อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ
[รีวิว] Disney’s The Little Mermaid – หนังไถ่บาปในรูปสินค้าขายดีของดิสนีย์

เรียกเสียงวิจารณ์และเหล่า Hater ได้ตลอดนับแต่วันปล่อยทีเซอร์หนัง เทรลเลอร์และภาพนิ่งจากภาพยนตร์สำหรับ ‘Disney’s The Little Mermaid’ หรือ ‘เงือกน้อยผจญภัย’ ที่มีฐานแฟนคลับจากแอนิเมชันดั้งเดิมและที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือการเป็นหนี่งในสัญลักษณ์ของ LGBTQIA+ ทั้งโดยนัยและความชอบที่แผ่กระจายไปทุกเพศทุกวัย โดยเป้าหมายของการโจมตีหลัก ๆ ของหนังคือเรื่องโทนภาพที่ลดความสดใสลงและแน่นอนการแคสต์ แฮลลี เบลีย์ (Halle Bailey) นักแสดงผิวดำมาเป็นแอเรียลจนเกิดคำถามว่า ดิสนีย์พยายามตามกระแสโวค (Woke) จนเกินงามไปหรือเปล่า 
เรียกเสียงวิจารณ์และเหล่า Hater ได้ตลอดนับแต่วันปล่อยทีเซอร์หนัง เทรลเลอร์และภาพนิ่งจากภาพยนตร์สำหรับ ‘Disney’s The Little Mermaid’ หรือ ‘เงือกน้อยผจญภัย’ ที่มีฐานแฟนคลับจากแอนิเมชันดั้งเดิมและที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือการเป็นหนี่งในสัญลักษณ์ของ LGBTQIA+ ทั้งโดยนัยและความชอบที่แผ่กระจายไปทุกเพศทุกวัย โดยเป้าหมายของการโจมตีหลัก ๆ ของหนังคือเรื่องโทนภาพที่ลดความสดใสลงและแน่นอนการแคสต์ แฮลลี เบลีย์ (Halle Bailey) นักแสดงผิวดำมาเป็นแอเรียลจนเกิดคำถามว่า ดิสนีย์พยายามตามกระแสโวค (Woke) จนเกินงามไปหรือเปล่า 
ตัวหนังไม่ได้ต่างจากฉบับแอนิเมชันนักมันยังคงวนเวียนกับเรื่องราวของความรักของ แอเรียล (รับบทโดย เบลีย์) เงือกน้อยไร้เดียงสาทีมีต่อมนุษย์อย่าง เจ้าชายอีริก (รับบทโดย โจนาห์ ฮาวเออร์-คิง, Jonah Hauer-King) จนเธอหลงไปแลกเสียงของเธอกับขาเพื่อตามหารักจาก เออร์ซูลา (รับบทโดย เมลิสซา แม็กคาร์ธี, Melissa McCarthy) แม่มดหนวดปลาหมึกเพื่อวางหมากหวังจะจับแอเรียลเป็นทาสและคิดบัญชีแค้นกับ คิงไทรทัน (รับบทโดย ฮาเวียร์ บาเด็ม, Javier Bardem) โดยจุมพิตรักแท้ภายใน 3 วันจากเจ้าชายอีริกคือทางเดียวที่แอเรียลจะเป็นมนุษย์และสมหวังในความรัก 

ขอลัดไปพูดถึงการแคสต์เบลีย์เป็นเงือกน้อยตัวละครไอคอนนิคก่อนนะครับ คือถ้าให้พูดตรง ๆ ผมก็คิดว่าเธอมีคุณสมบัติเพียงพอแหละทั้งทักษะการแสดงและการร้องเพลงแบบมิวสิคัล ซึ่งทำได้ดีไม่แพ้ต้นฉบับเลย แต่…หากจะถามว่าการปรากฎตัวของเธอว้าวแค่ไหน ก็ต้องบอกตามตรงว่าธรรมดาครับ วัดง่าย ๆ จากรอบสื่อเลยเพราะทางดิสนีย์เชิญเซเลบที่เป็น LGBTQIA+ ไปเยอะมากแต่ฉากร้องเพลงใด ๆ คือกริบ ไม่มีปรบมือ ไม่มีกรี๊ดกร๊าด ถ้าให้พูดแบบถนอมน้ำใจก็คือเสมอตัวแหละครับ

และอย่างที่บอกว่าฉบับไลฟ์แอ็กชันของผู้กำกับ ร็อบ มาร์แชล (Rob Marshall) ก็เหมือนเอาแอนิเมชันสุดคลาสสิกเป็นธรรมนูญหลักในการสร้างภาพ ซึ่งมันก็คงฉากจำต่าง ๆ ไว้รวมถึงแทบจะลอกลายกันมาเป็นหนังเลยก็ว่าได้ โดยหักหลบเล่นท่าเปลี่ยนนั่นนู่นนี่บ้าง ซึ่งหนังมีการเติมตัวละครใหม่ ๆ และตัดตัวละครและบางประเด็นออก โดยต่อเนื่องจากดรามาของเบลีย์ในฐานะนางเงือกคนดำ หนังก็ให้เหตุผลในฉากชุมนุมธิดาเงือกทั้ง 7 คาบสมุทรที่ในแอนิเมชันอาจมีเงือกที่ดูเป็นคนจีนเอเซียแต่ฉบับหนังคือมีทั้งคนดำแบบแอฟริกาและเงือกอเมริกาใต้อยู่ด้วยเพื่อทำให้เงือกฉบับเบลีย์ดูมีเหตุผลรองรับ 
แต่คำสาปสำคัญของ ‘ความสมจริง’ หลายอย่างที่เราเคยประจักษ์มาแล้วจาก ‘The Lion King’ ที่ใกล้เคียงกันในแง่ของการมีสัตว์เป็นตัวละครก็คือมันต้องยอมลดทอนความน่ารักและท่าทีไม่สมจริง จนตัวละครอย่าง ฟลาวน์เดอร์ ที่พากย์โดย เจคอบ เทรมเบลย์ (Jacob Tremblay) กลายเป็นปลาเทวดา (Angel Fish) ที่ดูธรรมดาแล้วปากขยับได้ต่างจากแอนิเมชันที่น่ารักจนเป็นขวัญใจเด็ก ๆ หรือกระทั่งการตัดซีนที่เซบาสเตียน (ให้เสียงพากย์โดย ดาวีด ดิกส์, Daveed Diggs) ปูอำมาตย์ที่ต้องเอาตัวรอดจากการเป็นอาหารเสิร์ฟดินเนอร์ หนังก็ตัดออกเพื่อลดภาพความโหดร้ายหรือการทารุณกรรมสัตว์ออกไปก็ทำให้มุกตลกแบบแอนิเมชันหายไป 

