Group Blog
 
All Blogs
 

ยุบพรรครัฐบาล ศาลต่างหาก ไม่ใช่พันธมิตร (ชนะ)

ผ่านไปอย่างที่ต้องมีวันสิ้นสุด แม้จะเป็นเพียงชั่วคราวสำหรับกรณียึดและบุกรุกสถานที่ราชการและสาธารณะของพันธมิตรที่เหลือไว้ด้วยความพินาศของสังคมไทย แต่พันธมิตรกลับเข้าใจว่าคือชัยชนะของตน

จริงๆแล้ว พันธมิตรไม่ต้องยึดสถานที่ชุมนุมเกือบ 200 วัน กรณี ยุบ 3 พรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ต้องมาก่อให้เกิดความเสียหายให้ประเทศชาติต้องพ่ายแพ้อย่างที่เกิดขึ้น “ยกเว้นแต่ว่าศาลรัฐธรรมนูญคือพวกพันธมิตร” พันธมิตรจึงจะมีความชอบธรรมที่จะอ้างประกาศชัยชนะอย่างที่สำคัญตน {(ผิด) หรือว่า "(ถูก)"}

จะอย่างไรก็แล้วแต่ถึงตรงนี้ เราควรเรียนรู้ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งที่แสดงเจตนารมณ์ต่อต้านอย่างชัดเจนในช่วงเวลาที่ผ่านมา หรือที่นิ่งเงียบ กับพฤติกรรมล้างผลาญ ไร้เหตุผลที่เต็มไปด้วยทิฐิ ของพันธมิตร ก็คงต้องเตรียมตัวไม่ให้ความเหิมเกรียม และความก้าวร้าวเหล่านั้นกลับมาได้ พวกผู้นำของพันธมิตรและการ์ดที่ป่าเถื่อนต้องได้รับบทเรียนที่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและน่าชิงชังด้วยการถูกจองจำในคุก และฝึกให้ท่องจำความหมายของคำว่าประชาธิปไตยให้เข้าสถิตอยู่โสตประสาทไขสันหลังที่ไร้สมองส่วนกลางที่ควบคุมดูแลสำนึกทางจริยธรรม (อย่างเช่นเดรัญฉาน) ที่จะไม่ทำให้สังคมส่วนรวมต้องเดือดร้อนและหดหู่ อีกต่อไป




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2551    
Last Update : 3 ธันวาคม 2551 13:09:47 น.
Counter : 517 Pageviews.  

ทางออก.....ของเราหรือของศาล

ดูท่าทีศาลแล้ว....... ท่านคงจะพยายามหาทางออกให้กับประเทศชาติด้วยการตัดสินให้ “คุณสมัครมีความผิดและพ้นสภาพจากนายกรัฐมนตรี” จากกรณีการจัดรายการชิมไปบ่นไป ก่อนที่จะบังคับให้พันธมิตรออกจากทำเนียบ ซึ่งก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี และคงเป็นจังหวะที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติ แต่ถ้ามองให้ถึงแก่นแท้ความยุติธรรม ให้ซึ้งลึกถึงเจตนาการกระทำผิด คงต้องบอกว่าขัดความรู้สึกวัยเยาว์ไม่น้อย เพราะบอกได้เลยว่ากรณีของคุณสมัครไม่น่าจะเป็นไปด้วยความตั้งใจเพราะผลตอบแทนจากการทำรายการเทียบเทียมไม่ได้กับสถานะภาพการเป็นผู้นำประเทศ... คุณสมัครคงไม่มีเจตนาที่จะฝ่าฟืนอย่างแน่นอน แม้วิธีการต่อสู้ในศาลจะออกมาในอีกรูปแบบหนึ่งเนื่องจากอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย(วัยระเริง) ไม่ได้.... ส่วนกรณีบุกรุกทำเนียบของพันธมิตรเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายอย่างที่ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นขยายส่อง.... อย่างไรก็ตาม หากศาลจะใช้จังหวะนี้เป็นทางออกให้กับประเทศชาติก็ต้องถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดหากพิจารณาจากปัจจัยต่างๆในปัจจุบัน ที่หากจะสาธยายให้หมดก็คงต้องนั่งจิ้มหาตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ทั้งวัน.... "ก็ได้แต่หวังว่าศาลจะไม่ตัดสินให้คุณสมัครพ้นสภาพโดยที่ไม่บังคับให้พันธมิตรออกจากทำเนียบ"นะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นวัยเยาว์ขอไปเกิดใหม่ดีกว่า....อย่างไรก็ตามแต่... ถ้าเป็นเช่นนั้น วัยเยาว์ก็ขอให้พันธมิตรยังคงดำรงอยู่ด้วยการเฝ้าตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลต่อๆไปตราบนานเท่านาน แต่เปลี่ยนมาใช้วิธีการที่ถูกต้อง และแสดงให้เห็นเจตนาและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนๆของวัยเยาว์ที่กำลังรอวันเติบโตมาทดแทนท่านต่อไป....ซึ่งคงอีกไม่นานหรอก...แฮ่ๆๆ..รู้ใช่ไหมคิดอะไรอยู่.....




