โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 
Yoga Vidya Dham-from Mumbai to Nasik

Namaste


12 March 2008
06.00

ฉันจากเมืองปูเน่มาด้วยความอาลัยอย่างที่สุด
และขณะที่นั่งอยู่บนรถไฟอีกขบวนเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองนาสิก บ้านหลังที่สองของฉันบนโลกสีครามใบนี้ และปูเน่ก็กลายเป็นบ้านหลังที่สามไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เปิดกระเป๋าและล้วงลงไปก็พบของกินและผลไม้ที่หลุยส์ (แม่คนที่สองของฉัน) เตรียมให้ฉันก่อนจะจากมา ทั้งสองมาส่งฉันที่สถานีตอนสี่ทุ่มกว่า และยืนคุยกันจนกระทั่งขบวนรถค่อยๆเคลื่อนตัวจากมาจนลับสายตา ฉันไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้างแต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป


และแล้วแขกก็เป็นแขก มีคนนอนบนที่นั่งของฉัน (อีกแล้ว) เจ้าหน้าที่นำผ้าปูที่นอน หมอน และผ้าห่มมาให้ฉัน เขาทำท่าว่าไม่เป็นไร ให้ไปนอนฝั่งตรงข้ามที่ยังว่างอยู่ ซึ่งฉันก็ไม่อยากจะทำอะไรแล้วตอนนี้ นอกจากนอนซะดีกว่า เพราะใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เนื่องจากรถไฟออกจากท่าช้ากว่ากำหนด (แต่มาถึงตรงเวลา) ฉันส่งกระเป๋าใบใหญ่ไปไว้ใต้ที่นั่งพร้อมกับกระเป๋าใบเล็ก และคล้องที่ล็อกไว้เรียบร้อย เอาอะไรไปได้ก็เอาไป อย่าเอาเสบียงฉันไปก็แล้วกัน (ฮา)

ฉันตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆเพราะว่าแสงจากประตูด้านนอกส่องเข้าตาเป็นระยะๆเมื่อมีคนเดินเข้าออก รู้แล้วหละทีนี้ว่าทำไมนายนั่นถึงย้ายที่นอน กรรมเลยตกมาอยู่ที่ฉันแทน ฉันข่มตาให้หลับหร้อมกับเอาผ้าคลุมปิดหน้าบางส่วนเพื่อบังแสงไม่ให้เข้าตาอีก จากนั้นฉันก็สามารถหลับได้ยาวจนถึงปลายทาง

มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อใกล้สถานีสุดท้าย ฉันก็มองไปรอบๆ ผู้คนหายไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงชายคนหนึ่งที่ท้ายตู้เท่านั้น ฉันดึงกระเป๋าออกมาเตรียมตัวให้พร้อม ขณะที่ยังไม่ทันจะเทียบท่าดี ก็มีคนรับจ้างแบกกระเป๋ากระโดดขึ้นมาในตู้ที่ยังมีผู้โดยสารเหลืออยู่เพื่อหาลูกค้า ฉันปฏิเสธไปพร้อมกับยกกระเป๋าด้วยท่าทางทะมัดทะแมง(แต่ท่าทางเขาจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เพราะมันดูทะแม่งๆ)

ฉันยังคงก้าวเดินไป เพื่อหาที่พักชั่วคราวในการรอรถไฟขบวนต่อไป ฉันเห็นสาวๆแบกห่อผ้าขนาดใหญ่เทินไว้บนหัวอย่างสบาย ไม่แค่นั้นนะ บางคนยังสามารถเอามือสองข้างแบกของอื่น รึทานขนมได้อีก เรียกว่าไม่ต้องพึ่งมือที่สามแต่อย่างใด ฉันได้ที่นั่งพักตรงกลางสถานีที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นั่ง แต่จะนอนรอรถไฟกันเป็นส่วนใหญ่ ฉันล็อกกระเป๋าใบใหญ่ไว้กับเก้าอี้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปเห็นตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาตีสี่ เหลืออีกสองชั่วโมง ฉันก็เลยคว้าเอากระเป๋าใบเล็กหยิบสมบัติล้ำค่าออกมารองท้อง



