทำการสะกดจิตก็คือ สาร ที่คุณต้องการจะปลูกฝังหยั่งราก จะต้องเป็น สาร ที่หนักแน่น และมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น การที่คุณโลภรับบทตัวละครแห่งความสำเร็จครั้งละหลายตัวจนเกินไป ธาตุไฟของคุณจะเข้าแทรก ลมปราณแตกซ่าน จิตใต้สำนึกของคุณจะสับสนว่า เอ็งจะเอาอะไรกันแน่!?!
คุณควรเล็งเลขเด็ดๆ มาหนึ่งตัว แล้วแทงหมดหน้าตักเลยครับ!!! อย่าหว่านแห!!! เพราะจิตใต้สำนึกของคุณมีพื้นที่เพียงพอสำหรับเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดเพียงคราวละหนึ่งประการเท่านั้น!!! สาร ที่มากเกินไป จะสร้างความสับสนให้ระบบประมวลผลของคุณมึนงงจนปรากฏจอฟ้ามรณะ (Blue screen of death) (stop code 0X0000002E) Data Bus Error ซึ่งไม่เป็นผลดีกับยูสเซอร์ทุกคนครับ!!!
เมื่อคุณผู้อ่านที่รักตามผมมาถึงตอนที่สี่นี้......คุณก็ได้ทำความรู้จักกับสามเหล่าทัพแห่งการสะกดจิตไปแล้ว ทั้งท่านพลเอกจินตนาการ (Thoughts & Images) ท่านพลเรือเอกแรงขับเคลื่อน (Motives) และท่านพลอากาศเอกความคาดหวัง (Expectations) ซึ่งสามเก๋าโก๋แก่จะรสชาติร้อนแรงดุจขิงแก่เต้าฮวยหวานเพียงใดนั้นขึ้นกับตัวคุณเองแล้วครับ......ว่าคุณจะเปิดใจ และปล่อยจิตของคุณให้ล่องลอยไปกับการสะกดจิตครั้งนั้นแค่ไหน!!!
If you can believe in it, you can believe it. And if you can believe it, you can make it happen!!!
คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไมเวลาคุณดูภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่อง คุณถึงรู้สึก อิน ไปกับเนื้อเรื่องของตัวละครเหล่านั้นเสียเหลือเกิน ทั้งความรัก ความหวัง และความโกรธ อารมณ์เหล่านี้ต่างพลุ่งพล่านเข้ามาในตัวคุณอย่างมิรู้จบ ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นจะจบไปแล้ว แต่ความรู้สึก อิน ของคุณยังไม่จบ คุณรู้ตัวหรือไม่ว่า ณ ขณะนั้นคุณได้ถูกสะกดจิตไปแล้วโดยไม่รู้ตัว!!!
หรือแม้แต่ขณะที่คุณกำลังนั่งอ่านนิยายแสนหวาน หรือคร่ำเคร่งอ่านตำราก็ตามที คุณกลับไม่ได้ยินเสียงที่คุณแม่ตะโกนเรียกคุณมากินข้าวเย็น คุณรู้หรือไม่ว่า ณ ขณะนั้นคุณก็ได้ถูกสะกดจิตไปอีกครั้งแล้วโดยไม่รู้ตัว!!!
เฮ้ย! การสะกดจิตมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ(วะ)!?! คุณคงอาจจะจะคิดเช่นนี้ในใจ พร้อมกับอารมณ์หมั่นไส้ผู้เขียนเสียเต็มประดา
ครับ! คุณผู้อ่านที่รัก การสะกดจิตนั้นมันง่ายแสนง่าย และเป็นเรื่องแสนใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด ขนาดที่คุณถูกสะกดจิตอยู่วันละเป็นร้อยๆ ครั้ง โดยที่คุณกลับไม่รู้ตัวเลย!?! ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดเลื่อนสายตาของท่านตามบทความของผมมาเลยครับ
คุณคงสงสัยแล้วว่า แล้วไอ้สะกดจิตที่เอ็งว่าเนี่ย มันคืออะไร(วะ)? ใจเย็นๆ ครับ ผมจะค่อยๆ สาธยายเอื้อนเอ่ยให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้นครับ
หลายท่านบอกว่าการสะกดจิตต้องใช้อุปกรณ์เป็นตัวช่วย ไอ้ที่หน้าตาเหมือนตุ้มถ่วงแกว่งๆ ให้ผู้ถูกสะกดจิตมึนๆ แล้วก็ทำตามที่ผู้สะกดจิตสั่ง โอ้ยยยยยยยย! อันนั้นมันเอาไว้หลอกเด็กครับ การสะกดจิตจริงๆ เขาไม่ต้องมีเครื่องมือปาหี่แบบนี้ร้อกกกกกกกกกก!
