โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

ซื้อหุ้น เดือนละพัน โฉมใหม่ ลงทุนผสมการออม

แม้การลงทุนในหุ้นจะมีความเสี่ยงที่สูงสุดในกระบวนสินทรัพย์ลงทุนต่างๆ แต่จากสถิติบอกเราว่า การลงทุนในหุ้นระยะยาวจะให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ ไม่ว่า การฝากเงิน ตราสารหนี้

หากสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวน "น้อย" ด้วยแล้ว น่าจะเป็น "ทางเลือก" สำหรับผู้ที่มีเงินน้อย แต่อยากลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ใช่น้อย..

โครงการ "ออมหุ้นกับ "Easy Wealth Builder" ของบล.ซิกโก้ จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการ "ออมเงิน" ที่ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท/เดือน/หุ้นเท่านั้นในการสะสมหุ้นเป็นรายเดือน หรือใช้หลักการลงทุนแบบ "เฉลี่ยต้นทุน" (Dollar Cost Averaging) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนและลดความผันผวนของราคาหุ้น

"การลงทุนในหุ้นถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนของประชาชนผู้ที่มีเงินออมทุกคน ซึ่งที่ผ่านมาคนจะมองว่าคนที่จะลงทุนในตลาดหุ้นได้ ต้องเป็นคนที่มีฐานะดีพอสมควร จึงทำให้มีจำนวนนักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นมีไม่มากนัก ทั้งๆ ที่ผู้มีเงินออมและสามารถลงทุนในหุ้นได้มีจำนวนมากกว่าผู้ที่เปิดบัญชีหุ้นหลายเท่าตัว" "ศิริพงษ์ สุทธาโรจน์" กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซิกโก้ กล่าว

โครงการนี้จึงเป็นการปรับแพ็คเกจของโครงการ Wealth Builder เดิม ที่แต่ก่อนจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 2,000 บาท และมีหุ้นให้เลือก 20-30 ตัวเท่านั้น แต่ปัจจุบันได้เพิ่มหุ้นให้นักลงทุนเลือกซื้อได้มากขึ้นถึง 50 ตัวในดัชนี 50 ซึ่งเป็นหุ้นมีปัจจัยพื้นฐานดีและมีสภาพคล่อง

ขั้นตอนของการออมหุ้นของโครงการนี้ ทำได้ง่ายๆ ด้วย 3 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ผู้ลงทุนการเลือกหุ้น เลือกวันลงทุนและเลือกจำนวนเงินลงทุนด้วยตัวเอง พร้อมกับลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามช่วงเวลาที่กำหนด

ในการเลือกหุ้นลงทุนนั้น ผู้ลงทุนสามารถเลือกหุ้นใน "ดัชนี 50" (SET50) ตัวใดก็ได้ สูงสุดถึง 10 หุ้น แต่ต้องเป็นการใส่เงินลงทุนเท่าๆ กันทุกเดือน ตั้งแต่ขั้นต่ำ 1,000 บาท/หุ้น/เดือน สูงสุดถึง 1 แสนบาท/หุ้น/เดือน

ส่วนการเลือกวันลงทุนเพื่อหักบัญชี โครงการได้กำหนดวันลงทุนไว้ 3 ช่วงคือ ทุกวันที่ 5 ,15 และ 25 ของเดือน ตามความสะดวกของผู้ลงทุนแต่ละบุคคล

สำหรับการคิดค่าธรรมเนียมนั้น บริษัทจะคิดในอัตรา 0.25% เท่ากับการคิดค่าคอมมิชชั่นซื้อขายหุ้นปกติ

"ค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่นการซื้อขาย จะคิดที่ 0.25% หรือขั้นต่ำ 50 บาท ซึ่งต่างจากโครงการเดิมที่จะคิดค่าธรรมเนียมสูงถึง 1,200 บาทต่อปี เช่น ถ้าหากลงทุน 1,000 บาท/หุ้น 12 เดือน ก็เท่ากับจ่ายค่าคอมมิชชั่นเพียง 600 บาทเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าสมัยก่อนมาก"

โครงการนี้กำหนดเปิดโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 นี้เป็นต้นไป

"บริษัทจะซื้อหุ้นก่อนและหักเงินหลังจากวันที่ซื้อแล้ว 3 วันทำการตามT+3 โดยคิดค่าธรรมเนียม 0.25% เท่านั้น

การสะสมหุ้นรายเดือนนี้ถือเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ โดยบล.ซิกโก้จะเปิดให้บริการพร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศ" ศิริพงษ์ กล่าว

ปัจจุบัน บล.ซิกโก้ มีลูกค้าที่เปิดบัญชีกับโครงการ Wealth Builder อยู่ก่อนแล้ว 716 ราย โดย 36% หรือราว 200 ราย ได้พัฒนาตัวเองไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นด้วยตัวเองกับบริษัท

"ถือว่าเราประสบความสำเร็จจากโครงการนี้ค่อนข้างมากและพอใจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการหาลูกค้าใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะดีที่ได้ปรับปรุงโครงการนี้ขึ้นมาใหม่ ตามนโยบายที่อยากให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายๆ ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนที่ลงทุนกับโครงการนี้อย่างสม่ำเสมอได้รับผลตอบแทนหรือมีกำไรแทบทุกราย และมากกว่าเงินฝาก" "เกษราภรณ์ ชนาพรรณ" ผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าว

ออมหุ้นกับ "Easy Wealth Builder" ถือเป็นช่องทาง "ลงทุน" ในหุ้นที่ดีสำหรับนักลงทุนที่มีวินัย และต้องการชิมลางในตลาด แต่ก็ต้องเลือกศึกษาตัวหุ้นให้ดีด้วย เพราะ...การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง

ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / ถนนนักลงทุน 27-10-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 18:15:44 น.   
Counter : 2657 Pageviews.  

'ซื้อ-ขาย' ลิขสิทธิ์หนังสือแปล อย่าง 'มืออาชีพ'

ธุรกิจ "หนังสือแปล" ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2537 หรือเมื่อพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ กำเนิดขึ้น..