แต่กระนั้นเราก็ต้องยอมรับว่าพอรูปลักษณ์ที่สมจริงของสัตว์ในเรื่องถูกลดทอนความน่ารักมุ้งมิ้งออกไป สิ่งเดียวที่จะเอาคนดูอยู่คือเหล่านักแสดงที่มาให้เสียงพากย์ซึ่งเราขอกล่าวถึง ดาวีด ดิกส์ และ อควาฟีนา (Awkwafina) ที่ให้เสียงปูอำมาตย์เซบาสเตียนกับนกแกนเน็ตช่างพูดนามว่า ‘สกัทเทิล’ เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างสีสันเล่นมุกตลกกระตุ้นให้ผู้ชมหัวเราะแล้ว หนังยังให้โอกาสทั้งคู่ในการโชว์เสียงร้องทั้งเพลง ‘Under the sea’ และ ‘Kiss the girl’ ของดิกส์โดยเพลงหลังอควาฟีนาก็มีส่วนร่วมในการแจมในท่อมคอรัส

หรือที่เซอร์ไพร์สมากในเพลงแต่งใหม่อย่าง ‘The Scuttlebutt’ ที่ อลัน เมนเคน (Alan Menken) ที่เคยทำดนตรีให้แอนิเมชันต้นฉบับกลับมาคุมดนตรีแล้วให้ ลิน-มานูเอล มิแรนดา (Lin-Manuel Miranda) ตัวจริงสายบรอดเวย์มาแต่งเนื้อร้อง ซึ่งที่บอกเซอร์ไพร์สก็เพราะว่านี่คือเพลงแรป-ใช่ครับฟังไม่ผิด แทร็กนี้ไม่อยู่ในแอนิเมชันต้นฉบับเพราะเป็นตอนสกัทเทิลมาบอกข่าวเจ้าชายแต่งงานให้กับแอเรียลได้รู้ในตอนท้าย ซึ่งถือเป็นการใช้ประโยชน์จากความเป็นแรปเปอร์ของเธอได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพลงก็มันจนอดโยกหัวตามไม่ได้เลย 

ส่วนเพลงโดยรวมทั่วไปก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของเมนเคนครับ เพลงเดิมแต่ปรับดนตรีให้อลังการขึ้น มีการเล่นกับการบันทึกเสียงที่ทันสมัยขึ้นโดยเฉพาะการออกแบบซาวด์ในเพลง ‘Kiss the girl’ ที่มีการใช้โฟลีย์เลียนเสียงธรรมชาติมาประกอบงานภาพได้ลงตัว แต่นอกจากเพลงแต่งใหม่อย่าง ‘The Scuttlebutt’ แล้วก็ต้องบอกว่า เมนเคนเพลย์เซฟมากไปหน่อยครับ

เอาล่ะหลังจากอ้อมไปเขียนเรื่องอื่นตั้งนานทีนี้มาคำถามสำคัญว่าตกลงคราวนี้การที่แคสต์คนผิวดำมาเป็นนางเงือกทำให้เห็นว่าดิสนีย์โวค (Woke) หรือเปล่า ให้ตอบแบบเป็นธรรมก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้พยายามยัดเยียดอย่างที่หลายคนเข้าใจหรอกครับ ตามที่ได้บอกไปแล้วว่านี่คือการพยายามทำให้ภาพจากแอนิเมชันมาอยู่ในรูปแบบไลฟ์แอ็กชันแล้วสมจริง รวมถึงการพยายามหาแง่มุมใหม่ ๆ เพื่อมาสร้างเรื่องเล่าที่ตอบโจทย์กับสังคมในปัจจุบัน

ดังนั้นหลังจากได้สร้างภาพนางเงือกที่ถูกบรรยายในหนังสือ ฮานส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ่น (Hans Christian Andersen) ว่า ‘มีรูปโฉมงดงามที่สุดในบรรดาพี่น้องสาวสวยทั้ง 7’ เป็นเงือกผิวขาวผมแดง (ที่ต้องผมแดงเพราะดิสนีย์เคยเจ๊งจากหนังนางเงือกอย่าง ‘Splash’ มาก่อนซึ่งนางเอกเป็นเงือกมีผมบลอนด์) ดังนั้น การรับรู้ความงาม (Beauty Perception) ของผู้ชมในปี 1989 กับปี 2023 ย่อมต่างกันโดยเฉพาะการเปิดกว้างเรื่องความงามและมันก็อนุญาตให้ผู้สร้างเติมช่องว่างเรื่องสีผิวที่นิยายต้นฉบับก็ไม่ได้บรรยายไว้อีกด้วย 




Create Date : 25 พฤษภาคม 2566
Last Update : 25 พฤษภาคม 2566 10:57:02 น. 0 comments
Counter : 307 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.