โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

"ข้าวพันผัก" ปรับเมนูพื้นเมือง สร้างชื่ออาหารเมืองอุตรดิตถ์

ข้าวพันผัก ข้าวแคบ หมี่พัน เป็นอาหารพื้นเมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนไทยโบราณ ซึ่งมีมานานหลายชั่วอายุคน ในการถนอมอาหารให้สามารถเก็บไว้ได้นาน และสะดวกสบายในการนำติดตัวออกไปกินระหว่างวัน เมื่อต้องเดินทางไปทำนา ทำไร่ นอกบ้านไกลๆ

เมื่อเวลาผ่านไป การทำข้าวแคบ หรือ หมี่พัน ที่ทำกินกันเฉพาะในครัวเรือน ก็มีการต่อยอดเป็นการค้า ตรงจุดนี้ ทำให้เกิดการดัดแปลงสูตรการทำข้าวแคบ หรือหมี่พัน ธรรมดาให้มีรสชาติมากขึ้น จึงได้เป็นที่มาของ “ข้าวพันผัก” อาหารพื้นเมืองที่สร้างชื่อให้จังหวัดอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน

นาง ประภา วิชัยรัตน์ เจ้าของสูตรข้าวพันผัก เล่าว่า ตนเองเป็นรายแรกที่ได้คิดทำข้าวพันผักขึ้น ซึ่งข้าวพันผักที่คิดขึ้นมานั้น ก็มาจากการดัดแปลงข้าวแคบ ที่เดิมเป็นเพียงการนำหมี่มาพันกับข้าวแคบ ซึ่งเห็นว่าน่าจะลองนำวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในท้องถิ่น เช่น ผักสด ต่างๆ และเนื้อสัตว์ มาใส่ลงไป

ทั้งนี้ การใส่ผักสด และเนื้อสัตว์ลงไป จำเป็นจะต้องทำให้สุกเสียก่อนจึงจะนำมารับประทานได้ ซึ่งเดิมการทำหมี่พัน ก็เพียงนำข้าวแคบที่ตากแห้งมาแช่น้ำ และนำหมี่ที่ผ่านการผัดและปรุงรสชาติมาใส่ตรงกลางและม้วนก็รับประทานได้ แต่การทำข้าวพันผัก จะต้องนำแป้งสดที่ใช้ทำข้าวแคบ มาใส่ละเลงบนปากหม้อเหมือนการทำข้าวเกรียบปากหม้อ หลังจากนั้น ใส่ผักสด วุ้นเส้น และเนื้อหมูลงไปบนแป้ง พอผักและนื้อหมูเริ่มสุก ม้วนพับแป้งเป็นสี่เหลี่ยมก็ตักเสิร์ฟได้เลย

โดยข้าวพันผักที่ได้มากินคู่กับซอสเป็นน้ำจิ้ม ซึ่งเดิมจะมีเพียงซอสพริกเพียงสูตรเดียว แต่ปัจจุบันเพิ่มสูตรน้ำจิ้มสุกี้เข้ามา เพราะเห็นว่า ส่วนผสมของข้าวพันผัก มีผัก วุ้นเส้น และเนื้อสัตว์เหมือนกับสุกี้ น่าจะไปด้วยกันได้กับน้ำจิ้มสุกี้ ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อนำน้ำจิ้มสุกี้มาราดไปบนข้าวพันผักร้อนรสชาติออกมาเหมือนกับการรับประทานสุกี้เลยที่เดียว

“ปัจจุบันเริ่มมีคนทำตามหลายราย อย่างไรก็ตาม แต่ละคนสูตรก็จะแตกต่างกันออกไป ในส่วนของป้าเองก็ทำมานานหลายปี และเป็นรายแรกที่คิดสูตรข้าวพันผักออกมาก่อน ก็จะได้เปรียบคนอื่นๆ เพราะมีคนรู้จักมากกว่า ซึ่งปัจจุบันข้าวพันผักก็เป็นอาหารยอดนิยมและสร้างชื่อให้กับจังหวัดอุตรดิตถ์ ผู้ที่ผ่านไปมาก็ต้องแวะมาชิม โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เมื่อเดินทางไปเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์ก็ต้องแวะถามหา ร้านป้อมข้าวพันผัก ของป้า”

และเนื่องจากเป็นอาหารพื้นเมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์ ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีการทำขายกันเฉพาะในจังหวัดอุตรดิตถ์ ยังไม่มีการเผยแพร่มาทำในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบและต้องการรับประทานกันจริง ก็ต้องไปกินที่อุตรดิตถ์เท่านั้น เพราะได้รสชาติที่เป็นพื้นเมืองและต้นตำรับจริง

