โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 
Yoga Vidya Gurukul- 19 March 2551

Namaste

เช้านี้ทุกคนพร้อมใจกันตื่นแต่เช้าทั้งที่เป็นวันหยุด เพราะต้องการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและฝึกนั่งสมาธิบ้าง แล้วก็กะว่าจะลงมาฝึกอาสนะที่โถง แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ปรากฎว่าเราลืมไปเลยเมื่อเห็นความสวยงามของพระอาทิตย์ และแสงที่พาดผ่านปุยเมฆบนท้องฟ้า เราส่งเสียงร้องเรียกกันดังลั่นภูเขาอย่างตื่นเต้น ฉันคิดว่าพระอาทิตย์คงจะเหมือนเดิมทุกวัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะเราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน เหมือนเช่นวันนี้ฉันโชคดีที่ได้เพื่อนร่วมห้องอย่างเคที่ วาลาเรีย และแฟนันดา โดยเฉพาะเคที่ เธอทำให้คนอื่นรู้สึกดีเสมอ ไม่ว่าจะมีอะไรเธอจะไต่ถามเรา เมื่อเรารู้สึกไม่ดีหรือป่วยเธอก็จะถามว่าจะเอาโน่นมั๊ยเอานี่มั๊ย ขึ้นภูเขาอย่าลืมถุงเท้าร้องเท้ากันฝุ่นหน่อยนะ อะไรทำนองนี้


และเช้านี้วาลาเรียก็ตื่นช้ากว่าเราทั้งที่เป็นต้นไอเดีย เธอจึงลืมทั้งเมมโมรี่การ์ดและแบตเตอรี่ของกล้อง แต่เคที่กลับมีทุกสิ่งที่วาลาเรียต้องการ ตอนแรกวาลาเรียบอกว่าไม่เป็นไร ถึงจะได้แค่สามรูป แต่เคที่บอกว่ามันไม่เหมือนกัน รูปที่ตัวเองถ่ายกับการแชร์รูปคนอื่นมานั้นมันก็ไม่ได้อารมณ์เหมือนเราถ่ายเอง ซึ่งก็ถูกของเธอ ฉันได้ภาพซิลูเอ็ต(ถ่ายย้อนแสง)มาหลายรูปในท่านั่ง และก็ทำให้เราไม่ได้ฝึกนั่งสมาธิแต่อย่างใด แต่ก็ไม่น่าเสียดายอะไร เพราะวาลาเรียบอกว่าบางทีวันที่เราตั้งใจมาถ่ายภาพ มันอาจจะไม่สวยแบบนี้ก็ได้






เมื่อถ่ายภาพจนหนำใจแล้วเราก็เดินลงไป วาลาเรียแยกไปฝึกอาสนะ ส่วนฉันกับเคที่ต้องการอาบน้ำและซักผ้าก่อนที่จะนั่งรถเข้าไปในเมือง หลังอาหารเช้า เราก็ได้เพื่อนใหม่เป็นสาวชาวจีนจากมาเลเซียชื่อเย็น เธอมาเพื่อTTC ฉันจึงอยูในกลุ่มที่พูดภาษาจีนเป็นส่วนใหญ่ ฟังไม่รู้เรื่อง ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว (เสียชาติเกิดจริงๆ)

คำที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตามนั้นใช้ได้กับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ฉันไม่ได้กะจะกลายร่างเป็นสาวผิวดำในชุดซัลวากามีหรอกนะ แต่ฉันหมายคงามถึงความตื่นเต้นของเพื่อนๆต่างหาก ฉันเห็นเขาตื่นเต้นกันมาก บางคนก็เป็นครั้งแรกในอินเดีย พวกเธอจึงตื่นเต้นตลอดเวลา ฉันก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย หลุยส์ซ่าถ่ายรูปรถเมล์ที่แน่นจนห้อยออกมาข้างนอก พลางหันมาถามแคเรนว่าเธอจะนั่งรถเมล์กลับจริงหรือ ซึ่งแคเรนเห็นและก็บอกว่า ไม่เอาดีกว่า ใครจะไปนั่งได้ละเบียดซะขนาดนั้น ฉันก็บอกเธอว่า อันนี้ปกติมากสำหรับฉัน เพราะเมืองไทยก็อย่างนี้แหละ ดี่ที่เดี๋ยวนี้เขาปิดประตูเป็นส่วนใหญ่นะ (ขอใช้คำว่าส่วนใหญ่นะ) ไม่งั้นเราคงมีอุบัติเหตุมากมายกว่านี้แน่นอน