 

Create Date : 08 กันยายน 2551    
Last Update : 8 กันยายน 2551 14:37:32 น.
Counter : 501 Pageviews.  

ประชามติ....ทางออกที่ควรเจรจากัน

เสียดายที่การประชุมสองสภาไม่มีสาระให้เห็นแนวทางแก้ไขวิกฤติของประเทศได้อย่างชัดเจน...... เราส่วนใหญ่ที่สนใจความเป็นไปของบ้านเมืองนี้ “ต่างก็คงเครียดกันน่าดู” หลายคนอาจเฝ้ามองดูอย่างหวาดหวั่นและเอาใจช่วยกันอยู่เงียบๆ บางส่วนก็ออกมาแสดงพลังกันที่สนามหลวง โชคดีที่ไม่มีการเพิ่มปัญหาความรุนแรง.....


“ ไม่ทราบว่าพันธมิตรพอจะอะลุ่มอล่วยบ้างไหม ด้วยการเจรจากับรัฐบาลให้หาทางออกร่วมกัน”

“ประชามติ” น่าจะเป็นทางออกที่รัฐบาลและพันธมิตรนำมาพิจารณาร่วมกัน และควรให้โอกาสทั้งสองฝ่ายชี้แจงในทีวีหรือสื่อต่างๆอย่างเท่าเทียมกันโดยรัฐบาลเป็นเจ้าภาพออกค่าใช้จ่าย โดยให้เวลาทั้งสองฝ่ายออกมาชี้แจงเสนอความคิดเห็น ข้อดีข้อเสีย แนวทางต่างๆ ให้ประชาชนได้เข้าใจแนวทางของแต่ละฝ่าย ซึ่งน่าจะให้เวลานานเพียงพอ.....อาจจะสักสองเดือน......เพื่อหลีกเลี่ยงแนวทางการดำเนินการอย่างก้าวร้าวจากการชุมนุมและทำให้เกิดผลกระทบอย่างมหาศาลอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ซึ่งถ้าจะมีประชามติ ผมก็ขออนุญาตเสนอให้อยู่ในหัวข้อวิกฤติสองเรื่อง คือ “สถานะภาพ (อยู่หรือไป) ของรัฐบาล” กับเรื่อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ (ซึ่งควรลงลึกให้เกิดประชามติว่าจะแก้ไขมาตราไหนบ้าง)” บวกกับประชามติให้มี “การเลือกตั้งผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ทางการเมืองให้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน” ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีกับทั้งบ้านเมืองและความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษาซึ่ง “ไม่ต้องมีข้อหาสังคม “ ว่า (มาจากการ)เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ (มาจากการ) อยู่ข้างประชาชน