หนังสือแนวตื่นเต้น เร้าใจ อย่าง "The Firm" หนังสือเอาใจผู้หญิงอย่างเช่น "The Scarlet Letter" หรือหนังสือเด็ก เช่น "Charlie and the Chocolate Factory" ได้รับความนิยมจากผู้อ่านในยุคนั้นอย่างสูง

ขณะที่ปัจจุบัน หนังสือแปลแบบฮาวทู การตลาด ไฟแนนซ์ สูตรสำเร็จเพื่ออยู่รอดหลังเศรษฐกิจล่ม ได้รับการ "ตอบรับ" ที่ดี

หรืองานแนวใหม่ "Chiclit" สร้างอารมณ์ขัน และค่านิยมให้แก่ผู้หญิงเช่น..Bridget Jones's Diary เป็นต้น

แต่จะทำ "ธุรกิจหนังสือแปล" ให้ประสบความสำเร็จ ออกมาดัง "เปรี้ยงปร้าง"

ต้องทำอย่าง "มืออาชีพ"

"พิมลพร ยุติศรี" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทัทเทิล-มอริ เอเจนซี กล่าวว่า การทำธุรกิจหนังสือแปล อย่างมืออาชีพ ก็คือ จะต้องยอมรับในกติกาสากลในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา โดยได้รับการยินยอมจากเจ้าของลิขสิทธิ์

ขณะเดียวก็จะต้องผลิตหนังสือให้ได้มาตรฐาน ตั้งแต่การแปลต้องมีคุณภาพและมีมาตรฐานเทียบเท่าภาษาต้นแบบ การออกแบบปก รูปเล่ม ตัวอักษร รวมถึงการเลือกใช้กระดาษต้องดี และต้องดูแลตัวสะกดให้ถูกต้อง

ที่สำคัญก็คือ ต้องให้ความสำคัญในเรื่องการวางแผนการตลาด ซึ่งสำนักพิมพ์ต้องวางแผนเพื่อให้หนังสือขายได้และเป็นที่นิยม

ขั้นต่อมา เมื่อพิมพ์หนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องส่งหนังสือตัวอย่างให้เจ้าของลิขสิทธิ์ อาจผ่านเอเยนซี หรือส่งเองโดยตรง เพื่อโปรโมทหนังสือในฉบับภาษาไทย บนชั้นหนังสือของเจ้าของลิขสิทธิ์

นอกจากนั้น จะต้องทำรายงานการขาย (Royalty Report) ทุกๆ 6 เดือนอย่างตรงไปตรงมา อาจทำกลางปีและสิ้นปี เพื่อให้ตรงเวลา

สุดท้าย ต้องตั้งใจผลิตงานเขียนของนักเขียนใดนักเขียนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ผลิตเล่มเดียวหรือสองเล่มแล้วเลิก จะทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์เสียสิทธิในการขายให้รายอื่น

"ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมาทั้งหมด จะเป็นมืออาชีพในการทำหนังสือแปล และทุกๆ คน (เจ้าของลิขสิทธิ์) ก็อยากจะทำงานด้วยกันต่อสำหรับหนังสือเล่มต่อๆ ไป"

การซื้อและขายลิขสิทธิ์กับนักเขียนต่างชาติ นอกจากจะต้องทำอย่างมืออาชีพแล้ว ผู้ดำเนินธุรกิจหนังสือแปล หรือสำนักพิมพ์ จะต้องรู้จัก กฎ กติกา และมารยาทในการติดต่อค้าขายระหว่างกันด้วย..

พิมลพร บอกว่า การติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ จะใช้วิธี ใครติดต่อก่อนมีสิทธิก่อน

ขณะที่การพิจารณาให้ลิขสิทธิ์ของหนังสือเล่มหนึ่งๆ จะอยู่ที่ 2 สัปดาห์ หรืออย่างช้าสุด 1 เดือน

"ถ้าหากมีลูกค้าลำดับที่สอง ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์หนังสือที่สำนักพิมพ์ที่หนึ่งให้ความสนใจอยู่ก่อน เขาจะพิจารณาจากระยะเวลาในการพิจารณาของสำนักพิมพ์แรก

หากไม่ติดต่อกลับมาจะถือว่าเป็นการปฏิเสธ แต่เขาจะแจ้งกับสำนักพิมพ์แรกก่อนว่ามีสำนักพิมพ์ที่สองให้ความสนใจและขอพิจารณาหนังสือเล่มเดียวกันด้วย

หากสำนักพิมพ์ที่สองตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ แต่สำนักพิมพ์แรกพิจารณาอยู่ ก็จะใช้ตัวเวลาตัดสิน โดยถ้าหากเลยเวลา 2 สัปดาห์ตามที่กำหนด เขาจะรับข้อเสนอของสำนักพิมพ์ที่สอง และแจ้งแก่เอเยนซีเจ้าของลิขสิทธิ์ต่อไป"

โดยทั่วไป สำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานนักเขียนคนใดคนหนึ่งอยู่ จะมีสิทธิในการพิจารณาหนังสือเล่มอื่นๆ ของนักเขียนคนนั้นก่อน แต่หากมีผู้อื่นสนใจ ก็จะแจ้งให้สำนักพิมพ์เจ้าหลักทราบ

หากเจ้าแรกปฏิเสธ สำนักพิมพ์รายอื่นถึงจะมีสิทธิ

เว้นแต่ว่า จะได้รับการยินยอมจากนักเขียน หรือเอเย่นต์เจ้าของลิขสิทธิ์

ส่วนเงินจ่ายล่วงหน้า (advance) และค่าลิขสิทธิ์ (royalty rate) ของนักเขียนในเล่มที่สองและต่อๆ มา ควรจะเท่ากับเล่มแรก หรือสูงกว่า แต่ไม่ควรต่ำกว่าเล่มแรก

"ถ้าจำเป็นจริงๆ เช่น เล่มแรกไม่สบความสำเร็จ ก็ต่อรองได้บ้าง แต่โดยมารยาทแล้ว ควรเท่าเดิมหรือมากกว่า ดังนั้น การเสนอขอซื้อลิขสิทธิ์หนังสือแปล เราควรจะมั่นใจในหนังสือเล่มนั้น และต้องทำให้เป็นมาตรฐานที่รับได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องขายหนังสือแพงเพราะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์แพงๆ เช่นกัน"

