โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

แผนลงทุน "เศรษฐี" ฉบับ "ดร.สุรรณ" สร้าง "อพาร์ตเมนต์" ซื้อ "คอนโดฯ" ให้เช่า

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อ "ให้เช่า" ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง "อพาร์ตเมนต์" ซื้อ "คอนโดมิเนียม" หรือแม้แต่การซื้อ "ตึกแถว" เอาไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่ นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการลงทุนยอดนิยม..สำหรับ "คนมีเงิน"

มีบางข้อมูลระบุว่า "คนรวย" 9 ใน 10 คน จะเลือกลงทุนใน "อสังหาริมทรัพย์" หรือ "ที่ดิน" เก็บเอาไว้ก่อนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น ทองคำ เพชร หุ้น หรือตราสารทางการเงิน

เพราะเขารู้สึกว่า "ปลอดภัย" และ "มั่นคง" กว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นๆนั่นเอง

"ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร" ผู้เชี่ยวชาญด้าน "กฎหมายธุรกิจ" และ "การลงทุน" ระดับแนวหน้าของเมืองไทย ให้คำแนะนำถึง "ทางเลือก" ของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าว่ามีหลากหลายทางเลือกด้วยกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคนแตกต่างกันไป

สำหรับผู้ที่ต้องการเป็น "เจ้าของกิจการส่วนตัว" และมีเงินในกระเป๋าค่อนข้างมาก อยากลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าด้วยตัวเอง

"ดร.สุวรรณ" เสนอทางเลือกว่า ถ้าเป็นคนประเภท "แอ็คทีฟ" (กระตือรือร้น) และขยันไปเก็บค่าเช่าหน่อยจะมีรายได้ที่ดีมาก ถ้าหากมี "ที่ดินเปล่า" (ในทำเลดี) อยู่แล้ว หรือมีเงินเพียงพอก็ลงทุนด้วยการไปซื้อที่ดินในทำเลดีเพื่อนำมาก่อสร้าง "อพาร์ตเมนต์" ให้เช่า ก็จะเป็นตัวเลือกที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

"การลงทุนสร้างอพาร์ตเมนต์สำคัญที่ "ทำเล" จะต้องอยู่ใกล้แหล่งชุมชน การเดินทางสะดวก ไม่ใช่ว่าอยู่ไกลที่ทำงาน ไกลโรงเรียน ไกลตลาด อย่างนี้ไม่ควรนำมาก่อสร้าง เพราะค่าก่อสร้างจะแพงกว่าราคาที่ดิน ยิ่งถ้านำเงินกู้มาลงทุนจะยิ่งเจ๊งกันไปใหญ่"

"ทำเล" จึงเป็น "ปัจจัยแรก" สำคัญที่สุดในการพิจารณาลงทุน และเป็นตัวชี้วัดถึงความคุ้มค่าของการลงทุน

วิธีการเลือกทำเล "ดร.สุวรรณ" แนะนำว่าจะต้องศึกษาพื้นที่บริเวณรอบๆ และกำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายขึ้นมาก่อนว่าคือใคร เช่น ถ้าลูกค้าของเรา คือ "นักเรียน" พื้นที่ตรงนั้นก็ควรจะอยู่ใกล้โรงเรียน, ใกล้มหาวิทยาลัย, ใกล้โรงพยาบาล, ใกล้โรงงาน หรือ ใกล้ตลาดสด เป็นต้น

เมื่อเลือกทำเลได้แล้ว ก็สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมาย "ผู้เช่า" และเลือกการก่อสร้างได้ว่าควรจะลงทุนแบบไหนจึงจะคุ้มค่ามากที่สุด สมมติว่าที่ดินของเราอยู่ใกล้ "โรงงาน" ก็จะเป็นผู้เช่า "ระดับล่าง" สามารถก่อสร้างเป็น "อพาร์ตเมนต์" ที่ไม่ต้องลงทุนมาก

แต่ถ้าเป็นพื้นที่ใกล้ "ออฟฟิศ" หรืออยู่ในทำเลใจกลางเมือง เช่น ย่านสาทร สุขุมวิท ก็จะเป็นลูกค้า "ระดับบน" อาจจะปรับการก่อสร้างให้เป็นรูปแบบ "คอนโดมิเนียม" หรูมีระดับ กำหนดค่าเช่าได้แพงๆ

"ระดับรายได้ของ "ผู้เช่า" จะมาเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจรูปแบบของงานก่อสร้าง"

ดร.สุวรรณ กล่าวถึงในกรณีของผู้ลงทุนที่มีเงินในกระเป๋าประมาณ 10 ล้านบาท ถือว่าเป็นคนรวยระดับกลางๆ ก็อาจจะเลือกวิธีการไปซื้อ "คอนโดมิเนียม" ที่ก่อสร้างไว้แล้วมาให้เช่าแทน

โดยทำเลที่น่าสนใจยกตัวอย่างเช่น ย่านสุขุมวิท หรือ ซอยนานา กลุ่มเป้าหมายอาจจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจรายย่อย หรือ ชาวต่างชาติ ซึ่งอาจจะได้ยูนิตเล็กๆประมาณ 60 ตร.ม.จำนวน 1 ห้อง ราคาประมาณ 5-7 หมื่นบาท/ตร.ม.ใช้เงินราว 3-4 ล้านบาท ซึ่งอาจซื้อได้ 2 ห้องใช้เงิน 7-8 ล้านบาท เก็บค่าเช่าได้ประมาณ 1.6-2 หมื่นบาท/ห้อง/เดือน

คิดเป็นผลตอบแทนจากค่าเช่า 5-6% ต่อปี

"ถ้าเทียบกับฝากเงินธนาคารได้ดอกเบี้ยราว 3% แต่ลงทุนในคอนโดฯหรืออพาร์ตเมนต์จะได้ผลตอบแทนราว 5-6% ต่อปี ซึ่งข้อดี ก็คือ ในทำเลดีๆราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากราคาประมาณ 5-7 หมื่นบาท/ตร.ม. ในอีก 5-6 ปีก็จะขึ้นไปถึงหลักแสนได้"

หรือกรณีใช้วิธีกู้เงินธนาคารมาลงทุนก็ยังทำได้ และได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าเช่นกัน

"สมมติว่าลงทุน 3 ล้านบาทซื้อคอนโดฯ 60 ตร.ม. ราคา 5 หมื่นบาท/ตร.ม. ถ้าใช้เงินดาวน์ 3 แสนบาท กู้เงิน 2.7 ล้านบาท ผ่อนดอกเบี้ย 7% เป็นเวลา 20 ปี จ่ายเดือนละ 2หมื่นบาท ก็เท่ากับผู้เช่าเป็นคนผ่อนให้คุณ และถ้าทุกๆ 3 ปีมีการปรับค่าเช่าได้ก็จะมีเงินเหลือเก็บอีก ผ่านไป 12-15 ปี หนี้ก็จะหมดเท่ากับได้คอนโดฯราคา 3 ล้านบาท ในราคาเพียง 3 แสนบาทเท่านั้น (เพราะผู้เช่าเป็นคนผ่อน) และในอนาคตราคาคอนโดฯก็จะสูงขึ้นไปอีก ก็จะทำให้ผู้ให้เช่ามีกำไรอีกต่อ"

อีกทางเลือกหนึ่งที่ง่าย และสะดวกสบายที่ "ดร.สุวรรณ" แนะนำก็คือ การลงทุนใน "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์" โดยผู้ลงทุนเพียงนำเงินไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน และรอรับ "เงินปันผล" จากการลงทุนเท่านั้น

"เมื่อกองทุนนำเงินไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดหรือออฟฟิศให้เช่า ก็เท่ากับเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นค่าเช่าในปัจจุบันคิดว่าไม่น้อยกว่า 6-7% ต่อปี และถ้าหากกองทุนขายอสังหาริมทรัพย์นี้ออกไป ก็ยังได้กำไรส่วนเกินเข้ากองทุนมาอีก"

ส่วนวิธีการเลือกกองทุนนั้น "มาริษ ท่าราบ" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี ให้คำแนะนำว่า สิ่งแรกเลยต้องเลือก "ทรัพย์สิน" ที่กองทุนนั้นลงทุนว่า ตั้งอยู่ที่ไหน มีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอหรือไม่..และที่สำคัญนักลงทุนต้องดูว่า สินทรัพย์นั้น "มีภาระ" อยู่หรือเปล่า

"หากทรัพย์สินที่กองทุนถือไม่มีภาระจะทำให้นักลงทุนได้รับมูลค่าที่มากกว่าในระยะยาว แต่หากมีภาระจะเกิดความเสี่ยง เช่น กองทุนมีสัญญาเช่าพื้นที่โครงการระยะเวลา 30 ปี เมื่อหมดสัญญาเช่าอาจจะต้องคืน หรือให้เช่าต่อ ซึ่งหากกรณีเจ้าของเอาที่ดินคืนก็จะทำให้เงินลงทุนหดหายไป ได้รับเพียงผลตอบแทนรายปีเท่านั้น"

จากนั้นจึงมาพิจารณา "อัตราผลตอบแทน" ที่กองทุนได้รับว่าเป็นอย่างไร เพราะผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับ "ชนิด" ของทรัพย์สินที่ลงทุน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่าง 7-8% ต่อปี

ปัจจุบันมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในตลาดจำนวน 8 กองทุนจาก 5 บลจ.ให้เลือกลงทุน

ล่าสุดมี "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บ้านแสนสิริ" ของ บลจ.ไอเอ็นจี ซึ่งกำลังเสนอขายอยู่ขณะนี้มีนโยบายการลงทุนซื้อบ้านเดี่ยว เพื่อให้นักธุรกิจต่างชาติเช่า บนถนนสุขุมวิท 67 จำนวน 25 ยูนิต มูลค่า 865 ล้านบาท

ผลตอบแทนราว 7% ต่อปี โดยมีนโยบายจ่ายปันผลปีละ 4ครั้ง

ทางด้าน "ดร.สุวรรณ" กล่าวว่า นอกจากผู้ลงทุนไม่ต้องบริหารเงิน หรือจัดการเรื่องการเงินเองให้ยุ่งยากแล้ว หากต้องการนำเงินออกมาใช้ ก็ยังง่ายที่จะขายหน่วยลงทุนออกไปเมื่อไรก็ได้ผ่านตลาดหลักทรัพย์

"การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์นี้ จึงอาจจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลา และไม่ต้องการปวดหัวกับการบริหารเงินด้วยตัวเอง"

//www.bangkokbizweek.com/ถนนนักลงทุน
วันศุกร์ที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2548




 

Create Date : 19 กันยายน 2548   
Last Update : 19 กันยายน 2548 11:34:16 น.   
Counter : 1927 Pageviews.  

บทความจาก หนึ่งในเคล็ดลับทางการเงิน (1)

