โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

จับวัยทีน...ให้อยู่หมัด!!!

'วัยทีน' ขุมทรัพย์กำลังซื้อที่หลายสินค้า "ขอเมิน" แต่บางส่วนอยาก "กระโจน" เข้าหา เหตุเพราะจุดอ่อนอารมณ์ที่ปรับเปลี่ยนง่าย และจับทางได้ยาก แต่นาทีนี้คงเร็วเกินไปที่จะมองข้าม เพราะหากสินค้าใด รู้ช่องทาง "จับใจ" และ "เจาะต้องการ" ได้อยู่หมัด การันตีได้เลยว่า ...คุณจะ "ลอยลำ" และ "กินยาว" แบบไร้คู่แข่ง



การปรับขบวนไป-มาของสินค้าและบริการ จากคนรุ่นใหญ่สู่วัยรุ่น และโน้มเอียงหาวัยทีน (18-25 ปี ) และ พรี-ทีน (12-18 ปี) ทดแทน "รุ่นใหญ่" ที่เริ่มพอเพียงในชีวิตและยากที่จะกระตุ้นความต้องการเพื่อเรียกกำลังซื้อ

แต่ละเจเนอเรชั่นที่ถูกแบ่งแยกตามประชากรศาสตร์ ล้วนส่งผลต่อการทำให้พฤติกรรมความสามารถในการซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่มให้มีรูปแบบการใช้ชีวิต พฤติกรรมในการบริโภค และอำนาจการใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักการตลาดที่จะต้องเล็งหาตลาดในอนาคตเอาไว้

โดยการนำสินค้าและแบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของช่วงชีวิตเด็กให้ได้ และทำให้แบรนด์นั้น ๆ เติบโตและผูกพันไปพร้อมๆ กัน

....แต่ใครล่ะ จะ "มัดใจ" ตลาดวัยทีนเอาไว้ได้อยู่หมัด!!!

Bizweek ชวนลงลึกถึงพฤติกรรมกลุ่ม "วัยทีน" ที่ไม่เพียงมองหาความต้องการว่า "ซื้อ" หรือ "ไม่ซื้อ" เท่านั้น แต่คนที่คิดจะทำตลาดนี้อย่างจริงจัง คงต้องทำความเข้าใจให้มากกว่าเดิม

"การจับ ทีน มาร์เก็ต ยากมาก เพราะมี sub group เข้ามาเกี่ยวข้อง หากลงลึกจะพบว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากมองเผินๆ เด็กกลุ่มนี้จะแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ซื้อ และ ไม่ซื้อ" จิตร ตัณฑเสถียร Brand Strategist&Human Expert , Hat consulting&Research บอกไว้

ไม่เพียงเท่านี้ ทีน มาร์เก็ต ที่หลายคนต้องการจะเข้าถึง ยังมีงานยากให้ตระหนัก เพราะไม่เพียงกำลังซื้อเท่านั้นที่จะต้องประเมิน แต่ยังต้อง "รู้ทัน" การใช้ชีวิตและความต้องการของเด็กกลุ่มนี้ด้วย

จากการทำงานเกี่ยวกับการทำวิจัยในตลาดวัยรุ่นมาหลายโปรเจค จิตร บอกด้วยว่า ทีน มาร์เก็ต ในไทยหลัก ๆ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เด็กที่มีเงิน แต่เลือกใช้จ่ายเรื่องของความรู้ ทุกสินค้าไม่ควรมองข้ามเด็กใฝ่รู้กลุ่มนี้ โดยเฉพาะธุรกิจติวเตอร์ เรียนภาษา หนังสือ หรือ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต ธุรกิจอินเทอร์เน็ต ร้านกาแฟ

...สรุปแล้ว หากจะขายได้ต้องเป็นสินค้าที่ทั้งสนุก แต่ก็ต้องไม่ขาดสาระ

"สุขนิยม" เด็กที่ต้องการมองหาอะไรที่ทันสมัย และเป็นที่นิยมของสังคม

ตลาดส่วนนี้อาจจะเป็นอีกโอกาสที่นักการตลาดจะทำเงินได้มาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ เอ็มพี 3 โทรศัพท์มือถือ

อย่างไรเสีย เด็กกลุ่มนี้อาจมีข้อจำกัดของ "รายได้" อยู่บ้าง โดยจะมีบางช่วงที่ "มีเงิน" เฉพาะในช่วงต้นเดือน และ "หดหาย" ไปบ้างในช่วงใกล้ปลายเดือน

"อนาคตนิยม" กลุ่มเด็กที่ยอมลำบากในวันนี้เพื่อความสุขในอนาคต โดยยอมทุ่มเทและขยัน เพื่อสิ่งที่ดีในอนาคต

สินค้าทุกประเภทน่าจะเข้าถึงได้กับเด็กกลุ่มนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความคิดและความใฝ่ฝันของตัวเอง เมื่อเจอกับสินค้าที่พูดและนำเสนออะไรที่โดนใจก็จะตอบรับทันที

โดยเด็กกลุ่มนี้มักจะเคารพคนที่เป็น "ตัวจริง" ของสังคม

ไม่แปลกที่จะเห็นหลายสินค้านำเสนอ "คน" หรือ "กลุ่มคน" ที่ "เก่ง" และมีความสามารถขึ้นมาเป็นเสมือน "ต้นแบบ" ของแรงบันดาลใจให้กับเด็กวัยทีน

"เด็กแถวหน้า" เด็กกลุ่มนี้จะมีเงิน และมักจะมีหู ตา กว้าง ไกล จากความรู้และชำนาญด้านภาษา ซึ่งส่วนใหญ่จะศึกษาอยู่ในโรงเรียนชั้นนำ ทำให้กลุ่มนี้เป็นเสมือนเทรนด์ เซ็ตเตอร์ ของคนในวัยเดียวกัน

