เป็นเรื่องที่ผมได้ทำสัญญากับคนๆคนนึงไว้
ว่าเมื่อผมได้ทำมันสำเร็จแล้ว ต้องบอกต่อให้ใครก็ตาม
ที่เสี่ยงก่อนจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกับผม
ผมเป็นผู้ชายอายุย่าง 28 คนนึง อ้วน
และมองว่าปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องที่ไกลตัว
ผมมีความสุขกับการกินมาตลอด ไม่ว่าจะปิ้งย่าง บุฟเฟ่ต์
เนื้อติดมัน ขนมหวาน เค้ก
รวมถึงเหล้าเบียร์ ถ้าไม่นับเวลาปาร์ตี้
ผมต้องกินเบียร์อย่างน้อยวันละ2กระป๋องก่อนนอน
ผมไม่เคยกินน้ำเปล่า ระหว่างมื้ออาหารผมกินแต่น้ำอัดลม
ชาเขียว หรือไม่ก็เครื่องดื่มชงที่มีน้ำตาล
ผมกิน กิน กิน... จนน้ำหนักเริ่มขึ้นไปที่ 128Kg!!
จนวันที่ 28 ตุลาคม 2013.....วันนั้นเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล....
ช่วงนั้นผมทำงานเข้ากะดึก เวลานั้นประมาณ 21.30
ขณะที่กำลังทำงานผมรู้สึกแปลกๆ กับร่างกาย
ผมรู้สึกว่าหัวใจผมกำลังเต้นแรงกว่าปกติและปวดหัวมาก
โดยเฉพาะที่ท้ายทอยและรอบเบ้าตา
และสายตาเริ่มมองไม่ชัด เห็นภาพซ้อน
ผมจึงตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อเอาน้ำล้างตา
ในกระจกปรากฏภาพดวงตาผมเกือบเป็นสีแดง
เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยวิ่งพล่านในเนื้อตาขาว
ผมตกใจและกลับมานั่งที่โต๊ะ
ซักพักผมตัดสินใจลุกไปห้องพยาบาล
ขณะที่ลุกขึ้นนั้น หัวใจผมเต้นแรงมากจนได้ยินเสียงลั่น
เป็นจังหวะในอกเหมือนมันจะพุ่งออกมาจากซี่โครง
จากนั้นเรี่ยวแรงผมหมดลงในทันที
มันเป็นการเดินที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตผม
เหมือนผมหายใจไม่ทัน แม้ว่าจะเป็นการค่อยๆเดินช้าๆ
ผมลากสังขารตัวเองมาถึงห้องพยาบาลจนได้
พยาบาลให้ผมวัดความดันทันที
ความดันขณะนั้นประมาณ190/??(ตัวล่างผมจำไม่ได้)
และหัวใจเต้นเร็วกว่า 200 ครั้ง/Min
พยาบาลให้ผมหยุดพักและให้กินยาแก้เวียนหัว
ประมาณ30 นาที แล้วจึงให้วัดความดันใหม่
ความดันตัวบนเริ่มลดลงมาที่150
และผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นก่อนที่ผมจะขอตัวกลับออกมา
ผมเดินออกมาได้เพียงครู่เดียวอาการเดิมก็กลับมา
ใจเต้นแรงและหายใจไม่ทัน
ผมจึงฝืนและลากสังขารอีกครั้งโดยเป้าหมาย
คือต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น
ผมให้ รปภ. เรียกแท๊กซี่ให้เพื่อไปโรงพยาบาลวิภาวดี
อาการในรถแท๊กซี่ผมไม่สู้ดีนัก
แม้แอร์จะเย็นเท่าไรแต่ร่างกายผมก็ขับเหงื่อจนโชกเสื้อ
ออกจากแท็กซี่ผมเริ่มไม่ไหว บุรุษพยาบาลพยุงผมขึ้นเตียง
ทันทีมุ่งไปยังห้องฉุกเฉินเหมือนในหนัง
ตาผมลอยมองหลอดไฟบนเพดานตามทางเดิน
เคลื่อนไปตามทางที่รถเข็นผ่าน
แม้ร่างกายจะไม่มีแรงแต่ตอนนั้นจิตใจผมว้าวุ่นมากๆ
เรียกได้ว่าไม่มีสติ ตอนนั้นคนที่ผมนึกถึง
และอยากให้มาอยู่ด้วยกับผมตอนนี้คือแม่ผม...
รู้ตัวอีกทีตัวผมเต็มไปด้วยสายเครื่องวัดหัวใจ
ที่หน้าอกหลายเส้นที่นิ้วติดเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด
และอุปกรณ์วัดความดันติดตามร่างกาย
และเสียงหมอพยาบาลที่คุยกันในขณะที่ผมหลับตา
ความดันและ pulse สูงมาก....บลาๆๆๆๆ
ฉีดยาตัวนั้น ....วัดค่า.....(ศัพท์แพทย์ผมจำไม่ได้)
จากนั้น 2-3 ชั่วโมง ความดันตัวบนเริ่มลดลงมาที่140
และผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นจนหมอให้กลับบ้านได้
และนัดให้มาศูนย์หัวใจในวันรุ่งขึ้น
เพราะตอนกลางคืนไม่มีแพทย์เฉพาะทาง
ผมกลับมาที่คอนโดและเข้านอนด้วยความเครียดและเพลีย
อาการปวดท้ายทอยยังคงอยู่
แต่คราวนี้มันกลายเป็นอาการเย็นศรีษะ
เหมือนหัวบริเวณท้ายทอยมีอาการชายิบๆและไม่ค่อยมีความรู้สึก
ผมฝืนนอนและนอนไม่หลับฝันเรื่องร้ายๆทั้งคืน
เหมือนฝันหลายๆเรื่องซ้อนๆกันจับต้นชนปลายไม่ถูก
อาการที่เค้าเรียกว่าประสาทหลอนคงเป็นประมาณนี้
และเหมือนมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาระหว่างข่มตานอน
มันไม่ใช่เสียงใครที่ไหนมันเป็นเสียงผมเอง...
เสียงนั้นเริ่มคุยกับผมและให้ทบทวนสิ่งที่ทำมา
ผมทำอะไรกับร่างกายไว้บ้าง? ใช้ชีวิตอย่างสับเพล่า
ปล่อยตัวเองไม่ใส่ใจสุขภาพ
ละเลยอะไรหลายๆสิ่ง และถึงตอนนี้ร่างกายเริ่มไม่ไหว
และมันกำลังเตือนอะไรบางอย่าง?
เสียงนั้นเริ่มยื่นข้อเสนอ และขอให้ผมสัญญา
ให้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต
ถึงแม้ว่าอาการที่ผมเป็นจะเป็นอะไรก็ตาม
ผมยอมรับทันทีผมบอกยินดีทำอะไรก็ได้
ที่จะทำให้ผมหาย ผมทำหมด!
วันนั้นเป็นวันที่ผมได้รู้จักกับโรค Panic
และได้ทำสัญญากับร่างกายตัวเอง....
ผมทำร้ายมันมามากพอแล้ว
ฝนเริ่มตกในคืนนั้น
เสียงหยดฝนเริ่มละลายเสียงอื่นๆในหัวผมจนหมด
ผมยังคงนอนไม่หลับยันเช้า
ช่างเป็นคืนที่ยาวนานดั่งอสงค์ไขย
////////// //////// ///////
ท้ายเรื่อง แวบแรกคิดว่าได้อ่านงานเขียน
ของนักเขียนมืออาชีพ
ประสบการณ์ของคุณเป็นประโยชน์มาก ขอบคณค่ะ
สบายดีนะครับ คิดถึงครับ