นายทุนที่สามารถที่สุดในโลก คือเด็กขายหนังสือพิมพ์ เขาสามารถทำกำไร 200 ปอนด์ในวันหนึ่งๆ
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะว่า เขาพยายามทำให้เงินของเขาเคลื่อนที่ไปในทางดีตลอดเวลา
เขาเริ่มงานในตอนเช้าด้วยทุนเพียง 1 ชิลลิง ซื้อหนังสือพิมพ์ 20 ฉบับ ขายได้เป็นเงิน 1 ชิลลิง 8 เพนส์ เขาทำได้ดั้งนี้ 3 หนในวันหนึ่งๆ ผลที่ได้รับ คือในตอนเย็นเลิกขายแล้ว เขามีสามซิลลิง เขาได้ขายหนังสือพิมพ์ 60 ฉบับและทำกำไรได้สองซิลลิง
เด็กขายหนังสือพิมพ์จึงเท่ากับเป็นนายทุนคนหนึ่งได้ เพราะว่าเขาไม่มีนายจ้าง เขาใช้เงินไปทำประโยชน์แก่ตัวเขาเองและได้ผลจากเงินนั้น เขาไม่ใช่นักการเงิน เพราะได้ใช้แรงลงทุนในการหาเงินไปด้วย เขาไม่ใช่นักเลงสเปคคูเลชั่น เพราะว่าถ้าหนังสือพิมพ์ที่เขารับมาขายเหลือ ก็คืนเอาเงินได้
แต่เด็กขายหนังสือพิมพ์นี้แหละ เป็นตัวอย่างอันดีให้เห็นความสำคัญของการทำให้เงินเดินเคลื่อนที่เป็นอย่างดีอยู่ชัดเจน เขาทำเงินได้ 30 ปอนด์ในปีหนึ่งโดยใช้ทุนซิลลิงเดียว แต่ต้องใช้กำลังแรงงานอย่างหนักประกอบด้วย
เงินจำนวนนี้เขาทำได้มากกว่าที่ทำงานประจำอย่างอื่นถึง 5 ปอนด์ และเขาทำงานเพียงวันละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น
ลองเทียบดูกับห้างขายเพชรพลอย สมมติว่ามีของขายในร้าน 5000 ปอนด์ และมีปริมาณการขายปีละ 5000 ปอนด์ เด็กขายหนังสือทำให้เงินของตนหมุนเวียนถึง 600 ครั้ง ส่วนห้างขายเครื่องเพชรพลอยทำให้เงินหมุนเวียนได้ปีละครั้ง
นี่เป็นเหตุผลที่ว่า เหตุไรห้างขายเครื่องเพชรพลอยจึงมีแต่แสงวูบวาบงามระยับมากกว่าตัวกำไร
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เคล็ดข้อนี้จึงนำเรามาสู่กฏอันใหญ่ยิ่งของการเงิน คือทุนของท่านจะมีจำนวนเพียงเท่าไรไม่สำคัญ แต่สำคัญอยู่ที่เงินทุนนั้นหมุนเวียนเดินไปได้ด้วยดีอย่างไร ก็นั่นแหละเงินทุนของท่านนั้น เดินหมุนเวียนปีละครั้ง หรือ 3 เดือนครั้ง หรือเดือนละครั้งหรือสัปดาห์ละครั้ง
มีห้างอยู่สองห้างในแลงคะเชียร์ ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน ห้างหนึ่งมีทุน 8,000,000 ปอนด์ มีลูกจ้าง 18,000 คน อีกห้างหนึ่งมีทุน 800,000 ปอนด์ มีลูกจ้าง 800 คน
เมื่อปีหนึ่งที่แล้วมา ห้างสองแห่งนี้ได้กำไรเท่ากัน ทั้งนี้เพราะห้างเล็กทำงานด้วยสมรรถภาพอันดีอย่างหนึ่ง และเพราะได้ทำให้เงินเดินหมุนกลับได้ถึง 26 ครั้งใน 1 ปีอีกอย่างหนึ่ง
ผู้ทำขนมปังขายอาจให้ทุนดำเนินการเพียง 1 ใน 10 ของห้างขายเครื่องเพชรพลอย ที่ทำดังนี้ได้ก็เพราะได้ทำแป้งให้กลายเป็นขนมปังและทำขนมปังให้กลายเป็นเงินได้โดยเร็ว เขาขายสินค้าของเขาหมดทุกวันเสมอ
เหตุผลข้อใหญ่ที่เหมือนกันไปทั่วโลกที่ว่าเหตุไร ห้างใหญ่จึงได้รับผลกำไรน้อย ก็เพราะว่าเขาปล่อยให้เงินของเขาต้องถูก "ผูกมัด" ไว้มากเกินไป
การเก็บสินค้าเข้าไว้ในร้านเป็นเวลานานนั้นไม่เป็นวิธีที่ทำกำไร เว้นไว้แต่ราคาของสินค้านั้นกำลังสูงขึ้นทุกที ค่าของเครื่องจักรหรือค่าตึกที่ทำการอยู่ที่ว่าใช้ได้ประโยชน์เพียงไร มิใช่อยู่ที่สิ้นเงินไปเท่าไร
ในโลกกิจการค้ามักมีช้างเผือกอยู่มาก คือของที่มีค่าแพง แต่ไม่ได้ทำเงินสมกับความแพงของมัน
มีเครื่องจักรกำลังแรง 1 แรงแมวเดินอยู่เสมอ ดีกว่ามีเครื่องจักรใหญ่กำลังช้างสารหยุดอยู่นิ่งๆ
ในเนื้อแท้ของกิจการค้า คือการแลกเปลี่ยนเอาเงินและสินค้า-เปลี่ยนสินค้าเป็นเงิน-เอาเงินเปลี่ยนเป็นสินค้าอีก และต้องทำโดยเร็วด้วยนี่แหละคือเคล็ดของการได้แบ่งเงินปันผลอย่างงามๆ
ขอยกตัวอย่างช่างขายเครื่องเรือน 2 รายให้ฟัง รายหนึ่งขายช้า อีกรายหนึ่งขายเร็ว ทั้งสองรายซื้อเก้าอี้ไปขายด้วยกันเป็น 20 ปอนด์
รายที่ขายช้าเก็บเก้าอี้ไว้ตลอดปี และขายได้ในราคา 30 ปอนด์
คนขายเร็วได้ภายใน 3 เดือนในราคา 25 ปอนด์ เขาซื้อมาอีก และขายไปอีกใน 3 เดือนด้วยราคา 31 ปอนด์ เขาซื้อมาอีกและขายไปอีกเป็นเงิน 37 ปอนด์ เขาซื้ออีกและขายอีกเป็นเงิน 47 ปอนด์
เมื่อสิ้นปี ผู้ขายช้าคงได้กำไร 10 ปอนด์ แต่เขาได้คิดเอาราคาเก้าอี้จากลูกค้าของเขาในอัตราที่สูง ซึ่งทั้งนี้ทำให้การค้าในร้านของเขาเสื่อม
ผู้ขายเร็วได้กำไร 25 ปอนด์เมื่อสิ้นปี เขาให้เงินแก่คนขายของในร้านได้มาก และคิดเอากำไรจากลูกค้าแต่น้อย
ในที่นี้ท่านจะได้ฟังเหตุผลสั้นๆสักสองสามคำที่ว่าเป็นเพราะเหตุไร ร้านหนึ่งขายของดีมากขึ้นเท่าตัว ส่วนอีกร้านหนึ่งแทบจะทรงตัวอยู่ไม่อยู่
ผู้ขายเร็วในรายที่กล่าวนี้ ได้ใช้เงิน 5 ปอนด์ในการโฆษณาขายเก้าอี้ และถึงแม้กระนั้นเขาก็ขายในราคาต่ำกว่าผู้ขายช้าถึง 25 เปอร์เซ็นต์ นี่แหละเป็นเหตุให้เขาได้กำไร 100 เปอร์เซ็นต์
การที่ท่านจะได้กำไรในอัตรามากหรือน้อยอยู่ที่ท่านขายได้เร็ว มากกว่าที่ขายได้ในราคาสูง การทำกำไร 5 เปอร์เซ็นต์ภายในเดือนเดียว ดีกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ในปีหนึ่ง
พวกคนให้กู้เงินรู้หลักข้อนี้ดี แต่พวกพ่อค้าไม่ค่อยรู้ เพราะเหตุนี้พวกพ่อค้าจึงมีสินค้านอนค้างร้านมาก และต้องมีชีวิตด้วยการเป็นหนี้ธนาคารอยู่เสมอ
เงินนั้นก็เหมือนมันสมอง แต่ก่อนเราเชื่อกันว่าคนที่มีมันสมองใหญ่ ยิ่งเป็นคนฉลาดมาก แต่เดี๋ยวนี้เรารู้กันแล้วว่า ที่เข้าใจเช่นนั้นผิดถนัด
ชายคนหนึ่งอาจมีมันสมองใหญ่ได้ แต่ถ้าสมองนั้นเชื่องช้าและซึมกระทืออยู่ ชายนั้นก็เป็นเจ้าทึ่ม
สิ่งสำคัญของสมองไม่ใช่อยู่ที่ขนาดใหญ่ แต่อยู่ที่ความว่องไว คนที่มีศีรษะเล็กๆเป็นผู้บังคับบัญชาเหนือบริษัทใหญ่ๆเป็นอันมาก และคนที่ศีรษะใหญ่เป็นบุรุษไปรษณีย์หาเลี้ยงชีวิตด้วยกำลังขาก็มีไม่น้อย
เกือบแทบทุกราย เมื่อข้าพเจ้าถามนักกิจการค้าว่า สิ่งไรที่เขาต้องการที่สุด ได้รับตอบว่า “ต้องการทุนเพิ่มขึ้นอีก”
กล่าวโดยทั่วไป คำตอบเช่นนี้ผิดมาก ข้อที่เขาควรทำให้ถูก ก็คือใช้ทุนที่มีอยู่แล้วนั่นแหละให้ทำประโยชน์ในทำนองรวดเร็วยิ่งขึ้น
ไม่ว่าใคร อาจทำให้ทุนของตนเพิ่มขึ้นได้เป็นสองเท่าโดยไม่ต้องยืมเงินใครสักเพนนีเดียว เพียงแต่ทำให้การขายสินค้าของเขาหมดร้านเร็วขึ้นอีก 2 เท่าเท่านั้น
ควรหันมามุ่งศึกษาในทางขายของให้ได้มากขึ้น ดีกว่าที่จะไปคิดหาทางเสียดอกเบี้ยเขาต่อไปท่าเดียว
ยิ่งจำกัดงบประมาณโฆษณาน้อยลงเท่าใด ก็มีหวังที่จะต้องเป็นหนี้ธนาคารมากขึ้นเพียงนั้น
กฎของพ่อค้าที่ทำงานได้ผลดีมาแล้ว คือ เข้ามา-ออกไป เข้ามาวันนี้-ออกไปพรุ่งนี้ หลักข้อนี้ใช้แก่นักการเงินได้ดีเท่ากับที่ใช้ได้แก่นักการค้า
อย่าซื้อให้มากเกินไป อย่าสร้างให้มากเกินไป จงหาลูกค้าให้มากขึ้น ดีกว่าไปสร้างที่ทำการให้ใหญ่โตขึ้น
ถ้าเราจะต้องเสียลูกค้าไปสักคนหนึ่ง ก็ยังดีกว่าที่ต้องซื้อสินค้าเข้าร้านไว้เกินต้องการ ร้านขายของต้องถือว่าเป็นที่พักสินค้าชั่วคราว ไม่ใช่โกดังเก็บสินค้า ความข้อนี้มีพ่อค้าคิดน้อยที่สุด
จงทำให้เงินของท่านเดินอยู่เสมอ เงินทุกๆซิลลิงเปรียบเหมือนคนงานน้อยๆของท่าน และท่านจัดการให้เขาเข้าทำงาน ไม่ใช่ให้ นอนหลับ เมื่อเขาได้ไปทำงานอย่างถึงขนาดแล้ว ก็จะกลับมาหาท่านอีกภายในสองสามสัปดาห์ พร้อมทั้งนำพวกพ้องอีกครึ่งหนึ่งมาสู่กำมือท่านด้วย
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3274448/I3274448.html