ทันใดนั้นเองก็มีขอทานเดินตรงเข้ามาหาฉัน และทำท่าขอสัก 1รูปี เพื่อไปกินข้าว ฉันจึงยื่นอาหารไปให้ถามว่าจะเอามั๊ย เธอก็ส่ายหน้าและยืนยันว่า1รูปี ฉันตอบเธอไปแบบไร้อารมณ์ว่าถ้าเธอหิว ฉันก็จะให้อาหาร แต่ถ้าเธอไม่เอาก็ขอให้ไปซะ เมื่อเห็นว่าฉันยืนยันดังนั้นเธอก็จากไปพร้อมกับส่ายหน้า ไอ้อาการส่ายหน้าแบบนี้นี่ทำเอามึนมาเยอะแล้วนะ ตกลงมันใช่รึไม่ใช่วะ??!!

ถ้าใครไม่เคยเห็นอาจจะนึกไม่ออก อาการส่ายหน้าของชาวอินเดียเนี่ย หลายคนบอกว่าเวลาเขาส่ายหน้าเนี่ยจะแปลว่าใช่ เขาจะส่ายเหมือนงูเลื้อย ซ้ายทีขวาที ถ้าไม่ชินกับอาการนี่คุณอาจมีปัญหาบ้าง บางทีเราตอบปฏิเสธไป แต่มันจะโมเมว่าเราโอเค นี่แหละน้า...อินเดีย

หลังจากนั้นก็มีแขกคนนึงเดินเข้ามานั่งข้างๆฉัน และเริ่มต้นทักทายฉันด้วยการเดาว่าฉันมาจากไหน ในใจฉันตอนแรกก็ไม่คิดอะไร เพราะเพิ่งแยกกับหลุยส์ ทัศนคติบวกยังรุนแรงอยู่ จึงคุยด้วยท่าทางสบายๆ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ทายไม่ถูกอยู่ดี ลงท้ายก็ยังยืนยันว่าฉันเป็นญี่ปุ่นแน่นอน พอซักถามมาหลายคำถามมากเข้า ฉันก็สามารถเห็นได้แล้วถึงจุดมุ่งหมายของชายคนนี้ บางทีคุณอาจจะคิดว่าฉันมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่โลกเราก็ร้ายกาจอย่างนี้แหละ ผู้แข้มแข็งเท่านั้นที่จะรอด

ชายคนนี้เริ่มถามถึงพ่อแม่พี่น้อง อายุเท่าไหร่ แต่งงานรึยัง ไปๆมาก็เหมาว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ เพราะฉนั้นเรามาแลกเบอร์โทรกันดีกว่า เอาแล้วไง หน้าทำด้วยอวัยวะหุงต้มอีกแล้ว ฉันไม่รังเกียจหรอกนะที่จะมีเพื่อนเยอะๆ แต่เมื่อมาแนวนี้ ฉันก็สุดจะทนบ้างแล้วหละ ชายคนนี้พยายามพูดชักจูงให้ไปเที่ยวทางใต้ บ้านเขาบ้าง เขาจะพาดูวัดที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดในอินเดียใต้ ฉันจึงได้กวนตีนตอบไปว่า วัดไม่มีความหมายกับฉัน ฉันนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น (อันนี้เรื่องจริงค่ะ) และหาฉันจะไปก็จะไปเคเรล่า ไปเรียนอายุรเวท ไม่ไปที่ยวหรอก วัดน่ะ เขาก็พูดแหย่มาว่า เที่ยวคนเดียวไม่หนุกหรอก อันตรายด้วย ฉันก็โต้กลับไปว่าฉันสนุกกว่าที่ได้เที่ยว คิด ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่แคร์หรอกว่าจะกี่คน ส่วนอันตรายน่ะ ฉันว่านายน่ะแหละที่อันตราย
(อันนี้แค่นึกนะ ยังไม่ได้พูดไป)

เขาก็ยังไม่เลิกรา ยังยื่นหน้ามาชวนกินชาอีก บอกว่า นี่คงเป็นพรหมลิขิตอย่างแน่นอนที่ให้เรามาเจอกัน ทั้งที่ฉันคิดว่าจะลุกไปหาชาดื่มสักหน่อย ทำเอาต้องเปลี่ยนใจแทบไม่ทัน และบอกไปว่า ขอโทษแต่มันไม่ดีกับสุขภาพ (และไอ้พรหมลิขิตประเภทเนี้ยะ ฉันหาได้เกือบทุกชั่วโมงเลย ถ้าไม่แกล้งทำเป็นหลับซะก่อน)

