โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

Boy's Thought : คนสำเร็จทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ!!!

อยากเป็น #คนประสบความสำเร็จ
อยากภูมิใจในตัวเอง
อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ

สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ "ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ!!!"

#success
#vision
#millionaire
#คนสำเร็จ

*******************************************************

แต่ก่อนผมคิดว่า
การที่ใครคนนึงจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนทั่วไป
มันคงเป็นเรื่องยาก เราคงทำไม่ได้หรอก
โชคชะตาฟ้าลิขิต เราคงมีดวงเท่านี้

เมื่อเวลาผ่านไป พอผมได้รู้เคล็ดลับข้อนี้
ขุ่นพระ! การประสบความสำเร็จนั้นมันไม่ยากนี่หว่า
และวันนี้ผมจะแชร์ให้คุณฟัง

เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าคุณเข้าใจว่า
คนส่วนใหญ่มี 4 คุณสมบัติที่ทำลายล้างตัวเอง ดังนี้
โคตรขี้เกียจ ไม่ชอบเรียนรู้
ยอมแพ้ง่าย และ เปลี่ยนใจเร็ว

สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ "ทำตรงข้ามกับพวกเขา"

ถ้าคนส่วนใหญ่ขี้เกียจ คุณก็แค่ขยันหมั่นเพียร
ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียนรู้ คุณก็แค่อ่านหนังสือ เข้าสัมมนา
ถ้าคนส่วนใหญ่ยอมแพ้ง่าย คุณก็ต้องกัดฟันสู้ ล้มแล้วลุก
ถ้าคนส่วนใหญ่เปลี่ยนใจเร็ว คุณก็ต้องเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด

ฟังดูเรียบง่ายไปมั้ยครับ? แต่มันมีเท่านี้จริงจริ๊ง!
ที่สำคัญ ไม่ต้องถึงขนาดถึกเป็นวัวเป็นควายนะครับ
แค่คุณทำมากกว่าคนทั่วไปนิดเดีย
ผลลัพธ์มันจะกลับมาอย่างพุ่งทะยานเลยล่ะ

แค่ขยันกว่าคนอื่นวันละชั่วโมง
แค่อ่านหนังสือสัปดาห์ละหนึ่งเล่ม
แค่พยายามใหม่ อีกทีและอีกที ลุกให้มากกว่าล้ม
แค่ตัดสินใจแล้วตัดสินใจเลย

เห็นมั้ยครับว่ามันเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้
แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทำไงครับ เพราะมันฟังดูไม่บันเทิง
คำว่า "งาน" ของพวกเขา มีค่าเท่ากับ "ความทุกข์"
เพราะฉะนั้นจึงต้องหาอะไรมาบันเทิง ผ่อนคลาย ให้ลืมมันไป
ในขณะที่คนน้อยกว่าน้อย
ยอมอดทนในวันนี้ เพื่อได้ชีวิตที่สบายแบบไร้กังวลในวันหน้า

ทั้งหมดที่ว่ามา
ต่อให้คุณไม่สำเร็จระดับที่หนึ่งของประเทศ
แต่คุณก็จะได้ขึ้นมาอยู่เป็นคน Top10% ของประเทศ
นี่คือเรื่องจริงที่ง่ายแสนง่าย เปลี่ยนชีวิตผู้คนมาทุกรุ่น
แต่กลับไม่มีใครทำ
และมันก็คือโอกาสทองของคุณที่ได้อ่านข้อความนี้

ลงมือเปลี่ยนชีวิตตัวเองซะตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้เลยครับ

ขอบคุณ https://www.facebook.com/thisisboysthought




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2557   
Last Update : 25 สิงหาคม 2557 13:05:39 น.   
Counter : 1300 Pageviews.  