กลุ่มนี้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็มีสีสัน อาทิเช่น เด็กโรงเรียนสาธิต มีเงิน และมีโลกที่กว้าง ใช้ภาษาอังกฤษเป็น สนใจสินค้าทันสมัยชิ้นไหนก็จะสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต "โลกของเขาคือโลกนี้" ตลาดไม่มีพรมแดนสำหรับเขา เพลงต่างประเทศวางขายเด็กกลุ่มนี้จะสั่งซื้อและมีไว้ครอบครองก่อนใคร

โดยจะชอบและใช้ชีวิตเสมือน Global Standard เขาจะเทียบสินค้าของเรา (ในประเทศ) กับสินค้าที่ออกวางขายทั่วโลก และยอมลงทุนในสิ่งที่ชื่นชอบ

มีความเป็นไปได้ที่สินค้าทุกตัวน่าจะต้องการจับตลาดกลุ่มนี้เอาไว้ให้ได้ เพราะหากทำสำเร็จ เด็กๆ กลุ่มนี้จะเป็นพลังซื้อที่สำคัญ

ประเมินจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์เด็กทุกกลุ่มข้างต้น อาจจะคาบเกี่ยวกันได้หมด กรณีของเด็ก "แถวหน้า" ก็อาจจะมีพฤติกรรมของ "สุขนิยม" และ "อนาคตนิยม" ร่วมด้วย โดย "ราคา" จะเป็นอีกปัจจัยที่กระทบโดยตรง หากไม่โดนใจ แบรนด์นั้น ๆ ก็อาจถูกวางไว้นอกความสนใจทันที

การแข่งขันวันนี้ จึงไม่ใช่ขึ้นอยู่กับว่ารายเล็กหรือรายใหญ่ แต่อยู่ที่ว่า "ใครจะเป็นตัวเลือก" ของวัยรุ่นมากกว่า

จะเห็นว่าธุรกิจเพลงวันนี้รายใหญ่ก็ไม่ใช่แล้ว เพราะปัจจุบันทางเลือกคือ ออนไลน์ คนทำเพลงไม่จำเป็นต้องมีช่องทางจัดจำหน่าย ที่เข้มแข็งจึงจะอยู่ได้ ไม่ใช่เจ้าตลาดจะเป็นเจ้าตลาดอีกต่อไป มีแต่ต้องเร่งทำงานให้มากขึ้น โดยไม่เผลอ และหยุดนิ่ง

เทรนด์ที่เห็นมากขึ้น คือ การที่ธุรกิจให้ทุนกับเด็กรุ่นใหม่ และดึงเอาแนวคิดของเด็กรุ่นใหม่นั้นๆ มาทำงานร่วม เพื่อให้รู้ทันถึงความต้องการของคนในวัยเดียวกัน

แนวคิดดังกล่าวถูกนำมาใช้แล้วในหลายธุรกิจซึ่งตระหนักกันดีว่า "วัยรุ่น" เป็นตลาดที่ปราบเซียนขนาดไหน

ซึ่งก็ทำให้หลายธุรกิจตื่นขึ้นมาตอบรับ

เซ็นทรัล กรุ๊ป กับการควานหาไอเดียเจ๋งจากเด็กรุ่นใหม่ภายใต้โปรแกรม "เซ็นทรัล จูเนียร์ มาร์เก็ต เทียร์"

รวมถึงกรณี แก๊งเป็ด ของค่ายดีแทค กับโปรเจค "ใจดีให้ยืม" ซึ่งเป็นบริการที่วัยรุ่นใช้มากที่สุด ก่อนจะถูกต่อยอดด้วยการให้ยืม ดนตรี หนึ่งในของรักของวัยรุ่น

"20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรที่เป็นวัยรุ่นไม่น้อยในแง่การลงทุนเพื่อเข้าใจความต้องการที่แท้จริง" ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ว่าไว้ และนั่นก็ทำให้แฮปปี้ยอมควักกระเป๋าจ่ายไตรมาสละ 5 ล้านบาท เพียงเพื่อให้แบรนด์ได้เข้าใกล้กลุ่มเป้าหมาย

"สไปรท์" ซึ่งจับกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาแม้ว่าในระดับแมสจะไม่ค่อยได้เห็นกิจกรรมที่สไปรท์จัดเท่าไรนัก ซึ่ง กรอบแก้ว ปันยารชุน ผู้จัดการสื่อสารการตลาดบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้ที่จะเข้าไปทำกิจกรรมกับกลุ่มวัยรุ่นโดยตรง

"ถ้าเป็นกลุ่มเป้าหมายเราจริง จะได้พบเห็นสไปรท์ในทุก ๆ ที่ที่ใช้ชีวิตแน่ คนทั่วไปอาจคิดว่าสไปรท์ไม่ค่อยมีกิจกรรม แต่จริง ๆ แล้ว เราเจาะเข้าไปในกลุ่มย่อยมากกว่าจะทำกับแมส จึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง" กรอบแก้ว กล่าว

กิจกรรมล่าสุดซึ่งถือเป็นงานใหญ่ประจำปีนี้ของสไปรท์ ได้แก่ งาน "SPKRITE MTV STREET FESTIVAL" ซึ่งจัดไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

งานดังกล่าวถือเป็นโปรเจคต่อเนื่อง ระหว่างสไปรท์และเอ็มทีวี ซึ่งเคยจับมือกันทำรายการ SPRITE MTV STREET VIBE ซึ่งเป็นรายการเกี่ยวกับวัยรุ่นไทยที่มาโชว์ความสามารถพิเศษแบบสุดขั้วในไลฟ์สไตล์แบบสตรีท

