อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

จริงหรือมั่ว?"ช้อปปิ้ง" แล้ว สูขภาพดี

จริงหรือมั่ว?‘ช้อปปิ้ง’ แล้ว ‘สุขภาพดี’


ไม่ใช่แค่ข้ออ้างของสาวๆ นักช้อปทั้งหลายอีกต่อไป สำหรับเหตุผลร้อยแปดที่พยายามสื่อสารออกไปให้คนอื่นยอมเชื่อว่า "การช้อปปิ้งมัน ดี๊ดี!"  มีผลช่วยขับอารมณ์มู้ดดี้ของสตรีได้ เพราะปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายออกมายืนยันแล้วว่า ‘การช้อปปิ้ง’ เป็นกิจกรรมที่ส่งผลดีต่อสุขภาพกาย & ใจ

1. อายุยืนมากขึ้น

ผลการศึกษาจากไต้หวันระบุว่า ‘คนที่เดินช้อปปิ้งทุกวันมีแนวโน้มเสียชีวิต ช้ากว่าคนที่ไม่ค่อยช้อปปิ้ง’ เพราะการเดินซื้อของทำให้คนเรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากขึ้น

2. เคลื่อนไหวมากกว่าที่คิด

การเดินซื้อของในห้างจูงใจให้คุณเดินเยอะขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผลสำรวจในสหราชอาณาจักรพบว่า‘ผู้หญิงใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ยปีละ 290 กม. โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เทศกาล Sale พวกเธอสามารถเดินได้ไกลพอๆ กับวิ่งมาราธอนถึง 7 ครั้งเลยทีเดียว’การเดินเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและมะเร็งเต้านม (แถมการเดินห้างยังสนุกกว่าเดินบนเทรดมิลล์เป็นไหนๆ)

3. แฮปปี้กว่าที่เคย

นักวิจัยได้พิสูจน์คำพูดที่ว่า ‘ผู้หญิงมีความสุขที่สุดเวลาช้อปปิ้ง’ ด้วยการสแกนสมองของพวกเธอหลังช้อปปิ้งเสร็จ พบว่าสมองส่วนกลางที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกพึงพอใจพากันหลั่งโดพามีน หรือสารแห่งความสุขออกมายิ่งในท่ามกลางป้าย sale ละลานตา ระดับโดพามีน  (Dopamine) ในสมองยิ่งพุ่งสุดขีด การช้อปปิ้งและภารกิจต่อรองราคาจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ ทั่วโลกพากันโปรดปรานและบางคนถึงกับเสพติดมัน

4. สร้างความมั่นใจ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไมอามีและยูซีแอลเอ ทดสอบความรู้สึกของอาสาสมัครหลังการเลือกซื้อโคมไฟ และพบว่า ‘สาวๆ กลุ่มที่เลือกซื้อโคมไฟเพราะความสวยงาม จะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากกว่า กลุ่มที่เลือกซื้อมันโดยเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก’ และความมั่นใจนี้จะส่งผลต่อบุคลิกภาพ และการตัดสินใจเรื่องอื่นๆ ในชีวิตต่อไปด้วย

5. คลายความกังวลเรื่องอนาคต

การช้อปปิ้งหมายถึงการเตรียมความพร้อมทางจิตใจ ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต’ ตามธรรมชาติแล้ว เมื่อมนุษย์คิดลงทุนซื้ออะไรสักอย่าง พวกเขามักคิดถึงอนาคตว่าจะใช้ของสิ่งนั้นอย่างไร นี่แสดงถึงการเตรียมตัวเผชิญหน้ากับชีวิตที่กำลังเปลี่ยนแปลง และการซื้อของชิ้นนั้น จึงทำให้คุณรู้สึกมั่นคงและมั่นใจว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