สำหรับขั้นตอนในการติดต่อขอลิขสิทธิ์นั้น พิมลพร กล่าวว่า อย่างแรกเลยต้องทราบชื่อหนังสือก่อน ชื่อผู้เขียน และเลข ISBN ซึ่งสามารถค้นหาข้อมูลหนังสือได้จากเวบไซต์ต่างๆ เช่น //www.amazon.com //www.publishweekly.com นิตยสาร เช่น publisher Weekly,Bookseller เป็นต้น หรือเอเยนซี เช่น Catalogue จากสำนักพิมพ์หรือเอเยนซีต่างประเทศส่งมาให้ หรือหนังสือตัวอย่างจากสำนักพิมพ์

นอกจากนั้น ยังค้นหาหนังสือได้จากการไปงานแฟร์ในต่างประเทศ หรือเวบไซต์งานแฟร์ในต่างประเทศ เช่น Bologna Children's Book Fair ,Tokyo Book Fair,Frankfurt Book Fair เป็นต้น

ขั้นตอนต่อมา ติดต่อขอตัวอย่างหนังสือเพื่อพิจารณา ซึ่งจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการรอหนังสือที่ส่งมาถึง ต่อมา ก็เสนอราคาเงินจ่ายล่วงหน้า และค่าลิขสิทธิ์

"จากนั้นถ้าอยากซื้อหนังสือเล่มนั้น ก็ต้องเสนอค่าลิขสิทธิ์ โดยปกติสูตรการคำนวณค่าลิขสิทธิ์จะใช้ราคาหน้าปกหนังสือ คูณด้วยค่าลิขสิทธิ์ (%) คูณ จำนวนพิมพ์ เช่น ราคาปก 300 บาท * 6% * 3,000 เล่ม =54,000บาท/1,350 เหรียญ (40 บาทต่อเหรียญ)"

หลังจากนั้น รอคำตอบจากเจ้าของลิขสิทธิ์ว่าเขาจะตอบรับหรือไม่ หากตอบตกลง ก็ถึงขั้นตอนการเซ็นสัญญา และจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ขั้นตอนต่อมา ก็ส่งงานให้ผู้แปล ส่งพิมพ์ และในทุก 6 เดือนสำนักพิมพ์จะต้องส่งรายงานการขาย (Royalty Report) ให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์

"ปกติการคำนวณค่าลิขสิทธิ์ จะมี 2 แบบ คือแบบ Flat Rate ซึ่งจะอยู่ที่ 6% และแบบขั้นบันได เช่น 6% ที่ 1-3,000 เล่ม อัตรา 7% ถ้าพิมพ์ 3,001-1 หมื่นเล่ม และ 8% ถ้าพิมพ์มากกว่าหมื่นเล่ม เป็นต้น ขณะที่ค่าลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่จะมีอายุสัญญาประมาณ 5 ปี ซึ่งสามารถพิมพ์ซ้ำได้ และภายในระยะ 12-18 เดือนจะต้องดำเนินการจัดพิมพ์"

ส่วนจะทำธุรกิจหนังสือแปลอย่างไร ถึงจะ "อยู่รอด" ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้ นั้น พิมลพร ให้คำแนะนำว่า สิ่งสำคัญคือ จะต้องรู้จักตัวเองและสร้างคาแรคเตอร์ของสำนักพิมพ์ให้ชัดเจนกับสิ่งที่เราตั้งใจจะทำ

"อย่าหลงกระแส เช่น ไม่ชอบแนว Chiclit ก็อย่าทำ ให้ทำในสิ่งที่ถนัด เป็นตัวตนของเราที่ชัดเจน เช่น สำนักพิมพ์ผีเสื้อถนัดทำวรรณกรรมเด็ก หนังสือสวย กระดาษดี วันนี้ผีเสื้อจึงอยู่ได้ หรือกรณีสำนักพิมพ์โกมล คีมทอง ที่ทำแนวจิตใจ ศาสนา ก็อยู่ได้

อยากให้หาตัวเองให้เจอ และสร้างบุคลิกให้ชัดเจน อย่างปราบดา หยุ่น ทำปก มองดูก็จะรู้เลยว่า เป็นงานของเขา "

ประการต่อมา ต้องดูแลให้คุณภาพหนังสือได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นรูปเล่ม การคัดเลือกนักแปล ซึ่งบางคนอาจเก่งกันคนละด้าน ต้องเลือกใช้นักแปลให้ถูกคน ถูกงาน งานถึงจะออกมามีคุณภาพ

จากนั้น ศึกษารสนิยมผู้อ่าน โดยดูว่าคนไทยอ่านหนังสืออะไร ต้องการขายหนังสือให้ใคร คนกลุ่มไหน อายุเท่าไร เช่น วัยรุ่น คนทำงาน หรือนักธุรกิจ เป็นต้น

สุดท้าย ต้องทำการตลาดอย่างจริงจัง และต้องชัดเจนมาก

ถ้าทำได้ทั้งหมด พิมลพรบอกว่า สำนักพิมพ์ถึงจะอยู่รอด โดยไม่ต้องซื้อค่าลิขสิทธิ์หนังสือแพงๆ

-ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / B School 27-10-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 17:58:40 น.   
Counter : 13464 Pageviews.  