บทความจาก หนึ่งในเคล็ดลับทางการเงิน(2)
เคล็ดข้อนี้สำคัญมาก เป็นถ้อยคำเพียง 5 คำ แต่เป็นความสำคัญที่อาจป้องกันความเสียหายถึง 1 ใน 4 ของโลกการเงิน ในทำนองเดียวกัน นักการค้าทุกคนที่ได้อ่านคำแนะนำดังกล่าวนี้ คงเคยเสียทีมาบ้างแล้วในอดีต ทั้งนี้ก็เพราะมิได้ถือกฎข้อแรกของการลงทุนที่ว่า “ซื้อแต่ที่ท่านรู้”
เป็นความจริงอันน่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง ที่ในเวลาใช้เงินไปในการลงทุน นักการค้ามักไปซื้อของซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย และมีโดยมากไปซื้อหุ้นของบริษัทซึ่งตนไม่เคยรู้ในกิจการชนิดนั้นสักนิดเดียว
หุ้นบริษัทดังยกตัวอย่างนี้ มีเช่นหุ้นบริษัทเหมืองแร่ และหลักประกันต่างๆในต่างประเทศไกลๆ เป็นต้น
ในโลกการเงินนั้น ผู้เริ่มชีวิตในขั้นแรกมักต้องการจะได้กำไรงามๆ ถ้าใครมาแนะนำถึงหุ้นส่วนชนิดที่ได้กำไรเพียง 6 เปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่เลื่อมใส เขาต้องการกำไรอย่างน้อย 15 เปอร์เซ็นต์ เขาเคยได้ฟังเรื่องราวของใบหุ้นที่ได้กำไร 20 เปอร์เซ็นต์มาแล้ว
เขาต้องการซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัย และได้กำไรดีพร้อมทุกประการ แต่เพราะว่า ภายในประเทศตนหาหุ้นส่วนของกิจการใดที่สมใจเขาในลักษณะเช่นนั้น ได้ยากเขาจึงยินดีลงทุนซื้อหุ้นหรือทรัพย์สมบัติ ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศของตนไปกว่าหมื่นไมล์
กล่าวโดยเปรียบเทียบ นักลงทุนสมัครเล่นก็เหมือนคนที่วิ่งตามสายรุ้ง แม้แต่พ่อค้าร้านขายเครื่องอาหารหรือผู้จัดการบริษัทโรงงานอุตสาหกรรม ก็ยังเอาเงินที่ตนประหยัดได้ 100 ปอนด์ เป็นก้อนแรกไปซื้อใบหุ้นอันไม่มีค่าไว้ได้ ใบหุ้นเหล่านั้นอาจพิมพ์ขึ้นด้วยน้ำมือของนักฝันหรือมนุษย์จอมโกง ซึ่งหลอกให้ผู้ซื้อหวังลมๆแล้งๆในหลักทรัพย์ที่จะได้ในป่าลึกของแอฟริกา หรือเป็นหุ้นส่วนของกิจการที่อยู่ในน้ำมือของคนไม่สุจริตในอเมริกาใต้หรือประเทศจีนโน้น
นักการค้าแทบทุกคน ในเวลาที่มีอายุล่วงเข้า 50 ปี มักจะมีกระดาษหอบหนึ่งมัดม้วนกันเข้าไว้และเรียกว่า “หลักประกัน” หลักประกันเหล่านี้ ไม่มีค่าเกินไปกว่าเชือกที่มัดนั้นเลย
เขาได้ซื้อสิ่งที่เขาไม่มีความรู้เอาไว้ ซื้อมาด้วยความโง่เขลา ไม่ใช่ซื้อด้วยความรู้ เพราะเหตุนั้นจึงต้องเสียเงินไปเป็นค่าโง่ของตนเต็มที่
ข้าพเจ้าจึงจำต้องกล่าวว่า ในโลกการเงินไม่มีความซื่อสัตย์เหมือนใน่โลกการค้าและการพานิชย์
ว่าโดยตำแหน่งสูงสุดยอด โลกการเงินย่อมล้วนแล้วไปด้วยบุคคลที่สามารถ และน่าไว้วางใจที่สุดชาติ ข้อนี้เป็นความจริงในทุกประเทศ
แต่ถ้าว่าโดยตำแหน่งชั้นต่ำที่สุด โลกการเงินเต็มไปด้วยคนคดโกง และคนทุจริตชนิดที่ไม่เคารพต่อศีลธรรมใดๆอยู่มากมาย คนคดโกงเหล่านี้มีเล่ห์เหลี่ยมทำการล่อลวงได้ภายในขอบเขตของกฎหมาย มีหลายคนที่เป็นสมาชิกในวงการศาสนาและองค์การที่น่านับถือ แต่คนเหล่านี้เป็นอันตรายแก่ประชาชน ร้ายยิ่งกว่าพวกขโมยและนักล้วงกระเป๋ารวมกันด้วยซ้ำไป
ถ้าพ่อค้าขายคอลเลอร์ผ้าธรรมดาแล้วบอกว่าเป็นคอลเลอร์ลินิน เขาอาจถูกลากคอขึ้นศาลและถูกผู้พิพากษาลงโทษปรับ แต่นักการเงินอาจขาย “ความรับผิดชอบในทางหนี้สิน” ให้แก่ท่านโดยบอกว่าเป็น “รายได้” ก็เป็นผลสำเร็จมาชั่วนาตาปี และกฎหมายก็ไม่สามารถทำอะไรแก่คนพวกนี้ได้เลย
ในโลกการเงิน ท่านจะหลงเชื่อตามที่ท่านฟังไม่ได้ ท่านต้องถือตามหลักปรัชญาของเดส์คาร์ตสให้มั่นไว้ ท่านต้อง “สงสัยในทุกสิ่ง”
คำแนะนำนั้นก็เป็นเสมอความเห็นอย่างหนึ่ง แต่ในคำแนะนำนั้นเองย่อมมีความมุ่งหมายแฝงอยู่ข้างหลัง ประมาณ 9 ใน 10 คำแนะนำในการซื้อย่อมมาจากผู้ขายและคำแนะนำในการขายย่อมมาจากผู้ซื้อ ความข้อนี้นายหน้าผู้ขายหุ้นย่อมปฏิเสธไม่ได้เลย
ในโลกการเงิน การกล่าวเท็จเกิดขึ้นได้ไม่น้อยกว่านาทีละ 10 อย่าง คำเท็จนั้นไม่ใช่ร้ายแรงอะไร เราจะเรียกว่า เป็นเพียงแจ้งลักษณะการเงินไม่ค่อยตรงกับความจริงเท่านั้นก็ได้ แต่คำเท็จเหล่านั้นเองได้ช่วยทำหน้าที่ประกอบเพื่อให้ประชาชนต้องเสียเงินไปเหมือนดังตนเป็นคนทวนสาบาน
ในโลกการเงิน ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะเพิกเฉยไม่สนใจ ทุกคนล้วนมีขวานอยู่คนละเล่มเตรียมฟาดฟันเพื่อประโยชน์ตนทั้งนั้น ทุกคนต่างพยายามหมุนราคาหุ้นให้สูงขึ้นหรือกดราคาให้ต่ำลง เพื่อตนจะได้ประโยชน์ แม้แต่เทวดาผู้บันทึกเรื่องของโลกก็ไม่สามารถจะคาดหมายเอาจริงจากมนุษย์จำพวกนั้นได้เลย
ใบชี้ชวนเข้าหุ้นส่วนบริษัทนั้น ก็ไม่ต่างอะไรไปกว่าคำแนะนำดังกล่าว นักเขียนที่ชาญฉลาดในกรุงมีมากที่พอจะสามารถประดิษฐ์ถ้วยคำทำให้ท่านมองเห็นรถลาก 2 ล้อ เป็นรถยนต์โรลสรอยไปได้เป็นอย่างดี
ใบปลิวและจดหมายเขียนนั้นเล่า ก็มีความจริงไม่ผิดอะไรกับนิยายเรื่องโรบินสันครูโซ ในนั้นมีความจริงเป็นหลักอยู่บ้างบางประการ แต่เต็มไปด้วยความนึกฝันอันมีโครงการอย่างประหลาดเหนือธรรมดา มนุษย์แต่งประกอบเข้าเป็นส่วนมาก
การโฆษณา มีความจริงที่น่าเชื่อมากกว่าใบปลิวและใบชี้ชวน แต่ถึงกระนั้นท่านก็ควรฟังเสียงบรรณาธิการแผนกการเงินให้มากกว่าแผนกโฆษณา
ในส่วนงบดุลนั้น มีส่วนน่าเชื่อมากกว่าอื่น แต่ความจริงยังมีอยู่อีกว่า ในรายใดที่ขาดทุนก็มักแสดงหักลบไปคล้ายกับว่าได้กำไร หรือมิฉะนั้นก็ตรงกันข้ามงบดุลทุกปี มักมีลักษณะเช่นกล่าวนี้ตั้งหลายพันฉบับ ความข้อนี้นักการบัญชีคงไม่ปฏิเสธ
ขอจงระลึกไว้ว่า ผู้พิมพ์หนังสือจะยอมรับพิมพ์อะไรจากผู้จ้างได้โดยไม่ซักถามอะไรเลย หนังสือพิมพ์และหนังสือรายคาบก็อย่างเดียวกัน ข้อแตกต่างที่สำคัญก็คือว่า คำเท็จที่เป็นตัวอักษรย่อมกล่าวได้แนบเนียนน่าฟังเชื่อสนิทกว่าคำเท็จที่กล่าวด้วยวาจา
ถ้าท่านเป็นผู้ขายสินค้าเครื่องอาหาร จงเอาเงินของท่านลงทุนซื้อหุ้นขอบบริษัทที่ดีที่สุดที่ขายสินค้าให้แก่ท่าน
ถ้าท่านเป็นคนทำงานในกิจการรถยนต์ จงซื้อหุ้นหรือใบกู้ของบริษัทรถยนต์ที่ท่านเห็นว่าเขาจัดการอย่างดีที่สุด
ถ้าท่านเป็นช่างก่อสร้าง จงซื้อที่ดิน ถ้าท่านเป็นนักท่องเที่ยว จงซื้อหุ้นบริษัทเดินเรือ ถ้าท่านเป็นคนมีวิชาชีพ ไม่มีความรู้ในการค้าและการพานิชย์เลย จงซื้อแต่พันธบัตรของรัฐบาล
ไม่ว่าในลักษณะใดๆ นอกไปจากที่กล่าวนี้ เมื่อท่านมีเงินพอจะลงทุนได้ จงซื้อแต่สิ่งที่จะเกิดผลในที่ใกล้เคียงท่าน จงลงทุนในเมืองที่ท่านอยู่ ซื้อแต่สิ่งที่ท่านจะไปดูได้
ทุ่งที่เรามองเห็นแต่ไกลนั้นเขียวสนิทดีนัก แต่เมื่อท่านเข้าไปใกล้แล้ว จะเห็นว่าเขียวจริงไม่ถึงครึ่งของที่ท่านเห็น การเอาเงินของท่านไปลงทุนในกิจการที่ท่านไม่มีความรู้เลยก็อย่างเดียวกัน
ในชั้นแรกต้องซื้อบ้านที่ท่านอยู่เสียก่อน ถัดต่อไปจึงซื้อบ้านที่ถัดจากประตูบ้านท่านไป ความรู้สึกที่ท่านจะได้เผชิญในฐานเป็นเจ้าของที่ จะได้ช่วยรักษาให้ท่านหายจากโรคเป็นคนวิ่งตามสายรุ้ง
ถ้าไม่มีหลักทรัพย์รายใดที่ท่านจะซื้อได้ในที่ใกล้เคียงกับตัวท่าน ก็จงซื้อพันธบัตรหรือใบหุ้นของบริษัทซึ่งมีชื่อเสียงและได้ดำเนินการมาช้านานกว่า 30 ปีแล้ว
บริษัทเดินเรือหรือบริษัทกิจการใดก็ตามที่เขาตั้งมั่นมาได้ 30 ปี และแบ่งเงินปันผลได้เสมอตลอดมาย่อมเป็นของดีที่ท่านควรลงทุนซื้อ นับเป็นที่สุดในโลกของการเสี่ยงภัยประเภทนี้
แต่ถ้าทำได้ ท่านควรลงทุนไปเฉพาะในกิจการที่ท่านมีความรู้เท่านั้น กิจการใดที่ท่านมีความรู้อยู่ก่อนแล้ว ถ้าท่านเข้าหุ้นในกิจการชนิดนั้น แม้ว่าจะถูกล่อลวงก็นับว่าเป็นส่วนน้อย
ข้อสำคัญที่สุด ในเวลาที่ท่านจะลงทุนอย่าให้ตนกลายเป็น “เจ้าหนุ่มรุ่นกระทง” ท่านต้องไม่หลงเชื่อใครง่ายๆเป็นอันขาด
การโง่ในทุกอย่าง นับเป็นภัยแก่ตัวทั้งนั้น แต่การโง่ในการเงินนับเป็นภัยร้ายแรงที่สุด ถ้าท่านยึดมั่นในสิ่งที่ท่านรู้คงเส้นคงวาตลอดมา ท่านก็ควรยึดมั่นในเงินที่ท่านมีให้คงเส้นคงวาด้วย
ในบรรดาการพนันทั้งหลาย การแข่งม้าเป็นเกมเสี่ยงภัยที่สุดในการพนัน ในการแข่งม้านั้นไม่มีใครรู้ได้แน่นอนเลยว่าม้าตัวไหนจะชนะ เว้นไว้แต่ม้าแข่งเที่ยวนั้นได้กะแผนการคดโกงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว มีความไม่แน่นอนอยู่หลายอย่าง เช่นคนขี่ม้าและม้าที่แข่งนั้นเอง ในการแข่งม้าที่ตรงไปตรงมา จึงย่อมไม่มีใครรู้ม้าตัวใดชนะแน่ได้เลย
และในโลกการเงินนี้เล่า ก็มีการพนันหลายอย่างที่ไม่มีความแน่นอนเหมือนการแข่งม้าเช่นกัน การซื้อหุ้นเหมืองทองคำหรือเหมืองทองแดง ก็ไม่ต่างอะไรไปกว่าท่านเอาเงินจำนวนนั้นไปเสี่ยงภัยเล่นพนัน เพื่อให้เงินงอกขึ้นเป็นสองเท่า
ในการทำเหมืองนั้น มีโดยมากที่เหมืองได้กินเงินที่ลงทุนไปมากกว่าที่ขุดได้ขึ้นมา ทองทุกๆ 20 ซิลลิง มีค่าโสหุ้ย 23 ซิลลิง ข้อนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เหตุไรจึงมีแต่ผู้แพ้มากกว่าผู้ชนะ
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ในโลกการเงิน ซึงข้าพเจ้าใคร่เรียกกว่า เป็นศิลปะของการรักษาเงินของท่านไว้ให้อยู่ และใช้ให้เงินหาเงินเพิ่มมากขึ้นอีก ท่านควรถือกฎข้อนี้ไว้ว่า พึงทำตามในสิ่งที่ท่านมีความรอบรู้อยู่แก่ตน อย่าทำตามที่บุคคลอื่นมาแนะนำหรือชี้ชวนให้ท่านทำเป็นอันขาด
ในเวลาที่ใครคนหนึ่งร่ำรวยมีเงินขึ้น มีน้อยคนที่จะบอกความจริงให้ใครทราบ ความข้อนี้เป็นของธรรมดาที่เป็นจริงอยู่แล้วมิใช่หรือ
เมื่อใดที่ปรากฏว่าใครคนหนึ่งมีเงินขึ้น คนทุกชนิดไม่ว่าคนที่น่านับถือ หรือคนทุจริตที่เสียชื่อแล้ว ต่างก็ห้อมล้อมรอบตัวผู้นั้น และใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะ “ปล้น” เอาเงินไปเสียจากคนผู้นั้นให้จงได้
คนทุกคนที่มีเงิน นับว่าอยู่ในแดนอันตรายทั้งนั้น และว่าตามหลักที่เป็นจริงแล้ว การรักษาเงินที่มีอยู่เอาไว้ให้อยู่ ยากกว่าที่จะหาเอามาหลายเท่า เพราะเหตุดังกล่าวนี้ เคล็ดข้อแรกในเรื่องการเงินจึงมีว่า “จงระวังพึงซื้อแต่ที่ท่านรู้”
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3276268/I3276268.html

บทความจาก หนึ่งในเคล็ดลับทางการเงิน(3)
ท่านคงเคยได้ยินผู้อื่นกล่าวบ้างว่า “ฉันเสียใจที่ไม่ได้ขายในเวลาที่มีโอกาส” คำกล่าวเช่นนี้ท่านเองก็คงได้เคยกล่าวเหมือนกัน มีคนฉลาดสองสามคนที่ได้ขายใน ค.ศ. 1918 และ 1928 และมีคนโง่หลายคนที่ตื่นรีบซื้อเท่าที่มีเงินจะซื้อได้

ส่วนมากมักชอบซื้อของในเวลาที่ของแพงที่สุด คนจำพวกนี้ย่อมจะรีบซื้อในเวลาของแพงเสมอไป เขาซื้อในเวลาที่ใครๆก็ต้องการซื้อ

แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ขายใน ค.ศ. 1918 และ 1928 เขาคงเก็บของที่มีไว้ ไม่ยอมขายเลยทีเดียว ถ้ามีความฉลาดพอ รีบขายทุกชิ้นที่มีอยู่ไปหมด ครั้นตกถึง ค.ศ. 1920 และ 1930 เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ เขาก็อาจกลับซื้อของที่ขายไปหมดนั้นคืนมาได้ โดยราคาเพียงกึ่งหนึ่งที่เขาได้ขายไป

ยกตัวอย่างเช่น ชายผู้หนึ่งมีหลักทรัพย์มีค่าในเวลานั้น 20,000 ปอนด์ และขายหลักทรัพย์นั้นไป 20,000 ปอนด์ ตกมาถึงในระยะที่กล่าวนั้น เขาอาจกลับซื้อคืนได้ด้วยราคาเพียง 10,000 ปอนด์ ดังนี้ก็เท่ากับหลักทรัพย์ของเขามีคงเดิม แต่ได้เงิน 10,000 ปอนด์ เพิ่มมาอีกด้วย

เจ้าของเรือที่ฉลาดเป็นอันมากได้ขายเรือของตนใน ค.ศ. 1928 ไม่ต้องสงสัยเลย ต่อมาไม่ช้าเขาก็ได้ซื้อเรือของเขากลับคืนหมด ในบางคราวกำไรที่ได้จากการขายและซื้อเรือ ได้มากกว่าการเดินเรือเสียอีก