โดยแต่ละกิจกรรมที่จัดไว้ จะเน้นความเร้าใจและสีสัน ตั้งแต่การเล่นสเกตบอร์ด การเต้นบีบอย การแร็พสด เป็นต้น ซึ่งก็ได้ตอกย้ำไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นแนวสตรีทให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นความร่วมมือต่อเนื่องมาสู่งานสตรีทเฟสติวัล สำหรับเจาะกลุ่มฮิพฮอพโดยเฉพาะ

สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายหลักที่สไปรท์ตั้งไว้ คือ นิสิตนักศึกษา ระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าใจความต้องการของตัวเองแล้วระดับหนึ่ง โดยเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเองและต้องการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนออกมา

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมย่อยๆ ที่สไปรท์จัดขึ้นอีก อาทิเช่น แบงค็อกแจ๊ส เฟสติวัล ซึ่งจับกลุ่มนิสิตนักศึกษา และยังจับมือกับเอ็มทีวี เพื่อจัดอันดับมิวสิคโพลล์ โดยเข้าไปทำโพลล์กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อจัดอันดับเพลงยอดนิยมขึ้นมา ซึ่งกรอบแก้วบอกว่ากิจกรรมที่สไปรท์จัดขึ้นส่วนใหญ่จะเลือกช่วงเวลาปลายปี ซึ่งเป็นช่วนปิดเทอมก่อนจะเริ่มเทศกาลสอบเอนทรานซ์

แบรนด์ในเครือ โคคา-โคลา นั้น แม้ว่าจะเน้นจับกลุ่มวัยรุ่นเช่นเดียวกัน แต่ก็แบ่งแยกย่อยลงไปได้อีก โดยสำหรับสไปรท์จะมุ่งจับไปที่นิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาและมัธยมตอนปลาย ขณะที่แบรนด์โค้ก เจาะกลุ่มมัธยม ส่วนแฟนต้าเจาะกลุ่มพรีทีน ตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป

ซึ่งถ้าเอากลุ่มเป้าหมายทั้งสามกลุ่มนี้มาเทียบกับมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง กรอบแก้ว อธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับสไปรท์ ก็จะเข้ากับดนตรีประเภทฮิพฮอพ ส่วนแฟนต้า จะเป็นพวกเอเชี่ยนป๊อป ขณะที่โค้กก็จะเข้ากันได้ดีกับป๊อปร็อค

กลุ่มมัธยมตอนปลายจนถึงระดับอุดมศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของสไปรท์นั้น กรอบแก้ว บอกว่า เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างโตแล้ว มีอิสระในการแสดงออกทางความคิด ความชอบ และสิ่งที่สนใจ โดยจะค่อนข้างเป็นกลุ่มที่นำเทรนด์ ชอบเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม ชอบแฟชั่นประเภทสตรีทแฟชั่น มีกิจกรรมในประเภทของสตรีทคัลเจอร์

ซึ่งในส่วนของสไปรท์เองก็ได้เข้าไปจัดกิจกรรมตามสถานที่ที่กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ อาทิเช่น ลานออกกำลังที่สนามกีฬาหัวหมาก ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะมารวมกลุ่มกันฝึกเล่นสเกตบอร์ด และ เบรกแดนซ์ เป็นต้น

ครึ่งปีที่ผ่านมา ต้องถือว่า "อาวีโอ" เป็นอีกแคมเปญสื่อสารการตลาดที่ครบถ้วนและอิมแพคที่สุดเท่าที่ทำมา

เกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน หนึ่งใน โค-ซีอีโอ ของอินเด็กซ์ เผยถึง การทำพรีลอนช์แคมเปญ อาวีโอ ว่า หลักๆ เป็นการเลือกใช้สื่อนอกบ้านที่แปลกใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ คือ AVEO RESEARCH UNIT

โดยเน้นสร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็นด้วย Key Visual นักวิจัย และกล้องส่องทางไกล เพื่อสื่อถึงการวิจัย ค้นหา ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

จากนั้น จะทำการฟอร์เวิร์ดคลิปวิดีโอ โปรโมทงานนี้สำทับเข้าไปอีก โดยหมดงบประมาณถึง 15 ล้านบาท แต่ก็เป็นผล เพราะทันทีที่สื่อใหม่นี้แพร่กระจาย อาวีโอ มีตัวเลขยอดจองเกือบ 1,500 คัน จาก 4 วัน ที่เปิดจอง

....จะขายให้ได้ต้อง "สนุก" "จับทางถูก" และเสนอราคาที่ "รับไหว" ก็อาจได้เข้าไปอยู่ในใจ "วัยทีน"

ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / Marketing - 24-11-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 2:30:38 น.   
Counter : 1703 Pageviews.  

"OZONE" ธุรกิจบาร์เตอร์บนโลก "ไซเบอร์"

จีราวัฒน์ คงแก้ว cheerawat @ nationgroup .com

"บาร์เตอร์ เทรด" การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการโดยไม่ต้องใช้เงินสด กำลังได้รับกระแสนิยมท่วมท้นในตลาดโลก โดยมีมูลค่าสูงถึง 552 ล้านล้านบาท และมูลค่าเทรด 1 พันล้านบาท ในประเทศ เม็ดเงินไม่ใช่น้อยที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง



ยิ่งน่าจับตามองยิ่งขึ้น เมื่อกงล้อธุรกิจเริ่มเข้าสู่ยุค "Barter trade Exchange online"

ธรรมดาเกินไปที่จะแลกเปลี่ยนสินค้าแบบหน้าร้านกับหน้าร้าน หรือ เทรด ผ่าน "คนกลาง"