ประเด็นประชามติทั้งสามหัวข้อนี้น่าจะทำให้การดำเนินไปของบ้านเมืองเป็นไปอย่างประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและต้องยอมรับว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่มีความเป็นไปอย่างมี “สัมพันธภาพ” ระหว่างการใช้อำนาจกับความรู้สึกนึกคิดของประชาชนในสังคมในแต่ละอาณาจักรหรือแต่ละประเทศ ที่ไม่จำเป็นว่าเป็นเรื่อง “ถูกผิดเสมอไป” กล่าวเป็นสมมติก็คือ ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมมีความรู้มีสติปัญญา ผลที่ได้ก็จะทำให้เราได้อำนาจอธิปไตยแบบที่ดำเนินไปด้วยสติปัญญา แต่ขณะเดียวกันถ้าเสียงส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมรับอำนาจอธิปไตยแบบที่ไม่ต้องพึงพิงสติปัญญา เราก็ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่นั้นเช่นเดียวกัน ซึ่งแม้จะฟังดูขัดๆแต่มันก็จะทำให้เกิดการพัฒนาตามครรลอง “ประชาธิปไตย” และทำให้สังคมมีระบบและแบบแผนซึ่งในที่สุดก็อาจมีการพัฒนาเป็นสังคมที่ใช้สติปัญญาตามอุดมคติได้ แม้จะใช้เวลาก็ตาม......แต่มันก็เป็นการพัฒนาไปตามระบบและมีแบบแผนในตัวของมันเอง ซึ่งจะดีกว่ารูปแบบอณาธิปไตยที่ขาดตัวตนที่แท้จริงและพึ่งพิงไม่ได้..... ถ้าจะยกตังอย่างให้เห็นชัดเจนมากขึ้นก็คือกรณี “หวยบนดิน” ซึ่งฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นอบายมุขและแม้จะเป็นอบายมุขที่น้อย แต่ถ้ามันถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอบายมุข ก็ไม่ควรที่จะยอมรับ ซึ่งกรณีความเห็นนี้ถือว่าเป็นเรื่องถูกต้อง (ทางคุณธรรม) แต่อีกฝ่ายซึ่งเผอิญเป็นเสียงส่วนใหญ่ (ผมเป็นเสียงส่วนน้อยในกรณีนี้) กลับเห็นว่าการเล่นหวยถือเป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติตามจิตวิทยาของมนุษย์ที่ชอบสัมผัสความรู้สึกตื่นเต้น และไม่ได้เป็นผิดทางด้านคุณธรรมจนเกินไป (อย่างการเล่นพนันลอยฟ้า) การทำให้ถูกกฎหมายก็จะลดปัญหาหวยใต้ดินได้ ซึ่งเรื่องนี้แม้จะ “ผิด” แต่ถ้าสมมติว่ามีการออกเสียงประชามติให้ยอมรับก็ต้องถือว่าเป็นผลจากความเห็นที่เป็น “สัมพันธภาพ” ของประชาชนกับการดำเนินไปของสังคม เช่นเดียวกัน

ปัญหาที่มักไม่เห็นด้วยกับการลงประชามติก็คือ “การสูญเสียงบประมาณ” แต่จริงๆแล้วผลที่ได้จากการลงประชามติในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ จะมีคุณค่ามากกว่างบประมาณที่เสียไปอย่างมากมายมหาศาล เพราะการลงประชามติถือเป็นแนวทางที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบบที่เราต้องรักษาให้ได้ คือสิ่งสำคัญที่สุด.....ถ้าประชามติออกมาว่าให้รัฐบาลต้องลาออกหรือไม่ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ถือว่าเป็นไปตามแนวทางประชาธิปไตย ดีกว่าที่จะลาออกหรือไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการชุมนุมในรูปแบบที่ขาดความเคารพกฎหมาย ซึ่งถือว่าก่อให้เกิดการสูญเสียมากมายยิ่งกว่าเหลือคณานับ ทั้งทางตรงที่มีผลต่อเศรษฐกิจและทางอ้อมซึ่งเป็นความน่าเชื่อถือจากนานาประเทศ




 

Create Date : 01 กันยายน 2551    
Last Update : 3 กันยายน 2551 13:13:02 น.
Counter : 419 Pageviews.  