สำหรับราคาข้าวพันผักของร้านป้าป้อม มีกันหลายราคาแล้วแต่ว่ากินกันที่ไหน โดยราคาเริ่มต้นที่ จานละ 15 บาท ไปจนถึง 30 บาท ซึ่งถ้าไปกินกันที่ร้านป้าป้อมที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ขายจานละ 15 บาท แต่ถ้ามาออกร้านงานแสดงสินค้าขายกล่องละ 30 บาท เพราะการออกงานจะมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และให้ปริมาณมากกว่าขายหน้าร้าน ราคาก็เลยเพิ่มขึ้นมา ส่วนขายหน้าร้านไม่มีค่าเช่าสถานที่ และลูกค้าก็คนในท้องถิ่น

ส่วนรายได้หน้าร้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์ขายได้เฉลี่ยวันละ 4,000 บาท ถึง 6,000 บาท ปัจจุบันเปิดสาขาเพิ่มบนห้างสรรพสินค้าในจังหวัดอุตรดิตถ์เพิ่มอีก 1 แห่ง ราคาขายบนห้างอยู่ที่กล่องละ 20 บาท เพราะต้องบวกค่าเช่าสถานที่ด้วย บนห้างขายได้วันละ 5,000 บาท ถึง 6,000 บาท

โดยกลุ่มลูกค้าจะมีอยู่ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น จะชื่นชอบซอสสุกี้ เพราะรสชาติเหมือนกับการกินสุกี้ ต่างจากข้าวแคบ หรือหมี่พัน จะขายเฉพาะคนที่มีอายุที่เคยทานเพราะเป็นอาหารพื้นเมืองโบราณ คนรุ่นใหม่มองดูไม่ทันสมัย นอกจากนี้ ข้าวพันผัก ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ห่วงใยสุขภาพและกังวลเรื่องรูปร่างและน้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากข้าวพันผักมีแป้งไม่มาก และมีไขมันน้อย

นางประภา เล่าว่า ในอนาคตมีแผนที่จะเพิ่มรสชาติใหม่ ให้มากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า ในระหว่างนี้อยู่ในช่วงของการทดลองว่าจะออกมาเป็นสูตรอะไร ยังเปิดเผยไม่ได้ และในส่วนของซอสสุกี้และ ซอสพริก ลูกค้าเองก็ยังชื่นชอบกันอยู่

สำหรับข้าวแคบ มีการพัฒนาสูตร โดยการเติมพืชผักเพื่อสุขภาพลงไป ทำให้ข้าวแคบมีสีสันมากขึ้น เช่น เติมแครอท ฟักทอง หรือการเติมผักต่างๆ ลงไป นอกเหนือจากงาดำ หรืองาขาว ที่มีการทำกันมาตั้งแต่อดีตโบราณ ทำให้ผู้บริโภคได้สารอาหาร และเพิ่มรสชาติให้น่ากินมากขึ้น ในส่วนของข้าวแคบปัจจุบันกลายเป็นของฝากที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่ง ของจังหวัดอุตรดิตถ์ หรือในส่วนของหมี่พันทางร้านป้าป้อม เขาก็มีการปรุงรสชาติของหมี่ผัดให้มีรสชาติแปลกใหม่เพิ่มขึ้น ไปจากเดิมด้วยเช่นกัน

ร้านป้อมข้าวพันผัก เปิดขายมานานกว่า 10 ปี เริ่มจากป้าป้อมทดลองนำผักข้างรั้วที่หาได้มาอบและใส่ม้วนลงไปกับข้าวแคบ และกินกับซอสพริก โดยเริ่มจากทำกินกันภายในครอบครัว ทุกคนชื่นชอบ และทำกินกันเป็นประจำ ก่อนตัดสินใจมาเปิดร้าน จนถึงทุกวันนี้ และข้าวพันผักของป้าป้อม ก็ยังได้เป็นตัวแทนของจังหวัด ในการไปออกร้านตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง

โทร. 08-1674-2220




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2552   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2558 13:56:40 น.   
Counter : 852 Pageviews.  