ข้อนี้ข้าพเจ้าเห็นเป็นสำคัญที่ควรทำความเข้าใจกันให้แจ่มแจ้ง คือกิจการค้านั้น จุดมุ่งอยู่ที่การหากำไร มิใช่อยู่ที่การดำเนินการ เช่นว่า ถ้าเจ้าของร้านขายเครื่องอาหารอาจทำเงินใน การขายร้านได้มากกว่าที่จะดำเนินการขายของต่อไป เขาควรขายร้านดีกว่า

ถ้าเจ้าของโรงงานทำรองเท้า ขายโรงงานได้ราคาเป็นกำไรดีกว่าที่ทำรองเท้าขายอยู่ เขาก็ควรขายโรงงานนั้นทีเดียว

พวกเราทั้งหลายมักจะชอบยึดมั่นในหลักทรัพย์ของเรา เราตีตะปูหลักทรัพย์นั้นไว้แน่นหนา ทำเหมือนดังว่าหลักทรัพย์เหล่านั้นติดอยู่กับตัวเราจะตัดออกไปจากเราไม่ได้

ขอยกตัวอย่างเรื่องที่น่าพิเคราะห์ให้ฟังเรื่องหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งเริ่มตั้งร้านขายขนมหวานเมื่อสักปีเศษมานี้ เขาซื้อร้านที่ล้มด้วยราคาเท่ากับซื้อบทเพลงบทเดียว แล้วได้ลงทุนซื้อของดำเนินการในร้านราว 250 ปอนด์

เนื่องจากชายหนุ่มผู้นั้นมีความสามารถและโอภาปราศรัยดี ใครๆก็ชอบอัธยาศัย อีกประการหนึ่งเป็นคนขายของที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอันดีแล้วด้วย

กิจการที่เขาทำ มีรายได้เดือนละ 35 ปอนด์ นับว่ากิจการกำลังเจริญ จึงมีผู้มาขอซื้อร้านเขาเป็นเงิน 600 ปอนด์ ชายผู้นั้นไม่ขาย นี้เป็นการผิดมาก เขาควรรวบรวมเอากำไรของเขาอย่างเป็นก้อนทีเดียว

ตลอดที่เขาดำเนินกิจการนั้น ได้กำไรสุทธิ 300 ปอนด์ ถ้าเขาขายในราคา 600 ปอนด์ เขาจะได้กำไร 250 ปอนด์ และกำไรในปีนั้นก็จะรวมกันเป็น 550 ปอนด์

เมื่อขายได้เงิน 600 ปอนด์ มาอยู่ในกำมือแล้ว เขาอาจซื้อร้านที่เลิกล้มในขนาดใหญ่กว่าเก่า และใช้วิธีการอย่างที่ทำแล้วอีกครั้งหนึ่งก็ได้ จัดการสร้างงานให้แก่ร้านโดยเร็ว และขายไปอีก ภายในเวลา 10 ปี เขาก็จะเป็นคนมั่งมี

ข้อที่สำคัญกว่านั้น ก็คือเขาจะทำรายได้ได้มากโดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ในการที่ได้กำไรจากการขายกิจการหรือใบหุ้นนั้น มิได้ถูกเก็บภาษีรายได้เลย นี้เป็นความจริงข้อสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรจำกันไว้

ถ้าชายผู้นั้นได้กำไร 250 ปอนด์ จากการขายขนมหวาน เขาจะต้องเสียภาษีรายได้ราว 25 ปอนด์ แต่ถ้าเขาได้กำไรจากการขายร้าน 250 ปอนด์ ก็หาต้องเสียภาษีอันใดไม่

ในการที่จะได้กำไร 250 ปอนด์ จากการดำเนินกิจการในร้านของตนนั้น ชายผู้นั้นจะต้องทำงานหนักไม่น้อยกว่า 10 เดือน เขาจะต้องรับใช้คนไม่น้อยกว่า 20,000 คน แล้วยังถูกเก็บภาษีไปอีก 25 ปอนด์

แต่ในการขายร้าน 250 ปอนด์ เขาไม่ต้องทำงานอะไรเลย เสียเวลาอ่านและลงนามในกระดาษสักวันสองวัน งานนั้นก็เป็นอันเสร็จธุระ

ท่านคงจะกล่าวว่า เมื่อเช่นนั้นเขาก็จะไม่มีร้าน เขาจะต้องใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป

จริงทีเดียว นี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดคนทั้งหลายไม่ค่อยจะขายร้านของตนเพื่อรวบเอากำไร เขาต้องใช้ความคิดแน่

เก้าในสิบคนมักจะปล่อยชีวิตให้เลื่อนลอยไป และเพียงแต่หากินไปวันหนึ่งๆ น้อยนักที่จะคิดแล้วทำให้ตนมั่งมี

แต่ในฐานที่เขียนขึ้นสำหรับให้นักคิดอ่าน ไม่ใช่ให้คนปล่อยชีวิตไปตามเรื่องอ่าน ข้าพเจ้าจึงจะได้ชี้ให้เห็นวิธีรวดเร็วกว่า และดีกว่า ทำเงินได้มากกว่าดังต่อไปนี้

การทำเงินมีวิชาเฉพาะ (เทคนิค) ในตัวของมัน ซึ่งข้าพเจ้ากำลังพยายามอธิบายอยู่ และเท่าที่ปรากฏมาแล้วโดยมาก คนที่ทำเงินได้มากนั้น ย่อมได้จากทำอะไรเป็นพิเศษมากกว่าที่ทำไปตามแบบเก่าๆที่เคยทำมาแล้ว

พวกเราทั้งหลาย ถ้ามีอายุถึง 1,000 ปี ก็ต้องมั่งมีเป็นของแน่ แต่ปัญหาเรื่องการเงิน เราจำจะต้องทำงานให้เกิดขึ้นได้รวดเร็วยิ่งกว่านั้น เรามีเวลาสำหรับทำงานสร้างทรัพย์สมบัติเพียง 20-30 ปีเท่านั้นเอง

เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งเคยเขียนจดหมายมาว่า “ฉันเป็นผู้ที่สามารถทำเงินได้มากอย่างสบายอยู่เสมอ แต่ฉันทำไม่ได้มากพอความต้องการ”

นี่ทีเดียวคือที่จุดหมาย ในการที่จะทำให้เงินได้มากพอความต้องการนั้น ท่านจะต้องหาวิธีลัด ท่านต้องรวบโอกาสทุกคราวที่ท่านจะทำกำไรได้

ขอให้พิเคราะห์เรื่องตัวอย่างต่อไปนี้ พ่อค้าชาวลอนดอนคนหนึ่ง ซื้อใบหุ้นบริษัทคิวนาร์ดในราคา 18 ปอนด์ เขาซื้อไว้ 1,000 หุ้น ในเวลา 6 เดือน ราคาหุ้นนั้นขึ้นไปถึง 23 ปอนด์ ถ้าเขาขายหมดในเวลานั้นก็จะได้กำไร 225 ปอนด์

แต่เขาไม่ขาย เขาว่าเขาจะเก็บไว้จนกว่าราคาหุ้นจะขึ้นถึง 28 ปอนด์ ด้วยเห็นว่าจะทำกำไรได้มากกว่าที่เห็นได้แน่แล้วอีกเท่าหนึ่ง

ต่อมาใบหุ้นของบริษัทคิวนาร์ดลดลงมาเหลือ 20 ปอนด์ นับว่าเขาได้เสียโอกาสได้กำไรไปแล้ว จริงอยู่ราคาหุ้นบริษัทนี้อาจขึ้นไปถึง 28 ปอนด์ได้ แต่เขาจะต้องรอเวลาอีกนานนัก ถ้าเขาเป็นคนฉลาดสักหน่อยก็ควรถือโอกาสเอากำไร 25 ปอนด์นั้นไว้ก่อน

ข้าพเจ้าซื้อแม่โคมาในราคา 20 ปอนด์ และถ้าหากว่าในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังต้อนแม่โคนั้นมายังฟาร์มของข้าพเจ้า มีเพื่อนมาพบและชอบใจขอซื้อในราคา 30 ปอนด์ ข้าพเจ้าจะขายทันทีแล้วกลับบ้านพร้อมด้วยความอิ่มใจที่ได้กำไรในวันนั้น

มีคนเป็นอันมากชอบนึกสงสัยเขวไปในเมื่อมีคนมาขอซื้อของตนและให้ราคาสูง เขามักนึกว่า “ก็ถ้าเขาให้ราคาสูงได้ถึงเพียงนั้น ของนี้ก็คงมีราคาแก่เขามาก เพราะฉะนั้นของสิ่งนี้ก็มีค่ามากสำหรับเราเหมือนกัน ไม่ขายดีกว่า”

แต่ความเข้าใจเช่นนี้เป็นความหลงผิด ท่านควรต้องถือโอกาสอันดีทุกคราวในเมื่อเห็นว่าจะทำกำไรได้แน่นอน อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป

ท่านต้องคิดถึงค่าของเวลาเป็นสำคัญ ถ้าท่านได้กำไร 100 ปอนด์ในเวลาเดือนหนึ่ง ย่อมดีกว่าได้กำไร 200 ปอนด์ในปีหนึ่ง

เมื่อใดที่ท่านทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้แจ่มแจ้งฝังใจดีแล้ว ก็พอนับว่าเป็นนักการเงินคนหนึ่งได้ ท่านต้องศึกษาการทำเงินด้วยการทำงานนำหน้าคนอื่นด้วยการใช้ความคิด ด้วยการกะแผนการและด้วยการถือโอกาสรวบเอากำไรในเวลาที่สินค้าราคาขึ้นลง

ผู้ที่ไม่รอบรู้เรื่องอย่างนี้ เช่นพวกสังคมนิยม เบื้องต้น มักถือว่าวิธีนี้เป็นการทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างที่ว่านั้นเลย มันเป็นความสามารถในทางสร้าง เป็นบทบาทการกระทำของผู้ก้าวหน้า เป็นการทำเงินที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ความอนุเคราะห์ และไม่มีภัยอย่างใดแก่มนุษยชาติเลย

ในการทำเงิน เราจะต้องเป็นคนขมีขมันรวดเร็ว ต้องเป็นผู้หมุนตามเหตุการณ์ได้ทันทีทันควัน ต้องไม่เป็นคนแข็งทื่อดื้อยึดมั่นในสิ่งที่ตนเคยทำจนไม่รู้จักมองดูโอกาส

คนทำเงินต้องเคลื่อนไหว ทำทันที ตัดสินใจรวดเร็ว และรวบโอกาสที่มาถึงตน เมื่อใดที่มองเห็นตัวกำไรอยู่ข้างหน้า ต้องจับหัวมันไว้แล้วยัดใส่ถุงทีเดียว

เคยมีนิยายขันๆ เรื่องหนึ่งที่ว่า ชาวประมงคนหนึ่งจับปลาได้ตัวหนึ่งยาวประมาณ 1 ฟุต เขาจับมันโยนลงไปในน้ำแล้วกล่าวว่า “ปีหน้าฉันจะกลับมาจับเจ้าอีก”

ท่านจะจับอะไรได้ จงเอาไว้ อย่าหวังมากนัก การหวังมากเกินไป ทำให้เรากลับต้องเสียสิ่งที่เราได้อยู่แล้ว

ไม่เคยปรากฏเรื่องมาแล้วหรือ ที่ชายคนหนึ่งได้ยึดหลักทรัพย์ของตนไว้มั่นกว่า 30 ปี แล้วในที่สุดก็ต้องขายในราคาที่จะขายได้ในปีแรกโน้น?

การถือโอกาสรวบเอากำไรโดยรวดเร็ว ดีกว่ารอต่อไปเพื่อให้ได้มากกว่านั้น การรอเวลาให้ได้กำไรมากขึ้นกว่าที่ควรจะได้รับแล้วนั้น เป็นของยากสำหรับเราซึ่งเป็นสัตว์มนุษย์ที่มีชีวิตอย่างดีอยู่ในโลกนี้ไม่นานเกินไปกว่า 50 ปีเท่าไรเลย

ชีวิตของเราสั้นนัก อนาคตไม่เป็นของแน่นอน เพราะฉะนั้นอย่าได้ละโอกาสในเมื่อท่านจะได้กำไรในปัจจุบันเป็นอันขาด

จงถือโอกาสทำเงินสดเข้ามาอยู่ในมือโดยรวดเร็ว การได้มาทีละน้อยๆ บวกเข้ากับที่ท่านมีอยู่แล้ว ก็ย่อมทำให้ท่านมีโอกาสทำกำไรในครั้งต่อไปได้อีก จงรวบกำไรของท่าน
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3276918/I3276918.html

บทความจาก หนึ่งในเคล็ดลับทางการเงิน(4)
ในป่าสูงของการเงิน ไม่มีแผนที่และหนทางอันสะดวกทำไว้ให้เดิน ทุกคนมีหวังหลงทาง มากหรือน้อยแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล

แต่มีคนอยู่สองสามคนที่ได้ใช้ชีวิตของเขาอยู่ในป่านั้นตลอดมา รอบรู้หนทางว่าที่ตรงนั้นจะไปไหน และที่แห่งใดคืออันตราย

คนจำพวกที่กล่าวนี้ ที่เราควรไว้ใจมากที่สุดก็คือนายธนาคาร นี่คือเคล็ดแนะนำอีกข้อหนึ่งที่จะช่วยไม่ให้ท่านต้องประสบความเสียหายในการหลงทาง

ในป่าที่ว่านี้ ท่านจะได้พบผู้สมัครอวดตนเป็นคนนำทางอยู่มาก นายหน้าและผู้ส่งเสริมกิจการมีมาก รวมทั้งพวกคดโกงล่อลวงด้วย จะรับอาสาเป็นผู้หาแผนที่และสมุดนำทางให้ท่าน

พวกเขาเหล่านี้จะรับอาสานำทางท่าน ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนเขาจะบอกสิ่งที่ท่านต้องการรู้ให้ทราบทุกอย่าง

แต่ความเป็นจริงนั้น ทันใดที่ท่านเข้าไปในป่าพร้อมด้วยสมุดพก (คือหมายถึงเงิน) ท่านจะต้องได้เผชิญกับผู้ที่เสนอขอให้ความช่วยเหลือแก่ท่านอย่างมากมาย

คนเหล่านี้เป็นจำนวนหลายร้อย ล้วนแต่ได้เคยหลงทางอย่างหมดหวังมาแล้วทั้งนั้น และเขาเหล่านี้แหละเป็นผู้อวดตนว่า จะนำทางท่านไปสู่ “ภูเขาทองคำ” ได้

นี่เป็นธรรมเนียมอันเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อที่สุด เป็นต้นว่า คนที่เจ็บจวนตายกลับแนะนำให้ท่านเดินทางไปสู่ทางแห่งความมีอนามัยดี และคนยากจนอย่างสิ้นเนื้อประดาตัวรับจะนำทางท่านไปสู่ความมั่งมี น่าเชื่ออยู่หรือ?