6. สมาธิดี เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ

ช้อปปิ้งเป็นวิธีพักสมองที่ทรงประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง เป็นกิจกรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย แต่ใช้อารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ การวิจัยชิ้นนี้ยังพบอีกว่า การเปิดเว็บไซต์ช้อปออนไลน์ในเวลางานอันเคร่งเครียดน่าเบื่อ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจและสมาธิที่ดีขึ้น ในขณะที่จิตใต้สำนึกของคุณยังคงคิดแก้ไขปัญหาเรื่องงานไม่หยุดหย่อน (จึงทำให้คุณเพลิดเพลินได้ โดยอาจพบคำตอบเรื่องงานมาเป็นของแถม)

7. กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ 

ในการเลือกซื้อเสื้อตัวหนึ่ง คุณจะต้องมีภาพในหัวแล้วว่า เสื้อตัวนี้ครีเอทได้กี่ลุค เข้ากับกระโปรงหรือกางเกงตัวไหน แมตช์กับรองเท้าแบบใด ไม่งั้นคุณอาจตัดสินใจผิด เสียเงินซื้ออะไรที่ไม่เข้ากับตัวเอง‘การช้อปปิ้งจึงไม่ใช่เรื่อง จับ กับ จ่าย  เท่านั้น คุณคือศิลปินที่กำลังวาดภาพครีเอทลุคของตัวเอง'






 

Create Date : 16 สิงหาคม 2557    
Last Update : 16 สิงหาคม 2557 6:13:12 น.
Counter : 19496 Pageviews.  

ทําไมตลกส่วนใหญ่ถึงเผชิญโรคซึมเศร้า ?

ทำไมตลกส่วนใหญ่ถึงเผชิญโรคซึมเศร้า?


การเสียชีวิตอย่าง กะทันหันของ โรบิน วิลเลียมส์ ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ทำไมนักแสดง โดยเฉพาะตลก ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม มักจะเผชิญกับโรคซึมเศร้า ซึ่งดูจะเป็นขั้วตรงข้ามของสิ่งที่พวกเขาแสดงออก culture corner สัปดาห์นี้จะไปหาคำตอบเรื่องนี้กัน
โรคซึมเศร้า หรือไบโพลาร์ รวมถึงปัญหาทางจิตอื่นๆ ไปจนถึงการติดเหล้า ติดยา ดูจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับดารานักแสดงและบุคคลมีชื่อเสียงระดับโลก และบ่อยครั้ง ปัญหาทางจิตเหล่านี้ก็พรากชีวิตของพวกเขาไปก่อนเวลาอันควร ไม่ว่าจะเป็นไมเคิล แจ็กสัน วิทนีย์ ฮูสตัน หรือฮีท เล็ทเจอร์ โศกนาฏกรรมในชีวิตของคนดังเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ ว่าทำไมชีวิตที่ดูร่ำรวยหรูหราสมบูรณ์พูนสุขของซูเปอร์สตาร์ จึงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนที่ใครๆคิด
แต่สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่า ก็คือปรากฏการณ์ที่นักแสดงตลกหลายๆคน ต้องประสบปัญหาซึมเศร้า ไบโพลาร์ จนบางครั้งถึงขั้นฆ่าตัวตาย อย่างเช่นโทนี แฮนค็อก นักแสดงตลกชาวอเมริกันผู้ฆ่าตัวตายเพื่อหนีโรคซึมเศร้า หรือสตีเฟน ฟราย นักแสดงตลกเสียดสีชาวอังกฤษที่ยอมรับว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์ จนถึงขั้นเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว และล่าสุด กรณีของโรบิน วิลเลียมส์ นักแสดงตลกระดับตำนานของฮอลลีวูด ผู้เผชิญภาวะซึมเศร้า ติดเหล้า และติดยานานหลายปี จนสุดท้ายก็เลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับดาราตลกเหล่านี้ ก่อให้เกิดคำถามว่าอาชีพตลกมีมุมมืดอะไร ที่ทำให้คนที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ และดูรื่นเริงตลอดเวลา กลับกลายเป็นคนที่มีความเครียด กดดันมากที่สุด
มีทฤษฎีง่ายๆที่ว่าไม่น่าแปลกใจที่ตลกจะมีปัญหาทางจิต เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนๆหนึ่งจะลุกขึ้นมาทำให้ตัวเองดูตลกเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนอื่น การทำเช่นนี้บ่อยๆ จะกลายเป็นบาดแผลในจิตใจ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า และกลายเป็นคนที่มีปัญหาทางจิตในที่สุด
หรืออีกทฤษฎีก็คือคนที่มีบุคลิกตลกโปกฮาโดยธรรมชาตินั้น จริงๆมีนิสัยใจคอที่ตรงข้าม และมีด้านมืดที่อยากปกปิด จึงแสดงออกในอีกขั้วเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากมุมมืดของตัวเอง หรือไม่ก็พยายามทำเป็นสดชื่นรื่นเริงเพื่อให้ตัวเองลืมด้านมืดนั้น ซึ่งการทำเช่นนี้นานๆ ย่อมส่งผลเสียต่อจิตใจ ถึงขั้นที่อาจกลายเป็นคนบุคลิกแตกแยกได้
ทฤษฎีนี้ได้รับการรับรองโดยผลวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มีการทำวิจัยโดยออกแบบสอบถามนักแสดงตลก 523 คนจากอังกฤษ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย พบว่าภูมิหลังของตลกส่วนใหญ่มักเป็นคนมีปัญหา ไม่กล้าแสดงออก และมีภาวะซึมเศร้าอยู่แล้ว ทำให้นักวิจัยสรุปได้ว่าการเลือกแสดงออกแบบตลกโปกฮา เป็นเพราะพวกเขาเลือกใช้เสียงหัวเราะเป็นเครื่องเยียวยาตัวเอง และหันเหความสนใจของทั้งตัวเองและคนอื่นออกไปจากเรื่องหดหู่ในชีวิต
นอกจากตลก อาชีพอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ ทั้งดารา นักแสดง และศิลปินแขนงอื่นๆ ก็ล้วนเสี่ยงต่อการเป็นไบโพลาร์และโรคซึมเศร้า เนื่องจากคนเหล่านี้มักจะมีบุคลิกโดดเด่น และอารมณ์สุดโต่ง มองโลกแบบขาวหรือดำกว่าคนทั่วไป เพราะในขณะที่คนธรรมดาจะใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่สนใจเรื่องรอบตัว 

บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้มักจะมองเห็นปัญหาในทุกสิ่ง และพยายามจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ชีวิตของพวกเขาจึงอยู่ยากกว่าคนธรรมดา เรียกได้ว่าอัจฉริยะผู้จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้ ก็คือคนที่มองเห็นว่าโลกที่เป็นอยู่นั้นเลวร้าย และผลที่อัจฉริยะเหล่านี้ต้องรับก็คือความเลวร้ายเหล่านั้น ในขณะที่โลกได้รับสิ่งดีๆที่พวกเขารังสรรค์ขึ้นแทนที่




 

Create Date : 16 สิงหาคม 2557    
Last Update : 16 สิงหาคม 2557 6:09:04 น.
Counter : 1594 Pageviews.  

การเข้าถึงความสามารถในการเข้าใจความหมายของคําในเด็กที่กําลังพัฒนาการอ่าน

การเข้าถึงความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำในเด็กที่กำลังพัฒนาการอ่าน

Written by piyawanee on . Posted in ทั่วไป, วิทยาศาสตร์, วิทย์ทั่วไป

บ่อยครั้งที่ผู้อ่านที่มีทักษะดีอยู่แล้วสามารถเข้าใจความหมายของคำที่สะกดผิดและสามารถสลับตำแหน่งตัวอักษรให้ถูกต้องได้ตราบเท่าที่ตัวอักษรเริ่มต้นและตัวสุดท้ายของคำๆนั้นยังถูกต้องอยู่

แต่การศึกษาที่มหาวิทยาลัย Leicester แสดงให้เห็นว่าเด็กที่กำลังพัฒนาการอ่านก็สามารถทำความเข้าใจกับความหมายของคำได้เหมือนกัน เหมือนกับที่ผู้ที่มีทักษะการอ่านสามารถเข้าใจคำเพียงแค่เห็นรูปร่างภายนอกของคำว่ามีลักษณะอย่างไร