สะสมความมั่งคั่งผ่านทองคำ

บุญเลิศ สิริภัทรวณิช"

สะสมความมั่งคั่งผ่านทองคำ

โดย สรวิศ อิ่มบำรุง



ทองคำมีลักษณะที่พิเศษ ทองไม่มีการปันผล แต่ด้วยคุณลักษณะที่พิเศษ ทองก็เลยเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกลางที่สุดในจำนวนสินทรัพย์ทั้งโลก

ถ้าพูดถึงการทำธุรกิจค้าทองแนวใหม่ คงต้องนึกถึง "บุญเลิศ สิริภัทรวณิช" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าทองคำแท่งโดยนำลักษณะของการค้าแนวใหม่เข้าใส่ในธุรกิจ ทำให้การลงทุนในทองคำเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากขึ้น สามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น โดยมีสาขาให้บริการถึง 4 สาขา ได้แก่ เยาวราช ,พหลโยธิน ,อโศก และสีลม โดยมีการให้บริการด้วยรูปแบบใหม่ทั้งบริการจัดส่ง บริการส่งมอบทองคำที่ตู้นิรภัย หรือรับฝากทอง ในวันนี้เราจะได้มารู้จักเขาในแง่มุมของการออม และการลงทุนส่วนตัวกันบ้าง

บุญเลิศเองแล้ว มองว่า การออมเป็นการ Saving เพื่อประโยชน์ในอนาคต ประโยชน์ที่ว่าเป็นประโยชน์ในส่วนที่เราคิดอยู่ในกรอบวงที่ขยายไปเรื่อยๆ เช่น กรอบการลงทุนของตัวเอง เป็นครอบครัว เป็นบริษัท เป็นสังคมที่กว้างขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับการออมเห็นได้ชัดว่ามันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องรับผิดชอบ ปัจจุบันมีลูกแล้ว 4 คน เราพูดถึงว่าเวลาเราคิดๆ ถึงความมั่นคงในอนาคตของครอบครัว อย่างน้อย 30% ต้องออมในส่วนที่เป็นตัวเงินจริงๆ ในรูปของบัญชีเงินฝากแบงก์ไปเลย

ส่วนการลงทุนเป็นเรื่องของการ Invest ลงทุนเพื่อที่จะได้กำไรกลับมาในอนาคต ถึงวัยหนึ่งผมอายุ 40 กว่าปี มันเริ่มจะมีมุมมองเรื่องการเติบโตทางธุรกิจแล้ว ในแง่ของการลงทุนเราก็จะมองในเรื่องของตัวธุรกิจไปด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะไปเอากำไรจากเงินที่คุณสะสม เช่น ไปซื้อหุ้น แล้วก็หวังว่าหุ้นตัวนั้นจะได้กำไรกลับมา แทนที่จะคิดว่าไปลงทุนในหุ้นบริษัทคนอื่นก็มาคิดลงทุนในหุ้นบริษัทตัวเองให้มากขึ้น

ในขณะเดียวกันก็มองถึงการลงทุนระยะยาวในธุรกิจครอบครัวอย่างแท้จริง ซึ่งเราเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 แล้ว ก็มองว่าเราน่าจะทำอะไรที่เป็นบริษัท แล้วก็เป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาลจริงๆ ดังนั้น แนวความคิดที่ว่าเราจะไปลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ แน่นอนว่าเขาเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลแล้วทำไมเราไม่มาลงทุนกับตัวเองแล้วทำตัวเองให้มันดีที่สุดไปเลย ดังนั้นในส่วนของการลงทุนส่วนตัวก็จะมีมุมมองในเชิงธุรกิจครอบครัวควบคู่กันไปด้วย

"เราเปิด ออสสิริส เราก็มองเรื่องโมเดิร์น แมเนจเมนต์ เราสามารถที่จะลงทุนบริหารตัวเองได้ ลงทุนด้วย Human Resourse ลงทุนด้วยการลงทุนที่เราคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีแล้วก็บริษัทที่ดีในอนาคตด้วย เนื่องจากตัวเองทำธุรกิจค้าทองพอร์ตส่วนใหญ่จึงเป็นการลงทุนในทอง โดยเป็นพอร์ตทองส่วนตัวประมาณ 30% อีก 20% เก็บในรูปของเหรียญทอง(Gold Coin) อีก 40% ลงทุนในทองคำจริงๆ"