"อีเบย์" สะท้านโลกคอมเมิร์ซ

เอกรัตน์ สาธุธรรม

"ปัจจุบัน อีเบย์มีสมาชิกอยู่ทั่วโลกมากกว่า 220 ล้านคน สินค้าที่ขายดีในอีเบย์ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าของสะสม อย่างพวกแสตมป์ หรืออย่างเมื่อปีที่แล้วมีคนโพสต์ขายไม้กอล์ฟ ปรากฏว่าก็ขายได้ หรืออย่างกล้วยไม้ไทย หรือแม้แต่ปลากัดก็เป็นสินค้าที่ขายได้ และขายดีบนอีเบย์"



นี่เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ "หญิงเก่ง" นารีมาลย์ เจียงประดิษฐ์ ปัจจุบันเป็นตัวแทน "อีเบย์" ในประเทศไทย เธอเล่าให้ฟังว่า อีเบย์ ปัจจุบันได้กลายเป็นเวบไซต์ ช่องทางทำมาค้าขายของคนไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่เห็นผลชัดที่สุด เป็นเหมือนการสร้างตลาด "ส่งออก" ให้เกิดขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกมาก

"วันนี้ โคมไฟของคุณยายที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ถูกขนลำเลียงมายังกรุงเทพฯ เกือบทุกอาทิตย์ เพื่อส่งไปยังประเทศยุโรป รวมไปถึงประเทศอย่างออสเตรเลีย ซึ่งสั่งซื้อโคมไฟจากคุณยายที่จังหวัดเชียงใหม่ ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ คุณยายแค่นั่งทำโคมไฟอยู่ที่บ้าน คนอีกทวีปหนึ่งสามารถเห็นความสวยงามของโคมไฟคุณยาย และสั่งซื้อผ่านทางอีเบย์" นารีมาลย์ เล่า

"อีเบย์" เวบไซต์ขายของอันดับ 1 ของโลก กำลังสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการ "อี-คอมเมิร์ซ" เมืองไทย รวมไปถึงผู้ประกอบการค้าขายในโลกยุคใหม่ นำทีมโดยผู้บริหาร "แซม แม็คโดนาห์" ผู้อำนวยการ อีเบย์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"ประเทศในทวีปเอเชีย ถือเป็นตลาดซื้อขายบนอีเบย์ที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ผมคงไม่สามารถบอกตัวเลขการซื้อขายในแต่ละประเทศได้ บอกได้แต่ว่าประเทศไหนมีการซื้อขายบนอีเบย์กันมาก แน่นอนว่าไทยเป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ก็มีฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และจีน" แม็คโดนาห์ เล่า

นับตั้งแต่ปี 2538 อีเบย์ ถือเป็นผู้บุกเบิก และสร้างชุมชนจากทั่วโลกให้มารวมตัวกัน เพื่อทำธุรกรรมการค้าบนอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้อีเบย์เติบโตขึ้น และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

"อีเบย์" (www.ebay.com) ก่อตั้งโดย "ปิแอร์ โอมิดยาร์" ตอนนั้นใช้ชื่อว่า "Auctionweb" เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเวบไซต์ส่วนตัวที่เขาทำขึ้นมา และเจ้าของตัวจริงคือบริษัท "Echo Bay Technology Group" ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาของโอมิดยาร์

ครั้งแรกเขาพยายามขอจดชื่อเวบไซต์ EchoBay.com แต่มีคนจดชื่อนี้ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงย่อชื่อให้สั้นลงมาเป็น eBay.com ซึ่งเป็นตัวเลือกที่สองของเขา อีเบย์มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานโฮเซ แคลิฟอร์เนีย มีประธานบริษัทและซีอีโอคนเดียวกันชื่อ เม็ก ไวท์แมน มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2541 และถือเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเร็วที่สุดแห่งหนึ่ง

เวบไซต์อีเบย์มีสินค้ารอซื้อขาย และประมูลเป็นล้านๆ ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นพวกของสะสม เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครื่องมือ รถยนต์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และของเบ็ดเตล็ดมากมาย เปิดให้ซื้อขายกันทุกวัน

บางอย่างเป็นพวกของหายาก บ้างก็เป็นของมีราคาแพงหูฉี่ บางอย่างเป็นของเก่าเก็บ และคงถูกปล่อยทิ้งขว้างไม่มีราคา แต่ด้วยตลาดของอีเบย์เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ครอบคลุมทั่วโลก ของที่ดูเหมือนจะไร้ค่าสำหรับคนทั่วไป กลับเป็นของที่ต้องการสำหรับใครสักคน

แต่ก็ใช่ว่าตลาดอีเบย์จะเปิดรับซื้อขายสินค้าทุกอย่าง อีเบย์ห้ามขายพวกยาสูบ (ยกเว้นอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และของสะสม อย่างเช่น ไปป์ ห้ามขายเหล้า (ยกเว้นของสะสมที่เกี่ยวข้องกับสุรา และเปิดให้ขายไวน์ได้เฉพาะผู้ขายที่มีใบอนุญาตขายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น)

ห้ามขายพวกอุปกรณ์ เครื่องมือ ของใช้ที่เกี่ยวข้องกับนาซี ห้ามขายสื่อเพลงที่ลักลอบบันทึกและนำมาจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ห้ามขายอาวุธปืน และเครื่องกระสุน ห้ามขายเสื้อผ้ามือสองที่สกปรกเหม็น และห้ามขายอวัยวะและชิ้นส่วนมนุษย์

เวบอีเบย์มีระบบที่เรียกว่า Feedback ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายจะเป็นคนคอยให้คะแนนสำหรับการตกลงซื้อขายสินค้า ระบบดังกล่าวจะช่วยให้อีเบย์เป็นตลาดสินค้าที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายได้ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถให้คะแนน ซึ่งมีตั้งแต่พอใจ เฉยๆ และไม่พอใจ

รวมทั้งสามารถเขียนความเห็นที่มีต่อกันและกันได้ คะแนนและความเห็นเหล่านี้จะติดอยู่กับประวัติซื้อขายของสมาชิกอีเบย์ไปตลอด และสามารถเข้าไปดูได้ในส่วนที่เรียกว่า eBay Community

แม็คโดนาห์ บอกว่า ไตรมาสที่ 3 ปี 2549 มูลค่าการซื้อขายสินค้าขั้นต้นของสินค้าที่ขายได้บนอีเบย์สูงถึง 12,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 31% มีสินค้ามากกว่า 89 ล้านรายการที่วางบนอีเบย์ในแต่ละช่วงเวลามากกว่า 50,000 ประเภท และมีสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 6 ล้านรายการทุกวัน โดยมีรายได้รวมในไตรมาสเดียวกันนี้ 1,049 ล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่ทุกๆ วินาทีจะมีการซื้อขายสินค้าบนอีเบย์จากสมาชิกทั่วโลก คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1,590 เหรียญสหรัฐ!!!