ลงท้ายเขายังยัดเยียดเบอร์มาให้ฉันบอกให้ฉันโทรหาพรุ่งนี้ ฉันจึงต้องเตือนเขาไปด้วยความเหลืออดว่า ฉันมาเรียน จริงจังมาก ไม่โทรหาคนแปลกหน้าหรอก แล้วก็ก้มหน้าก้มตาหยิบหนังสือมาอ่านจนได้เวลาที่จะเดินไปขบวนรถของฉัน จริงๆมันก็หลีกหนีได้ง่ายหรอกนะ แต่ว่า...ขี้เกียจแบกกระเป๋าไง อยากแบกแบบม้วนเดียวจบง่ะ

ตรงกันข้ามกับบนรถไฟ ฉันได้พบหนุ่มน้อยน่ารักที่กำลังไปพบลูกค้าที่เมืองนาสิกเหมือนกัน เราพูดคุยด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย เขายังถามว่าอยากจะนอนเหยียดขามั๊ย เขาจะย้ายไปนั่งกับเพื่อนอีกฝั่ง เพราะเห็นหน้าตาอิดโรย (ก็แหง๋หละ ต่อสู้กับพรหมลิขิตมานี่นา) ทำให้ฉันได้นอนเพิ่มอีกพักใหญ่ ตื่นขึ้นมาเขายังแซวว่า อรุณสัวสดิ์เลย
และพอถึงนาสิก เราก็พากันแยกย้ายกันไป

ฉันเดินแบกกระเป๋าข้ามสะพานไปตรงทางออก ซึ่งฉันรู้ดีว่ามีคนกลุ่มนึงรอฉันอยู่ ฉันต่อรองราคาได้ริ๊กชอร์ในราคา120รูปี ก็ไม่เลวร้ายนัก เพราะสองปีก่อนฉันนั่งแค่ 100 รูปีเท่านั้นเอง ระหว่างทางฉันก็ทัศนาเมืองไปด้วย ฉันพบว่าคุณทาทาเนี่ยนอกจากเขาจะผลิตรถแล้วเนี่ย ยังมีชาและอื่นอีกมากมาย ท่าทางเขาจะรวยมากที่เดียว ฉันจึงถ่ายรูปมาด้วย สัญลักษณ์ชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นโตโยต้าจริง และนอกจากนี้ยังมีโอกาสโบกมือให้สาวน้อยคนนึง ซึ่งเธอก็ยิ้มกว้างๆตอบมาให้ฉันด้วย (โอหลุยส์ ฉันทำได้)

เมื่อฉันมาถึงก็ได้พบกับครูคนเก่าของฉัน และเจ้าหน้าที่อีกคนซึ่งเชื้อเชิญให้ทานอาหารเช้าด้วยกัน ซังเก (ครูฉัน) เตือนว่าอาหารอาจเผ็ดนิดนึงนะ ซึ่งฉันก็หันไปเตือนว่า ท่าทางจะลืมแล้วสิว่าฉันน่ะคนไทยนะ (ให้มันรู้บ้างว่าพูดกับใคร!!) ระหว่างที่ทานข้าว แอบได้ยินเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกซังเกว่า นึกว่าเกาหลีนะเนี่ย

พอทานข้าวเรียบร้อยฉันก็อาบน้ำและออกไปหาซื้อของใช้ที่จำเป็นที่บิ๊กบาซาร์ แต่อดเสียดายไม่ได้ว่า ที่บิ๊กบาซาร์ไม่มีขนมหวานอินเดียขายแล้ว สงสัยฉันคงต้องไปหาที่ตลาดทริมบากแทน เฮ้อ อุดส่าห์ตั้งใจเลยนะนั่น