บุญเลิศ อธิบายว่า เหตุผลที่ต้องมีพอร์ตทองเยอะ เพราะสามารถที่จะกระจายไปได้ง่าย เช่น ถ้าเอาไปช่วยธุรกิจบางส่วนที่ต้องการ เราก็สามารถนำทองของตัวเองไปช่วยเหลือในทางธุรกิจได้เช่นเดียวกัน อีกอย่างผมเห็น Performance ของทองมาตลอด ตั้งแต่ทองบาทละ 400 บาท จนปัจจุบันขึ้นมาสูงสุดที่บาทละ 13,000 บาท ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่สามารถที่จะลงทุนในระยะยาวได้ โดยเฉพาะผมอยู่ในธุรกิจทองคำต้องมองระยะยาวอยู่แล้ว เราไม่คิดว่าเราจะปิดร้านทอง ธุรกิจผมก็ 3 ชั่วอายุคนแล้ว ส่วนตัวก็คิดจะรักษาธุรกิจตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการมีทองอยู่ในพอร์ตของตัวเองเป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่ถือว่าเสี่ยงแต่ประการใด

"เนื่องจากผมมีธุรกิจมาซัพพอร์ตการลงทุนในทองของผมๆ จึงเสี่ยงต่ำสุด เพราะท้ายสุดการลงทุนในทองส่วนตัวสามารถมาซัพพอร์ตธุรกิจทองได้"

แต่ถ้าแนะนำกับนักลงทุนที่ลงทุนในทองคำโดยที่ไม่มีธุรกิจทองมาซัพพอร์ตการลงทุน ทองคำจะมีประโยชน์ช่วยให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีสุขภาพดี(Healthy)ขึ้น ทั้งนี้ในพอร์ตควรจะมีทองคำอยู่ประมาณ 10-20% เพื่อให้พอร์ต มันมีสุขภาพที่ดีๆ อย่างไร เมื่อสินทรัพย์ประเภทอื่นมีเพอร์ฟอร์มแมนซ์ที่ดี ส่วนใหญ่ทองจะไม่ค่อยดี ถ้าสินทรัพย์ประเภทอื่นไม่ดี ทุกอย่างเกิดวิกฤตการณ์ หุ้นตก ทองจะช่วยป้องกันความเสี่ยงในภาวะวิกฤติอย่างนี้ได้ ทำให้พอร์ตที่คุณขาดทุน 80% ทองช่วยคุณได้ค่อนข้างดี

เพราะฉะนั้นการมีทองคำในพอร์ต 10-20% เป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุน อันนี้ไม่ได้พูดเพราะตัวเองทำธุรกิจค้าทองคำ แต่เพราะมองว่านี่เป็นกระแสสากลที่เราสามารถพูดถึงได้ทั้งโลก ที่ปัจจุบันคนเขามองว่าทองคำเริ่มจะเป็นภาษาสากลทั้งโลก ทองเริ่มจะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกระแสหลักมากขึ้นแล้ว

"เพราะทองคำมีลักษณะที่พิเศษ ทองไม่มีการปันผล แต่ด้วยคุณลักษณะที่พิเศษ ทองก็เลยเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกลางที่สุดในจำนวนสินทรัพย์ทั้งโลก ทองคำกำหนดด้วยราคาเดียวกัน ทองคำไม่เคยด้อยคุณค่า คนเราพูดถึงทองคำเมื่อ 4,000-5,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยอียิปต์ ปัจจุบันเราก็ยังพูดถึงเรื่องทองคำ อนาคตอีก 4,000-5,000 ปี ก็คงจะพูดถึงทองคำเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพที่สุดในเรื่องของตัวทองคำเอง ตัวทองเองก็มีคุณสมบัติที่พิเศษมากๆ คือ ทองคำไม่ย่อยสลาย แล้วไม่มีอะไรทำลายมันได้ด้วย"

อย่างไรก็ตาม บุญเลิศ บอกว่า ถ้าลงทุนในทอง อย่าลงทุนด้วยมุมมองของการเก็งกำไร แต่ถ้าการเก็งกำไรเกิดมาจากการที่คุณได้กำไรโดยตัวมันเอง เนื่องจากคุณซื้อทองมาในต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำแล้วราคาตลาดปรับตัวสูงขึ้น เกิดมีส่วนต่างของกำไร(Capital Gain) แล้วคุณขายทำกำไรออกมา ก็เป็นวิธีคิดที่ถูก แต่ตรงจุดเริ่มต้นของการลงทุนไม่ควรเริ่มมาจากจุดนั้น มันควรจะเริ่มมาจากประโยชน์ของทองคำคืออะไร คือ การให้พอร์ตคุณมีสุขภาพที่ดี แล้วพอร์ตโฟลิโอคุณโอเค เพื่อ Hedging against อะไรบางอย่างเช่น ยูเอสดอลลาร์ ถ้าลงทุนด้วยบทบาทแบบนี้ผู้ลงทุนก็จะมองการลงทุนในทองในลักษณะของการถือครองระยะกลางถึงยาว ซึ่งตอนนั้นถ้านักลงทุนซื้อในต้นทุนที่ถูกแล้วบางครั้งราคามันปรับตัวลง ก็ไม่ถือว่าเป็นสภาพแมลงเม่า