Boy's Thought : ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

ในโลกที่สับสนวุ่นวาย
ผู้คนล้วนต้องการคนที่ทำ "เรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย"

ขอเพียงคุณเล็งเห็นช่องทางของเรื่องอะไรก็ตาม
ที่คนชอบทำให้มันยาก แต่คุณทำมันให้มันง่ายได้
เมื่อนั้น คุณจะยิ่งกว่าเจอบ่อน้ำมันอยู่หลังบ้าน
ผู้คนจะตอบรับคุณอย่างท่วมท้น

ตัวอย่างที่ชัด ๆ ก็อย่างเช่น
ก่อนหน้านี้การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เคยง่าย
จนกระทั่งโลกนี้มี iPad และ App ต่างๆ
การลงโปรแกรมที่วุ่นวายก็แทบหายไปจากโลก
ถึงวันนี้ iPad ได้เปลี่ยนโลกไปทั้งใบ
เพราะมัน "ง่าย"

ตัวอย่างทำนองนี้มีอีกมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นรถเกียร์ออโต้, ธนาคารที่ลดขั้นตอนการบริการ
หนังสือในซี่รี่ส์ for Dummies, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
เบื้องหลังความสำเร็จของสินค้าและบริการเหล่านี้ก็คือ
เพราะมัน "ง่าย"

และอย่าได้คิดว่าคงต้องง่ายระดับโลกสินะ ถึงจะสำเร็จ
ไม่เลยครับ ระดับบ้านๆ ก็ได้
หนึ่งในสาเหตุที่หนังสือผมได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
ก็เพราะมัน "อ่านง่าย" ไงครับ

ขอเพียงคุณโฟกัสให้เจอว่า
เรื่องอะไรที่ผู้คนชอบทำให้มันยุ่งยาก
แต่คุณสามารถทำให้มันง่ายได้
นั่นล่ะครับ ธุรกิจเงินล้านของคุณเกิดแล้ว


ขอบคุณ https://www.facebook.com/thisisboysthought





 

Create Date : 25 สิงหาคม 2557   
Last Update : 25 สิงหาคม 2557 12:54:52 น.   
Counter : 569 Pageviews.  

คิดรวย คิดแบบภาววิทย์

"คนเราสร้างตัวได้ ไม่ใช่โชคชะตา แต่อยู่ที่ Mindset และความเชื่อ ของเรามันเป็นอย่างไรต่างหาก"

โชคไม่ได้กำหนดความรวย มิเช่นนั้น คนถูกหวยส่วนใหญ่คงไม่กลับมาจนหรอก

ความหวังสูงสุดของคนเดี๋ยวนี้ คือ “อยากรวย” แต่ปัญหาใหญ่สุดคือ “ไม่รวย” 

สรุปว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่สมหวัง ก็ต่างหาข้ออ้างต่างๆ นานาว่า โชคไม่ดี บ้านไม่รวย

วันนี้ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" ที่ปรึกษาการลงทุนมือฉมัง เจ้าของผลงานหนังสือ Best Seller ระดับประเทศถึง 8 เล่ม นักจัดรายการ พิธีกรรับเชิญ ตลอดจนวิทยากรให้กับหลากหลายสถาบัน และนักลงทุนแนวหน้าที่น่าจับตามอง ขออาสากลั่นหัวกะทิของแนวคิดที่จะพาคุณรวยออกมาให้เข้าใจง่าย อ่านสบาย แรงๆ ตรงๆ แบบอ่านแล้วตกเก้าอี้ เพราะมันตรง!

"ความรวย" ไม่ใช่โชค มันมี 3 Level ของ "ความรู้"

Level 1 : “ขั้นของขายเวลาตัวเองแลกเงิน” ใครมีความรู้ในระดับนี้ ถ้าเรียนเก่ง ทำงานเก่ง ก็อาจจะพออยู่ พอกิน แต่ไม่รวย เพราะรู้แค่ Level 1 ต่อให้จบปริญญาเอก ก็ใช่ว่าจะรวย เพราะเวลาคุณมีจำกัด หาเงินแบบขายเวลายังไงก็รวยยาก

Level 2 : “ขั้นของการวางเงินทำงาน” คุณรู้รึเปล่าว่าแค่มนุษย์เงินเดือนรู้จักการวางเงินให้ถูกที่ มันทำให้คุณรวยกว่าคนปกติร้อยเท่าก่อนเกษียณ

Level 3 : “ขั้นเทพ” อันนี้เปลี่ยน Idea และเงินคนอื่น เป็นมหาเศรษฐี ..อุบไว้ อ่านในเล่ม !!

'ความรวยคืออะไร ทำไมคนเราจึงรวยจนไม่เท่ากัน เพราะบุญทำกรรมแต่ง? เพราะการศึกษา? จริงๆ น่ะหรือ หรือเพราะคนรวยเขารู้และเข้าใจอะไรบางอย่างที่เราๆ ยังไม่เข้าใจกัน หรือคนรวยนั้น ที่จริงแล้วคือคนที่ "ช่วยคนอื่น" กันแน่!

กระตุกต่อมคิด สไตล์…ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ใน "คิดแบบภาววิทย์" ที่จะเปิดมุมมองใหม่ให้คุณเห็นว่า ความรวย ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่า “คุณเป็นใคร” แต่ขึ้นอยู่ที่ว่า “คุณคิดและทำอย่างไร”


การ "คิดรวย" ที่ถูกต้องคือ "การให้ การสร้าง การทำประโยชน์" 

คนที่คิดที่จะทำให้คนอื่นสมหวังและได้ในสิ่งที่เขาต้องการ คนนั้นคือคนรวยแน่นอน เช่น เจ้าของร้านอาหารคิดทำให้คนอิ่มและมีความสุข ยิ่งทำได้มากยิ่งประสบความสำเร็จมาก , เจ้าของรถอยากให้คนถึงจุดหมายเร็วและปลอดภัยที่สุด , เจ้าของหนังสืออยากให้คนอ่านเปลี่ยนความคิดแล้วประสบความสำเร็จมากที่สุด , เจ้าของบริษัทละครอยากให้คนดูสนุกที่สุด , เจ้าของโรงแรมอยากให้คนพักได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด

คนทั่วไป อยากให้เจ้านายเขาคนเดียวพอใจกับงานที่รับมา การทำให้คนเดียวพอใจ มีความสุข มันน้อยไป มันสร้างประโยชน์น้อยไป มันเลยยากที่จะรวยไง 

...คิดให้กว้างกว่านั้น สร้างประโยชน์ให้คนมากกว่านั้น แล้วความรวยจะเข้ามาเอง ...ยิ่งให้ ยิ่งได้ นั่นแหละ เคล็ดลับ คิดแบบภาววิทย์ !!

https://www.facebook.com/pawawitstockcomment






 

Create Date : 17 สิงหาคม 2557   
Last Update : 17 สิงหาคม 2557 11:23:22 น.   
Counter : 1279 Pageviews.  

การสร้างแบรนด์



Ed McCabe เป็นคนโฆษณาชั้นเซียนในยุค 1960-1970

ในยุคนั้นคนที่เป็น Creative director ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะยุคนั้นไม่มีอาชีพ Account planner ที่มาล้วงลึกว่าปัญหาที่จะต้องแก้ของตัวแบรนด์คืออะไร ไม่มีใครมาช่วยสร้าง Communication strategy ให้ Creative Director

ดังนั้น Ed McCabe ต้องทำหน้าที่วินิจฉัยโรคด้วยด้วยตัวเอง Identify ว่าอะไรคือสมุฏฐานของโรค แล้วค่อยหาวิธีแก้ไข

Ed McCabe บอกกับตัวเองว่าหน้าที่ของเขาในฐานะเป็น Creative Director คีอต้องทำให้โฆษณาของลูกค้าเป็นที่จดจำ ข่าวร้ายคือผู้บริโภคจดจำโฆษณาได้เพียง 4% จากจำนวนโฆษณาทั้งหมด

Ed McCabe จะไม่เริ่มงานถ้าเขายังไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วน
และข้อมูลที่ว่านั้นมาจากเพียงสองเรื่อง หนึ่งผู้บริโภค สองตัวสินค้า
มีอยู่วันหนึ่ง Frank Perdue ซึ่งเป็นลูกค้าใหม่ของ Scali McCabe & Sloves มาคุยกับ Ed McCabe ว่าปัญหาของเขาคีอเขาค้าขายไก่ แต่ไก่เป็น Commodity product ไม่มีความเป็นแบรนด์

ไก่ก็คือไก่ มันไม่มีพิเศษ

Ed McCabe บอกว่าเขาต้องสร้างไก่ของ Frank Perdue ให้มีความเป็นแบรนด์
และ McCabe คิดลึกมากไปกว่านั้นว่าความเป็นแบรนด์นี้ต้องไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