โดยเฉพาะ "หน้าใหม่" ที่จะเข้าสู่ธุรกิจบาร์เตอร์ เทรด ที่มี "เจ้าตลาด" รายเดียวครองตลาด

"OZONE" น้องใหม่จึงต้องหา "จุดขาย" ที่แตกต่างด้วยการเข้าสู่ระบบแบบ "ออนไลน์"

"ชัชพงศ์ มัญชุภา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท Open Serve (Thailand) มาสเตอร์แฟรนไชส์ "โอโซน" ในไทยและเวียดนาม ซึ่งได้รับสิทธิจาก XO Company Limited ผู้ผลิตและพัฒนาระบบ e-Commerce Barter Exchange เพื่อลบจุดบอดของระบบธุรกิจบาร์เตอร์รูปแบบเดิมๆ

ด้วยระบบเทรดออนไลน์ที่มีสมาชิกกว่า 100,000 ราย ใน 24 ประเทศทั่วโลก และมีมาสเตอร์แฟรนไชส์อยู่ใน 5 ประเทศ คือ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ และไทย

เขา บอกว่า ธุรกิจบาร์เตอร์แบบเก่ายังมีขีดจำกัดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการไม่สามารถทำงานแบบ 7 วัน ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ ขีดจำกัดที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศในกลุ่มสมาชิกได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องรอเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้ และแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้เฉพาะในประเทศเท่านั้น

นอกจากนี้คูปองสินค้าและบริการที่ได้รับจากการแลกด้วยระบบบาร์เตอร์ มีอายุการใช้งานจำกัด และการตั้งราคาสินค้า บริการ "สูงกว่า" ปกติ หรือการเกิดความไม่สมดุลของเรื่องต้นทุนในการแลกเปลี่ยน เนื่องจากแต่ละธุรกิจมีกำไรขั้นต้นที่แตกต่างกัน ความล่าช้าในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของสมาชิก

และนี่เป็น "จุดอ่อน" ของธุรกิจที่โอโซนนำมาปรับเป็น "จุดขาย"

ประเดิมเริ่มต้นกับโจทย์แรก ด้วยการคิดค่าสมัครเพียง 15,000 บาท โดยในช่วงเริ่มต้น คือ ภายในปีนี้ได้รับสมาชิกฟรีเป็นโปรโมชั่นพิเศษ และไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน เพื่อไม่ให้สมาชิกรู้สึกเสียเปรียบเมื่อไม่ได้ทำการเทรดในช่วงนั้นๆ สิ่งที่สมาชิกต้องเสียก็คือค่าธรรมเนียมจากการเทรดในแต่ละครั้งที่ 3% เท่านั้น

"ในส่วนของสินค้าและบริการ ถูกกำหนดภายใต้เงื่อนไขจรรยาบรรณสมาชิก ที่ต้องมีการตั้งราคาที่เป็นราคาปกติ ไม่มีการบวกเพิ่ม มีการชำระภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการเทียบเท่าลูกค้าเงินสด และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อตกลงทางการค้าอย่างเคร่งครัด"

จุดขายหลักของโอโซน คือ การสร้างระบบเทรด "24 ชั่วโมง 7 วันในสัปดาห์" ด้วยระบบออนไลน์ ไม่มีวันหยุด

"สมาชิกสามารถตรวจสอบสินค้าได้ตลอดเวลา และสามารถติดต่อเจ้าของสินค้าได้โดยตรง"

ความน่าสนใจของสินค้าและบริการที่เข้าสู่ระบบบาร์เตอร์ คือ ความสามารถขจัดต้นทุนสินค้าส่วนเกิน และบริการที่เสียเปล่าได้ เพื่อเพิ่มมูลค่า และระบายสินค้าในสต็อกได้เป็นอย่างดี

ชัชพงศ์ อธิบายว่า อย่างการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ จากยอดสั่ง 1,000 ชิ้น ส่วนใหญ่ก็จะมีการผลิตเกิน เพื่อป้องกันสินค้าสูญเสียส่วนหนึ่ง พอมีสินค้าเหลือ ส่วนใหญ่ก็จะนำไปขายในราคาถูกๆ แต่ที่จริงแล้วสามารถเปลี่ยนมาเป็นอย่างอื่น ซึ่งจำเป็นต่อบริษัทได้ เช่น เอาสินค้าตรงนี้ไปแลกกับตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่พักในการจัดสัมมนาของบริษัท เพื่อลดค่าใช้จ่ายของหน่วยงานได้อีกทางด้วย

หรืออย่างโรงหนังที่ไม่เคยเต็ม ตั๋วเครื่องบินที่ยังมีที่นั่งว่าง ห้องพักโรงแรมในช่วงโลว์ซีซัน ทั้งหมดคือความเสียเปล่า ที่สามารถนำมาสร้างมูลค่าด้วยระบบบาร์เตอร์ เทรด

การเป็นธุรกิจที่มีสมาชิกอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก เปิดกว้างให้เกิดการแลกเปลี่ยนกับคู่ค้าต่างประเทศได้โดยง่าย มองลึกลงไป ความง่ายและรวดเร็วดังกล่าวนี้ กำลังเป็นประตูเปิดทาง เชื่อมธุรกิจไทย ก้าวไกลในตลาดโลก