แล้วมันใช้อะไรล่ะ(วะ)หมอ ปั๊ดเดี๋ยวตบเกรียนแตก คุณผู้อ่านคงเริ่มเกิดอารมณ์อยากเอาฝ่าเท้ามาบรรจงลงบนหน้าผู้เขียนเสียแล้ว
หากท่านผู้อ่านเริ่มเกิดอารมณ์ดังกล่าวข้างต้น หรือแม้แต่อยากจะอัดผู้เขียนให้มากว่านั้น คุณก็ถูกผมสะกดจิตเข้าให้เสียแล้วครับ เพราะผมกำลังใช้บทความนี้สะกดจิตท่านผู้อ่านที่รักให้เกิดความสนใจในการอ่านบทความนี้ต่อโดยใช้อารมณ์ทางลบเป็นตัวนำครับ
ดังนั้น กล่าวโดยสรุป อุปกรณ์ที่ใช้ในการสะกดจิตโดยทั่วไปนั้นคือ อารมณ์ และ ข้อความ ครับ
ผมขอยกตัวอย่างการใช้อารมณ์ทางลบเป็นการสะกดจิตนะครับ เช่น มีคนแอบนินทาว่าร้ายคุณทาง Social network สักที่ เอาเป็น Facebook ก็แล้วกัน คู่กรณีของคุณโพสข้อความใส่ร้ายป้ายสีคุณต่างๆ นานา ข้อความนี้ก็พลันไปเตะตาของคุณโดยบังเอิญพอดิบพอดีดุจดังละครหลังข่าว สังเกตไหมครับ ว่าคุณจะกระสับกระส่าย อยากเข้าไปอ่านเพิ่มเติม ว่าเขาโพสอะไรเกี่ยวถึงคุณบ้าง แม้ว่าการเข้าไปอ่านแต่ละครั้งมันช่างเจ็บปวด กอปรกับโกรธแค้นคู่กรณีเสียเหลือเกิน และถ้าคุณเข้าไปโพสตอบโต้ คุณก็จะต้องกลับเข้าไปอ่านว่าอีกฝ่าย หรือคนอื่นเข้ามามีความเห็นว่าอย่างไร คู่กรณีของคุณเป็นเดือดเป็นร้อนกับข้อความของคุณหรือไม่ เผลอแผล็บเดียว คุณก็ใช้เวลามากกว่าครึ่งวันบน Facebook เสียแล้ว อย่างนี้คือคุณโดยสะกดจิตโดยอารมณ์ทางลบครับ
แต่การสะกดจิตที่ดีที่สุดต้องใช้อารมณ์ทางบวกเป็นตัวกระตุ้นครับ เพราะหากใช้ตัวกระตุ้นทางลบ อาจจะได้ผลตรงกันข้าม เช่น ผมบอกคุณว่า ห้ามนึกถึงช้างสีชมพูนะ สิ่งแรกที่คุณจะนึกถึงก็คือ ช้างสีชมพู ครับ จุดง่ายๆ เพียงประเด็นเดียวนี้ผู้กำกับ และนักเขียนชื่อดังนำมาปั้นเสริมเติมแต่งไปเป็นสุดยอดภาพยนตร์ตลอดกาลอีกหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ Inception ครับ
ไอ้หมอโรคจิต เอ็งพล่ามมาตั้งนาน กรูยังไม่รู้เลยว่าการสะกดจิตนั้นทำยังไง(วะ)?
ครับ การที่ผมยังไม่กล่าวเสียทีว่า การสะกดจิตนั้นคืออะไร และทำได้อย่างไร แต่มัวแต่ไปพูดถึงเรื่องแรงกระตุ้นทางบวก และทางลบ เพื่อให้คุณผู้อ่านเกิดความขัดแย้ง และความสงสัย เป็นแรงขับดันให้อ่านบทความของผมต่อไปครับ
นั่นไง...คุณถูกผมสะกดจิตอีกแล้ว!!!
พวกเราคงต้องมาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับ ว่าการสะกดจิตนั้นไม่ได้เปลี่ยน ระดับ ของความรู้สึกตัว (State of consciousness) ของคุณนะครับ แต่การสะกดจิตนั้นจะไปเปลี่ยน ประสบการณ์ การรู้สึกตัว (Experience of consciousness) ของคุณต่างหากครับ
โดยกระบวนการสะกดจิตนั้นมีหัวใจสำคัญสามประการคือ 1. จินตนาการ (Thoughts & Images) 2. แรงขับเคลื่อน (Motives) และ 3. ความคาดหวัง (Expectations) ซึ่งทั้งสามองค์ประกอบนั้นเปรียบเหมือนรากฐานของการสะกดจิตทั้งมวลบนโลกใบนี้เลยทีเดียว เพียงคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านสละเวลาเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และฝึกฝนการใช้ทักษะทั้งสามประการนี้ได้อย่างชำนาญ คุณก็จะเป็นหนึ่งในยอดมนุษย์ประดุจดั่งเอ๊กซ์เมน ฮ่า ฮ่า
พล่ามมาตั้งนาน จะหมดพื้นที่บทความอยู่แล้ว แกยังไม่บอกเลยว่าการสะกดจิตนั้นทำอะไรได้บ้าง?
คุณคงเริ่มสงสัยในศักยภาพของการสะกดจิตเสียแล้ว
ปัจจุบันนี้การสะกดจิตได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราเสียแล้ว เช่น ทักษะการโน้มน้าวขายผลิตภัณฑ์ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ การเรียนรู้พัฒนาศักยภาพส่วนบุคคล การเตรียมใจเพื่อรับมือในการสอบ การฝึกจิตใจของนักกีฬาให้แข็งแกร่งเพื่อการแข่งขันชิงชัยครั้งใหญ่ การลด ละ เลิกบุหรี่ สุรา ยาเสพติด หรือแม้กระทั่งการลดน้ำหนัก!?!
และที่สำคัญการสะกดจิตทั้งหมดที่ได้กล่าวมา คุณผู้อ่านสามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในรถเวลาติดสี่แยกไฟแดง!?!
แม่จ้าวโว้ย!!! อะไรมันจะน่าสนใจขนาดนี้เนี่ยยยยยยยยยยยยย
หากแม้นคุณมีความคิดแบบนี้เข้ามาเพียงเศษเสี้ยวในสมอง...คุณก็ถูกผมสะกดจิตอีกครั้งแล้วครับ