มีความต้นแบบ ที่ไม่มีใครเหมือน

McCabe สังเกตุว่า Frank Perdue ใช้เวลาเป็นชั่วโมงคุยถึงความพิถีพิถันในการเลี้ยงไก่ให้มีคุณภาพที่ดีที่สุด

Perdue เล่าว่าเขาเอาอะไรให้ไก่กิน ให้ไก่อยู่ในสภาพแวดล้อมอะไร แล้วเขาเอาเนื้อไก่มาบรรจุหีบห่ออย่างไร เขาเล่าทุกรายละเอียดบนเส้นทางของการฟูมฟักไก่จนกว่าไก่เหล่านั้นจะถึงมือผู้บริโภค

McCabe จึงคิดที่จะนำตัว Frank Perdue เป็น Presenter ของโฆษณา

เขาเริ่มต้นด้วยการตั้งชื่อแบรนด์นี้ว่า Perdue Chicken

และนี่เป็นตัวอย่างของโฆษณาของ Perdue Chicken โดยใช้ Frank Perdue เป็น Presenter

“โดยมาตรฐานของรัฐเขาจะอนุญาติให้ผมบอกกับประชาชนว่าไก่ชิ้นนี้มีคุณภาพ Grade A

แต่โดยมาตราฐานของผม มันไม่ใช่

มาตราฐานของผมจะไม่ยอมรับไก่จำนวน 30% ที่ได้รับ Grade A บนมาตราฐานของรัฐ

นั่นเป็นเหตุผลที่คุณควรจะซี้อไก่ที่มีชื่อของผมบนตัวสินค้า

ถ้าคุณไม่พอใจในคุณภาพ เขียนจดหมายมาถึงผม ผมยินดีคืนเงินให้

คุณจะเขียนถึงใครที่ Washington ถ้าคุณซื้อไก่ทั่วไป

และคนเหล่านั้นจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องไก่”

โฆษณาจบลงด้วยเสียงโฆษกพร้อม Pack shot ของตัวสินค้า

“It takes a tough man to make a tender chicken”

ขอไม่แปลเป็นภาษาไทย เพราะนี่เป็นการเล่นคำที่ใช้ได้เฉพาะในภาษาอังกฤษ
ภายในหนึ่งปี ยอดขายเพิ่มขึ้นสองเท่า

แล้ว Perdue Chicken กลายเป็นแบรนด์ไก่แบรนด์แรกในอเมริกา

โฆษณาชิ้นนี้ได้รับการออกอากาศภายใต้ Slogan นี้ถึงยี่สิบปี

นี่เป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างแบรนด์คือมันต้องเริ่มต้นจากสินค้าที่มีคุณภาพแจ๋ววับ

ข้อเรียนรู้ข้อที่สองจากกรณีศึกษานี้คือ

“Manufacturers sells products but consumers buy brands”

ถ้าประเทศไทยต้องการเป็นครัวของโลก ต้องเข้าใจหลักการทั้งสองข้อ
แล้วมันจะทำให้ประเทศไทยมีเครื่องพิมพ์ธนบัตรเป็นหมื่นเป็นแสนเครื่องที่ทำงาน 24/7

ภาพข้างล่างคือภาพของ Frank Perdue

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
https://www.facebook.com/Blacksheeprunbusiness




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2557   
Last Update : 10 สิงหาคม 2557 13:21:24 น.   
Counter : 982 Pageviews.  

ร้านหนังสือ & ร้านกาแฟ : หนังสือ...กับกาแฟ (ประวัติของร้านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ)

โพสต์5 ก.ค. 2554 00:41โดยTheeraparb Tputti   [ อัปเดต 8 ก.ค. 2554 01:18 ]

การจิบกาแฟไปพร้อมๆ กับการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ เป็นพฤติกรรม ที่มนุษย์ทั่วโลก ปฏิบัติมาเป็นเวลานานช้า เมื่อ 50-60 ปีก่อน ร้านกาแฟ หรือร้านโกปี้ของอาโก อาเฮีย ทั่วประเทศจะต้องมีหนังสือพิมพ์ วางประจำร้าน อย่างน้อย 1 หรือ 2 ฉบับเสมอๆ หลังจากจิบกาแฟแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์