"ทองที่มันลงมามันไม่ถึงกับจะต้องตาย หมายถึงว่า มูลค่าของทองมันก็ลงไม่เกิน 10-15% มันก็เป็นด้วยมูลค่าของตัวทองคำเอง แต่ถ้าจะมาลงทุนทองในลักษณะเก็งกำไร มันจะรู้สึกว่าเดี๋ยวกำไรแล้ว เดี๋ยวขาดทุนแล้ว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะเก็งกำไร ไปลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะเหมาะสมกว่า"

สำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในทองคำ ควรจะสนใจกับการเคลื่อนไหวของราคาทอง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำให้ดี แล้วควรจะมองการลงทุนในทองคำระยะกลางถึงยาว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวจะดีกว่า

//www.bangkokbiznews.com/




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 19:56:04 น.   
Counter : 804 Pageviews.  

"Affiliate Marketing " Do you have what it takes?

Wednesday, November 7, 2007

Do You Have What It Takes To Be An Affiliate Marketer?

Each of us has its own interest or has a hobby. Some love all kinds of books, music, and movies while others are into sports and traveling. There are also people who love to grow flowers and loves pets. These things help us to relax and forget our everyday problems and troubles and these things are common to people. But not everyone has a hobby that makes money for him/her except if you love your job.

Money making hobby could let you treat your family and friends with the extra cash or you can even quit your current job that you almost certainly hate. That is why many of us today go online to start a business; their reasons are either to supplement their income or to gradually replace their offline income from their job. Affiliate marketing is a great way to start in making money online.

Affiliate marketing is a revenue sharing partnership between a web merchant and one or more affiliates. The affiliate is paid a commission for referring clicks, leads or most often sales to the merchant. An affiliate’s advantage is that he can make money in a business where he doesn’t have the upfront costs of creating his own product, and he doesn’t have to worry about e-commerce, bookkeeping, or even customer support for it is the merchant’s responsibility.

Now, for sure you want to be an affiliate marketer with all that benefits an affiliate could get. But, do you have what it takes to be an affiliate marketer? Before you begin your venture into affiliate marketing, you need to decide first which area interest you. What products do you know the most and which products you could do the best job of selling? Once you discover your specialty, perseverance, patience, determination comes next. These are the qualities you should possessed to be a good affiliate marketer.

Too many online business prospectors lose out because they become impatient. You also have to know what your strengths are, the things in which you are good at and your capabilities and abilities related to your chosen streak. And the most important thing is you have to have a strong desire to succeed in affiliate marketing.

To be an affiliate marketer is not an easy task. You have to learn the techniques of marketing your product or service. You shouldn’t be looking at every chance because marketing is all about attracting you to look at this or that particular opportunity. To be a successful affiliate marketer, you should learn how to listen and to be taught because in life we need to learn skills to get by.

For an affiliate marketer, you should know how to market your site effectively, in will enable you to get thousands of visitors coming to your site which transforms into more sales. This only means that the faster you set up a website, the bigger your chances of making money online faster. You should avoid the same mistakes some affiliates make everyday, they are only building a short-term business where they just make a small sale. Make sure you do understand that you should be building a long-term affiliate business and not just something that makes you a few dollars on one sale. To see what I mean //chewingthefat-lincolnb.blogspot.com

It is also better to have knowledge on how to upsell your visitors for expensive services. This will in turn make you become recognized as an expert in your field and making money will be easier. There are some people thinks that just by having affiliate links on their website will bring them good profits. This can have some truth to it, but then most successful affiliates still believe that making use of strong marketing campaigns for their affiliate programs is still important. But affiliate marketers become much more successful when they treat their customers or online visitors as friends. Make a commitment to establish relationships with your customers and especially with visitors to your site. It is very important for an affiliate marketer to have a good business relationship with customers or visitors.

You should also be creative. The real key to being successful with affiliate marketing is to develop a good content based website and weave your affiliate links into all your content. You have to provide your prospects with good, quality content to keep them coming back to your site. So, do you have what it takes to be an affiliate marketer?

Lincolnb

//lincolnb.blogspot.com/2007/11/blog-post.html




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2550   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2550 17:12:36 น.   
Counter : 702 Pageviews.  