"ระบบนี้สนับสนุนช่องทางการส่งออกของเอสเอ็มอีได้ดีมาก การทำตลาดต่างประเทศของเอสเอ็มอีที่ผ่านมานั้น จะติดปัญหาหลายอย่าง เช่นการไม่รู้จักเทรดเดอร์ การสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการทำตลาดต่างประเทศด้วยตัวเอง ซึ่งการแลกเปลี่ยนในรูปของ web trading online คู่ค้าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเข้าสู่ระบบและหาพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศ ทำการส่งออกระหว่างประเทศได้สะดวกขึ้น ซึ่งนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ในอนาคต สมาชิกสามารถซื้อขายกันเองได้ โดยที่ไม่ต้องใช้การบาร์เตอร์อีกต่อไป"

ช่องทางการส่งออก มีควบคู่กับโอกาสธุรกิจในการนำเข้าสินค้าใหม่ๆ ผู้บริหารหัวคิดไกลบอกเราว่า สมาชิกยังสามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากับคู่ค้าในต่างประเทศ เพื่อนำเข้าสินค้ามาขายเป็นเงินสดได้ด้วย เช่น การบาร์เตอร์ไวน์จากต่างประเทศ เข้ามาขายเป็นเงินสดในประเทศไทย เป็นต้น

ความน่าสนใจของวิธีการ ดึงธุรกิจมากมายให้เข้ามาอยู่ในระบบ ผู้บริหารบอกเราว่า ความหลากหลายคือตัวการสำคัญที่ทำให้สมาชิกเลือกเข้าสู่ระบบนี้ ซึ่งการไม่มีข้อจำกัดในประเภทธุรกิจ ขอเพียงถูกกฎหมาย หรือแม้แต่ขนาดธุรกิจก็ไม่ได้นำมาพูดถึงมากนัก ทำให้ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือบริการ อาทิเช่น ตั๋วเครื่องบิน โรงหนัง สปา โรงแรมที่พัก ธุรกิจ สิ่งพิมพ์ โรงพิมพ์ สื่อมีเดีย สินค้า อุปโภคบริโภค ฟิตเนส พื้นที่จัดงานแสดงต่างๆ หรือระบบซอฟต์แวร์ ก็เข้ามารวมอยู่ในระบบนี้แทบทั้งหมดแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อมูลค่าส่วนบุคคลก็สามารถตีเป็นมูลค่า "เทรดบาท" เพื่อเข้าสู่การแลกเปลี่ยนในระบบบาร์เตอร์ได้ด้วย

"อย่างอาชีพทนายความ นักบัญชี นักประชาสัมพันธ์ นักการตลาด หรือที่ปรึกษาต่างๆ ก็สามารถใช้บาร์เตอร์ เทรด ได้ อย่างเดือนไหนมีเวลาว่าง ก็มาบาร์เตอร์เป็นค่าว่าความ ค่าที่ปรึกษา รับทำระบบบัญชี แลกกับตั๋วหนัง นามบัตร โรงแรมที่พัก อะไรก็ได้หมด ตามมูลค่างานที่ทำ โดยเราจะเป็นคนควบคุมเรื่องราคาค่าจ้าง ให้ได้ตามความเป็นจริง ไม่แตกต่างจากราคาในท้องตลาด"

หากใครยังมีความกังวล ว่าระบบบาร์เตอร์ เทรด จะไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและธุรกิจได้เท่าที่ควร หรือกลัวการเสียเปรียบ ผู้บริหารบาร์เตอร์ เทรด ออนไลน์ ก็เน้นย้ำว่า การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ "คุณพอใจ" ที่จะแลกเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเอาสินค้าทุกอย่างมาบาร์เตอร์ แต่อาจเลือกเพียงบางอย่าง เช่น คลินิก ที่เอาบัตรสุขภาพมาเข้าระบบ

รวมถึงไม่จำเป็นต้องเอาสินค้ามาแลก 100% แต่เลือกแลกเพียงบางส่วน ที่เหลือจ่ายเป็นเงินสดก็ได้

พัฒนาการของสื่อออนไลน์ถูกต่อยอดไปยังบัตร "OZONE การ์ด" บัตรใช้แทนเงินสด ที่สมาชิกไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าสู่ระบบการแลกเปลี่ยนด้วยบาร์เตอร์เทรดได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อสินค้าหรือบริการของสมาชิก

"สมาชิกสามารถใช้บัตรดังกล่าวแลกเปลี่ยนเป็นเทรดบาทได้ทันที และพอรูดไปเซิร์ฟเวอร์ก็จะทำการประมวลว่ามูลค่าเทรดบาทคงเหลืออีกเท่าไร ใช้ไปเท่าไร ซึ่งเราจะเริ่มใช้ตัวนี้ในปีหน้า และอนาคตก็จะทำออกมาทั้งบัตรเดบิตและเครดิตการ์ดด้วย"

เริ่มแรกจากการเทรดออนไลน์ในกลุ่มสมาชิกในประเทศประมาณ 200 ราย จากนั้นจะเริ่มขยายระบบเป็น อี-คอมเมิร์ช "เต็มรูปแบบ" กับคู่ค้าต่างประเทศในต้นปีหน้า

---------------------------


การแลกเปลี่ยนในรูปของ web trading online คู่ค้าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเข้าสู่ระบบและหาพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศ ทำการส่งออกระหว่างประเทศได้สะดวกขึ้น

ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / Small Biz - 24-11-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 2:20:07 น.   
Counter : 1980 Pageviews.  

