อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ
วังดอกหญ้า...นวนิยายที่ตีพิมพ์มานานกว่า 40 ปี จากผลงานของ ว.วินิจฉัยกุล

#หนังสือที่รัก #เรื่องราวระหว่างบรรทัดจากหนังสือที่รัก #นวนิยาย#วังดอกหญ้า #ววินิจฉัยกุล 
ช่วงนี้ชอบหยิบนวนิยายเก่าๆ คลาสสิคที่เขียนขึ้นหลายสิบปีก่อนขึ้นมาระลึกความหลัง ส่วนตัวชอบหนังสือนวนิยายยุคเก่ามากกว่ายุคปัจจุบัน อาจดูเหมือนเป็นคนคร่ำครึ แต่จริงๆแล้วในนวนิยายที่เขียนผ่านมาหลายสิบปี เมื่อหยิบมาอ่านใหม่ก็ยังคงทันสมัย นั่นจึงถือว่าเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านมากกว่าหนังสือที่อ่านรอบเดียวยังไม่จำและบางทีก็ต้องใช้ความพยายามในการอ่านให้จบและสุดท้ายถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา 
 นวนิยายที่วันนี้อยากเขียนถึงคือนวนิยายขนาดสั้นเรื่อง วังดอกหญ้า ของ ว.วินิจฉัยกุล ที่ผู้เขียนเขียนไว้ตั้งแต่ยังใช้นามปากกาว่า 'วัสสิกา' ฉบับพิมพ์ครั้งแรกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โชคชัยเทเวศร์ เมื่อราวปี 2523 เท่ากับว่าหนังสือเล่มนี้ผ่านกาลเวลามาสี่สิบกว่าปี 
 นวนิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของดวงเทียน นางเอกของเรื่องและครอบครัวที่ประกอบด้วยคุณตาและคุณยาย วังดอกหญ้า ตามชื่อเรื่องเปรียบเปรยบ้านของเธอที่เป็นบ้านเก่าบนที่ดินราวสองไร่ ที่ดินมรดกที่คุณตาของเธอใช้เวลาในการทำงานทั้งชีวิตหามาไว้เป็นที่พักพิงยามบั้นปลาย แต่กลับเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเพราะว่าเหลืออยู่หลังเดียวโดดๆ ท่ามกลางตึกสูงในย่านธุรกิจที่ล้อมรอบบ้านไว้ 
 ครอบครัวพระเอก 'เอกรถ' อยู่ตรงข้ามบ้านของ 'ดวงเทียน' ทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนบ้านที่พบกันในวัยเด็ก แต่เมื่อเติบโตขึ้นเอกรถไปเรียนต่อต่างประเทศ กลับมาสืบทอดธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าปากซอย เจ้าสัวโภคาบิดาของเอกรถ อยากได้ที่ดินของคุณตา จึงวางแผนใช้กลอุบายเพื่อจะให้ได้ที่ดินผืนนี้ เพราะติดต่อขอซื้อสารพัดวิธี คุณตาของดวงเทียนก็ไม่ยอมขาย 
เรื่องราวในนวนิยายก็คือแผนการและผู้คนที่เข้าหาดวงเทียนเพื่อหวังในที่ดินมรดกผืนนี้เป็นสำคัญ ส่วนความสัมพันธ์ของเอกรถและดวงเทียนก็เริ่มต้นขึ้นจากขนมลูกชุบ ที่เอกรถและดวงเทียนบังเอิญใจตรงกันอยากซื้อ แต่เหลือชุดสุดท้าย ดวงเทียนอยากซื้อไปฝากคุณยายของเธอที่ปกติแต่ก่อนทุกวันจะทำขนมไทยวางขายหารายได้เสริม แต่เอกรถได้ขนมถุงนั้นไป ชำระเงินแต่สุดท้ายก็ยกให้เธอแทน นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่มาพบกันอีกครั้งและเอกรถที่ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆรื้อฟื้นความหลัง และมีส่วนช่วยให้ดวงเทียนรอดพ้นจากคนหลอกลวงที่เข้ามา 
 นวนิยายเรื่องนี้ไม่ยาวมากนัก รายละเอียดเน้นหนักระหว่างดวงเทียนกับเอกรถจะน้อยไปหน่อย แต่เรื่องราวในนวนิยายเรื่องนี้เมื่อหยิบขึ้นมาทีไรก็จะจำได้เสมอถึงฉากที่เอกรถซื้อขนมลูกชุบให้ดวงเทียนทุกที เป็นความประทับใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างอ่านนวนิยายเรื่องนี้ 
 สำหรับตอนที่อยากบันทึกไว้ในโพสต์วันนี้เป็นการบรรยายความรู้สึกของตัวละครเอกในตอนท้าย 
 ดวงเทียนไม่ตอบ แต่มองเขาด้วยนึกขอบใจแทนอดีตนายจ้างของหล่อน พร้อมกับนึกสลดใจเมื่อหวนคิดถึงหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง 
"แล้วคุณจะกลับไปทำงานไหม" เอกรถวกกลับไปถามเรื่องเดิม 
 "กำลังคิดอยู่ค่ะ แต่ก็ต้องให้คำตอบเขาไปเร็วๆ นี้ละ ว่าจะไปหรือไม่ไป" หล่อนตอบตามความจริง สีหน้าไม่เบิกบานนัก 