จากการศึกษานี้ พวกเขาพบว่าเมื่อเปรียบเทียบเด็กที่กำลังพัฒนาการอ่านกับผู้ใหญ่ที่มีทักษะการอ่านดีแล้วนั้น ทั้งสองกลุ่มมักจะประสบปัญหาเดียวกันในการสลับพยัญชนะของคำให้ถูกต้อง เมื่อต้องทำการสลับเพียงตัวอักษรภายในคำเท่านั้น ในขณะที่ทั้งสองกลุ่มอายุพบว่ามันง่ายพอๆกันในการสลับตัวอักษรตัวนอกสุดของคำเพื่อให้เข้าใจถึงความหมายของคำได้ถูกต้อง

ทั้งนี้เป็นเพราะสมองเกิดความยุ่งยากในการติดตามตำแหน่งของตัวอักษรที่อยู่ภายในคำที่เรารู้จัก แต่สมองจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับตัวอักษรที่อยู่ตัวนอกสุดของคำ

ดร. Kevin Paterson อาจารย์อาวุโสจากมหาวิทยาลัย University of Leicester's School of Psychology ได้อธิบายว่า "อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่าเด็กที่กำลังพัฒนาการอ่านในการศึกษาครั้งนี้มีพฤติกรรมเหมือนกับผู้ใหญ่ที่มีทักษะในการอ่านได้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองกลุ่มนี้สามารถเปลี่ยนตำแหน่งของตัวอักษรที่อยู่ภายในคำด้วยความยืดหยุ่นที่คล้ายกันและมีความไวต่อความสำคัญของตัวอักษรที่อยู่ตัวนอกสุดได้พอๆกัน เมื่อพวกเขากำลังอ่านคำเหล่านั้น”

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกสำหรับการค้นพบที่เกี่ยวกับการสลับตัวอักษรเพื่อให้ได้คำที่ถูกต้อง มันได้แสดงถึงการตอบสนองต่อตำแหน่งและสถานะที่พิเศษของตัวอักษรด้านนอกของคำศัพท์ที่ได้ถูกสร้างไว้อย่างดีในผู้อ่านที่มีอายุ 8 ถึง 10 ปี

ทีมวิจัยประกอบด้วย ดร. Kevin Paterson นักศึกษาปริญญาเอกจาก Victoria McGowan ที่เพิ่งได้รับทุนสำหรับการศึกษาหลังปริญญาเอก Future Research Leaders' Postdoctoral Fellowship, นาย Josephine Read นักศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัย University of Leicester's School of Psychology และ ศาสตราจารย์ Tim Jordan จากภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Zayed University ในดูไบ

การค้นพบนี้มีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจบทบาทของตำแหน่งตัวอักษรในการรับรู้คำของเด็กรวมไปถึงผู้ที่มีความบกพร่องในการอ่าน

ศาสตราจารย์ Tim Jordan กล่าวเสริมว่า "การค้นพบของเราในปัจจุบันได้ชี้ให้เห็นถึงเสถียรภาพที่สำคัญในการรับรู้คำที่พวกเรามีอยู่แล้วมากกว่าการมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาในการใช้ตำแหน่งตัวอักษรในรับรู้คำศัพท์และสิ่งที่จะดำเนินการศึกษาต่อในอนาคตอันใกล้นี้คือความต้องการที่จะเห็นว่าวิธีการที่ว่านี้ถูกต้องเหมาะสมหรือใช้ได้กับกระบวนการอ่านทั่วไปอย่างไร”

ที่มา //www.sciencedaily.com/releases/2014/08/140807105043.htm 

เอกสารอ้างอิง 

Kevin B. Paterson, Josephine Read, Victoria A. McGowan, Timothy R. Jordan. Children and adults both see ‘pirates’ in ‘parties’: letter-position effects for developing readers and skilled adult readers. Developmental Science, 2014; DOI: 10.1111/desc.12222





 

Create Date : 16 สิงหาคม 2557    
Last Update : 16 สิงหาคม 2557 5:59:46 น.
Counter : 1292 Pageviews.  