เลือก 'หุ้นห่านทองคำ' ตำรับเซียน..เทพ รุ่งธนาภิรมย์


โดย...นาฏยา ปานเฟือง

“หุ้นห่านทองคำ” หรือ “หุ้นปันผล” กลายเป็นทางเลือกที่ 3 “เพิ่มเติม” จากทางเลือกลงทุนแบบ “เทรดหุ้น” และ ”หุ้นมูลค่า”

เป้าหมายหลักของการลงทุนหุ้นประเภทนี้ก็เพื่อที่จะมีอิสระทางการเงิน มีรายได้ที่มาจาก ”ไข่ทองคำ” อย่างเพียงพอ



นี่คือ เหตุผลที่ “เทพ รุ่งธนาภิรมย์” เจ้าของหนังสือ”กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ” ที่โด่งดังเมื่อ 3 ปีก่อน และเจ้าของผลงานเล่มล่าสุด ”วิถีแห่งเซียน หุ้นห่านทองคำ” จึงรักเดียวใจเดียวกับการเลือกห่าน (หุ้น) ที่ไข่ออกมาเป็น ”ทองคำ” ...

"เทพ รุ่งธนาภิรมย์" ไม่ใช่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหุ้น แต่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นนักลงทุนในหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ เทพ บอกว่า เกิดจากการได้อ่านหนังสือเล็กๆ เล่มหนึ่งชื่อว่า “บุรุษผู้มั่งคั่งในบาบิโลน” (The Richest Man in Babylon) หรือในชื่อไทยว่า “เศรษฐีชี้ทางรวย” เขียนโดย George S.Clason

ทำให้เขารู้จักการเก็บเงินและรู้จักการลงทุน

ห่านทองคำในความหมายของ "เทพ" จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นหุ้นอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงทรัพย์สินที่สามารถทำให้เกิดรายได้ที่สม่ำเสมอขึ้นมาได้ อย่างเช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ย การลงทุนสร้างคอนโดมิเนียมเก็บค่าเช่า เป็นต้น เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควร

“ทุกคนสามารถมีห่านทองคำได้ทั้งนั้น แต่ปัจจุบันการฝากแบงก์เพื่อเก็บกินดอกเบี้ย ทำให้ได้ห่านทองคำลำบากเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ หรือมีบ้านให้เช่า ได้ค่าเช่ามาก็ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเป็นเงินก้อนใหญ่ ไม่เหมือนลงทุนในหุ้นปันผล มีเงินเท่าไรก็ซื้อได้ หุ้นบางตัวซื้อได้1-2 หมื่นเท่านั้น”

แล้วทำไมต้องเลือกหุ้นห่านทองคำ...??

เทพบอกว่า เขาเลือกกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นห่านทองคำเป็นทางเลือกที่ 3 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับการลงทุนแบบหุ้นมูลค่าหรือหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า แต่ต่างกันตรงที่หุ้นห่านทองคำจะให้ความสำคัญกับหุ้นปันผลมาก

“ทำไมต้องหุ้นห่านทองคำ ก็เพราะผมต้องการเป็นไททางการเงินอย่างยั่งยืน ไม่ทำงานใดๆก็อยู่ได้ด้วยรายได้เงินปันผล”

ถามต่อว่า..แล้วกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นห่านทองคำอยู่ตรงไหน...???

เทพ กล่าวว่า หุ้นห่านทองคำหัวใจของหุ้นห่านทองคำหรือหุ้นที่จ่ายปันผลได้ ต้องมีลักษณะเด่น 9 อย่าง..

หนึ่ง.. ต้องเป็นหุ้นที่บริษัททำ "กำไร" ได้ เพราะถ้ามีผลขาดทุนก็จ่ายปันผลไม่ได้

สอง..กำไรที่ทำได้ต้องมี "คุณภาพ"

“ไม่ใช่มีกำไรเฉพาะในงบขาดทุนอย่างเดียว แต่ต้องมีกำไรเป็นเงินสดส่วนใหญ่ โดยกระแสเงินต้องเป็นบวก เคยมีหุ้นบางตัวประกาศผลกำไรก้าวกระโดด แต่พอดูเงินสดกลับติดลบ เช่น ขายการ์ดอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ขายจริง ก็ฝากตัวเลขลงบัญชีลูกหนี้ และยอดขาย ส่วนของลูกหนี้จึงโตขึ้น ทำให้ส่วนค่าใช้จ่ายไม่เกิด รายได้จึงเกิดขึ้นสูงลิ่ว ราคาหุ้นขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้านเจ้าของบริษัทขายหุ้นออกหมด จนเป็นเรื่องเป็นราวขณะนี้ เป็นต้น”

วิธีดูว่าหุ้นนั้นๆ กำไรมีคุณภาพหรือไม่ ต้องดูที่งบกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ถ้าเป็นยอดบวกและใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ถือว่า "เจ๋ง"

สาม.. ต้องมีกำไร "สะสม" เพราะถ้าบริษัทขาดทุนสะสมอยู่ บริษัทจะไม่สามารถจ่ายปันผลได้

สี่..ต้องมีเงินสดในมือ เพราะบริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลได้มักจะมีเงินสดในมือสูง ซึ่งบางแห่งมีเงินสดมากจนต้องนำบางส่วนไปลงทุนแบบสั้นๆ เพื่อให้ได้ดอกผลที่สูงกว่าฝากแบงก์

“ผมเคยซื้อหุ้นธุรกิจโฆษณาตัวหนึ่ง ราคา 62 บาท เพราะเห็นว่าบริษัทมีเงินสดต่อหุ้นสุทธิสูงถึงหุ้นละ 34 บาท ซึ่งไม่น่ามีปัญหาจ่ายเงินปันผล พอบริษัทมีกำไรต่อหุ้น 9 บาท ก็จ่ายเงินปันผล 6 บาท เท่ากับผมได้ Yield เกือบ 10% ในขณะที่ราคาคาขยับขึ้นสูงกว่า 120 บาท เป็นของแถมอีกด้วย”