ความก้าวร้าวของพันธมิตร......ความเห็นคุณอภิสิทธิ์......แล้วอนาคตเราหล่ะ

หดหู่จริงๆกับเหตุการณ์ความก้าวร้าวของพันธมิตร ที่กล่าวได้เพียงว่าเป็นกลุ่มคนที่อยู่นอกเหนือระบบสังคมที่ได้รับความคุ้มครองเกินเหตุ (ผล) จากผลพวงการปฏิวัติ และคงไม่มีใครหยุดยั้งคนกลุ่มนี้ได้ นอกจากตัวของเขาเอง การที่จะไปเขียนหรือวิพาทย์วิจารณ์อะไรก็คงไม่เกิดประโยชน์เพราะดูเหล่าผองท่านจะสุดกู่ (ไม่กลับ) จริงๆ

แต่กลุ่มคนที่อยากเขียนเตือนสติเพราะเชื่อว่าคงพอจะเกิดประโยชน์แก่ท่าน(ในปัจจุบัน) และ(หวังว่า) สำหรับพวกเรา (ในอนาคต) ก็คือคุณอภิสิทธิ์และเหล่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเชื่อว่าท่านยังคงมีสัมปชัญญะรับฟังคำเตือนต่างๆที่มีความหวังดีต่อผองท่านอยู่..... การที่คุณอภิสิทธ์ ออกมากล่าวเตือนไม่ให้รัฐบาลจัดการกับกลุ่มพันธมิตร....... ด้วยคำกล่าวที่ฟังแล้วก็อุปมาอุปมัยเหมือนการเอามือข้างเดียว (โดยไม่ใช้ไม้พาย) กวักน้ำ (หวัง) ให้เรือเคลื่อน แต่กลับเอาเท้าสองข้างลาน้ำ (หวังว่าคงด้วยความไม่ตั้งใจ....ไม่ใช่เพราะ “โง่”) ไว้..... ถามจริงๆเถอะที่คุณอภิสิทธิ์พุดออกมานั้น “พูดไปทำไม....ๆๆๆๆๆ” การพูดโดยอิงหลักการว่า “อย่าทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยท่านจะอยู่ข้างประชาชนเสมอ” นั้นไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรในทางปฏิบัติ นอกจากเพียงทำให้รู้สึกว่าออกมา “ปล่อยคิวโฆษณา” การโยนลูกให้คุณสมัครต้องทำให้บ้านเมืองสงบด้วยความอดทนหรือต่างๆนาๆนั้น ทำให้เพียงรู้สึกว่า...กล่าวไปด้วยนัยแอบแฝง...... คุณอภิสิทธิ์ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินคำว่า “บริสุทธิ์” ถ้าจะหมายความเพียงว่าผู้ชุมนุมบริสุทธิ์เพราะไม่ได้ผลตอบแทน (ทรัพย์สินเงินทอง) เลยอย่างที่ คุณอภิสิทธิ์กล่าวอ้าง ก็ต้องไม่ลืมว่าการทำผิดด้วยการประทุษร้ายหรือฆ่าผู้อื่นตายนั้น ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดีพอ (โดยไม่มีเรื่องเงินทองเกี่ยวข้อง) และผู้ที่ทำการเช่นนั้นในทางกฎหมายก็ถือว่า “ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์” (ไม่ใช่หรือ?) ทั้งนี้ผมขอเน้นย้ำว่า.....ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ของพันธมิตร “ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์” ด้วยเหตุผลของความเดือดร้อนที่ก่อให้เพื่อนร่วมชาติ..... คุณอภิสิทธิ์รู้ได้อย่างไรว่าคนส่วนใหญ่ที่มีกว่า 60 ล้านคนรู้สึกอย่างไรกันแน่กับผลจากการชุมนุมของพันธมิตร ถ้าคนเหล่านั้นขาดสัมปชัญญะแล้วออกมาต่อต้านฝ่ายพันธมิตรแล้วเกิดการนองเลือดแล้วเท่านั้นหรือ…..จึงจะทำให้คุณอภิสิทธิ์รู้จักและเข้าใจความหมายของคำว่า “เสียงส่วนใหญ่” (หรือว่า “จะยังคงไม่เข้าใจจนกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาล”) ทำไมคุณอภิสิทธิ์ถึงไม่ให้ความสำคัญกับผลการเลือกตั้งและบทบาททางรัฐสภาอย่างที่ท่านประธานที่ปรึกษาพรรคอย่าง คุณชวน เคยใช้เป็นสโลแกนว่า “ผมเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” และได้รับเสียงนิยม (รวมทั้งของผมด้วย) จนเป็นได้เป็นรัฐบาลหลังเหตุการณ์ปี 35..... วิธีการทำงานของคนในพรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นแกนหลักของระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ผู้ก่อตั้งพรรคในอดีตยึดถือกลับตาลปัตรกลายเป็นการทำงานแบบฉกฉวยโอกาสตามแต่สถานการณ์ทั้งจากวิกฤติปี 35 และ 49 จนถึงปัจจุบัน ถ้าคุณอภิสิทธิ์ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลภายใน 3 ปีอย่างที่ท่านปรารถนาก็โปรดอย่าใช้วิธีการตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่ควรมองนึกถึงอนาคตแล้วอุปทานดูว่าถ้าคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนี้กับเหตุการณ์แบบนี้ คุณอภิสิทธิ์จะมีวิธีการอย่างไรในการแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปด้วยดีได้ท่ามกลางขอบเขตที่จำกัดด้านกฎหมาย........ การจะไปเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เพียงมีหน้าที่ฉกฉวยโอกาสทำให้รัฐบาลสั่นคลอนเท่านั้น..........

และคงไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนลอกเลียนนโยบายให้มีการศึกษาฟรี และการรักษาฟรี......แต่ควรตระหนักที่จะทำให้การศึกษาและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมีประสิทธิภาพให้สูงพอด้วย.... จะมีประโยชน์อะไรถ้าเด็กๆได้เรียนฟรีตั้งสิบกว่าปี แต่ไม่มีครูที่ดีพอที่ยอมเสียสละมาประสาทวิชาให้เขาได้รู้จริงและคิดเป็น (เพื่อไม่ต้องให้ใครมาสนตะพายได้ง่ายๆ) แต่เรียนจบได้เพียงเพราะถึงเวลาเท่านั้น “แต่คิดไม่เป็น”........ หรือจะมีประโยชน์อะไรถ้าประชาชนได้รับการรักษาฟรีแต่ต้องเจ็บป่วยอย่างเรื้อรังตลอดชีวิตหรือตายอย่างไร้เหตุผลตามสมควร เพราะหมอส่วนใหญ่ในบ้านเราต่างก็ได้รับการเรียนรู้ไม่พอและได้รับการฝึกฝนที่ใช้หลักการท่องจำเป็นส่วนใหญ่จนแทบคิดไม่เป็นหรือคิดอย่างวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และไม่สามารถปรับความรู้เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรคให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละกรณี....นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่บ้านเมืองเรานี้ ยังต้องเอาชนะให้ได้ก่อน...”จน.โง่ เจ็บ”......และคนที่ต้องการเป็นหัวหน้ารัฐบาลและรับอาสาดูแลพี่น้องประชาชนต้องมีวิสัยทัศน์ (ซึ่งท่านค้นหาได้หากต้องการ) และ ควรรู้จักสร้างกลไกที่จีรังและมีมิติ ไม่ใช่เพียงมองเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น………เข้าใจพอสังเขปบ้างไหมครับ




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2551    
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 12:03:53 น.
Counter : 388 Pageviews.  