เคที่พาเย็นและคริสติน่าไปช็อปปิ้งที่บิ๊กบาร์ซ่า เพราะเธอต้องการโชว์เส้นทางให้เย็นรู้ว่าเมื่อถึงวันหยุด อะไรมันอยู่ตรงไหน เย็นจะได้ไม่หลง เพราะวันหยุดคราวหน้าของเราจะไม่ตรงกัน พวกเธอจึงใช้เวลาตลอดเช้าเพื่อช็อปปิ้ง ส่วนฉันก็ได้ดื่มชาร้อนๆให้ชุ่มฉ่ำใจ และก็เติมเงินในโทรศัพท์ และโทรหาน้องเฌอ ซึ่งเธอก็ดีใจเป็นอันมาก จากนั้นฉันก็เดินไปตามถนน เห็นร้านขายขนมหวานอินเดียแห่งหนึ่ง จึงแวะเข้าไปสั่งขนมมา7-8อย่าง จากนั้นก็ขอถ่ายรูปและเริ่มสัมภาษณ์คุณAmit Pujara เจ้าของร้านถึงวัตถุดิบในการทำขนมอินเดีย ซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะรู้ว่าเป็นนักเรียนโยคะ


คุณอามิตบอกว่าส่วนประกอบโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นนมและถั่ว ซึ่งราคาก็ขึ้นอยูกับชนิดถั่ว จะมีตั้งแต่ถั่วลิสง เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน อัลมอนต์ มะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ และการตกแต่งก็ทำให้ราคาแตกต่างด้วย ซึ่งการตกแต่งก็จะมีตั้งแต่ ตกแต่งด้วยถั่ว ตกแต่งด้วยแผ่นเงินซึ่งคุณอามิตก็บอกว่าก็เหมือนที่ขนมไทยตกแต่งด้วยทองคำเปลวนะแหละ คุณอามิตยังบอกว่า ไม่ใช่ว่าขนมจะหวานอย่างเดียว แต่ส่วนประกอบอื่นๆก็ยังเป็นสมุนไพรอีกด้วย แม้แต่เงินซึ่งเห็นวาววับอยู่บนก้อนขนมก็ล้วนมีประโยชน์ในทางอายุรเวทเช่นกัน นอกจากนี้เขายังอธิบายว่า แม่แต่ขนมที่ฉลองปีใหม่ของชาวฮินดู ที่แต่เดิมแป็นแค่ก้อนน้ำตาล เดี๋ยวนี้ก็ต้องมีดีไซน์และสีสันที่หลายหลายมากกว่าแต่ก่อน ไม่งั้นชาวบ้านก็ไม่ซื้อ

หลังจากพูดคุยจนทะลุปรุโปร่งแล้วฉันก็เดินกลับไปสมทบกับเพื่อนที่หน้าบิ๊กบาร์ซ่า หลังจากนั้นบางคนก็กลับไปที่ออฟฟิชเพื่อทางอาหารกลางวัน แต่พวกเราทานที่หน้าบิ๊กบาร์ซ่า ฉันได้ถามความเห็นของสาวน้อยชาวอินเดียคนหนึ่ง เธอก็ให้คำตอบมารวมๆว่าอันโน้นอันนี้ ไปๆมาๆฉันเห็นเธอชี้ทุกอย่างเลย เล่นเอางงเต็ก ฉันจึงตัดสินใจสั่ง Mysore Masala Dosa เป็นเหมือนเครปกรอบชิ้นใหญ่ ทาเครื่องเทศโรยหัวหอม และใส้มันฝรั่งผัด ทานกับซุปมะเขือเทศและแกงถั่ว ซึ่งค่อนข้างจะมีรถจัดสักหน่อย เพราะฉันรู้ว่าอาหารทางใต้จะเผ็ดร้อนกว่าทางเหนือๆขึ้นมา ฉันจึงสั่งเมนูนี้ เพราะมัยซอร์อยู่ทางใต้ ซึ่งอาหารที่ได้ก็เผ็ดสมใจ แถมอิ่มหนำสำราญในราคา 35 รูปี จนฉันทานไม่หมด ต้องให้เพื่อนๆช่วย คราวหน้าน่าจะสั่งแค่ราคา 27รูปีนะ อาจจะอิ่มพอดีๆ ขณะที่คนอื่นๆทานก๋วยเตี๋ยวผัดกัน ของเคที่เป็นแบบกรอบๆ แต่คริสติน่าเป็นแบบนิ่ม


หลังจากนั้นเราก็สั่งกาแฟ และมุ่งหน้าสู่ร้านอินเตอร์เน็ต ฉันเตรียมThumb drive ไปด้วยเพราะว่าจะอัพเดตบล็อกในภาษไทย แต่เน็ตที่นี่ก็ช้าสุดฤทธิ์สุดเดชเหมือนกัน ฉันจึงได้อัพเดตแค่ 1 หน้าเท่านั้นเอง แถมรูปก็ไม่ได้ใส่ เซ็งสุดขีด ไม่มีอะไรเป็นไปตามต้องการสักอย่าง