การรับใช้หรือคำแนะนำของบุคคลในป่าเช่นว่านี้ ไม่มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่านเลย ท่านควรรู้เรื่องนี้ไว้ก่อนจะเข้าไปในป่า ดีกว่าเอาไว้รู้ต่อเมื่อได้ออกจากป่าแล้ว

ทันใดที่สมุดพกของท่านหาย พวกนักนำทางและผู้แนะนำจะหายหน้าไปหมด ท่านจะต้องคลำหาทางไปตามลำพังตัวท่านเอง

ความจริงมีอยู่ว่า เมื่อใครคนหนึ่งเข้าไปหลงทางในป่านั้นแล้ว ต่อมาเขาก็จะกลายเป็นคนนำทาง คือนายหน้านั่นเอง

ถ้าเขาเป็นผู้รู้ทางเดินไปสู่ “ภูเขาทองคำ?” จริง ก็เหตุไฉนเล่าเขาจะมาอาสานำคนอื่นไปโดยได้ค่าป่วยการเพียงเล็กน้อย เขาไปของเขาเสียเองมิดีกว่าหรือ

คำตอบข้อนี้ตายตัวอยู่แล้ว ถ้าท่านต้องการคำแนะนำ จงให้นายหน้าเป็นคนสุดท้ายที่ท่านจะไปหารือเถิด ความจริงอย่างขวานผ่าซากเช่นนี้ยังไม่เคยมีใครกล่าวมาก่อนเลย แต่ถ้าท่านสังเกตโดยทั่วไปแล้ว จะเห็นว่าจริงที่สุด

ถ้าท่านยังสงสัยในความข้อนี้ ขอลองให้ถามนักซื้อใบหุ้นที่เขาเคยซื้อมากว่า 20 ปีนั้นดูเถิด

นายหน้าไม่ใช่คนคดโกง แต่ว่าเป็นบทบัญญัติของเขาที่จะต้องทำเช่นนั้น เขาเองก็ต้องมีบัญญัติสิบประการของเขาเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นคนละอย่างกับบัญญัติของโมเสส

บัญญัติประการแรกของคนพวกนั้น ก็คือว่า “ปล่อยให้พวกลูกค้าเสี่ยงภัยกันเอง” เขาไม่เคยนึกถึงความปลอดภัยให้แก่ใคร เขาคิดอยู่แต่การทำอย่างเดียว “ทำต่อไป” เขาแนะนำไม่ว่าภาวะเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร เขาก็คงแนะนำ “ทำต่อไป” อีกเช่นเดิม

พวกนายหน้าทำให้ทุกคนที่อยู่ในป่าเคลื่อนไหวเสมอ ข้อนี้ขอให้ท่านระลึกไว้ด้วยว่า เพื่อประโยชน์ในการที่จะได้รับใช้คนที่อยู่ในป่าด้วยกันทั้งหมดเป็นอย่างดี

แต่ที่กล่าวนี้ ไม่ได้กล่าวถึงส่วนทั่วไป ข้าพเจ้าต้องการชี้แจงให้ผู้ที่ได้อ่านรู้วิธีที่จะรักษาเงินของตนไว้ และทำให้เงินต่อเงินเพิ่มพูนมากขึ้น

ไม่เคยมีนายหน้าคนใดนอนลืมตาในตอนกลางคืนนึกถึงลูกค้าเก่าๆของตนที่ต้องไปอาศัยในโรงงานคนอนาถาเลย ถ้ามีนายหน้าที่ใจดีเช่นนั้น พวกเขาก็คงเป็นโรคนอนไม่หลับตายกันเสียมากกว่ามากเป็นแน่

ตามปรกติ พวกนายหน้าทำอะไรลงไปก็อาศัยข่าวลือเป็นพื้น ไม่มีหลักเกณฑ์อย่างใด เขาเป็นผู้ย่ำขึ้นลงไปมาในตลาด น้อยนักที่จะพิจารณาโดยอาศัยหลักเกณฑ์จากสถานการณ์ของชาติบ้านเมืองที่กำลังจะเป็นไป

เขาไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศ เขาเป็นแต่ตามลูกค้าของเขาไป ปล่อยให้ลูกค้าเป็นผู้นำไปเอง เขาไม่ใช่ผู้นำทางอะไรเลย เขาเป็นแค่เพื่อนร่วมทางไปด้วยเท่านั้น ถ้าท่านรู้ความจริงข้อนี้แล้ว ก็จะใช้นายหน้าให้เป็นประโยชน์ได้ดียิ่งขึ้น

เขาเป็นแต่เพียงลูกมือช่วยทำงานตามที่ท่านสั่ง เขาจะเป็นผู้รับใช้ท่าน และบอกข่าวดีให้ท่านมีกำลังใจ ช่วยซื้อของที่ท่านต้องการซื้อ ช่วยขายสิ่งที่ท่านต้องการขาย แต่ถ้าเป็นในทำนองผู้นำทางแล้ว เป็นอันไม่มีเลยแม้แต่ลักษณะหนึ่ง

แต่ยังมีคนอีกชั้นหนึ่งในป่านั้น พวกนี้ไม่ทำตัวเป็นผู้นำทาง แต่เขามีความรู้ยิ่งกว่าพวกนำทาง คนพวกนี้คือนายธนาคาร

นายธนาคารเป็นผู้อารักขา เขาเป็นบุคคลผู้ป้องกันเงินมิให้เสียไป เขาเป็นบุคคลที่ให้ ความปลอดภัยทุกชนิด

ถ้าเขาไม่รู้ทางในป่าตลอดปรุโปร่ง อย่างน้อยเขาก็รู้อันตรายที่ซุ่มซ่อนบางแห่งได้เป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ใช้ชีวิตของเขาศึกษาเพื่อรู้แดนอันตรายของป่าการเงินตลอดมา

หลักคิดของนายหน้านั้น มุ่งอยู่ที่ให้ลูกค้าของตนมีการซื้อขายอยู่เสมอ ส่วนนายธนาคารนั้นมีแนวคิดในทางป้องกันมิให้ลูกค้าของตนต้องประสบหายนะ

นายหน้าได้รับรายได้จากค่าส่วนลดในการติดต่อเนื่องจากลูกค้าซื้อหรือขาย แต่นายธนาคารนั้นมีรายได้จากเงินเดือน นี่คือความจริงข้อสำคัญ ซึ่งพอจะอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้งดี

ถ้ากลับกันใหม่ให้นายหน้าทุกคนมีรายได้จากเงินเดือน นายธนาคารมีรายได้จากค่านายหน้า โลกแห่งการเงินคงจะกลับตาลปัตร์กันอย่างน่าแปลกมาก และจะกลายเป็นดีหรือเลวที่สุดนั้น เห็นจะคะเนไม่ถูก

แต่มีความจริงที่ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่งว่า นายธนาคารอยู่ในฐานะอันดีกว่า ในการที่จะให้คำแนะนำแก่ใครๆ โดยตนไม่มีความสนใจในการได้เสียด้วยเลย (คือให้คำแนะนำไปตามตรงโดยไม่ต้องนึกว่าตนจะได้เสียอะไรด้วย ต่างกว่านายหน้าซึ่งต้องนึกถึงประโยชน์ของเขาก่อนอื่น)

มีผู้ฝากเงินน้อยคนที่ใช้ประโยชน์จากนายธนาคารให้เต็มที่ ในตอนต้นแห่งชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้มีบัญชีอยู่ที่ธนาคารถึง 10 ปี จึงได้ออกปากกู้ยืมธนาคาร และเป็นเวลา 14 ปี ที่ข้าพเจ้าขอคำแนะนำจากนายธนาคารในการเอาเงินไปใช้ในการลงทุน

ในสมัยครั้งกระนั้น ข้าพเจ้าเคยไปขอคำแนะนำจากนายหน้าคนหนึ่งและผู้แทนขายบ้านแห่งหนึ่ง นายหน้าทำให้ข้าพเจ้าเสียเงิน 250 ปอนด์ และผู้แทนขายบ้านทำให้ข้าพเจ้าเสียเงิน 1,200 ปอนด์ นี่เป็นเครื่องสอนให้ข้าพเจ้าจำไว้ไม่ให้ไปขอคำแนะนำจากใครที่มีส่วนได้จากค่านายหน้าเลย

เมื่อท่านไปหานายธนาคาร เพื่อขอรับคำแนะนำ ท่านจะช่วยตัวท่านเอง 2 ทาง คือ
1. ท่านอาจได้รับคำแนะนำที่ดีที่สุด
2. ช่วยทำให้นายธนาคารมีความนึกเห็นในตัวดีขึ้นกว่าเดิมและข้อนี้จะทำให้เครดิตของท่านดียิ่งขึ้น

นายธนาคารเป็นเสมือนเพียงผู้ดูเงียบๆในป่าแห่งการเงิน เขาไม่มีเหตุผลที่จะล่อลวงตัวเองหรือลูกค้าของเขาเลย

นายธนาคารเป็นนักศึกษามากกว่าเป็นผู้ยุ่งอยู่ในการงานวุ่นวาย และเป็นผู้มีความรู้ในป่าการเงินมากกว่าที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้นำทาง

เขาไม่สามารถบอกวิธีให้ท่านหารายได้ขนาด 12 เปอร์เซ็นต์ แต่เขาอาจบอกวิธีให้ท่านหารายได้ 6 เปอร์เซ็นต์

เขาบอกวิธีที่ท่านจะทำเงินงอกเป็นสองเท่าไม่ได้ แต่เขาจะบอกได้ว่า ท่านควรรักษาเงินที่มีอยู่ให้คงถาวรอยู่ต่อไปได้อย่างไร เขาจะบอกหนทางไป “ภูเขาทองคำ” ให้แก่ท่านไม่ได้เลย แม้เขาจะได้ความรู้โดยพบเห็นคนอื่นอยู่เนืองๆที่ได้ร่ำรวยอย่างมากมาย ซึ่งบางทีก็เพราะโชค บางทีก็เพราะความสามารถ

นายธนาคารย่อมทำหน้าที่แต่ปลอดภัยทั้งนั้น เพราะเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลข้อสำคัญที่ผู้จะใช้เงินไปลงทุนหาผลประโยชน์ ควรฟังคำแนะนำจากนายธนาคารของตน

ในบางคราวก็มีบุคคลผู้สามารถเข้มแข็งเกิดขึ้น เขาสามารถและเข้มแข็งพอที่จะได้ดีเหนือคำแนะนำของนายธนาคาร แต่ก็ไม่ค่อยมีมากรายนัก

ในสมัยเช่นชั่วอายุเรานี้ ข้าพเจ้าใคร่ขอแนะนำให้นักกิจการค้าทุกคนพึงอาศัย ปรึกษานายธนาคารดีกว่า

ทุกวันนี้นายธนาคารเป็นคนกลาง โลกอยู่บนบ่าเขา ความยุ่งยากทางการเงินระหว่างชาติอันเป็นปัญหาที่นักการเมืองโต้เถียงกันมากมายนั้น ผลสุดท้ายก็ต้องให้พวกนายธนาคารจัดการขบปัญหาแก้ไขให้ ไม่ใช่พวกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ขบปัญหา นายธนาคารเป็นผู้อารักขาเงินของประชาชน เขาต้องยืนตัวเองเสมอ เข้าเป็นผู้ให้นักการเมืองออกคำสั่ง

นายธนาคารมิใช่แต่เพียงผู้รักษาบัญชีเท่านั้นดอก เขาเป็นผู้รักษาเงิน เขาเป็นผู้ที่ได้รักษาความไว้วางใจในการเงิน เขาเป็นผู้นำ แม้เขาจะต้องการเป็นหรือไม่ต้องการก็ตาม

เพราะฉะนั้นเคล็ดลับข้อนี้จึงมีว่า หารือนายธนาคารของท่าน อย่าถือดีหลงเชื่อความรู้น้อยของตัวท่านเอง และอย่าไว้ใจเชื่อใครที่เขาจะได้รับผลประโยชน์จากการจ่ายเงินของท่านเป็นอันขาด
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3278518/I3278518.html
บทความจาก หนึ่งในเคล็ดลับทางการเงิน(5)
“จงซื้อในเวลาราคาตกและขายในเวลาราคาขึ้น” เคล็ดข้อแนะนำข้อนี้มีเพียงสั้นๆ แต่ถ้าท่านปฏิบัติตามได้จริงจังดังว่านี้ ท่านจะทำเงินเป็นกองทรัพย์สมบัติได้มาก

การพูดเช่นนี้ ดูดังว่าทำได้ไม่ยาก แต่อาจกล่าวได้ว่า 1 ใน 1000 คน ที่มีความกล้าพอจะทำได้อย่างนี้อิสระ