ใจเขาใจเรา....พื้นที่ปัญหา....พื้นที่เปี่ยมไมตรี

ปัจจุบันเขาพระวิหารกลายเป็นสัญลักษณ์ของหลายๆกรณีในด้านลบ ทั้งทางการเมือง ลัทธิชาตินิยม ลัทธิปลุกกระแสและกลยุทธ์การทำร้ายกัน..... เป็นการพยายามเปลี่ยนบริบทของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางประวัติศาสตร์อย่างเขาพระวิหารเป็นสัญลักษณ์ของความเลวร้ายที่ทำให้ทั้งคนสองชาติและคนในชาติเกิดความขัดแย้งกัน ทั้งด้วยความตั้งใจของผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมอย่างกลุ่ม^^^^และเขลาเบาปัญญาอย่างฝ่าย>>>> (ขอโทษที่เว้น^และ> เพราะไม่ประสงค์เอ่ยนาม เนื่องจากเป็นความเห็นส่วนตัวที่ไม่ได้อิง.....คุณธรรม?????)
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่มีนัยมากกว่าก็คือปัญหาพื้นที่ทับซ้อนซึ่งอยู่รอบๆบริเวณเขาพระวิหาร..... แน่นอนเราคนไทยก็เชื่อว่าบริเวณนั้นคือแผ่นดินของเรา (ซึ่งก็รวมถึงเขาพระวิหารด้วย) แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเพื่อนบ้านชาวกัมพูชาก็มีความเข้าใจว่าเป็นแผ่นดินของเขาด้วยเช่นกัน..... ปัญหาที่เกิดนั้นเราทราบกันดีว่าเกิดจากลัทธิล่าอาณานิคมซึ่งพวกฝรั่งเศส(ในสมัยก่อน) เป็นผู้ก่อ และคงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเพราะปัญหานั้นมันกลายเป็นประวัติศาสตร์และถ้าถามคนฝรั่งเศสในปัจจุบัน เขาก็อาจไม่เห็นด้วยกับความเลวร้ายที่บรรพบุรุษของเขาได้ก่อไว้...... สิ่งที่สำคัญกว่าและเราน่าจะคิดทำกันก็คือหาทางหาวิธีที่จะทำให้พื้นที่ดังกล่าวไม่กลายเป็นชนวนความขัดแย้งต่อไป....
อย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทั้งรัฐบาลของเราและเพื่อนบ้านจะไม่หาข้อยุติด้วยการใช้กำลังทหาร เพราะเป็นวิธีที่รับรองได้ว่า”ไม่ใช่หนทางการแก้ปัญหาและเกิดข้อยุติได้ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็ตาม” การเจรจาคือทางออกที่ดีและเป็นเพียงทางเดียวที่จะหาข้อยุติที่แท้จริงได้ เพียงแต่ว่าจะมีแนวทางและวิธีใดเท่านั้น..... ซึ่งก็เป็นได้ ตั้งแต่แบ่งพื้นทีกันอย่างที่ต่างฝายก็ยอมรับกัน (แต่คงจะยาก...”อย่างยิ่ง”) หรืออาจมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อื่นทดแทนรวมถึงการยอมจ่ายเป็นตัวเงิน เป็นต้น...... ก็สุดแท้แต่ว่าเราจะหาวิธีใดและมีจุดยืนกับการแก้ปัญหาตรงไหน..... อย่างไรก็ตาม หากเราจะคงจุดยืนว่านี่คือ”แผ่นดินของเราและยังไงก็ต้องเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว” นั้น คงต้องพยายามมีการปรับทัศนคติกันบ้างเพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากยุคจักรวรรดิ์นิยม ที่ไม่มีขื่อมีแปรอย่างในสมัยก่อน......