'Thai Potter' ดินเผาหลุดกรอบ ทางเลือกใหม่สไตล์ธรรมชาติ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2550 09:39 น.

เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน มักจะปั้นเป็นโอ่ง ไห กระถางต้นไม้ เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่แบรนด์ “Thai Potter” ฉีกรูปแบบด้วยดีไซน์แตกต่าง ยึดดีไซน์โมเดิร์นโดยให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติแท้ๆ รวมถึง พัฒนารูปแบบใหม่ออกมาเป็นชุดรองรับตลาดอุปกรณ์แต่งบ้านและสวน ตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าอย่างครบวงจร

พรรณทิพย์ ภู่ไพบูลย์ เจ้าของ บริษัท สีมา ซินิท จำกัด ผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนส่งออก ยี่ห้อ “Thai Potter” เผยว่า การออกแบบพยายามให้แตกต่างจากสินค้าเครื่องปั้นดินเผาทั่วไปในท้องตลาด เน้นดีไซน์สมัยใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาต่ำ โดยจะเน้นสินค้าชิ้นเล็กสวยงาม ดูค่อนข้างดิบ เป็นงานปั้นมือล้วนๆ เมื่อมองแล้วจะสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน รักษาเอกลักษณ์ใช้วัตถุดิบดินเหนียวจากด่านเกวียน ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ เมื่อเผาถึงอุณหภูมิ 1,200 องศา จะออกสีโลหะมันวาว

ทั้งนี้ การออกแบบทั้งหมด คิดค้นโดยพรรณทิพย์ และทีมงาน ซึ่งในส่วนตัวเธอเองไม่ได้เรียนมาทางศิลปะ อาศัยชอบศึกษางานเซรามิกที่ใช้ไอเดีย ประกอบกับเข้าอบรมความรู้การออกแบบกับกรมส่งเสริมการส่งออก และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง

ช่องทางตลาดของเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน “Thai Potter” เกือบทั้งหมดกว่า 90% จะส่งออกไปที่ประเทศญี่ปุ่น โดย 70% เป็นลักษณะรับจ้างผลิตแล้วส่งไปให้ลูกค้าติดแบรนด์เอง ขณะที่อีก 30% ส่งออกภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ส่วนตลาดในประเทศ 10% นั้น รับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อ และขายตามงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ เช่น งาน BIG เป็นต้น

สำหรับการออกงานแสดงสินค้าในแต่ละปี จะมีสินค้าใหม่มานำเสนอต่อเนื่อง รวมแล้ว ขณะนี้มีกว่า 10 ประเภท มากกว่า 100แบบ โดยทั้งหมดสามารถนำมาใช้ตกแต่งบ้านและสวนได้อย่างสอดคล้อง เช่น กระถางดินเผารูปทรงแปลกๆ โคมไฟดินเผา เฟอร์นิเจอร์ในสวน ภาพนูนสูงดินเผา โมบายดินเผา ฯลฯ รวมถึงนำงานหัตถกรรมพื้นบ้านมาผสมกับงานเครื่องปั้นดินเผา เช่น ผ้าม่านประดับด้วยลูกปัดดินเผา กระเป๋าผ้าทอตกแต่งด้วยดินเผา เป็นต้น

ด้านการผลิตสินค้า พรรณทิพย์ เลือกจะว่าจ้างกลุ่มชาวบ้านในท้องถิ่น จาก 3 ชุมชนใน จ.นครราชสีมา ได้แก่ ด่านเกวียน เฉลิมพระเกียรติ และปักธงชัย รวมประมาณ 40 คน เพราะมีวัตถุประสงค์อยากให้ธุรกิจเดินควบคู่ไปกับการสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งปัจจุบัน แต่ละคนจะมีรายได้เฉลี่ย 3,000 บาทต่อเดือน

พรรณทิพย์ ระบุต่อว่า ยอดขายในปัจจุบัน ประมาณแค่ 1.5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก หลังหักจ่ายใช้จ่ายต่างๆ แล้วแทบไม่เหลือกำไร และยังมีแนวโน้มลดลง ปัญหาจากลูกค้าต่างประเทศหันไปสั่งสินค้าราคาถูกจากประเทศจีน และเวียดนามมากขึ้นทุกที แม้คุณภาพยังเทียบกันไม่ได้ แต่ด้วยปัจจัยราคาถูกกว่ามาก ทำให้ลูกค้าหลายรายเปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากประเทศเหล่านั้นแทน ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องนับแต่ปีที่แล้ว (2549) ก็เป็นปัจจัยทำให้กำไรที่เคยได้ลดลง

แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว พรรณทิพย์ อธิบายให้ฟังว่า จะพยายามออกแบบสินค้าให้แตกต่างจากคู่แข่งที่สำคัญอย่างจีน และเวียดนาม โดยขายในระดับราคาสูงกว่า แต่ไม่มากนัก แค่ 20-30% เพื่อให้ลูกค้าเปรียบเทียบ ยอมจ่ายเพิ่มเล็กน้อย แต่ได้งานที่โดดเด่นกว่าอย่างชัดเจน นอกจากนั้น จะต้องรักษาคุณภาพ ตรวจสอบมาตรฐาน และส่งงานตรงต่อเวลา

“ความตั้งใจจริงๆ ดิฉันอยากส่งออกสินค้าไปสู่ตลาด Niche Market ที่ไม่ต้องใหญ่มากนัก แต่มีมูลค่าซื้อต่อหน่วยสูง ลูกค้าซื้อด้วยความพอใจ มากกว่าจะเน้นผลิต ไม่ต้องขายในปริมาณมาก ๆ ซึ่งเราไม่มีทางไปสู้จีนกับเวียดนามได้” เจ้าของธุรกิจระบุ

นอกจากนั้น กำลังจะเปิดตลาดในประเทศมากขึ้น ด้วยการนำเสนอแบรนด์ Thai Potter ให้ลูกค้าจดจำในฐานะผู้ผลิตสินค้าของตกแต่งบ้านและสวนจากดินเผาด่านเกวียนรูปแบบใหม่ครบวงจร โดยเร็วๆ นี้จะปรับปรุงโรงงานผลิตใน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ให้เป็นโชว์รูมแสดงสินค้า

สำหรับจุดเริ่มต้นธุรกิจ พรรณทิพย์ เล่าให้ฟังว่า มาจากผลพ่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เดิมรับเหมาก่อสร้าง และซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แต่พอฟองสบู่แตก จำเป็นต้องหาอาชีพใหม่ ทำให้กลับมาย้อนมองดินเผาด่านเกวียน ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อประจำจังหวัด ประกอบกับค่าเงินดอลล่าร์ในเวลานั้นมีมูลค่าสูง การส่งออกเครื่องปั้นดินเผา นับเป็นโอกาสใหม่ที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม เวลานั้นมีหนี้ค้างชำระจากธุรกิจเดิมจำนวนมาก ขอกู้เงินจากสถาบันการเงินใดๆ ก็จะถูกปฏิเสธเสียหมด ยกเว้นธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ให้อนุมัติสินเชื่อเป็นทุนเริ่มต้นธุรกิจ โดยสิ่งสำคัญในช่วงเริ่มต้นธุรกิจเพื่อส่งออก คือ ต้องยอมอดทนรอคอยคำสั่งซื้อ

“การจะทำธุรกิจส่งออกต้องอดทน ไม่ใช่หวังว่า มาออกบูทวันนี้แล้ว เดือนหน้าจะขายได้เลย บางคนออกงานแสดงสินค้ามา 3 ครั้ง ถึงจะได้ลูกค้า อย่างของเรา ออกงานตั้ง 6 ครั้งใน 3 ปีถึงเริ่มจะขายได้ ครั้งแรกลูกค้าอาจมาหยิบนามบัตร ครั้งสองเห็นว่าเรายังอยู่ ลูกค้าเริ่มมั่นใจว่าเราทำจริงจัง และสะสมความเชื่อมั่น ครั้งที่ 3 ถึงจะตัดสินใจสั่งซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการก็ต้องพร้อมกับการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการได้ตรงเป้าตลอดเวลา” พรรณทิพย์ ระบุแนวคิด

* * * * * * * * *

โทร.044-265-044 , 081-876-4152, //www.thaipotter.com






 

Create Date : 29 สิงหาคม 2550   
Last Update : 29 สิงหาคม 2550 14:44:19 น.   
Counter : 903 Pageviews.  