เกือบทุกคนมักซื้อในเวลาที่ประชาชนตื่นซื้อ และขายในเวลาที่ประชาชนตื่นขาย

แม้แต่ในตลาดหุ้นและตลาดเงิน ก็คงดำเนินไปตามอาการเคลื่อนไหวของชนหมู่มาก และแม้แต่นักเล่นสเปคคูเลชั่นและนักการเงิน ก็ไม่ค่อยจะดำเนินการตามแนวคิดของตน

ใบหุ้นส่วนบางอย่างมีผู้นิยมมาก และใบหุ้นส่วนอีกบางอย่างไม่ค่อยมีใครนิยม

การค้าบางอย่างกำลังพุ่งสูงขึ้น และการค้าบางอย่างตกต่ำจนไม่มีค่าอะไรเลย

ถ้าท่านเข้าไปในสำนักงานนายหน้า ท่านจะได้ยินเสียงเขาพูดซุบซิบกันเป็นเรื่องประจำวัน และการซุบซิบนั้น ก็ไม่ต่างอะไรไปกว่าการซุบซิบของสาวใช้ในบ้านแอบไปพูดกับหัวหน้าคนใช้ที่รั้วสวนดอกไม้หลังบ้าน

ในตลาดการลงทุน มีชนหมู่มากอยู่ 2 ชนิด คือ พวกผู้ซื้อ กับ พวกผู้ขาย

เมื่อชายคนใดย่างเข้าสู่ตลาด เขาย่อมชอบเข้ารวมพวกทำตามที่ชนหมู่มากชอบทำกัน นี่แหละจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นฝ่ายเสียเงิน

พวกเราโดยมาก แทบกล่าวได้ว่าทุกคน ติดนิสัยตามอย่างชนหมู่มากด้วยกันทั้งนั้น

เราชอบตามชนหมู่มากไป ชนหมู่ที่ใหญ่ที่สุดเหมือนฝูงโคและโขลงช้างฉะนั้น

เราทำตามอย่างที่คนอื่นทำ เพราะว่ามันเป็นของง่ายและน่าชื่นชมดีกว่า เราไม่ค่อยชอบใช้ความคิดของเราเองเสี่ยงภัยนัก และไม่กล้าต้านทานความไม่น่าเป็นมิตรของคนทั้งหลาย

กล่าวสั้นๆก็คือ เราชอบลอยละล่องไปตามน้ำตามลม สุดแต่ว่าชนหมู่มากเขาจะเฮโลสาละพาไปทางไหน เราชอบทำเช่นนี้ในการเงิน อย่างเดียวกับที่ทำในการเมืองการศาสนา หรือความคิดของประชาชนทั่วไป

เราไม่ค่อยเชื่อตัวเราเอง เราชอบปล่อยให้ความเห็นของคนหมู่มากจูงเราไป เช่น ความเห็นของเพื่อนบ้านบ้าง เพื่อนร่วมชาติบ้าง และหนังสือพิมพ์บ้าง

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หนังสือพิมพ์

หนังสือพิมพ์เป็นต้นเหตุให้ประชาชนหมู่มากเห็นตามนี้เป็นของธรรมดา

บรรณาธิการและผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์นั้น มิได้ใช้ความคิดยิ่งไปกว่าประชาชนธรรมดาเลย ถ้าจะว่าไปแล้วใช้ความคิดน้อยกว่าเสียอีก แต่พวกนักหนังสือพิมพ์มีหน้าที่ต้องการขายการพูดของตน

พวกนักหนังสือพิมพ์นั้น เขาจะรู้อะไรบ้างหรือไม่ก็ตาม แต่เขามีความจำเป็นต้องพูดอะไรๆทุกวัน

การพูดไม่รู้หยุดหย่อน และเน้นคำพูดให้หนักแน่นย่อมก่อให้เกิดอิทธิพลเหนือประชาชน คนโดยมากหาใช้ความคิดไม่ เป็นแต่เพียงชอบอ่าน เพราะฉะนั้นจึงเป็นงานง่ายของหนังสือพิมพ์ ที่จะมีคำสั่งให้ประชาชนเชื่ออย่างไรก็ได้

คนทั้งหลายมีความเชื่อถือยึดมั่นอยู่ว่า ถ้าทำตามชนหมู่มากแล้ว ย่อมเป็นการปลอดภัยดี ความข้อนี้ยอมรับว่าเป็นความจริงในการเมืองและขนบธรรมเนียม แต่ไม่จริงในโลกการเงิน

ในโลกการเงิน ชนหมู่มากเป็นฝ่ายเสียหายเสมอ นี้เป็นความจริงที่น้อยคนจะรู้ ผู้ใดที่รู้หลักอันนี้ ก็เก็บความรู้ไว้กับตนคนเดียว ไม่บอกให้ใครทราบ

การเงิน เป็นเรื่องตรงกันข้ามกับการเมืองอย่างจริงจัง ข้าพเจ้าเชื่อว่า แม้ในบรรดานักการค้าด้วยกันก็รู้ความจริงข้อนี้น้อยคน

การเงินไม่แคร์อะไรเลยในด้านคะแนนเสียงข้างมาก ค่าของเงิน มิใช่อยู่ที่คะแนนเสียง

ในเวลาเดียวกัน เป็นความจริงอยู่ว่า ความเห็นของประชาชนส่วนมากทำให้ราคาขึ้นและลง

เมื่อมีคนยี่สิบคนต้องการซื้อใบหุ้นส่วนบริษัทหนึ่ง และมีคนต้องการขายห้าคน ราคาก็สูงขึ้น

แต่นักลงทุนที่ฉลาด ย่อมไม่ซื้อในเวลาที่ชนหมู่มากซื้อ และไม่ขายในเวลาที่ชนหมู่มากขาย เขาคงแยกตัวออกจากคนทั้งหลาย รอรวบประโยชน์ในการเคลื่อนไหวของราคา

ในการเมืองนั้น ถ้าเลือกเอาทางปฏิบัติตามชนหมู่มากที่สุด ท่านก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ในการเงินถ้าท่านต้องการเรียนให้รู้ศิลปะอันยากของการลงทุนและสเปคคูเลชั่น ท่านต้องเลือกเอาข้างชนหมู่น้อย

อย่าซื้อในเมื่อมีผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย มิฉะนั้นท่านจะเสียเงินซื้อของแพงเกินไป อย่าขายในเมื่อมีผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ เพราะจะทำให้ท่านไม่ได้เงินตามค่าของสิ่งที่ขายไป ตามราคาอันควรได้

เศรษฐีคนหนึ่งเคยบอกข้าพเจ้าว่า “จงซื้อหมวกฟางในฤดูหนาว”

จงซื้อเมื่อถึงคราวที่มีผู้รีบขายกันมาก และจงขายเมื่อถึงคราวที่เขาจะรีบซื้อกันมาก

ราคาย่อมขึ้นลงอยู่เสมอในตลาดการค้า เมื่อมีการพุ่งขึ้นสูงสุดครั้งหนึ่งแล้ว ก็ย่อมตกต่ำลง การที่ราคาพุ่งขึ้นสูงทุกคราว จะต้องมีการตกต่ำตามหลังเสมอ และเมื่อมีการตกต่ำแล้ว ราคาก็จะกลับพุ่งสูงขึ้นอีก

ชนหมู่มากย่อมมิได้มองเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนเลย ชนหมู่มากมักเป็นฝ่ายโง่เสมอ ชอบคิดถึงแต่ประโยชน์ในปัจจุบันอย่างเดียว

นี่เป็นเหตุผลที่ว่า เหตุไรชนหมู่มากตื่นซื้อของในเวลาที่ราคาสูงขึ้น และตื่นขายในเวลาที่ราคาตกต่ำ พวกเขามักชอบคิดกันเหมือนดังว่า เหตุการณ์ในปัจจุบันจะเป็นอยู่เช่นนั้นชั่วนาตาปีจนวาระสุดท้าย

คนโดยมากมักมีความเห็นข้างดีในเวลาที่ราคาสูงขึ้น และมีความเห็นด้านร้ายเมื่อราคาตกต่ำ ถูกล่ะ ทำเช่นนั้นก็เหมาะสำหรับคนที่ไม่ใช้ความคิดอะไรเพราะเป็นของง่ายดี

แต่บุคคลผู้ทำเงินได้นั้น คือผู้ที่มีความเห็นด้านร้ายในเวลาที่ราคาพุ่งสูงขึ้น และมีความเห็นในด้านดีเวลาที่เกิดความตกต่ำ

พึงซื้อจากผู้มีความเห็นในด้านร้าย

พึงขายแก่ผู้ที่มีความเห็นในด้านดี

นี่คือข้อสำคัญที่กล่าวในอีกรูปหนึ่ง ทั้งนี้หมายความว่า ให้เอาตัวออกเสียจากพวกชนหมู่มากในการซื้อขาย และถือโอกาสรวบเอาประโยชน์ในเวลาที่ราคาเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง

มีน้อยคนที่มีความกล้าพอจะทำดังนี้ได้ แต่เมื่อเขาทำได้ เขาก็ได้ผล คือร่ำรวยสมกับความกล้าเสี่ยงของเขา

เขาเหล่านั้นเป็นผู้รั้งให้เกิดความมั่นคงในตลาด เป็นผู้ห้ามไม่ให้ชนหมู่มากตื่นเตลิดไป ชนอะไรต่ออะไรพังหมดในเวลาที่คนหมู่มากตื่นเตลิด ย่อมจะเกิดความเสียหายยิ่งกว่าโคกระบือตื่นเสียอีก

ถ้ากันเอาพวกนักเลงสเปคคูเลชั่นที่ถืออิสระดังกล่าวนี้ไปเสียจากตลาดการค้าหุ้นแห่งใด ภายในเวลาปีเดียวตลาดการค้าหุ้นก็ต้องปิด ความพังพินาศจะเกิดขึ้นจากการตื่นเตลิดของชนหมู่มาก ในเมื่อเกิดราคาพุ่งสูงขึ้นหรือราคาตกต่ำลง

ความจริงข้อนี้ พวกสังคมนิยม และศาสตราจารย์หัวคอมมิวนิสไม่ยอมเข้าใจกันเลย

เขาหารู้ไม่ว่า ในเวลาที่คนตื่นเตลิดในความหวังก็ดี และตื่นเตลิดในความกลัวก็ดี ถ้ารั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้วจะเกิดผลร้ายเป็นภัยแก่ชาติเพียงไร

ชนหมู่มากทุกพวก ต้องรั้งให้อยู่ในเวลาเกิดตื่นเตลิดขึ้น ความข้อนี้เป็นหลักสำคัญที่ผู้นำของประเทศย่อมยึดถือ การรั้งมิให้คนตื่นจนเตลิด ก็จำเป็นในตลาดการเงินอย่างเดียวกับการเมือง

ฉันใดที่หนังสือพิมพ์มีความมุ่งหมายทำให้ประชาชนตื่นเต้น นักการเงินที่รักชาติมีความเข้มแข็งมั่นคง ก็มีความมุ่งหมายที่จะรั้งประชาชนในตลาดการเงินให้อยู่และมีความรู้สึกผิดชอบฉันนั้น และการใดที่ช่วยรั้งให้ชนหมู่มากหายตื่นนี้เอง เขาก็ได้รับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ

ธรรมชาติของมนุษย์เรานี้ดูเป็นที่น่าประหลาดอยู่ ในเวลาที่ของราคาสูงนั้น ก็คิดว่าราคาจะสูงยิ่งขึ้นไปอีก และเมื่อราคาตกต่ำลดลง ก็คิดว่าจะตกลงไปกว่านั้นอีก

แต่ความจริงนั้นย่อมมีการหมุนกลับเสมอ เมื่อใดที่อะไรราคาสูงขึ้น นั่นเป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ว่าจะตกลง และเมื่อใดที่อะไรราคาตกลงมากก็ย่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ถึงว่าราคาจะกลับสูงขึ้น

ราคาย่อมขึ้นแล้วลง ลงแล้วขึ้นอยู่มิได้ขาด ความเปลี่ยนแปลงของราคาเป็นไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง จากความหวังหรือความกลัวของคนหมู่มากอีกอย่างหนึ่ง สะท้อนขึ้นลงเหมือนกระแสคลื่น

ความตื่นของชนหมู่มากดังกล่าวนี้ เป็นเหตุให้ราคาขึ้นและลงเหนือหรือต่ำกว่าระดับราคาอันแท้จริง แต่น้อยนักที่จะขึ้นแล้วก็ขึ้นหายไปเลย หรือตกก็ตกเรื่อยไปเลย

ตามปรกติ ความหวังและความกลัวของประชาชนหมู่มาก ได้ปล่อยให้เป็นไปเกินขนาดมากไป ทันใดที่ปรอทความกดดันเคลื่อนที่ไปแล้ว ราคาก็จะเหวี่ยงตัวกลับมาใกล้เคียงกับมูลค่าแท้จริงของสิ่งนั้น
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3279834/I3279834.html




 

Create Date : 15 กันยายน 2548   
Last Update : 15 กันยายน 2548 15:40:27 น.   
Counter : 710 Pageviews.  