หลังจากใช้เวลากว่า 2ชั่วโมง ฉันก็ถอดใจ เดินกลับไปที่ออฟฟิชเพื่อเตรียมตัวกลับ เคที่พาเข้าร้านไอศครีม ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ารสชาติของไอศครีมที่นี่เป็นอย่างไร จึงได้แต่ดูหน้าตาและสั่งเอา เราอยากได้อะไรที่เปรี้ยวๆ แต่ไอศครีมที่นี่ไม่มีอะไรเปรี้ยวเลย แม้แต่ไอศครีมมะนาวก็ยังหวาน ฉันเจอแจ็คพอต เสี่ยงโชคเจอไอศครีมลิ้นจี่ ซึ่งไม่ชอบเท่าไหร่ ทำให้รู้สึกมวนในกระเพาะเล็กน้อย เมื่อรวมกับฝีมือการขับรถอันนุ่มนวลแล้ว ก็ทำให้เมื่อถึงอาราม ฉันก็ตรงไปอาเจียนในห้องน้ำพอดี ดีนะว่าไม่ท้องเสีย (นี่มองโลกในแง่ดีนะเนี่ย ) หมดกัน 40รูปีที่จ่ายไป ละลายหายไปกับส้วมอินเดีย ไม่น่าเลย 40 รูปีนี่ น่าจะได้ไอศครีมแบบเซเวนเซ่นในเมืองไทยเลยนะเนี่ย แต่เนื่องจากว่าการจ่ายไฟฟ้าของอินเดียยังขัดข้องอยู่ ดังนั้นเวลาช่วงเช้าประมาณ2-4 ชั่วโมงจะไม่มีไฟฟ้า (ที่อารามเวลาตี4 ถึง บ่าย 3 ก็ไม่มีไฟฟ้าเช่นกัน ) ดังนั้นเขาคงต้องลงทุนในเรื่องเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพิ่มเติม จึงทำให้ราคาสูงขึ้นนิดหน่อย แต่ยังไงก็เสียดายตังค์นิดหน่อย
แม้จะเรื่องโชคร้ายบ้าง แต่ก็ยังมีเรื่องดีว่า กานดาบอกกับฉันว่า ฉันเป็นศิษย์เก่าที่นี่ ดังนั้นค่าธรรมเนียมบางอย่าง ฉันจะได้เงินคืนมา (แม้จะนิดหน่อย แต่ก็เป็นดอลล่าร์นะ) เย็นนั้นฉันจึงซื้อหนังสือ 3-4 เล่ม หลังจากคำนวนจำนวนเงินที่จะได้คืนกลับมาแล้ว ทำให้ฉันไม่ต้องเหนื่อยกับการก๊อปปี้หนังสือด้วย และยังมีเงินพอที่จะทำการวางแผนเที่ยวในวันหยุดถัดไปกับคนอื่นๆได้อีกด้วย

หลังจากที่ได้ไปถ่ายเทมวลสารออกจากร่างกาย ฉันก็ได้เติมมะนาวลงในน้ำดื่ม และกลับไปนั่งทำงานต่อที่ห้อง ด้วยอากาศที่ลดความรุนแรงลงเล็กน้อย บวกกับความเปรี้ยวของมะนาว ฉันก็ดีขึ้น

อ้อ ฉันได้ดีวีดีมาหนึ่งแผ่น เป็นโยคีที่มีชื่อเสียงมากในอินเดีย แถมเขายังมีช่องโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดชีวิตตลอดวันว่าเขาทำอะไรบ้าง เป็นของตัวเองด้วย ฉันจึงซื้อมาลองดูว่าเขาสอนอะไรบ้าง ซึ่งฉันก็มีหนังสือบางส่วนที่ก็อปจากเคที่ เพราะเธอไปที่ฤาษีเกศช่วงเทศกาลโยคะ เมื่อเธอเข้าไปเยี่ยมอารามของเขา เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้หนังสือและซีดีกับเธอมาจำนวนหนึ่ง (ฟรี) ซึ่งมีเทคนิคที่น่าสนใจมากทีเดียว

วันนี้หลายคนต่างอ่อนแรงกับแสงแดด แม้จะพยายามงัดกลยุทธ ทั้งหมวกทั้งผ้าคลุม แว่นตา ก็ยังสู้ไม่ไหว จึงได้แต่เอนลงพักผ่อนกันตั้งแต่หัวค่ำ ซึ่งฉันก็บันทึกอยู่จนถึงดึก แฟนันดาและวาลาเรียต่างแปลกใจว่าฉันทำงานหนักมาก ตื่นก่อนนอนที่หลังตลอด แต่ยังดูสดชื่นอยู่ ซึ่งฉันคิดว่าน่าจะเป็นที่แสงแดดที่มอบพลังงานให้ฉัน และความตั้งใจในการที่จะศึกษามากกว่า หลังจากนี้ฉันก็คงต้องเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจังมากขึ้นแล้ว คงไม่มีเวลาเล่นแน่เลย
เฮ้อ นี่แหละชีวิต


Hari Om



Create Date : 27 มีนาคม 2551
Last Update : 27 มีนาคม 2551 17:10:03 น. 1 comments
Counter : 911 Pageviews.

 
เยยยย น่ากินชะมัด


โดย: myurieo IP: 125.24.73.228 วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:12:23:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.