และหมวดสินค้าที่มีการซื้อขายสูงสุดบนอีเบย์ทั่วโลก มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อปีสูงกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

นั่นคือ หมวดสินค้า "อีเบย์ มอเตอร์" ที่มีมูลค่าการซื้อขายถึง 16.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วย เสื้อผ้า และเครื่องประดับ มูลค่าการซื้อขาย 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่าการซื้อขาย 3.9 ล้านเหรียญสหรัฐ

"ผู้ใช้อีเบย์รายแรกจากไทยลงทะเบียนเป็นสมาชิกเมื่อปี 2539 ผู้ขายจากไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ขายที่มีการทำธุรกรรมซื้อขายมาก โดยมองไปที่การส่งออกไปยังผู้ซื้อทั่วโลก สินค้าจากไทย ที่ซื้อขายบนอีเบย์มากสุด คือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อัญมณีนาฬิกา และเครื่องกีฬา ซึ่งทุกๆ 27 วินาที พ่อค้าไทยบนอีเบย์ สามารถขายสินค้าประเภทอัญมณีและนาฬิกาได้หนึ่งชิ้น และทุก 56 วินาทีก็จะสามารถขายเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายได้" แม็คโดนาห์ เล่าถึง ความร้อนแรง อีเบย์ ในไทย

เขาว่า ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของ "อีเบย์" เพราะแนวโน้มของจำนวนพ่อค้า แม่ค้าไทยบนอีเบย์ ที่เข้าไปโพสต์ขายสินค้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ปัจจุบันมีสินค้าคนไทยที่โพสต์ขึ้นไปขายบน "อี-เบย์" โดยสถิติในเดือนตุลาคม 2549 มียอดกว่า 115,480 ชิ้น สาม อันดับแรกของสินค้าไทยที่โพสต์ขายมากที่สุด และขายดีในอีเบย์ อันดับแรกเป็นอัญมณี เครื่องประดับ รองลงมาเป็นเสื้อผ้า และเครื่องกีฬา โดยเฉพาะ "กางเกงมวย"

"ปัจจุบัน อัญมณีไทยขายอยู่บนอีเบย์มากกว่า 50,000 ชิ้น เชื่อไหมคะว่า ทุกนาที จะขายอัญมณีได้อย่างต่ำ 3 ชิ้น ขณะที่สินค้าที่เป็นเสื้อผ้า ในทุก 1 ชั่วโมง จะสามารถขายได้ 67 ชิ้น อย่างเกม หรือดีวีดี 1 วันจะขายได้ประมาณ 67 ชิ้น" นารีมาลย์ เล่า

เธอบอกว่า สินค้าบางประเภทของไทย สามารถเป็นสินค้าที่มีราคาแพงขึ้นทันที เช่น ร้านที่ขายไม้แกะสลัก หรือร้านขายผ้าไหมบนอีเบย์ สามารถทำรายได้ต่อเดือนถึง 100,000 เหรียญเลยทีเดียว

"ถ้าสินค้าเป็นชิ้นๆ โพสต์ขาย อย่างผ้าไหมที่จังหวัดลำพูน ราคาประมูลสูงสุดประมาณ 1,290 เหรียญ หรือประมาณ 4-5 หมื่นบาทนะคะ หรืออย่างสินค้าที่มาจากถนนคนเดินในจังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นไปโพสต์ขายตั้งราคาต่ำสุดไว้ 0.99 เหรียญ สามารถถูกประมูลได้สูงสุดถึง 61 เหรียญ หรือไม่บางทีก็ขึ้นไปถึงระดับ 300-1,000 เหรียญ"

นารีมาลย์ บอกว่า สินค้าของไทยบนอีเบย์ ถือเป็นสินค้าที่ขายดี และมีศักยภาพสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งบางครั้งมันตรงกันข้ามกับตลาดขายของในไทย ที่เราอาจมองไม่เห็นมูลค่า แต่หากอยู่ใน "อีเบย์" แล้วมูลค่าสินค้าของไทย โดยเฉพาะงานฝีมือ โอท็อป มูลค่าจะสูงมาก

"การขายสินค้าบนอีเบย์ ถือเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก อีเบย์จะคิดค่าฝากขายเริ่มต้น จะขายได้หรือไม่ เริ่มแรกต้องเสียค่าฝากขายประมาณ 20 เซนต์ หากขายได้อีเบย์จะหักค่าธรรมเนียมอีกครั้ง เช่นสินค้าราคาไม่เกิน 25 เหรียญ จะถูกหักค่าธรรมเนียมประมาณ 5.25% ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า"

เธอ บอกว่า คนไทยที่เข้ามาขายของบนอีเบย์ จะเริ่มมีตั้งแต่มาขายแบบพาร์ทไทม์ หาเวลาว่างมาโพสต์ขาย กระทั่งผันตัวเองจากพาร์ทไทม์ มาขายเป็นเต็มเวลา ขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีร้านค้าบนอีเบย์เสร็จสรรพ

"ผมอยากให้อีเบย์ เป็นเครื่องมือที่คนไทยจะใช้เป็นช่องทางส่งออกสินค้าไปยังทั่วโลก โดยเฉพาะสินค้าที่มีชื่อเสียงของไทย เช่นพวกหัตถกรรม การฝีมือต่างๆ" แม็คโดนาห์ เสริม

เมื่อถามว่า เมืองไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้อีเบย์เป็นตลาดซื้อขายมากประเทศหนึ่ง แต่เหตุใด อีเบย์จึงยังไม่พัฒนาเวบไซต์อีเบย์ ไทยแลนด์ ที่ให้คนไทยสามารถโพสต์ซื้อขายสินค้าได้โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมไปยังเวบกลาง "www. ebay.com"