ห้า..มีภาระหนี้สินน้อย แม้บริษัทจะมีกำไร มีสภาพคล่อง มีเงินสด กำไรสะสมเป็นบวก แต่ถ้ามีหนี้มาก ผู้บริหารบริษัทก็มักจะนำกำไรไปชำระหนี้ก่อน ฉะนั้นหุ้นที่มี D/E ต่ำๆ มักจะมีโอกาสจ่ายปันผลสูงกว่า หุ้นที่มี D/E สูงๆ

หก..การขยายงาน เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้

“ถ้าผลตอบแทนที่ได้สูงและทำได้จริง การขยายงานก็เป็นประโยชน์ เพราะช่วยสร้างมูลค่าหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น และยังมีโอกาสจ่ายปันผลสูงในอนาคต”

เจ็ด..มีนโยบายปันผล โดยให้ดูสถิติการจ่ายเงินปันผลย้อนหลังไปหลายๆ ปี จะช่วยทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ซึ่งดูได้จากรายงานประจำปีหรือเช็คจากตลาดหลักทรัพย์ และโบรกเกอร์

แปด..จำนวนหุ้นไม่มาก

“ผมไม่ชอบบริษัทที่เอะอะอะไรก็เพิ่มทุน เพราะมักจะทำให้มูลค่าต่อหุ้นลดลง เนื่องจากเมื่อมีจำนวนหุ้นมากขึ้น ตัวหารก็เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิต่อหุ้นแต่ละหุ้นก็จะลดลง ที่เรียกว่า Dilution Effect นอกจากว่าบริษัทจะเก่งจริง สามารถทำให้กำไรสุทธิสูงกว่าการเพิ่มจำนวนหุ้น

สุดท้าย ข้อที่เก้า..ต้องมีอัตราการเติบโต ถ้าบริษัทมีการขยายงาน อัตราการเติบโตของยอดขายสูงกว่าอัตราการเติบโตของต้นทุนและค่าใช้จ่าย ถือว่าเจ๋งเลย

“อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าการเติบโตของยอดขาย ถือว่าเป็นหุ้นห่านทองคำ ลงทุนแล้วนอนหลับฝันดีได้เลย”

เมื่อได้กลยุทธ์เลือกหุ้นแล้ว “วิธีการที่ดี” ถึงจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้..

เทพบอกว่า เขาได้พยายามคิดค้นวิธีการหรือตัวช่วยให้สะดวกและรวดเร็ว ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น ในที่สุดก็ได้ “คำถามยุทธศาสตร์ 4 ข้อ” เพื่อทำให้สามารถ “โฟกัส” ธุรกิจได้มากขึ้น

ข้อแรก..ลักษณะธุรกิจ คืออะไร

ข้อสอง..คุณสมบัติของผู้บริหาร เป็นอย่างไร

ข้อสาม..ผลงานที่ผ่านมาดีหรือไม่

และสี่..แนวโน้มอนาคตเป็นอย่างไร

“คำถามยุทธศาสตร์ 4 ข้อ คือ ต้องมีความรู้ อย่างผมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ใช้วิธีหาข้อมูลโดยนำรายงานประจำของบริษัทมาดู พออ่านไป มันเยอะมาก ก็มานั่งคิดว่าทำอย่างไรไม่ต้องดูทั้งหมด จึงคิดว่า ควรหาคำถามที่จะช่วยให้รู้ข้อมูลธุรกิจ

ผมคิดว่า ธุรกิจก็เปรียบเหมือนกองทัพ ผู้บริหารเหมือนแม่ทัพที่ดี ตัวเลขการเงินหรือผลงานอดีต คือสิ่งที่จะบอกว่าดีจริง ไม่จริง จึงคิดสูตรนี้ขึ้นแล้วสร้างตาราง เมื่อมีข้อมูลก็ใส่ลงไป เอามาชั่งน้ำหนัก ถ้าพอใจถึงลงทุน แต่สุดท้ายต้องดูเรื่องราคาด้วย ถ้าหุ้นดี ราคาต้องถูกด้วย”

เทพบอกว่า การลงทุนจึงต้องรู้เขา รู้เรา รู้จักธุรกิจ รู้จักเจ้าของ ยุทธศาสตร์ 4 อย่างนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ จะทำให้เราหนักแน่น เป็นการทดสอบพื้นฐานหุ้นว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่

นอกจากนั้น เขาให้คำแนะนำว่า นักลงทุนหุ้นห่านทองคำ ต้องทำตัวให้เหมือนกับ ”มดงาน”

คือ จะต้องร่วมกิจกรรมนักลงทุน โดยมีหน้าที่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไปฟังข้อมูลบริษัท(Opportunity Day ) และเยี่ยมชมกิจการ

“ผมเคยไปประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทอิสต์วอเตอร์ ผมถามคำถามหลังจากได้วิเคราะห์รายงานประจำปี ทำให้ผู้บริหารตอบคำถาม หรืองานออฟเดย์ ที่ตลาดจัดขึ้น ก็จะมีบริษัทมาเสนอข้อมูล วิสัยทัศน์บริษัท ทำให้เราเห็นภาพของธุรกิจเร็วขึ้น ไม่ใช่ฟังทุกครั้งต้องซื้อหุ้นเสมอไป

ครั้งหนึ่งบริษัทขยายงาน ใช้เงินมาก ผมถามว่า จะใช้เงินจากไหนมาขยายงาน ผู้บริหารบอกเงินกู้ ตรงนี้น่ากลัว หลังจากนั้นเข้าใจว่าหุ้นตัวนั้นมีปัญหา ตรงนี้จะทำให้เราเห็นภาพธุรกิจและผู้บริหารชัดเจน รวมถึงสามารถซักถามได้ด้วย”

ในวัย 62 ปีวันนี้ของ ”เทพ รุ่งธนาภิรมย์” จึงนั่งอยู่อย่างมีความสุข เพียงแค่คอยตกแต่งสวน (ปรับพอร์ต) จากการมีหุ้นห่านทองคำออกไข่ให้เก็บกิน เขาบอกว่า ตอนนี้มีหุ้นทิปโก้ 8 หมื่นหุ้นที่ต้นทุนเหลือ “ศูนย์” แม้จะขาดทุนหุ้นที่ลงทุนใหม่บางตัว แต่ยังสบายใจ เพราะมีหุ้นห่านทองคำคอยทำงานให้และสู่เป้าหมายอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง..

ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / ถนนนักลงทุน วันที่ 24-06-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 2:02:01 น.   
Counter : 1423 Pageviews.  

3 หนทางสู่ความสำเร็จ 26-9-49

วิธีการทำไม่สำคัญเท่ากับเราอยากสำเร็จหรือไม่
หนทางที่จะเปลี่ยนชีวิตได้เร็ว คือ ธุรกิจเครือข่าย ค้อการมีชั่วโมงทำงานได้เยอะๆ เราจึงมีรายได้เยอะๆ แต่ในความเป็นจริง เรามีชั่วโมงการทำงานเพียงแค่ 8-9 ชั่วโมง บางคนเพราะการศึกษาน้อย จึงทำงานได้เพียงบางอาชีพ ขยันผิดที่ ขยันมากเท่าไรก็ไม่รวย

บางทีคำพูด 1 คำ เวลาแค่ 1 นาที ก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ สิ่งที่เราปรารถนาคือ ชีวิตที่ดีขึ้น ให้ดูจากเงินในกระเป๋า เพราะเงินคือ ตัวเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต แต่เงินเกิดจากงาน เพราะฉะนั้น งาน คือ ตัวควบคุมคุณภาพชีวิต

ทำไมคนอายุ 25 ปี สบาย อายุ 50 ปีแต่ยังลำบาก เพราะ งาน ขึ้นอยู่กับว่าใครมีโอกาสได้เจองานดีๆ

ระหว่างคนจนกับคนรวย ใครมากกว่ากัน วิเคราะห์ลักษณะนิสัย การใช้ชีวิต ต่างกันที่อาชีพ

ชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับการกระทำและความคิดในอดีต
ชีวิตในอนาคตอยากเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำในวันนี้

ขอให้สร้างฝันใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม และลงมือทำ

เราทุกคนอยากได้เงิน เพราะฉะนั้น เราจะประสบความสำเร็จได้ต้องมาจากงาน จะสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับวิธีการและการลงมือทำ

วันนี้ชายคนหนึ่ง ใช้ขวานฟันต้นไม้เท่าไรก็ไม่ขาด เพราะมันทื่อ จึงเดินไปในตลาด ซื้อเลื่อยไฟฟ้า เสร็จแล้วก็เอามาฟันต้นไม้เหมือนขวาน ฟันเท่าไรก็ไม่ขาด แสดงว่าเค้ามีเครื่องมือที่ดีมาก แต่ไม่รู้วิธีการใช้ เหมือนเราที่ไม่เรียนรู้

วันนี้เราตัดสินใจแล้วหรือยังว่าจะใช้โสมฯ เปลี่ยนแปลงชีวิต จะสร้างบ้าน สร้างเสา สร้างหลังคา แล้วอยู่ตลอดชีวิต ไม่ใช่สร้างเสร็จ 3 เสา แล้วย้ายไปสร้างที่อืนอีก จะมีโอกาสได้สร้างหลังคาไหม เรียกว่าเป็นคนจับจด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น

ธุรกิจเครือข่าย ไม่ต้องทำคนเดียว จะไม่ยอมไปทำงานวันละ 8 ชั่วโมงอีก (ไม่ได้ให้เลิกทำงานประจำ แต่ถ้ามีโอกาสที่ดีกว่าควรเลือก) แล้วอะไรล่ะ

ธุรกิจเราคือ ธุรกิจเครือข่าย MLM คือ การตลาดหลายชั้น คือ ค่าคอมรับหลายชั้น

โปรดติดตามตอนต่อไป




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 18 กันยายน 2552 12:33:55 น.   
Counter : 639 Pageviews.  

ความสำเร็จคืออะไร

1. ความสำเร็จ คือ สิ่งที่มนุษย์ปรารถนา

2. ความสำเร็จ คือ การรู้ว่าสิ่งที่ต้องการจะทำ ทำได้ สิ่งที่ต้องการจะเป็น เป็นได้

3. ความสำเร็จ ไม่ใช่เป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่เป็นเพราะเรา “เลือก” ที่จะประสบความสำเร็จ

4. ความสำเร็จไม่ได้เป็นสิ่งที่หาซื้อได้ แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องสร้างให้เกิดขึ้น ด้วยตัวของเราเอง

5. ความสำเร็จเกิดจาก ประสบการณ์ หยาดเหงื่อ หยดเลือดและน้ำตา

6. ความสำเร็จจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ มันได้ทดสอบว่า เรามีความอดทนแค่ไหนที่จะเป็นเจ้านายของมัน

7. ไม่มีความสำเร็จในชั่วพริบตา ไม่มีความสำเร็จแบบทันใจ

8. ความสำเร็จไม่ได้ผูกขาดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิ์ทัดเทียมกัน

9. ถ้าต้องการความสำเร็จมาก จ่ายราคาความสำเร็จมาก
ถ้าต้องการความสำเร็จปานกลาง จ่ายราคาความสำเร็จปานกลาง
ถ้าต้องการความสำเร็จน้อย จ่ายราคาความสำเร็จน้อย

10. ความสำเร็จไร้เงื่อนไข




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2548   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 1:40:21 น.   
Counter : 1791 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]