จบแล้ว...ลูกค้าในร้านกาแฟมักจะนั่งคุยกันต่อ และส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวที่พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ประจำวันนั่นแหละ จึงเป็นที่มาของ “สภากาแฟ” หรือการพูด การคุย การอภิปราย เรื่องการเมืองในร้านกาแฟในยุคโน้น ที่ต่างประเทศนั้นระบบการพูดคุยเป็นกลุ่ม หรือเป็นหมู่ทั้งร้านอาจไม่มีเหมือนในบ้านเรา... แต่ก็มีการคุยในโต๊ะระหว่างกลุ่มเดียวกัน และมีการอ่านหนังสือพิมพ์คนเดียวเงียบๆ

ร้านกาแฟเมืองนอกจึงมักมีหนังสือพิมพ์ วางขายด้วย ส่วนร้านอาหารเช้าในโรงแรม ซึ่งเสิร์ฟกาแฟด้วยนั้น ก็นิยมที่จะเอาหนังสือพิมพ์เช้ามาแจกฟรีเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า เป็นอันสรุปได้ว่า การจิบกาแฟกับการอ่านหนังสือพิมพ์ หรือการอ่านอื่นๆ เป็นพฤติกรรมสากลของมนุษย์ทั่วโลก


ทุกวันนี้แม้ร้านกาแฟทันสมัยทั่วโลกโดยเฉพาะร้านดังๆอย่าง สตาร์บัคส์ ก็ยังเน้นการอ่านควบคู่การจิบ โดยจะเตรียมหนังสือพิมพ์ และนิตยสารไว้ให้ลูกค้าอ่านเป็นจำนวนมาก ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึงละ ที่นั่นเขาเป็นชาตินักอ่านตัวฉกาจอยู่แล้ว จึงมีหนังสือวางไว้ทุกแห่ง ตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงร้านกาแฟ

ไม่เพียงแต่ร้านกาแฟเท่านั้น ที่จับจุดได้ว่ามนุษย์เราชอบอ่านหนังสือระหว่างจิบกาแฟ จนต้องเอาหนังสือมาวางให้อ่าน บรรดาร้านหนังสือก็จับจุดนี้ได้เช่นกัน จึงมักจะเปิดเคาน์เตอร์เล็กๆขายกาแฟในร้านหนังสือ เพื่อให้คอหนังสือได้ดื่มกาแฟไปด้วย และธรรมเนียมนี้ก็แพร่มาถึงเมืองไทยเราด้วย จะเห็นได้จากร้านหนังสือแทบทุกร้าน ตามห้างใหญ่ๆวันนี้ มักจะมีโต๊ะกาแฟ และร้านกาแฟเล็กๆไว้บริการ

แต่การผสมผสานการอ่านที่ยิ่งใหญ่และประทับใจทีมงานซอกแซกมากที่สุด อยู่ที่เมืองแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โน่นครับ ร้านสตาร์บัคส์ ราชาร้านกาแฟยุคใหม่นี่แหละไปจับมือกับ บาร์นส์ แอนด์ โนเบิลส์ ราชาร้านหนังสือตลอดกาลของเมืองลุงแซม เปิดร้านหนังสือ+ร้านกาแฟ มหึมาภายใต้หลังคาเดียวกัน

แม้ว่าต่างฝ่ายยังคงยึดมุมหลักไว้คนละด้าน แต่ เขาก็จะมีอาณาบริเวณตรงกลางที่เปรียบเหมือน จุดร่วมที่คนกินกาแฟจะไปหยิบหนังสือมาพลิกๆดูได้ หรือคนที่ตั้งใจมาซื้อหนังสือก็อาจจะสั่งกาแฟมาจิบให้ชื่นใจเสียก่อนก็สามารถทำได้ในบริเวณนี้ หัวหน้าทีมซอกแซกแวะไปครั้งล่าสุด ก่อนเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด วันที่ 11 เดือนกันยายนปี 2001 สัก 4-5 วัน ก็เลยติดใจกลายเป็นลูกค้าประจำแวบไปอ่านหนังสือที่ร้านนี้เกือบทุกวันที่ไปอยู่เมืองนี้

กลับมาเมืองไทยนึกว่าจะมีร้านไหนทำบ้างจะได้ไปอุดหนุนตามประสาคนที่ชอบกินกาแฟ และอ่านหนังสือ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเป็นการผสมแบบเล็กๆ คือ แค่มีร้านกาแฟเล็กๆอยู่ในร้านขายหนังสือเท่านั้น