แม็คโดนาห์ บอกว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อีเบย์คาดหวังว่าจะเปิดเวบไซต์อีเบย์เฉพาะ โดยไม่ต้องเชื่อมไปยังอีเบย์ ดอทคอม แต่ขอเวลาศึกษา และสำรวจตลาด ที่อาจต้องใช้เวลาสักระยะที่จะให้อีเบย์ได้รับความนิยม และแพร่หลายในไทยมากกว่านี้

"ผมเชื่อว่า ไทยมีการขยายตัวของการใช้อินเทอร์เน็ตที่ดีประเทศหนึ่ง รวมไปถึงพฤติกรรมของการชอปปิงบนอินเทอร์เน็ตของคนไทยก็มีสถิติที่น่าสนใจ แน่นอนว่า ในอนาคตเราต้องพัฒนาเวบไซต์อีเบย์ที่เป็นของประเทศไทยโดยเฉพาะ"

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ อีเบย์ได้จัดทำเวบไซต์แนะนำข้อมูลอีเบย์ภาคภาษาไทยขึ้นที่ //www.ebay.co.th โดยใช้เป็นหน้าต่างเชื่อมโยงไปสู่ตลาดออนไลน์ทั่วโลก และเข้าสู่ //www.ebay.com ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปลงทะเบียน และเริ่มการซื้อขายสินค้ากับผู้ซื้อผู้ขายทั่วโลกได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

แม็คโดนาห์ บอกว่า เวบนี้จะเป็นเวบที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอีเบย์ และเป็นช่องทางที่จะทำให้นักขายไทยได้รู้จักอีเบย์ เพิ่มมากขึ้น เวบนี้ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกอบรมการทำธุรกรรมอีเบย์ในไทย พร้อมทั้งการจัดทำคู่มือ “เริ่มต้นนักขายอีเบย์ ขายบนตลาดโลก” ฉบับภาษาไทย ซึ่งจะมีคำอธิบายการทำธุรกรรมบนอีเบย์อย่างเป็นขั้นตอน

"กิจกรรมเหล่านี้ ผมเชื่อว่าจะทำให้อีเบย์ เป็นที่สนใจของคนไทยมากขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อีเบย์ยังได้จัดประชุมสุดยอดผู้ขายในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนเมษายน และที่เชียงใหม่ เมื่อเดือนกันยายน เป็นการพบปะ พูดคุย รวมทั้งเสนอแนะเคล็ดลับที่ทำให้ผู้ขายไทยสามารถสร้างยอดขายของในอีเบย์ได้เพิ่มขึ้น" แม็คโดนาห์ เชื่ออย่างนั้น

ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / I-Biz 03-11-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 17:34:59 น.   
Counter : 1065 Pageviews.  

Dot Com on the move : เวบไซต์เมืองไทยเปิดกะลา แล้วออกสู่โลกกว้างกันดีกว่า

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ pawoot@ตลาด.com
เชื่อไหมครับ หลายๆ คนมักถามผมว่าจะทำอะไรดีกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ในร่ำรวย และสร้างโอกาสให้ตัวเอง ผมมักจะแนะไปว่า สิ่งที่คุณควรจะคิด และวางแผนก่อนจะทำอะไรต้อง "แปลกใหม่" ไม่เหมือนชาวบ้าน

ที่สำคัญควรคิดรูปแบบของเวบไซต์ หรือธุรกิจ ที่ตอบรับกับคนทั่วโลกมากกว่าที่จะคิดอะไร เพื่อพยายามตอบสนองกับคนไทยในประเทศ ที่ตอนนี้มีประชากรใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 10 กว่าล้านคนเท่านั้น ลองพยายามไปคิดถึง ตลาดอินเทอร์เน็ตระดับโลกที่มีคนมากกว่าพันล้านคนแล้วในขณะนี้บ้างก็จะดีไม่น้อย

ทำเวบไซต์เจาะกลุ่มคนต่างประเทศดียังไง? กลุ่มผู้ใช้มีจำนวนเยอะกว่าคนในประเทศมาก (หลายร้อยเท่า) รูปแบบของการเกิดรายได้มีความหลากหลายกว่า และเกิดขึ้นได้ง่ายมากกว่า การยอมรับของผู้ใช้สื่ออินเทอร์เน็ตมีมากกว่ารูปแบบการทำการตลาดระดับประเทศทำได้ง่ายมากขึ้น (กว่าเมื่อก่อน)

หลังจากนั้น ก็เตรียมตัวก่อนออกไปต่างประเทศ วิธีที่คุณจะสามารถเข้าถึงคนนับล้านคนได้อย่างไม่ยาก เราลองมาดูวิธีการกันว่า หากต้องการจะเริ่มต้นแล้วจะต้องเริ่มต้นยังไงบ้าง

เริ่มที่ วางคอนเซปต์ของเวบไซต์ของคุณต้องมีความแตกต่าง ไม่เหมือนใคร หากเหมือนก็อย่าเหมือนหรือซ้ำกันคนอื่นมากจนเกินไป พยายามสร้างอะไรที่แตกต่างและเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าที่จะไปก๊อบปี้ไอเดียจากที่อื่นๆ แต่บางครั้งการนำไอเดียดีๆ จากหลายๆ แหล่งมาหล่อหลอมรวมเป็นงานชิ้นใหม่ ที่น่าสนใจ ก็ดูจะเป็นแนวทางที่น่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง

ศึกษาเวบไซต์ที่จะเป็นคู่แข่ง (ระดับโลก) ของคุณให้ดีซะก่อน เพราะจุดนี้เองจะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน มากๆ ยิ่งหากอะไรที่คุณมีแต่คู่แข่งคุณไม่มี คุณย่อมได้เปรียบกว่าและเกิดความแตกต่างได้มากกว่า พยายามศึกษาคู่แข่งที่หลากหลาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม

คุณจะต้องปรับและตั้งกลุ่มเป้าหมาย (Target Market) ของเวบไซต์ของคุณให้ออกไปยังคนต่างประเทศ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยทำให้คุณ เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่า กลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นใคร และคุณจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้น ซึ่งหมายถึงการวางแผนและการทำงานทุกอย่างที่จะตอบรับและตอบสนองกับการทำงานทุกอย่างของคุณ

