มัลติทาส์กกิ่ง (multitasking)คืออะไร



นั่นสิ....มีคำถามมากมายตามมา
จึงเกิดการ ปุจฉา วิสัจนา ขึ้นในวงอาหาร
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญของบ้านได้เล่าว่า มัลติทาส์กกิ่ง (multitasking )
คือการประมวลผลของคอมพิวเตอร์
ซึ่งมีระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถในการทำงานหลายงานพร้อมกันได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่ละโปรแกรมทำงานพร้อมกันไปตลอด
โปรแกรมเหล่านั้นจะผลัดกันใช้หน่วยประมวลผลกลาง


โดยที่หน่วยประมวลผลกลางจะทำงานได้ครั้งละหนึ่งคำสั่งเท่านั้น
ทำให้งานอื่น ๆ ที่เข้ามานั้นต้องหยุดรองาน

ที่กำลังทำอยู่จนจบ ทีละอย่าง
เราจึงไม่รู้สึกว่ามีการดีเลย์เกิดขึ้นในขณะนั้น
เพราะคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา


Rene' Marois นักประสาทวิทยา และหัวหน้าศูนย์วิจัย
ที่ศึกษาเรื่องการประมวลข้อมูลของมนุษย์ในมหาวิทยาลัย Vanderbilt
กล่าวว่า ถึงแม้ว่าสมองคนเราจะมีเซลล์ประสาทเป็นล้านเซลล์
และมีการเชื่อมโยงกันหลายร้อยล้านล้านเส้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัด
ที่ทำให้ไม่สามารถจดจ่อได้สองสิ่งในคราวเดียว

ยกเว้นคุณจะต้องมีสมาธิแน่วแน่ ครองสติได้เต็มร้อย
การจะมีสมาธิและมีสติจดจ่อตลอดทุกก้าวย่าง บางครั้งก็ต้องฝึกฝน
จึงจะทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น
แม้ว่าจะมีการดีเลย์เกิดขึ้นบ้างก็ตาม

ในแต่ละวันเราทำมัลติทาสกกิ้ง(multitasking)กันอยู่แล้ว
นักบินที่ทำงานบนอากาศ เขาต้องใช้สมอง
ในการประมวลผลพร้อมๆกันหลายอย่าง
นักดนตรีโดยเฉพาะมือกลอง ใช้ประสาทสัมผัสทั้งมือทั้งเท้า
ทั้งหูในขณะเดียวกัน
คนทำงานด้านบริการทั้งหลาย มือจิ้มบนคีร์บอร์ด
สายตาเพ่งมองตัวเลขที่หน้าจอ
พร้อมๆกับตอบคำถามเรื่องการบริการแต่ละชนิด
เสียงคุยเสียงเร่งเร้าของคนที่นั่งรอต่อคิวเป็นจำนวนมาก

ทำให้การประมวลผลของสมองเกิดการดีเลย์ขนานใหญ่
เพราะถูกรบกวนและขัดจังหวะตลอดเวลา
ในแต่ละวันเราจึงต้องใช้สมาธิและมีสติอย่างมากในการทำงาน
จึงผ่านกันมาได้ เป็นการฝึกใช้สมองจนเกิดเป็นความเคยชิน


คุณหมอกัมปนาทกล่าวว่า “มีคำหนึ่งที่เรียกว่า multitasking
คือทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน
ซึ่งในระยะยาวแล้วมันจะทำให้สมองเราเจ๊งเร็ว
เหมือนเราเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดหลายๆ วินโดว์พร้อมๆ กัน
เมื่อเครื่องทำงานไม่ทัน มันก็เจ๊ง อันนี้ก็จะคล้ายกับ เดินไปจิ้ม BB ไป
หรือขับรถไปจิ้ม BB ไป เปิด iPad ไป
ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ มันเรื้อรัง แล้วพอมากๆ เข้าก็เจ๊ง
หมอว่าเราต้องพูดกันบ้างเรื่องนี้ มันน่ารำคาญมาก
คือสมองเราต้องมีเวลาพักผ่อนบ้างนะ” จิตแพทย์หนุ่ม ย้ำเตือน



Martin Westwell ได้ให้ความเห็นว่า คนที่สูงอายุกว่าจะคิดได้ช้ากว่า
แต่เป็นเพราะว่ามีความฉลาดมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่า
จึงสามารถกันตัวเองออกจากการรบกวน
และสามารถเลือกได้ว่าจะให้ความสนใจกับอะไร