หนีหนี้ กันดีกว่า : ไม่มี ไม่หนี ขอจ่ายเป็นงวด ๆ :)

เราส่วนใหญ่ทุกคน ล้วนจมอยู่ในกองหนี้ ฉันแน่ใจเลยว่าคุณคงเคยได้ยินเรื่องราเหล่านี้ ที่อาจจะเป็นคุณหรือคนข้าง ๆ คุณก็ได้
หนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะมีอิสระภาพทางการเงินคือการอยู่ให้ห่าง ๆ หนี้ (เสีย) และมี หนี้ (ดี) เยอะ ๆ
...............................
ในปี 1985 โรเบิรติ์ กับ ฉัน จมอยู่ในกองใบเสร็จของหนี้ (เสีย) ทุกลมหายใจของเราคือการหาเงินมาใช้หนี้เหล่านี้ทุก ๆ เดือน ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่มีวันจบสิ้นได้เลย เราจ่ายเงินจำนวนที่มากกว่าเงินที่ต้องจ่ายขั้นต่ำทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้กู้ซื้อรถ ฯลฯ ซึ่งมันเป็นทางเดียวที่เรารู้ นั่นคือเหตุการณ์เมื่อเวลานั้น
...............................
“จงอยู่กับสูตรที่คุณใช้ “
โรเบิรติ์ กับ ฉัน ใช้สูตรนี้ตอนที่เรากำจัดหนี้เสียออกไป เรามั่นใจว่าสูตรนี้จะทำให้คุณกำจัดหนี้เสียได้เร็วกว่าที่คุณคิด
สิ่งสำคัญก็คือ “จงอยู่กับสูตรของคุณ” คุณจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยถ้าพูดว่า “ขอข้ามการจ่ายหนี้ในเดือนนี้ไปก่อนเถอะ” หลังจากนั้นมันจะมีเดือนที่ที่สอง เดือนที่สาม แต่ถ้าคุณเริ่มต้นทำมันอย่างจริงจังมันจะกลายเป็นนิสัยของคุณ
...............................

นี่คือสิ่งที่เราใช้
1. เลิกสะสม ๆ หนี้ (เสีย) อะไรก็ตามที่คุณใช้บัตรเครดิตซื้อมาในเดือนนั้น ๆ ชำระมันให้หมดซะ (ไม่มีข้อยกเว้น)


2. ทำรายการ หนี้ (เสีย) เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้กู้ซื้อรถ หนี้กู้ซื้อบ้าน ทุก ๆ รายการลงในกระดาษ


3. จัดรายการเหล่านั้นโดยมีรายละเอียดดังนี้
a. จำนวนหนี้
b. เงินขั้นต่ำที่ต้องชำระในแต่ลเดือน
c. จำนวนเดือนที่ต้องชำระ


4. จัดลำดับรายการ หนี้ (เสีย) โดยให้จำนวนที่น้อยที่สุดที่ต้องชำระอยู่บนสุด ใส่หมายเลขจากน้อยไปมาก นี่คือลำดับขั้นที่คุณพร้อมจะจัดการ หนี้ (เสีย)
สาเหตุที่เราเอาหนี้จำนวนน้อยที่สุดไว้ข้างบนก็เพื่อว่า คุณจะได้ประสบความสำเร็จเร็วที่สุด เมื่อคุณชำระรายการแรกได้แล้ว คุณจะเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์


5. จ่ายเพิ่มเติม 150 $ – 200 $ ต่อเดือน ถ้าคุณจริงจังกับการชำระหนี้และต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน คุณควรสามารถหาเงินเพิ่มเติมจากรายได้ประจำ 150 $ – 200 $ ต่อเดือน เราคิดว่าถ้าคุณไม่สามารถหารายได้เพิ่มเติม 150 $ ต่อเดือนได้แล้วโอกาสที่คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินลดลงไปเยอะเลยที่เดียว

6. จ่ายหนี้ในรายการของคุณด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ ยกเว้น รายการ ที่ 1 ให้จ่ายด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ บวกกับจำนวนรายได้เพิ่มเติม 150 $ – 200 $ ทำอย่างนี้ทุกกเดือน จนหนี้รายการที่ 1 ของคุณถูกชำระหมด กำจัดรายการนั้นทิ้งไป

7. จงยินดีกับตัวเอง คุณทำสำเร็จแล้ว 1 รายการ ไปฉลองก็ได้ (แต่อย่าก่อหนี้เพิ่มนะจ้ะ ผู้แปล)

8. ในเดือนถัดมา ทำเหมือนข้อ 6 ยกเว้นรายการที่ 2 จ่ายด้วยจ่ายด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ บวกกับจำนวนรายได้เพิ่มเติม 150 $ – 200 $ บวกกับ จำนวนเงินขั้นต่ำที่คุณชำระให้รายการที่ 1 (ชำระหมดแล้ว นำเงินขั้นต่ำมาชำระรายการที่ 2 แทน)

เมื่อรายการที่ 2 ถูกชำระหมด ทำซ้ำอย่างนี้กับรายการที่ 3 คุณจะแปลกใจว่า จำนวนหนี้ของคุณจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งหนี้กู้ซื้อรถ หนี้กู้ซื้อบ้าน

ทำซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนรายการ หนี้เสีย ของคุณถูกกำจัดหมด

9. ตอนนี้ล่ะถึงจะเป็นเวลาสู่อิสระภาพของคุณ จำนวนเงินในเดือนสุดท้ายที่คุณใช้ชำระหนี้ ในเดือนถัดมาทุก ๆ เดือน เมื่อคุณไม่มีหนี้เสีย ให้ชำระแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ จ่ายให้กับคุณเองในการนำไปซื้อ “สินทรัพย์ “ ที่จะก่อให้เกิดรายได้กับคุณทุก ๆ เดือน

ถ้าคุณทำซ้ำ ๆ กัน ไปเรื่อย ๆ เราคิดว่าคุณน่าจะออกจากสนามแข่งหนูได้เร็วกว่าที่คุณคิด
...............................

หมายเหตุผู้แปล เป็นสูตรหนึ่งของ Kim & Robert ง่าย ๆ และเป็นระบบ ในการทำ แต่ต้องอาศัยวินัยนิดหน่อยนะครับ
แปลจาก How We Got Out Of Debt
By Kim Kiyosaki




 

Create Date : 15 กันยายน 2548   
Last Update : 15 กันยายน 2548 15:19:01 น.   
Counter : 1906 Pageviews.  