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตํานานกรีก

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก


ในนิยายเทพเจ้า ตำนานกรีกต่างๆ นั้นมีหลายเรื่องไม่น้อยที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทพที่อิจฉาริษยากันเอง, แย่งชิงตำแหน่งกันเอง เป็นต้น อีกทั้งเรื่องแปลกๆ อีกเยอะแย๊ะไปหมด วันนี้ทีนเอ็มไทยมี 7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก  มาฝากเพื่อนๆ กันคะ ไปดูซิว่า เทพเจ้าหรือสัตว์ใรตำนานกรีกที่เพื่อนๆ เคยเห็นหรือรู้จักกันจะกำเนิดมาจากอะไร ? ..

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

เพกาซัส คลอดทางคอ

อันดับ 7. เพกาซัส : คลอดทางคอ

เมื่อคราวที่เพอร์ซีอุสตัดคอเมดูซ่า ก็มีม้ามีปีกสีขาวมุดคอออกมาแล้วทะยานไปบนท้องฟ้ามันคือเพกาซัสม้าวิเศษนั่นเอง ม้าตัวใหญ่เบอเริ่ม O,O!!  มุดออกมาจากคอเมดูซ่า และที่เพกาซัสคลอดแบบนั้นก็เพราะเมดูซ่ากำลังตั้งท้องลูกของเธอกับโพไซดอนอยู่ แต่ดันมาตายซะก่อน เด็กในท้องเลยต้องกระเสือกกระสนออกมาทั้งแบบนั้น น่าสงสารจุงเบย~

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

อาธีน่า คลอดโดยผ่ากระโหลกพ่อ

อันดับ 6. อาธีน่า : คลอดโดยผ่ากระโหลกพ่อ !

ว่าด้วยการเกิดของอาธีน่า เป็นสิ่งที่ซูส(พ่อ) กับเมทิส(แม่) รู้กันสองคน สำหรับเทพอื่น ๆ บนโอลิมปัสก็ยังคงเข้าใจว่า ซูสให้กำเนิดอาเธน่าด้วยตนเองอยู่ดี เพราะวันหนึ่งซูสปวดกะโหลกมาก รักษายังไงก็ไม่หาย ปรากฏว่าพอเฮเฟสทัสเอาขวานมาผ่าเปิดกะโหลกออก อาเธน่าในชุดเกราะครบองค์ก็โดดผลุงออกมา เอิ่บ .. พี่อยู่ส่วนไหนของสมองค่ะ?
7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

เนเมซิส กำเนิดจากเลือดของยูเรนัส

อันดับ 5. เนเมซิส : กำเนิดจากเลือดของยูเรนัส

จริงอยู่ที่มนุษย์ทุกคนกำเนิดมาจากปฏิสนธิกันของสเปิร์มกับเซลล์ไข่ ไม่ใช่ตัดกระปู๋ทิ้งโลกแล้วเลือดนอง จนกำเนิดเป็นเทพธิดาแห่งการทวงแค้นแบบนี้ OMG! เนเมซิสเป็นเทพธิดาแห่งการแก้แค้น โดยเฉพาะปิตุฆาตที่จะตามทวงหนี้มนุษย์ทุกคนที่ก่อความชั่ว บางตำราก็เอาไปเหมารวมกับอิรินอินิสหรือเดอะฟิวรี่ส์

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

อะโฟรไดต์ กำเนิดจากฟองคลื่น

อันดับ 4. อะโฟรไดต์ : กำเนิดจากฟองคลื่น

ในตำราหนึ่งบอกไว้ว่า การกำเนิดของอะโฟรไดต์ เกิดจากฟองคลื่นที่เกิดจากกระปู๋ของยูเรนัสกระแทกกับท้องทะเล เอิ่บ!! ฟังแล้วไม่ต่างจากข้อบนเท่าไร จึงเกิดเป็นเทพนารีผู้งดงามผุดผ่องราวหยาดน้ำค้างต้องแสงตะวันแรกได้ผุดขึ้นมาจากฟองน้ำนั้น ด้วยเหตุนี้ ชาวกรีกจึงเรียกขานพระนามของเทพนารีพระองค์นี้ว่า “Aphrodite” อันหมายความว่า “ผู้กำเนิดจากฟองสมุทร” เพราะ “aphros” แปลว่า “ฟอง” แต่อีกตำราได้บอกไว้ว่า เป็นลูกซุสกับนางนีเรียดพรายทะเลนางหนึ่ง (อันหลังฟังเข้าท่ากว่านะ >,<)