"คุณชอบงานที่โรงเรียนอนุบาลไหมล่ะ ถ้าชอบก็น่าจะกลับไป" เอกรถออกความเห็น 
"ชอบค่ะ" 
"งั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร" 
 "นั่นซีคะ" ดวงเทียนฝืนยิ้ม พยายามทำใจที่ห่อเหี่ยวลงให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น 
 หล่อนไม่ใช่คนช่างฝันเสียจนปล่อยตัวเองเตลิดเปิดเปิงไปจากความเป็นจริง นอกจากนั้นดวงเทียนยังระมัดระวังตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับเพศตรงข้าม 
หล่อนรู้ว่าตัวเองค่อนข้างจะจริงจังเรื่องความรัก ไม่ใช่เพ้อฝันเลื่อนลอยทีเล่นทีจริงอย่างผู้หญิงบางคน เพราะฉะนั้นถ้าหล่อนจะยอมให้กามเทพแผลงศรได้สักครั้ง ก็ต้องดูเสียก่อนว่าจะไม่เป็นแผลกลัดหนองขึ้นมาทีหลัง 
   'เขาเป็นเพียงเพื่อนเก่าของเรา' หล่อนเตือนตัวเองเมื่อมองเอกรถ 'เราควรจะพอใจอยู่แค่นี้ ถ้าหากว่าเขาให้เราได้แค่นี้ ไม่มีประโยชน์อะไรจะไปฝันลมๆ แล้งๆ' 
ความคิดนั้นทำให้จิตใจสงบลงชั่วครู่ แต่แล้วก็เหมือนกับถูกกวนให้ปั่นป่วนขึ้นมาอีก เมื่อเอกรถบอกหล่อนเป็นเชิงเล่าว่า 
"แม่ผมกำลังหัวเสีย ที่ผมไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่แม่เห็นด้วย แต่ป๋าน่ะเฉยๆ" 
"ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่" หล่อนพูดเรียบๆ 
"ผมไม่ใช่ลูกที่อยู่ในโอวาทเท่าไหร่หรอก เพราะรู้นิสัยว่าฝืนใจตัวเองก็คงจะฝืนไปไม่ได้ตลอด มีแต่จะยุ่งยากขึ้นมาทีหลังเปล่าๆ เลยขอขัดใจไว้เสียแต่ต้นมือ ยอมโดนด่าเอาหน่อย" 
"อีกหน่อยท่านก็คงหายโกรธค่ะ" หล่อนออกความเห็นเป็นกลางๆ อย่างระมัดระวัง 
 "คงงั้นละ แม่ผมไม่เคยบังคับผมได้เลย จนจะตัดหางปล่อยวัดอยู่แล้ว" เอกรถพูดแกมหัวเราะ "คุณเทียน ถ้าผมจะแต่งงาน ผมก็อยากจะดูคนที่ผมถูกใจที่สุด เพราะผมจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา" 
"ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น" 
 "เราควรจะเป็นคนที่เป็นเพื่อนกันได้ด้วย ไม่ใช่เป็นแต่คนรักกัน ผมต้องการเพื่อน" 
เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ไม่พูดอะไรอีก แต่คำพูดของเขา ทำให้ดวงเทียนต้องปรามตัวเอง อย่างเฉียบขาดเกือบตลอดเย็นนั้น ไม่ให้คิดอะไรมากไปกว่าการรับรู้อย่างธรรมดา 
จริงอยู่เอกรถไม่เหมือนชาตรี แต่อาจทำให้หล่อนกระทบกระเทือนได้มากกว่าหนุ่มจอมกะล่อนผู้นั้นหลายเท่า 
แต่แล้วเขาก็ทำให้หล่อนต้องคิดมากขึ้นอีก เมื่อมีแขกในงานเอ่ยสัพยอกเขาทีเล่นทีจริง ในขณะที่หล่อนบังเอิญอยู่ใกล้ๆว่า 
"คุณเอกรถ อยู่เป็นโสดมานานแล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวดีเสียทีล่ะ" 
 "คงอีกไม่นานหรอกครับ" 
"อ้าว! เรอะ จะให้แสดงความยินดีล่วงหน้าเสียเดี๋ยวนี้เลยไหมล่ะ ใครนะ น่าอิจฉาจริง" 
"ผมไม่ทราบว่าเธอจะเมตตาผมหรือเปล่าครับ" 
"ทำมั้ยจะท้อเอาง่ายๆล่ะ เรามันก็พ่อเนื้อทองเหมือนกันไม่ใช่หรือ" 
"บังเอิญทางบ้านเธอ ไม่เคยเห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญ ป๋าผมตอนก่อนนี้ไม่เข้าใจ แต่เวลานี้เข้าใจแล้ว และนับถือผู้ใหญ่ของเธอมากด้วย" 
 "เอ! ใครนะ พูดเสียจนอยากจะรู้จัก" 
  "เธอยังไม่ทราบหรอกครับ ผมเองพูดไม่ได้ เพราะเกรงว่าเธอจะเห็นผมหวังทรัพย์สินของเธอ" 
 อ่านจบตอนนี้ได้อะไรหลายอย่าง ทั้งภาษิตสอนหญิงเรื่องเลือกคู่ ตลอดจนความร้ายกาจของเอกรถในการบอกรักทางอ้อม เป็นนวนิยายที่ชอบและนานๆทีก็หยิบขึ้นมาอ่านใหม่ได้เสมออีกเรื่องค่ะ 
                                            บันทึกไว้เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2565 
 


Create Date : 01 มีนาคม 2566
Last Update : 1 มีนาคม 2566 12:43:48 น. 0 comments
Counter : 434 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.