จริงๆแล้วมีข้อเสนอที่น่าสนใจแต่ไม่ได้มีการพูดต่อยอดเป็นกระแสให้ยอมรับกันในสังคม... ก็คือความเห็นที่จะทำให้บริเวณพื้นที่ทับซ้อนเป็นพื้นที่ผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ซึ่งเท่าที่ได้ยินครั้งแรกก็มาจากความเห็นของคุณปองพล อดิเรกสาร ซึ่งเป็นข้อเสนอที่น่าจะคำนึงถึงที่จะทำให้ทั้งสองชาติมีบริเวณที่เป็นเขตพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยไม่อยู่ในอธิปไตยของเพียงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยมีข้อตกลงอย่างเช่นไม่มีใครสามารถไปอยู่อาศัยได้…....และอาจใช้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาความรู้ รวมถึงเป็นบริเวณพักผ่อนท่องเที่ยว เป็นต้น ก็จะทำให้พื้นที่ผลประโยชน์ร่วม.... ซึ่งตอนนี้ก็มีมรดกโลกอย่างเขาพระวิหารและจะมีมรดกโลกในส่วนที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในฝั่งไทย......ที่จะมีการขอจากยูเนสโกต่อไป (และน่าจะได้รับการรับรองแน่ๆ) ประกอบรวมกันอยู่........การที่บริเวณนี้มีพื้นที่ผลประโยชน์ร่วมกันด้วย ก็จะเป็นเรื่องน่ารักมากอย่าง (ยิ่ง) เพราะจะทำให้บริเวณนี้"ไม่เป็นเพียงมรดกของโลกที่ประกอบไปด้วยเพียงวัตถุและสถานที่ (เท่านั้น) แต่จะเป็นสัญญลักษณ์ของโลกที่แสดงถึงจิตใจและความรักในมิตรไมตรีระหว่างประชาชนสองชาติซึ่งจะกลายเป็นตัวอย่างของผู้คนในส่วนอื่นของโลกต่อไปทั้งในปัจจุบันและอนาคต และจะกลายเป็นมรดกโลกที่สำคัญที่สุดในอนาคตก็เป็นได้" เนื่องจาก......????
ถ้าเรามีจุดยืนแห่งการรู้จักรักสงบ (ดั่งเพลงชาติ) ซึ่งรักที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันได้ (win-win situation) กับผู้อื่น......แทนที่จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข้อขัดแย้งที่หาจุดจบไม่ได้สักที ก็จะทำให้เกิดผลประโยชน์ที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ความเอื้ออาทร และอิ่มเอิบได้ด้วยความสุขทั้งกับตัวเราและคนอื่นๆที่รับรู้ และยังทำให้บริเวณผลประโยชน์ร่วมกันนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบ...เทียบไม่ได้...... หากลองวาดภาพว่ามีคนรุ่นหลังที่ห่างจากเรานี้ไปสักยี่สิบปีหรือคนต่างชาติต่างท้องถิ่นได้อ่านข้อมูลว่าเราแก้ปัญหาขัดแย้งที่จะเป็นชนวนของความเลวร้ายที่ทำให้ทั้งคนสองชาติและคนในชาติเกิดความขัดแย้งกันจนอาจมีการเข่นฆ่าทีทำให้ตายกันไปข้างหนึ่งให้กลายเป็นสถานที่แห่งความฝันอย่างเพลง "อิเมจิน" ของจอนห์ เลนนอน ที่จะทำให้หัวใจของเราเข้ากันได้ (compatible) กับจิตวิญญาณที่รักสันติ.......ได้อย่างบริบูรณ์ในที่สุด.....(คงไม่เวอร์ไปนะ)




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 18:16:34 น.
Counter : 442 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ธีร์ พัชร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ธีร์ พัชร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.