ทำภาษาของเวบไซต์ของคุณให้เป็นภาษาอังกฤษ ข้อนี้คือข้อที่สำคัญที่สุดที่ในการที่เวบไซต์ของคุณที่จะช่วยขยายขอบเขตการให้บริการออกไปคนต่างประเทศอีกนับหลายร้อยล้านคนได้ทันที

แต่ข้อนี้มักเป็นปัญหาสำหรับคนไทย ที่มักจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับการใช้ภาษาอังกฤษเท่าไร การหาทีมงานที่มีความชำนาญในภาษาอังกฤษเข้ามาร่วมทำงาน จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้การทำงานส่วนนี้ง่ายมากขึ้น (ตอนทำพยายามใช้ภาษา และแกรมม่าที่ถูกต้องด้วยนะ)

นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นการเตรียมธุรกิจของคุณให้พร้อมก่อนออกสู่ตลาดโลก แต่ปัญหาของคุณทำเวบไซต์ส่วนใหญ่ที่เจอคือ จะทำยังไงให้คนในโลกนี้รู้จักว่ามีเวบไซต์ของคุณอยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งผมมีวิธีมาแนะนำหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น

"การตลาดระดับโลก" สำหรับแนวทางการตลาดที่ควรนำมาประยุกต์ใช้เพื่อทำให้เวบไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักในระดับโลก มีหลายวิธี ได้แก่ การโฆษณาเวบไซต์ใน "เสิร์ช เอ็นจิ้น"

ต้องยอมรับว่าการทำให้เวบไซต์ติดอันดับใน เสิร์ช เอ็นจิ้น วันนี้ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว เพราะรูปแบบการทำนั้นมีหลายรูปแบบทั้งรูปแบบที่ทำได้ฟรี กับการปรับแต่งเวบไซต์เพื่อให้เสิร์ช เอ็นจิ้น รู้จัก (Natural Search Engine Optimization) หรือ ใช้วิธีจ่ายเงินเพื่อให้เวบไซต์ของคุณติดอยู่ในเสิร์ช เอ็นจิ้น ก็ได้ (Pay Per Click Advertising) ซึ่งวิธีนี้นับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการทำการตลาดกับต่างประเทศ

"การตลาดผ่านอี-เมล" (E-Mail Marketing) การตลาดที่จะส่งข้อมูลเวบไซต์ของคุณออกไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่านทาง อี-เมล แต่ต้องระวังให้ดีนะครับ เพราะการสแปมอีเมลกับการตลาดแบบอีเมลนี้จะอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นหากคุณต้องการส่งอีเมลหากลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการคุณอาจจะเลือกส่งกับผู้ให้บริการเช่ารายชื่ออีเมลของกลุ่มเป้าหมายของคุณก็ได้ เช่น inetgiant.com, jigsaw.com ซึ่งหากคุณส่งข้อมูลตรงไปยังกลุ่มเป้าหมาย ก็จะทำให้เวบไซต์ของคุณ เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ง่าย

การส่งข่าวไปยังสำนักข่าวทั่วโลก วันนี้คุณสามารถส่งข่าวของคุณออกไปยังสำนักข่าวอื่นๆ ทั่วโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ไม่ยาก เพราะตอนนี้นักข่าวหลายๆ สำนักทั่วโลกก็นิยมรับข่าวสารจากสื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้น ดังนั้นคุณสามารถฝากข่าวไปยังที่อื่นๆ ได้ผ่านผู้ให้บริการเช่น media-press-release.com, free-press-release.com

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีการที่จะทำให้เวบไซต์ของคุณ ผ่านหูผ่านตาของคนทั่วโลกได้ไม่ยากนัก จริงๆ มีอีกหลายวิธี แต่สำหรับจุดประสงค์ของบทความครั้งนี้อยากจะให้คนไทย คิดทำอะไรออกนอกกรอบ และรุกออกไปต่างประเทศบ้าง อย่าปล่อยให้ต่างประเทศคอยบุกเข้ามาในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว

จริงๆ เราคนไทยสามารถอาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต นำพาธุรกิจคนไทยออกสู่สายตาชาวโลกได้อย่างไม่ยากเลย และผมเองก็เชื่อว่าคนไทยเป็นคนที่เก่ง มีความสามารถ ผมเห็นเวบไซต์ของเมืองไทยหลายๆ เวบทำออกมาได้ดีมากเลยทีเดียว เหลือแต่เพียงแค่ปรับเป็นภาษาอังกฤษ เพิ่มเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่เข้าถึงคนระดับโลกเข้าไป

ผมเชื่อว่าเวบไซต์ของคนไทยจะกลายเป็นเวบไซต์ที่มีโอกาสดังติดระดับโลกได้อย่างไม่ยากเลยครับ เหลือเพียงแค่ "คิดแล้วก็ทำมัน" เท่านั้นแหละครับ "อย่างมัวแต่คิดแล้วก็ปล่อยมันไป"




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 17:32:54 น.   
Counter : 723 Pageviews.  

ปัญหาเล็ก ความฝันใหญ่

ริชาร์ด แบรนสัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 1984 ได้รับคำชวนจากทนายความชื่อ แรนดอล์ฟ ฟิลด์ หลังจากการล่มสลายของ สายการบิน เลเกอร์

แรนดอล์ฟ ฟิลด์ กำลังหาคนร่วมลงทุนสายการบินแทนเส้นทางที่ สายการบิน ของ เซอร์ เฟรดดี้ เลเกอร์ เคยบิน ขณะที่ทุกคนปฏิเสธแผนธุรกิจของ แรนดอล์ฟ แต่ ริชาร์ด กลับให้ความสนใจแผนธุรกิจนี้ และคิดถึงมันตลอดเวลา ราวถูกกระทุ้งต่อมความฝันที่เขากำลังนึกอยากทำอะไรบางอย่างที่ตื่นเต้นผจญภัย โดยเฉพาะการผจญภัยทางธุรกิจ โดยธุรกิจที่เกี่ยวกับท้องฟ้า