มาร์เก็ตติ้งกูรู : ขอพูดเรื่อง blue ocean strategy บ้าง

นายพอดี

Blue Ocean strategy ถือว่าเป็นแนวทางการตลาดใหม่ที่ฮิตที่สุดในตอนนี้

เป็นวิธีการที่พยายามออกจากตลาดสีเลือด ที่เรียกว่า red ocean ที่แข่งขันกันดุเดือด ช่วงชิงตลาดเดิมๆ ที่กำไรหดลงทุกที ไปหาน่านน้ำใหม่ ด้วยวิธีการใหม่ๆ ไม่สนใจคู่แข่งขันในปัจจุบัน แต่มุ่งหาตลาดใหม่ มุมมองใหม่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงจากตลาดเดิมที่กำลังจะตาย หรือไม่เหลือกำไรให้แสวงหาจากการแข่งขันที่เข้มข้นรุนแรง

ในหนังสือชื่อดังนี้ ก็ยกตัวอย่างของคณะละครสัตว์ที่เปลี่ยนตัวเองจากคณะละครสัตว์น่าเบื่อแบบเดิมๆ ให้เป็นละครสัตว์ทันสมัยที่ดึงดูดผู้ชมทุกเพศทุกวัย ไม่ได้ยึดติด

พูดถึงไวน์จากออสเตรเลียที่บุกตลาดอเมริกา ทลายกำแพงความซับซ้อนของไวน์โดยนำเสนอความเรียบง่าย เข้าใจง่ายให้กับคนทั่วไป

พูดถึงอีกหลายๆ กรณีที่มีการบุกตลาดใหม่ๆ วิธีคิดใหม่ๆ และทำให้เกิดแนวทางใหม่

บนแนวคิด ให้เลิกในสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่มีความต้องการ ให้เพิ่มสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ให้ลดสิ่งที่ไม่จำเป็น และให้สร้างกระบวนการหรือแนวทางใหม่ๆ

ฟังๆ ดูแล้วก็เหมือนกับเป็นแนวทางต่อเนื่องจากเรื่องการแสวงหาความต่าง การคิดนอกกรอบ และการสร้าง positioning ที่เคยฮิตมาก่อน

มีหลายๆ บริษัทได้อ้างถึง blue ocean ได้พูดถึง product ที่ตัวเองคิดว่าดำเนินแนวทาง blue ocean ผมเห็นถึงบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง สร้างปุ่มอะไรพิเศษซักอันหนึ่งแล้วเรียกว่าเป็นปุ่มใหม่ที่ไม่มีใครมี และสร้างจากแนวคิด blue ocean

ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า การรีบอ้างอิง และพยายามทำ “blue ocean” ในบริษัทด้วยการสร้าง “ผลิตภัณฑ์” อะไรบางอย่างที่คิดว่าไม่เหมือนใคร เป็นแค่กระพี้ของเรื่องนี้ และเหมือนกับความพยายามที่จะคิดนอกกรอบหรือหา differentiation ในอดีต ผมคิดว่าวิธีนี้มัน “ง่าย” ไปมาก

อะไรที่ง่ายไป คู่แข่งที่ตัวใหญ่กว่าก็ copy ง่าย และเราก็หนีไม่พ้น red ocean เหมือนเดิม เพียงแต่หลอกตัวเองนิดหน่อยให้เท่และเข้ากับสมัยเท่านั้นเอง

แนวทางที่จะหา Blue ocean strategy น่าจะต้องเริ่มจาก “ราก” ของบริษัท ก็คือเหล่าพนักงานและผู้บริหาร เป็นหลัก มากกว่าที่จะพยายามสร้าง killer product ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผู้บริหารไม่กี่คนอยากหาทะเลใหม่ๆ และสร้าง product อะไรซักอย่างที่คู่แข่งสามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย ทำไม่กี่ครั้งก็ท้อ เพราะองค์กรไม่เอาด้วย

แก่นของ blue ocean น่าจะอยู่ที่ทัศนคติขององค์กรเป็นจุดเริ่ม ความคิดร่วมกันที่ต้องการหา “ทะเล” ใหม่ๆ เพราะที่ที่อยู่นั้นสู้ไม่ได้ หรืออยู่ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ทั้งองค์กรเคลื่อนไปด้วยกันตั้งแต่พลังสร้างสรรค์ในการหาไอเดียใหม่ พลังในการผลักดันให้เกิดขึ้น และความร่วมมือร่วมใจทั้งองค์กร

เพราะในที่สุดแล้ว product ที่คิดได้ ก็อาจจะถูก copy อาจจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พลังที่มีจะทำให้องค์กรไม่ยอมแพ้ และหาทางใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนได้พบ “ทะเลสีน้ำเงิน” ที่ต้องการได้

ผมว่าหนังสือไม่ได้พูดเรื่องนี้ชัดนัก แต่เป็นแก่นของ strategy นี้ในความเห็นของผมครับ

ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / Marketing 27-10-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 19:08:09 น.   
Counter : 756 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]