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

บุตรทั้งสี่แห่งลีดา เกิดจากไข่

อันดับ 3. บุตรทั้งสี่แห่งลีดา : เกิดจากไข่

ยังพอจำได้มั้ยว่า มีเรื่องของคนที่ออกลูกเป็นไข่ คือลีดาที่โดนซูสในร่างหงส์ข่มขืน ไข่ที่ออกมามีสีฟ้าสดใส ด้านในมีแฝดอยู่ฟองละคู่ ใบแรกคือพอลลักซ์กับเฮเลน เป็นลูกซูส อีกใบคือคาสเตอร์กับไคเตมเนสตรา เป็นลูกสามีของลีดา คือราชาทินดาเรียส แล้ว! พ่อก็ไม่สงสัยเนอะ ว่าทำไมเมียออกลูกเป็นไข่ หรือหากรู็แต่ก็ทำอะไรซูสไม่ได้อยู่ดี

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

ไดโอนิซัส คลอดจากเนื้อน่อง

อันดับ 2. ไดโอนิซัส : คลอดจากเนื้อน่อง

ตอนที่แม่ของไดโอนิซัสโดนเฮร่าที่ปลอมมาเป็นหญิงรับใช้ชรา ยุให้ขอดูตัวจริงซูสจนวอดไหม้ไป ซูสก็โยกทารกในครรภ์เมียมาไว้ที่น่อง อะไรกันนี่ ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน ยิ่งแปลกขึ้นไปทุกที! จนกระทั่งไดโอนิซัสคลอดออกมาสำเร็จเป็นตัวเป็นตนสมบูรณ์ดี แถมขี้เหล้าอีกตะหาก กรรม!!

7 อันดับการเกิดสุดประหลาด ในตำนานกรีก

มนุษย์ยุคสอง เกิดจากหิน

อันดับที่ 1. มนุษย์ยุคสอง : เกิดจากหิน

หลังน้ำท่วมโลกเพราะคนชั่วเยอะขึ้นจากแพนดอร่าเอฟเฟค ดิวเคเลียนและเมียที่รอดมาได้ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้โยนหินข้ามบ่าไป หินที่ข้ามบ่าดิวเคเลียนเป็นมนุษย์เพศชาย ส่วนของภรรยาก็เป็นมนุษย์หญิง โอ้ว มนุษย์ฟรินสโตน ยับปาดับบาดูว อ่ะป่าวเนี่ย ..

เรียบเรียงโดย teen.mthai.com 

ขอบคุณที่มา urza.exteen.com




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2557    
Last Update : 15 สิงหาคม 2557 4:49:47 น.
Counter : 2655 Pageviews.  

จับคุ่ ยา ตัวใดควร ไม่ควร กินคุ่กัน

“นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ” ได้มาแจกแจงคู่ยา มิตร-ศัตรู ให้เข้าใจกันชัดๆ เรียบร้อยแล้วดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึง แก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก ความไม่รู้ ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝด

ยา แฝดคู่ดี
เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพหรือทำ การรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของ ยา อาหารเสริมนี้มีหลักคือทำ งานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้
1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย
2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อย
3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ
4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและ ถั่วลิสงสักวันลกำมือ
5) น้ำมันปลา(ไม่ใช่น้ำมันตับปลา)ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูง ด้วย
ยา
แฝดคู่ร้าย
แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ ตัวแม่ ที่น่ากลัวกว่าเยอะมาก เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจใน ยา ที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิด ดังนี้
1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้ว
2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้ เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน
3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้
4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยา พิษให้กับหัวใจและตับของตัวเอง
ขอบคุณที่มาบทความจาก e-magazine.info




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2557    
Last Update : 15 สิงหาคม 2557 4:45:40 น.
Counter : 1424 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.