The Money Tree Formula

The Money Tree Formula
Robert G. Allen
10/4/2002
I've got some good news and I've got some bad news.
First, the good news.
If you’re like the average person, earning at least $25,000 a year, then, in your lifetime over a million dollars will flow through your fingers. That's a lot of money. In other words, you’re a lifetime millionaire.
Now, for the bad news. If you're like most people, you'll spend it all, and, after a lifetime of earning, will end up with almost nothing.
How can that be?
Frankly, nobody teaches us about money. We receive no formal education in the most critical of all life skills--how to become financially successful. Did you ever attend a class in all of your public education entitled, "Money 101?" Why isn't there such a mandatory class in every elementary school?
How have you learned what you know about money? You picked it up, a piece here...a tip there. You absorbed attitudes from your parents, from the media. You observed the examples of friends. You proceeded through trial and error...the school of hard knocks. What you learned was haphazard, mostly wrong, certainly out of context. Most of the books you read about the subject probably overwhelmed you with details or bored you with useless facts. If you're like most, you're confused and frustrated.
Yet, money is one of the most important subjects of your entire life. Some of life’s greatest enjoyments and most of life’s greatest disappointments stem from your decisions about money. Whether you experience great peace of mind or constant anxiety will depend on getting your finances under control. Your relationships will be greatly affected. 90% of all divorces in our society result from disagreements about money. Understanding money--how to make it and keep it-- is absolutely essential to your life, to your relationships, to your happiness, to your future.
Still, there are some people who seem to be naturally good at managing money. The same million dollars flows through their fingers, and, they seem to know how to keep some it and even make it grow. In some cases, a hundred fold more than the average person.
Do these people work 100 times harder? Are they 100 times smarter? Of course not. They just know how to play the game. You see, money is a game. A very important game. If you know the rules, you win. If you don't know the rules, you lose. As someone said,
"Wealth is when small efforts produce big results.
Poverty is when big efforts produce small results."
In this book, you will finally learn how to play the money game...and win. If you follow these simple strategies, you can retire a multi-millionaire...while enjoying a banquet of prosperity throughout your life. You will learn a simple system for controlling your finances. You will learn how to invest your surplus funds without losing sleep at night. You will learn how to create multiple streams of lifetime income. You will learn how to oversee your growing financial empire on as little as ten minutes a day. You will learn how to leave a financially secure future to your family and loved ones.
You may wonder how I qualify to be your instructor.
I started myself in the seventies, perhaps just like you, with a dream of becoming financially independent. After graduating with a Masters Degree in Business Administration (MBA) from Brigham Young University in 1974, I began investing in small real estate investments and parlayed a tiny nest egg into a large multi-million dollar net worth in a few short years. Along the way, I also suffered my share of setbacks. I've not only made millions but lost millions...and made them back again. I know from the school of hard knocks what works and what doesn't.
I shared my powerful systems in the #1 New York Times bestseller, Nothing Down: How to buy Real Estate with little or no money down. This book became the all time real estate investment classic used by beginning investors ever since.
I also wrote two other major bestsellers, the #1 New York Times Bestseller, Creating Wealth, and The Challenge. In promoting this last book I made the bold statement:
"Send me to any unemployment line. Let me select someone who is out of work and discouraged. In two days time, I'll teach them the secrets of success and in 90 days they'll be back on their feet with $5,000 cash in the bank, never to set foot in an unemployment line again!"
The Challenge is the true story of how I selected 3 people from the unemployment lines of St. Louis, Missouri and taught them the secrets of financial success...and, yes, they were able to achieve incredible success in 90 days. One of the couples went on to earn over $100,000 in the next 12 months. To celebrate, I took them on Good Morning America with me.
What I am about to share with you is the result of having worked with thousands of successful people over two full decades. I have seen people go from living on the streets to living in mansions...from driving a taxi to being driven in limousines.
Although my most famous book is about real estate investing, this book will show you how to create wealth in many different ways...from multiple sources. Actually, there are three great wealth creation mountains. I call them Money Mountains. Each mountain is distinct from the others, and yet, each share similar characteristics. The mountains are: the Investment Mountain, the Real Estate Mountain and the Marketing Mountain.
From this mountain range of Money Mountains, there are at least 9 separate and distinct streams of income flowing into your growing reservoir of wealth. Each stream was carefully chosen using a formula I use call the Money Tree Formula. In this book, I will teach you the 9 characteristics of the ideal stream of income. Then, I will teach you exactly how to profit from each of these streams. The goal is for you to add at least one new stream of income to your life each year. Eventually, these streams will overflow your life with prosperity and freedom.
The first question people usually ask at this point is, "Why Multiple Streams?"
The Wisdom of Multiple Streams of income.
How many streams of income did it take in the 1950’s for a family to survive? One. Today, very few families can survive on less than two streams of income. And that won’t be enough in the future. It’s a volatile future. You’d be wise to have multiple streams of income flowing into your life.
Prosperous people have always known this. If one stream dries up, they have many more to support them. Ordinary people are much more vulnerable. If they lose one of their streams, it wipes them out. And it takes them years to recover.
In the future, people will need a portfolio of income streams -- not one or two -- but many streams from completely different and diversified sources. So that if one streams goes, you barely feel the bump. You’re stable. You have time to adjust. You’re safe.
Do you have multiple streams of income flowing into your life at this time? Maybe it’s time to add another one.
The Power of Residual Streams of Income
So let’s assume that you’ve decided to add another stream of income to your life. You could always get another part time job, but that’s not the kind of income I’m talking about. You certainly don’t want to get stuck on somebody else’s treadmill. You want the kind of streams that you can own.
I’m talking about residual income. That’s a fancy term for a "recurring" stream of income that continues to flow whether you’re there or not. I’ve heard too many small business owners say, "I haven’t taken a vacation in 5 years." There’s something wrong with that picture. I don’t have anything against hard work. But after a few short years of hard work, you should be free to have your streams of income forwarded to your mailbox in Tahiti. Get the picture?
Two Types of Streams: Linear and Residual
Not all streams of income are created equal. Some streams are linear, and some are residual. Here’s the question that tells you whether your income streams are linear or residual:
"How many times to you get paid for every hour you work?"
If you answered, "only once," then your income is linear. Income streams from a salary are linear. You only get paid once for your effort. And when you don’t show up for work, neither does your paycheck.
With residual income you work hard once, and it unleashes a steady flow of income for months or even years. You get paid over and over again for the same effort. Wouldn’t it be nice to be compensated hundreds of times for every hour you work?
For example, as I mentioned earlier, I published a book in 1980 called Nothing Down: How to Buy Real Estate with Little or No Money Down . I put in over 1,000 hours of hard work writing Nothing Down before I earned a single penny. Teenagers working at McDonald’s earned more than me. But, I wasn’t looking for a salary. I wanted a royalty. So I was willing to sacrifice. It took over two years before the money started to flow. But it was worth the wait. I’ve now earned millions of dollars in royalties. And every six months I still get nice royalty checks. That’s the power of residual income...it keeps flowing and flowing and flowing.
Here’s another example. Have you seen that tiny battery tester on the Duracell battery? I’m told that the inventor presented his idea to the big battery companies. Most turned him down, but Duracell saw the genius of it and agreed to pay just a few pennies per battery pack for his idea. And now he makes millions, because those residual pennies add up. In essence, he invested many hours of his time to create the concept, to package it and then to sell it. And now it generates a raging river of residual riches to him and his family. And the best part about it – HE DOESN’T HAVE TO BE THERE! It flows without him.
Linear vs. Residual. Do you see the difference?
The secret of the wealthy is not that they have more money but that they have more TIME freedom. Because many of their streams are residual, they have time to spend on anything they want.
When you view people’s lives through the filter of residual income, many groups of people aren’t as wealthy as they appear. Doctors and dentists don’t earn residual income from their labors. Their income potential is capped. They can only see a fixed number of patients in a day. And they have to be there for every single one of them. That’s linear.
The same holds true for top sales people, chiropractors and attorneys. Most of them don’t enjoy the power of residual income either. They may appear to be rich but they’re on a treadmill just like the rest of us.
What percentage of your income is residual? If you’re smart you’ll start shifting your income streams from linear to residual. This will give you the time freedom to do what you want when you want. And that starts with turning on at least one new residual stream this year.
There are many, exciting new ways of creating residual income
Do you know who Warren Buffet is? He’s the smartest stock picker in history and the wealthiest investor in the world with a net worth in the tens of billions. What if Warren Buffet himself were to call you on the phone and give you a hot stock tip. He tells you to sink every penny into a certain stock. He says that he’s invested a couple of hundred million of his own money and he feels the stock is a sure bet to double or triple in value. What would you say to him? "Sorry Warren but I like to pick my own stocks by throwing darts at the Wall Street Journal!" Would you listen to the master or continue to do things your own way?
Well, I’m no Warren Buffet, but through my books and seminars I’ve probably helped to create more millionaires than he has. If I were to guess, it’s probably in the thousands of millionaires. And this book contains all of my "hot streams" for the new millennium.
It’s where I’ve sunk a huge amount of my own time and effort. What I am about to share with you are the best opportunities I’ve seen in 20 years. They are certain to create many residual millionaires in the next 10 years. You could be one of them.
The Money Tree Formula
The first step to picking the right income streams is to pass them through the filter of the Money Tree Formula -- the 9 essential characteristics of the ideal income stream
Having a money trees assumes that you have an exhaustible, effortlessly generating, stream of cash flow which doesn’t require your presence. In order to do this, you must be in a position to create, control and own that stream of income. Another way of saying the same thing, is you must become an entrepreneur...a business person. You may still retain your employee position, but on the side, as a way of protecting your long term financial future, you need to create additional streams of income. ASAP
I remember watching TV recently as a couple was being interviewed about being laid off from a long term job position. The wife looked into the screen and said, with tears in her eyes, "For 17 years we worked hard for our security, and now we’re out in the cold. It’s not fair." I wanted to reach through the television set and tell her, that for 17 years she had the illusion of security. She wasn’t secure, she just thought she was. Working for someone else, unless you own a piece of the profits, is not security. It’s just the illusion of security.
The Money Tree formula
If you’re going to become a home based entrepreneur, you’d better learn which businesses have the potential for creating lifetime streams of income and which ones are just a dead end way to make a few extra bucks before they peter out and die. I’d like to teach you a formula for the perfect business in the next century. I call it the Money Tree formula and it will be very easy for you to remember because it spells the word MONEY TREE...
M in the Money Tree formula stands for Multiple Streams of Income
Multiple Streams of Income
The first goal in starting your own home based business is to add another stream of income to your life as a safety net for when other of your streams of income dry up. But the home based business you select should be a source of more than just one stream of income. It should eventually be a source of multiple streams of income all by itself.
For example, suppose you’re considering buying an existing restaurant. What possibility will you have to grow? Can you add more shops? Is your idea franchisable? Can one of your food entree’s be sold nationwide as a frozen item? Can you license your special cooking secrets to other restaurants. Is there a cookbook in there somewhere? What about bottling and selling your special sauces? Get the drift? Don’t even consider a business that doesn’t have expansion potential for additional streams of income. That’s why the first M in the formula reminds you of Multiple Streams of Income.
The O in the Money Tree formula stands for outstanding.
Outstanding product or service
If your product, service or information isn’t distinguishably excellent it will eventually become a casualty of competition. The goal of creating a money tree is to do the work once and to have the money flow for the rest of your life. What good does it do to create a business and eventually have it succumb to competition. In order for your source of income to survive through the next ten recessions...as there will be many more recessions in your lifetime...you must select a product, service or source of information that has the possibility to be permanently and perpetually profitable. When times get tough, people gravitate either to price or to quality. Don’t get stuck in the middle. That’s a sure formula for disaster. And don’t compete with the rest of the world on price. Make sure the quality of your produce is outstanding...the best in the world at a fair price. And you have a good chance of succeeding long term.
The N in the Money tree formula stands for Nothing Down.
Nothing Down
Why nothing down? Well, it doesn’t have to be completely zero down...but as little of your own money as possible. If you’re like most people, you probably don’t have a couple of hundred grand lying around to invest in your business. But what if you do have a nice chunk of cash. Should you run out and find a business to match your money and launch in? I think that one of the greatest curses is to have a lot of money to put into a new business.
Suppose you want to buy a hot franchise. It might cost you $100,000 and that’s just for the franchise rights. Then, you need to purchase inventory, leasehold improvements, special equipment. And what do you get? For most franchises, you get the right to be tied to a business 12 hours a day, to manage a lot of undereducated, under motivated employees, and make a steady paycheck for yourself. In a sense, you are just buying yourself a job. Why spend tens of thousands of dollars of your own money just to buy yourself a job...with a lot of risk?
I’m going to show you businesses that you can launch with little risk, little or no money down and the possibility of creating what I call "walk away" cash flow --money that flows to you whether or not you show up.
The E in the Money tree formula stands for "Employee-resistant."
Employee-resistant
That’s right...you don’t want employees. Employees are dangerous! They begin to feel they are entitled to their jobs. ("You can’t fire me. I own this job." ) The rapid increase in employee/employer litigation should be enough to convince you that you want to find a home based business that can be done by yourself, with a very low employee to income ratio.
I used to be the president of a seminar company with over two hundred employees. I made the decision to downsize when one of the employees sued me for age discrimination. He was in his late sixties when he came to work for us and when we layed him off during an economic downturn, he slapped us with a $500,000 lawsuit. We settled out of court for $2,000 but that was the last straw. I decided to never again put myself in a position where one disgruntled employee and his smart attorney could take it all away.
Today, I have zero employees. I make as much today as I used to make with 200 times less hassle. I like it that way. All of my streams of income can be monitored from a telephone anywhere in the world on only a few hours a day.
A friend of mine, Dan Kennedy puts it this way, "When it comes to employees, hire slow and fire fast." Most business people do just the opposite. They hire fast and fire slow. I say, try to find money tree businesses that don’t require any employees and then you don’t have to worry about either hiring or firing.
The Y in the Money tree formula stands for the world "Yield"
Yield
The streams you choose should be high yielding, high profit cash cows. Five years ago a friend of mine, Collette, started such a home based business. In less than a year she was making about $10,000 per month. What’s more, this business was a money tree business. It generates cash flow even if she stops working! But why stop when she is having so much fun? Today, after five years, she has grown her business till she now earns over $500,000 a year net, net, net.
What’s the yield on that kind of income? It’s the equivalent of having TEN MILLION DOLLARS in the bank earning only 5% interest! That’s my idea of yield. In this book I’ll be sharing exactly how Collette did this...as well as other business that meet the same kinds of money tree characteristics.
The T in the Money Tree formula stands for the words Trend and Timing.
Trend and Timing
Starting a business against the trend is like swimming up stream against the current. . Running a business is hard enough without trying to swim upstream. But when you choose a business that is with the trend it’s like floating downstream with the current. How do you select a business that’s on trend?
The first time I started a business was just after college. I started buying real estate...and as luck would have it...it was the exact right time. The baby boomers wanted real estate and the demand drove prices upward. Anyone who owned property made a killing. You could almost do no wrong.
Then, I started teaching people how to buy real estate with little or no money down. My little classified ads brought hoards of calls. It was a feeding frenzy. I was on trend. My seminar businesses took in more than a hundred million dollars in the next decade.
The secret is to get in front of a trend and ride the wave. The biggest wave of our century is the Baby Boom – 76 million people. This generation is four times the size of the previous generation. As this mass of humanity rolls forward through time it creates a huge demand wave. Picking businesses which are at the leading edge of this age wave has created thousands of fortunes. You need to make sure that your new business is leading this trend and not following it. It can make a huge difference in your lifestyle.
The R in the Money Tree formula stands for Residual
Residual Income
We’ve already talked about the importance of this part of the Money Tree formula.
But to emphasize this concept even further, let’s compare it to an escalator. Have you ever walked up a down escalator...the wrong way? When you walk up the down escalator, you have to walk fast just to stay in the same place. And to get to the top, you have to walk at double speed. People on the Up escalator don’t have to work hard at all. They just stand there holding the hand rail and the escalator takes them to the top.
These two escalators represent the two kinds of income that you can earn...linear income and residual income. Our economy is a down escalator. You work hard for your money but with inflation you have earn 3-5% more next year just to stay in the same place. But this puts you in higher tax brackets. The more you make the more they take. It seems you work harder and harder without making any progress. Your bank account balance earns 2% and your credit card balance costs you 20%. You’re going in the hole 24 hours a day. You wonder why you can never catch up. And if you stop...the escalator just takes you right back down to the bottom.
That’s what it’s like to earn linear income. When I think of this kind of income I think of how they catch monkeys in Africa. A native takes a coconut and cuts off one end to make a small hole just the size to allow a monkeys fist to enter. To the other end of the coconut they attach a long cord. They place a few peanuts inside the coconut, place the coconut in the middle of a clearing and hide behind a tree to wait for the monkeys to come. The monkeys come and smell the peanuts inside the coconut shell. One monkey reaches inside the shell to grab the peanuts, but with the peanuts inside, his fist is too large to escape the hole in the coconut. And then the native yanks on the cord and hauls that silly monkey to captivity because the monkey will not let go of those peanuts to save his skin.
Are you working for peanuts?
If you’re walking up the down escalator, you are caught in a Monkey Trap. What you want is Up Escalator Income. Which escalator are you on?
Here’s a list of the many types of residual income that you want to be exploring:
Savers earn interest
Song writers earn royalties on their songs.
Authors, like myself earn royalties from their books and tapes.
Insurance agents get residual business
Securities agents get residual sales.
Network marketers get residual commissions
Actors get a piece of the action
Entrepreneurs get business profits.
Franchisors get franchising fees
Investors get dividends, interest and appreciation.
Visual artists get royalties from their creations
Software creators get royalties.
Game designers get royalties.
Inventors get royalties.
Partners can get profits.
Mailing list owners get rental fees
Real estate owners can get cash flow profits
Retired persons can get pensions
Celebrity endorsers get gross percentage profits
Marketing consultants get % of profit or gross revenue
When you go to bed tonight, ask yourself this question, "What percentage of my day did I spend creating residual income?" If the answer is zero, you’re in trouble. You’d better wake up tomorrow and get busy. More on residual income later. I hope now you see why it’s such a vital part of our money tree formula
The E in the Money Tree formula means Essential to Everybody Everyday.
Essential
Whatever you sell, try to pick something that’s essential or is perceived as essential by a large and very motivated segment of society. Let me give you the real reason that real estate has always been a great wealth creation vehicle and a prime source of residual income for hundreds of thousands. It fits the Money Tree formula. Check it out for yourself and you’ll see why..
Whatever product you choose to market just make sure it’s essential. The more people need it and the more often they need it, the more successful your business can become.
The final E in the Money Tree formula stands for Enthusiasm.
Enthusiasm
You’ve got to love what you do. If you hate what you sell, you’ll never be any good at it. The prime admonition from Gary Halbert one of the all time great marketing gurus is this; SELL WHAT YOU LOVE. Truth is, you’ll never be truly great unless you do.
Well, there you have the 9 major characteristics of the Money Tree formula. These 9 characteristics are essential to the kind of hands off, hassle free businesses that create lifelong streams of cash flow.
In this book, we’ll be exploring in depth the 9 practical business which fit this formula perfectly.
As a final note.
In the book, Multiple Streams of Income, I start with the basics, and help the reader build a strong foundation for wealth. Then, I expand into the nitty gritty strategies and techniques for developing 9 separate streams of income. Finally, I finish with strategies and techniques for protecting these burgeoning streams of income.
Like Nothing Down and Creating Wealth, I believe that Multiple Streams of Income will become a long term, perennial bestseller. I’m anxious to bring it to the large and growing audience which is desperate for these solutions.

Ref. From : //www.oneminutemillionaire.com




 

Create Date : 15 กันยายน 2548   
Last Update : 22 กันยายน 2548 14:14:32 น.   
Counter : 1185 Pageviews.  

วางกลยุทธ์ทำธุรกิจในสภาพทุนน้อย

อาผมก็เป็นคนนึงที่ล้มลุก คลุกคลาน จากการทำธุรกิจ ทำการค้ามา วันนึงผมหมดกำลังใจในการทำงานพอสมควร กลับมานั่งนึกว่าจะทำยังไงต่อไปดี ชีวิตนี้จะได้มีอันจะกินอย่างเค้าบ้าง ก็เลยนึกถึงอาผมขึ้นมา ผมเลยไปหาอา เพื่อให้อาสอนเทคนิคการทำงานหน่ะครับ ( อยากได้พี่เลี้ยงหน่ะ เพราะผมเห็นว่าการทำงานเนี่ยะ ถ้ามีพี่เลี้ยง จะดีมิใช่น้อย )

อาของผมแนะนำว่า " จงอยู่ในที่แคบๆ มีสมาธิ ปัญญาจะเกิด "

ลองทบทวนคำสอนนี้ดูเห็นว่า ถ้าเรากำลังมีปัญหาเรื่องเงิน แล้วเรายังต้องออกสังคมบ่อยๆ ทำหน้าบานเหมือนก่อน รับรอง เงินทุน ร่อยหรอ แน่ๆ ดังนั้น ต้องอยู่ในที่แคบๆก่อน ... หลังจากนั้นปัญหาที่เราประสบมา ธุรกิจการค้าการขายไม่ประสบความสำเร็จ มันจะทำให้จิตใจของเราสับสน กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิ ถ้ารีบทำอะไรต่อไป ก็ไม่แคล้วเสียเงินลงทุนไปฟรีๆ เป็นแน่แท้ ... ด้งนั้น มีสมาธิ ก่อน แล้วปัญญาจะเกิด สามารถทำกิจการงานใดๆ ต่อไปได้อย่างราบรื่นหน่ะครับ
อาจารย์โช๊ะ 2 ก.ย. 48 08:44:55




 

Create Date : 07 กันยายน 2548   
Last Update : 18 กันยายน 2552 12:30:45 น.   
Counter : 989 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]