ฉันคิดว่าฉลาดกว่าในที่นี้คงจะหมายถึง การมีสติมีสมาธิจดจ่อมากกว่า
เพราะเท่าที่ฉันสังเกตเด็กๆในยุคสมัยนี้ มีความใจร้อน
เร็วและแรงมากขึ้น การทำอะไรหลายๆอย่างในขณะเดียวกัน
อาจทำให้การทำงานช้าลงและผิดพลาดมากขึ้น
คงคล้ายๆที่ฉันเข้ามาในบล็อก ตั้งใจว่าจะเขียนงานสักชิ้น
เข้ามาเช็คเมล และแวะอ่านข่าวต่างๆอ่านงานเขียนของเพื่อนๆ
และปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้เขียนอะไรเลย


ผู้ใหญ่อย่างฉันยังถูกเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่ายๆ
ไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ตั้งใจจะทำ
กว่าที่จะรวบรวมสมาธิได้อีกครั้งก็หมดเวลา ถึงเวลานอนซะแล้ว


แล้วเด็กเล็กๆที่ปล่อยไว้หน้าทีวีเพียงลำพังพร้อมกับของเล่นจำนวนมาก
จะน่าเป็นห่วงสักแค่ไหน ยุคสมัยและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
ทำให้เด็กๆเป็นสมาธิสั้นกันมากขึ้น


ที่แมนฮัตตัน เขากำลังพิจารณาจะออกกฏห้ามใช้ iPod เวลาเดินถนน
เพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมาย
เนื่องจากข้ามถนนแล้วไม่สนใจเสียงรอบข้าง
เป็นภาพที่ได้เห็นกันที่เมืองไทยเช่นกัน
ไม่ยกเว้นแม้แต่ในห้องอาหารและห้องประชุม บนถนนหนทาง
ในรถระหว่างจอดรอไฟแดง


David E. Meyer นักวิทยาศาสตร์ด้าน cognitive
และหัวหน้าศูนย์วิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับสมอง การระลึกรู้
และการกระทำ ในมหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าวว่า


Multitasking ในการประมวลข้อมูลของสมองนั้น
จะทำให้เราทำอะไรได้ช้าลง
และมีโอกาสทำผิดพลาดสูงขึ้น การที่ถูกรบกวนหรือถูกขัดจังหวะ
จะทำให้ส่งผลเสียต่อกระบวนการนี้โดยตรง
ทำมัลติทาส์กกิ่ง (multitasking)มีทั้งผลดีและผลเสีย
เราต้องใช้ให้พอเหมาะพอดี ให้ถูกที่และถูกเวลา


ที่ผ่านมาฉันคิดว่า ก่อนหน้าที่ฉันจะเป็นแพนิค
ฉันคงจะ ทำมัลติทาส์กกิ่ง (multitasking)กับสมองมากเกินไป
มีหลายๆโครงการที่ยังทำไม่สำเร็จ ยาวเป็นหางว่าว
ความวิตกกังวลจึงเป็นเงาตามตัว
เรื่องต่างๆวิ่งวนอยู่ในสมอง ทำให้ตาค้าง เต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องครุ่นคิด
ตื่นขึ้นมารู้สึกอ่อนล้าเพราะว่านอนไม่พอ


ประกอบกับเป็นวันนั้นของเดือน ฮอร์โมนลดกะทันผสมกันเข้าไปด้วย
สารสื่อในสมองผิดปกติระบบประสาทอัติโนมัติสับสน
จึงเป็นที่มาของแพนิคในครั้งนั้น
หากเป็นคอมพิวเตอร์หน้าจอค้างหรือเจอไวรัส
ทำแค่ปิดเครื่องแล้วรีสตาร์ทหรือลงโปรแกรมใหม่ก็เท่านั้น
แต่หากเป็นสมองของเราล่ะ ตรงนี้น่าสนใจ


ฉันเพียงต้องการนำงานวิจัยต่างๆมาเปรียบเทียบ
เพื่อหาคำตอบถึงความเกี่ยวพันและการเชื่อมโยงกันของพฤติกรรม
ก่อนหน้าที่จะมีอาการ เขียนมาถึงตรงนี้
ทำให้ฉันเข้าใจและมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น


ขณะกินก็คิดเรื่องงาน ยามนอนเรื่องอะไรต่างๆก็มาวิ่งวนอยู่บนหัว
ทำให้การอยู่กับปัจจุบันขณะของฉันล้มเหลว
ฉันจึงปรับวิธีใช้สมองเสียใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อลดภาระของสมอง
เพราะไม่ต้องการให้อาการต่างๆที่หายไปเกือบสองปี

ต้องวนกลับมาใหม่อีกรอบ

คงต้องใช้สโลแกนของคุณก๋าที่ว่า
.
.


เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่างบ้างแล้ว



เอวัง…..

Create Date : 15 ตุลาคม 2555
Last Update : 15 ตุลาคม 2555 21:47:06 น.		10 comments
Counter : 2286 Pageviews.
Share Tweet