หลังจากที่เดินกลับมาที่ออฟฟิชเพื่อรอเพื่อนร่วมทางคนอื่น ฉันก็เห็นสาวน้อยนอนแผ่อยู่บนที่นอน ซึ่งฉันก็รู้ว่าต้องเป็นเพื่อนของฉันแน่นอน เราก็เริ่มต้นทักทายกัน เธอชื่อ วาลาเรีย (เกือบเรียกเป็น มาลาเรียแน่ะ) เธอมาจากอุรุกวัย แต่ตอนนี้อาศัยที่ฝรั่งเศส เราคุยกันได้สักพัก ก็มีสมาชิกเพิ่มมาเรื่อยๆ สอบถามก็ได้ความว่า ล้วนมาจากนานาประเทศทั้งนั้น แต่กระนั้นก็มีชาติยอดนิยม ที่ส่งสาวๆมาเรียนถึงสามคน นั่นก็คือสิงค์โปร์นั่นเอง ต่อด้วยโปรตุเกส ส่วนฉันยังใช้มุกเดิมที่ได้ผลทุกครั้งคือนึกชื่อฉันไม่ออกให้นึกถึงมวยไทย ก็จะออกเสียงได้ง่ายกว่า แถมยังเข้าใจได้ง่ายว่า หมวยมาจากประเทศไทย เหมือน มวยไทยน่ะเอง

บนรถที่นั่งมามีกัน9 คน จากตัวเมืองเรามาถึงที่อารามใช้เวลาปรมาณ30-40นาที และก็แยกย้ายกันเข้าห้องซึ่งอยู่ในตึกใหม่ ฉันได้เพื่อนร่วมห้องเป็นสาวสิงค์โปร์ชื่อว่าเคที่ (ก็ไม่ใช่คาที่นะจะบอกให้) และวาลาเรีย อีกคนชื่อว่าเฮลเทอร์ (อันนี้เธอเริ่มแสดงอาการว่ามาจากเฮล(นรก) ในเวลาต่อมา )

ตึกใหม่ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ยังไม่มีม่านกั้นของแต่ละคน ไม่มีเก้าอี้ ซึ่งเราก็ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะคุณซังดีฟบอกว่าถ้ามีอะไรไม่สะดวกก็ให้บอก เราก็เริ่มจัดของเข้าล็อคเกอร์ และไปห้องประชุมตามนัดหมายในเวลาสี่โมงเย็น เราเปิดคอร์สเรียนด้วยการแนะนำเนื้อหาการเรียน และกฎข้อห้ามเล็กน้อย ซึ่งเดี๋ยวนี้เคร่งครัดกว่าแต่ก่อนมาก เช่นเรื่องการแต่งตัวเพราะวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อากาศที่ร้อนอบอ้าวและแห้งกว่าเมืองไทยและที่อื่น ทำให้คุณกานด้าต้องเตือนว่าอย่าออกมาเดินเล่นกลางแดด รวมถึงการมีเพื่อนผู้น่ารักอย่างงู ซึ่งเคยส่งเพื่อนร่วมห้องของฉันไปนอนเล่นในโรงพยาบาล 2 วันเมื่อครั้งก่อน และแมงป่อง ความเงียบในการทานอาหาร

และก็เป็นเวลาทานอาหาร ฉันลองเปิบมื้อแรกในอารามด้วยมือซึ่งก็ไม่ละบากนัก เพราะคุ้นเคยดีมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็มีคำอธิบายในการกินแบบอินเดียแปะไว้ที่ข้างฝาด้วย
เรานั่งมองหน้ากันเงียบๆขณะที่ทาน
เมื่อถึงเวลาสองทุ่มโดยประมาณก็เป็นคลาสดึก ซึ่งเราก็มีการแจกสมุดหนังสือต่างๆและแนะนำตัว ตบท้ายด้วยเรื่องเล่าจากนักเล่านิทานจากคุณกานด้าซึ่งมักจะขึ้นต้นเรื่องด้วย มีกูรูคนหนึ่ง....เสมอ


Hari Om



Create Date : 19 มีนาคม 2551
Last Update : 27 มีนาคม 2551 16:43:14 น. 2 comments
Counter : 738 Pageviews.

 
ติดตามต่อ ครับ


โดย: พนบ. วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:21:15:00 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ดีใจจังที่กลับมาอัพบลอกแล้ว
การเดินทางน่าตื่นเต้นมากเลยค่ะ
แต่ก็น่ากลัวด้วยนะคะ
ยังไงก็ขอให้บรรลุความมุ่งหมายโดยเร็วค่ะ


โดย: เนระพูสี วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:22:11:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.