ในวันนั้น ริชาร์ด คิดไปไกลถึงกลุ่มลูกค้าสายการบินที่มีหลากหลาย ทั้งกลุ่มลูกค้าที่นิยมชั้นประหยัด และนักเดินทางที่ไม่ใช่นักธุรกิจ เพราะเขาไม่ต้องการทำสายการบิน บิซิเนส คลาส อย่างเดียว ตามข้อเสนอของ แรนดอล์ฟ แต่เขาต้องการดูแลลูกค้ากลุ่มประหยัดด้วย อันเป็นเจตนารมณ์มาแต่เดิม ตั้งแต่ตอนทำนิตยสาร สติวเดนท์

เขา เริ่มขมวดปมจินตนาการ แล้วกระโจนสู่โลกความเป็นจริง ด้วยการโทรหาสายการบิน พีเพิล เอ็กซ์เพรส ซึ่งในเวลานั้นเป็นสายการบินราคาถูกเพียงสายการบินเดียว ที่ให้บริการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

...แต่ปรากฏว่า สายไม่ว่างเลย

ซึ่งจากจุดบกพร่องอันนั้นเอง ทำให้ ริชาร์ด สรุปได้ด้วยตัวเองว่า สายการบินราคาถูกน่าจะยังขาดแคลน อีกทั้งไม่มีระบบบริการลูกค้า (ที่โทรไปหา) ดีพอ ทำให้เขาเกิดไอเดีย มองเห็นโอกาสทางการตลาด และเริ่มตั้งเป้าหมายในการให้บริการที่ดีกว่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

แล้วก็คงจะมีแต่เจ้าของค่ายเพลงสุดบ้าชาวอังกฤษชื่อ ริชาร์ด แบรนสัน คนเดียวละมั้ง ที่จะโทรไปหา บริษัท โบอิง ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของสหรัฐ เพื่อขอเช่าเครื่องบินโบอิงสักลำ!!!

นับเป็นจุดเริ่มต้นของสายการบินที่ช่างน่าขำ ทำให้นึกย้อนไปถึงวันที่เขาโทรศัพท์หาโฆษณาโดยโทรออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะสมัยทำนิตยสาร สติวเดนท์

ริชาร์ด โทรไปถามเบอร์โทรศัพท์ จากบริษัทที่คล้ายๆ "13" ในอดีตของบ้านเรา เพื่อขอเบอร์ของ บริษัท โบอิง บริษัทผลิตเครื่องรายใหญ่ของ อเมริกัน ที่ปัจจุบัน กำลังถูกตีท้ายครัวจากแอร์บัส พอสมควร เพราะความหนักหนาสาหัส ของธุรกิจการบินในอเมริกา ที่ดิ่งสู่ห้วงเหวในทันที หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001

แม้จะเป็นที่ งงๆ ของ คนที่ บริษัท โบอิง ว่า "หมอนี่เป็นใคร" จะโทรมาขอเช่าซื้อเครื่องบิน!! และกำลังจะทำสายการบิน! อีกต่างหาก

แต่ก็สรุปว่า เขาได้คุยกับทางโบอิง จนยอมรับไอเดีย และทางโบอิง ก็ยื่นข้อเสนอ จัดหาเครื่องบินมือสองให้ โดยมีเงื่อนไขการเช่าซื้อเป็นเวลาหนึ่งปี ...... ถ้าล้มเหลว ก็เอาเครื่องมาคืน

การทำสายการบินถือเป็นฝันบรรเจิด อันเป็นบุคลิกนิสัยของผู้ประกอบการที่ชื่อ ริชาร์ด แบรนสัน

....เขามี High Expectation ความใฝ่ฝันของเขาสูงส่ง ไร้ซึ่งขอบเขต ฝันของเขาจึงใหญ่ได้เท่าที่ต้องการ

แต่ในขณะที่ธุรกิจในหลายๆ ส่วนของเวอร์จิ้น กำลังไปด้วยดี (รวมถึงเงินจากขายอัลบั้มของ คัลเชอร์ คลับ ที่ไหลมาไม่หยุด) เมื่อได้ข้อเสนอวิเศษสุดจาก บริษัท โบอิง ที่เขาเห็นว่า ธุรกิจสายการบินมีทางเป็นไปได้

ริชาร์ด จึงนำไปปรึกษาทีมงานคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนสำคัญที่สุด คือ ไซมอน ดราเปอร์ ลูกพี่ลูกน้อง ผู้ลุ่มหลงในศิลปะและเสียงดนตรี คนที่ ริชาร์ด เคยเลือกไว้ในช่วงแตกหักกับเพื่อนวัยเด็ก นิค เพาเวลล์

ริชาร์ด เตรียมแผนงานอย่างดี ก่อนนัดพบ ไซมอน และ เคน ทีมงานคนสำคัญอีกคนหนึ่ง เพื่อบอกเล่าความฝัน ทั้งสองไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงที่สุด แม้เขาจะพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า

เวทมนตร์ที่เคยพูดจูงใจคนให้คล้อยตามมาก่อน ถึงเวลานี้ ใช้ไม่ได้กับ ไซมอนและ เคน

ต้นทุนราคาแพง ของ สายการบิน เวอร์จิ้น ต้องถูกจ่ายออกไปเมื่อมิตรภาพกับ ไซมอน ดราเปอร์ เกิดรอยปริแตกร้าว ส่วน เคน ก็กล่าวหาว่า ริชาร์ด เอากำไร ของ เวอร์จิ้น ไปผลาญเล่น

....มิตรภาพงดงามยาวนาน จึงเป็นต้นทุนก้อนแรกที่ ริชาร์ด ต้องจ่ายออกไป ด้วยความไม่เต็มใจ

แต่ ริชาร์ด กลับรู้ตัวดีว่า เพราะ ไซมอน หูของเวอร์จิ้น เป็นศิลปินเกินไป และไม่มีสัญชาตญาณของการผจญภัยเช่นเดียวกับเขา ที่ไม่สามารถทนฟังทุกครั้งที่ ริชาร์ด บอกว่า “ธุรกิจนี้ จะต้อง Fun แน่ๆ”

ที่มา : //www.bangkokbizweek.com / Marketing 03-11-2549




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 16:52:59 น.   
Counter : 810 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  

sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]