ต่อมาร้านกาแฟของตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ติดกับห้องสมุดเที่ยงคืนของตลาดฯ พยายามจะทำอยู่ บ้าง โดยมีร้านกาแฟกับร้านขายหนังสืออยู่ด้วยกัน แต่ก็ไปอยู่คนละชั้นเสียอีก ดูแล้วยังไม่ ประทับใจเหมือนที่แอตแลนตา

จนกระทั่งเมื่อ 2-3 วันนี่เอง หัวหน้าทีมซอกแซกโผล่ขึ้นจากรถใต้ดิน ที่สถานีหน้าโรงแรมดุสิตธานี ไปเจอร้าน โอบองแปง สาขาใหม่...ที่ทำได้ใกล้เคียงเมืองนอกที่สุด...คือเอาร้านกาแฟกับร้านขายหนังสือมาอยู่ด้วยกัน ใต้หลังคาเดียวกัน โอบองแปงความจริงเป็นร้านของว่างมากกว่าร้านกาแฟ ทีเด็ดของเขาอยู่ที่แซนด์วิชกับสลัด แต่ก็มีกาแฟเสิร์ฟด้วย

จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ ไม่ไล่ลูกค้า ใครจะนั่งคุย จะอ่านหนังสือ หรือจะทำการบ้านเลยก็ยังได้...กี่ชั่วโมงก็ได้ ยกเว้นเวลาคุยต้องคุยเบาๆ อย่าไปรบกวนคนอื่น ยี่ห้อนี้มาเมืองไทยหลังสตาร์บัคส์ แต่ก็ขยายได้เร็วพอใช้ สาขาที่หน้าดุสิตธานีแห่งนี้นัยว่าเป็นสาขาที่ 30 กว่าเข้าไปแล้ว น่าเสียดายที่ร้านหนังสือที่มาจับมือด้วยได้แก่ร้าน บุ๊คกาซีน เป็นร้านขายหนังสือฝรั่งหรือหนังสือนอกเพียงอย่างเดียว เห็นขายอยู่แถวๆสีลมและสยามสแควร์อยู่ 2-3 ร้าน 

ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ร้านหนังสือกับร้านกาแฟและของว่างหันมาจับมือกัน ตราบใดที่การจิบกาแฟกับการอ่านยังเป็นของคู่กันอย่างนี้...ต่อไปอาจมีร้านหนังสือไทยๆ จับมือกับแฟรนไชส์กาแฟดังๆ ทั้งไทยและสากลเปิดร้านหนังสือ+ร้านกาแฟ อย่างเต็มยศแบบเมืองนอกจนได้แหละ

เขียนมาถึงช่วงนี้นึกขึ้นได้ว่า นิตยสารต้าเจี่ยห่าว เล่มล่าสุด เขาเพิ่งไปสำรวจมา พบว่าร้านกาแฟดังๆ เชื้อสายจีนอย่าง “เอี๊ยะแซ” และ “เอ็กเต็งผู่กี่” ยังคงเปิดร้านอยู่ที่ถนนพาดสายเยาวราช ขายดิบขายดีเหมือนสมัยก่อนอย่างไรอย่างนั้น 

เอ้อ...นี่ถ้า 2 ร้านนี้จับมือกับสยามอินเตอร์ มัลติมีเดีย เจ้าตำรับหนังสือกำลังภายใน ซึ่งมี น.นพรัตน์ เป็นนักเขียนประจำ เปิดร้านกาแฟแบบจีนโบราณกับร้านหนังสือกำลังภายในอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน... ทดลองตลาดสักร้านสองร้าน

อาจจะประสบความสำเร็จแบบสตาร์บัคส์ กับบาร์นส์ แอนด์ โนเบิลส์ ที่อเมริกาก็ได้...ใครจะไปรู้ล่ะ.

https://sites.google.com/site/mrsavebook/ran-khay-hnangsux/hnangsuxkabkafaeprawatikhxngranhnangsuxthikeiywkhxngkabkafae

 




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2557   
Last Update : 27 กรกฎาคม 2557 16:26:18 น.   
Counter : 706 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]