Group Blog
All Blog
|
--- รั ก อ อ ก แ บ บ ไ ม่ ไ ด้ ---
ฉันชอบประโยคสุดท้ายของหนัง อันเป็นบทสรุปเรื่องราวได้ดี เราไม่สามารถออกแบบความรักได้ ความรักออกแบบตัวของมันเอง แต่เราออกแบบการให้ได้ เหมือนอย่างที่กลุ่มโอได้ออกแบบการให้ซึ่งกันและกัน ในเรื่องราวที่ผ่านมา ช่างเป็นแบบอันสวยงาม ซึ่งจะคงความงดงามไปตราบเท่าชีวิต -- ของพวกเรากลุ่มโอทุกคน รัก, ออกแบบไม่ได้ [ONegative] ภิญโญ รู้ธรรม, กำกับ ฉันรักหนังไทยเรื่องนี้พอ ๆ กับ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย, มหา'ลัยเหมืองแร่,โหมโรง,๑๕ ค่ำเดือน๑๑,เด็กหอ,โกลด์ คลับฯลฯ เป็นหนังที่ดูกี่ครั้ง ๆ ก็รักอยู่เต็มหัวใจ อินกับเหตุการณ์คลับคล้ายแต่ไม่ใช่ทั้งหมด กว่าจะมารวมตัวกัน เป็นเพื่อนรักกัน เป็นกลุ่มเดียวกันและมีชื่อ ฉันถามเพื่อนรัก ๆ ที่เคยดูด้วยกันว่าชอบมั้ย ต่างบอกว่า ชอบ แต่พวกเราน่ารักกว่า(*v*) ฉันถามอดีตเพื่อนรักก่อนมาเป็นคนรักว่า ชอบหนังเรื่องนี้มั้ย เขายิ้ม.. มันเป็นบทหนังที่มีจังหวะบอกเล่าเรื่องราวความรัก ของเพื่อนในกลุ่มได้อย่างชัด ง่าย ตรง และลงตัว "กลุ่มโอของเราไม่เคยทิ้งกัน แม้ภูมิหลังของเราจะต่างกัน แต่ความเป็นเพื่อนดึงเราเอาไว้เป็นหนึ่งเดียว" ความรักแบบเพื่อน จะเเป็นความงดงามแบบหนึ่ง ส่วนความรักแบบคนรัก มันมักมีช่องว่างระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เกิดความหมางใจ แต่ ความรักบังคับกันไม่ได้ ความรัก บางครั้งงดงาม บางครั้งก็เจ็บปวด ความรักบนเส้นทาง บางครั้งมันก็ไม่งดงามเหมือน เส้นทางของความรัก ว๊า..ดูแล้วก็คิดถึงเพื่อน.. :: บันทึกไว้เมื่อหกปีที่แล้ว 26 กุมภาพันธ์ 2011 --- พั ก ผ่ อ น กั น วั น อ า ทิ ต ย์ ---
![]() เช้าวันอาทิตย์ :: เราตื่นตีสี่เพื่อจะขึ้นดอยไปเฝ้าไก่ฟ้าแต่เช้าตรู่ เตรียมปิกนิกกันบนดอยสองคนเหมือนเดิมเพราะหลังจากนี้ หาวันว่างได้ยากมาก นั่งคุยกันไปตั้งแต่ออกบ้าน คิดถึงนกบนดอย นึกไม่ออกว่าอยากเจอนกอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ใกล้จะหมดหนาว นกอพยพบางตัวคงเตรียมบินกลับบ้านแล้ว ฉันฟื้นความจำให้คนที่บ้านฟังว่า ปีที่แล้ว เราเจอนกปากกบสร้างรังเดือนนี้แล้วนะ ก่อนไฟป่ามาเยือน แต่เขาอาจไม่ได้สร้างรังที่เดิมเท่านั้น ทางบนดอยยังมืดมาก ใครไม่คุ้นคงไม่กล้ามา ตีห้าครึ่งแล้ว ฟ้ายังมืดมาก กลางคืนยาวกว่ากลางวัน พระจันทร์ครึ่งดวงก็ให้แสงสว่างไม่พอ แต่ก็เห็นเป็นเพื่อนกันไปตลอดทาง เกือบหกโมงเช้า ฟ้ายังมืดอยู่ อากาศบนดอยหนาว ลมหนาวยังไม่จากเราไปอย่างแท้จริง เราไปถึงที่หมายช้าไปห้าก้าว ยังคิดว่า อาทิตย์นี้ไม่น่าจะเจอนักดูนกแล้วนะเพราะวันหยุดติดกันสามวัน เขาน่าจะมากันหมดแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ มีนักดูนกใจเดียวกับเราที่ขึ้นดอยแต่เช้ามาเฝ้าไก่ฟ้าเช่นกัน เราเจอรถทะเบียนเชียงใหม่สี่คัน ตั้งบลายด์เต็มทั้งสองข้างทาง แถวละสองบลายด์สองแถว ไม่มีที่พอให้เราแทรกเลย ถ้าเข้าไปขอตั้งอีกสักบลายด์ก็คงได้ ไหน ๆ ก็ตื่นเช้าแล้ว อยากเฝ้าไก่ด้วย แต่คนที่บ้านไม่เอาด้วยบอกว่าเกรงใจเขา เรามาช้า เขาเลยพาขับรถผ่านไปเพื่อไปเฝ้านกตรงด่านทหาร ฉันอยากกลับบ้านเดี๋ยวนั้นเลย ผิดหวังนิด ๆ อยากกลับไปนอนต่อดีกว่า ไม่ดูวันนี้ก็มาตอนป่าหน้าแล้งก็ได้ แต่คนที่บ้านไม่เอาด้วยอีก เขาเฉย ๆ กับอาการไม่ได้อย่างใจแล้วก็ไม่เอาอะไรในแบบของฉันแล้ว เดาทางกันถูกว่างั้นเถอะ ฉันเซ็งนิด ๆ ที่ขึ้นดอยไม่ทัน คนที่ตั้งบลายด์ก็รู้จักกันหมด ขอเขาก็ได้นี่นา (ชิชิ) เลยไปนอนหลับต่ออีกนิดตรงป้ายสอง รอฟ้าสาง รอแสง แต่เสียงนกร้องก็ยั่วยวนใจไม่น้อย เป็นเช้าที่ป่าร่าเริงมาก อยากให้คนที่เรารักมาอยู่ตรงนี้ด้วย แต่คนที่บ้านออกเดินสำรวจนกล่วงหน้าไปแล้ว ... ฉันเริ่มขยับตัว ยกกล้องขึ้นขาตั้งกล้องไว้ ยังไม่ค่อยคุ้นกับอาวุธใหม่สักเท่าไหร่ หนักมากและยกซดไม่ได้เหมือนเดิม ถ่ายภาพสองครั้งหลังยังบอดอยู่เลย คิดว่าถ่ายบ่อย ๆ ก็น่าจะคุ้นขึ้น กว่าจะรู้ใจกันมันต้องใช้เวลา ฉันจิบกาแฟที่ชงมาจากบ้านและส่องนกไปเรื่อย ๆ ส่องไปยังต้นที่นกปากกบลายดำชอบมาฟักไข่ ยังไม่เห็นรังเขา ไล่ส่องตามเสียง นกกระจิ๊ดค่อนข้างเยอะ นกเล็กพวกนี้เร็วมาก มีหลายสัญชาติ แค่ขีดที่ปีกต่างกันหน่อยเดียวก็ชื่อต่างกันแล้ว เป็นนกสำหรับเซียนนกจริง ๆ ฉันคุ้นเคยนกกระจิ๊ดชนิดเดียวคือ นกกระจิ๊ดธรรมดา Yellow-browed Leaf Warbler พบได้บ่อยในทุกพื้นที่ เราคุ้นกับเขาแต่เขาคุ้นกับใครไม่รู้ เขาดูไม่สนใจใคร กระโดด ๆ หากินไปเรื่อย ๆ ถ่ายภาพก็ยากเพราะเร็ว แต่ดูผ่านกล้องนี่น่ารักมาก เพลินเลยทีเดียว ความจริงอาจจะแยกแยะได้ไม่ยากหรอกแต่เราต้องได้ภาพเขาเต็ม ๆ ดูแถบปีกสองปีกเปรียบเทียบ ขีดขาวบนปีกจากขนชั้นนอกและชั้นในเวลาเขาบิน นาน ๆ ทีจะเห็นเขาในมุมต่ำกับพื้นจนเห็นหัวลายแตงไทยเป็นริ้วจาง ๆ ความที่ไม่ชำนาญในการแยกแยะนกเล็ก ๆ แบบนี้ ฉันก็เหมารวมว่านกกระจิ๊ดธรรมดา เพราะนกที่ไม่ธรรมดาคงไม่ผ่านมาให้ฉันได้เจอะเจอหรอก มันง่ายไป เช้านี้ฉันก็เจอเจ้าตัวนี้แบบใกล้ ๆ ด้วย ช่างไม่กลัวมนุษย์เอาเสียเลยนะ อย่างที่ฉันบอก เราคุ้นเคยกับเขาแต่เขาไม่สนใจเราหรอก ฉันเห็นเจ้ากระจิ๊ดบินข้ามถนนไปมา บินกลับไปกลับมาหลายรอบ ในปากมีหญ้าแห้ง และมอสเขียว ๆ ที่ยังสดอยู่ เขาเอาไปไหนนะ เพราะไม่มีเหยื่อหรืออาหารเพื่อเอาไปป้อนใคร แต่ทุกรอบเขาจะบินเอาเศษใบไม้ในปากซุกลงไปที่หญ้าแห้ง ๆ บนพื้นข้างทาง ฉันสงสัยว่า เขาคาบไปหรือคาบมา แต่ดูหลายรอบก็มั่นใจว่าไปคาบเศษใบไม้แห้งมาสร้างรัง แต่ที่แปลกคือ รังอยู่บนพื้น ถนนแคบมาก นี่ถ้ารถจอดก็เหยียบรังได้ง่าย ๆ มันใช่หรือเปล่านะ ทำไมเธอกล้าหาญแบบนี้ ฉันกวักมือเรียกคนที่บ้านมาดูด้วยกัน ก็เห็นตรงกันว่า เขากำลังทำรังอย่างขมักเขม้น บินกลับไปกลับมาไม่รู้จักเหนื่อย บินลำพังแข็งขันราวกับแม่เลี้ยงเดี่ยว แข็งแรงทั้งกายและใจเลยนะเนี่ย ฉันกดภาพเขาไว้เล็กน้อย ถ่ายยากจริง ๆ ถ้ายืนงมถ่ายเจ้าตัวนี้อย่างเดียวคงไม่ได้ไปไหน อาจจะดูกันจนสร้างรังเสร็จเลยทีเดียว มันเหมือนกับเล่นเกมแล้วเอาชนะไม่ได้สักที เล่นไม่รู้เลิก แต่ฉันยอมยกธงขาวได้เร็ว อยากไปทักทายนกตัวอื่น ๆ ด้วย ส่องขึ้นไปบนต้นใหญ่ ตามกอกล้วยไม้อยากเจอนกขัติยาเพราะล่าสุดเจอเขามาเป็นฝูง แหนะ...เริ่มมีความคาดหวังเข้ามาครอบงำจิตใจทั้งที่ก่อนออกบ้าน อยากเฝ้าแค่ไก่ฟ้าแล้วจะกลับบ้านนะ แต่เช้านี้ไม่เห็นเวฟนกเลย แต่นกยังเต็มดอยอยู่ คิดถึงเพื่อน ๆ ที่ชอบดูนกเหมือนกัน หลายตาก็เห็นหลายตัว ช่วย ๆ กันไซร้หานกตามต้นไม้ ลูกไม้สุก ๆ แดง ๆ มันสนุกแบบนี้แหละ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะเคยมีน้องคนหนึ่งพูดขึ้นว่า กิจกรรมวิ่งน่ะ พอเข้าใจนะเพราะผมก็วิ่ง รู้ว่ามันสนุกยังไงแต่ดูนกกันทั้งวัน บินไปดูนกที่นั่นที่นี่ไกล ๆ ความสนุกของมันคืออะไร เป็นแบบไหน ฉันก็บอกไม่ถูกหรอกนะว่ามันสนุกตรงไหน เรื่องวิ่งก็แบบเดียวกัน ใช่ว่าคนส่วนใหญ่จะสนุกไปด้วย ฉันไม่ได้คิดฮึกเหิมชักชวนใครมาทำกิจกรรมแบบที่ฉันทำหรอก อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ไม่จำเป็นต้องชอบอะไรเหมือนกัน ฉันเพียงแค่อยากเล่าในสิ่งที่ฉันชอบให้เพื่อนฟังเท่านั้น วันนี้เราไม่ได้แจมถ่ายรูปร่วมกับนักดูนกคนอื่น ๆ อาจจะเพราะที่หมายเราต่างกัน ดอยออกจะกว้างขวาง นกที่เขาสนใจอาจไม่ใช่นกที่เราสนใจก็ได้ ฉันก็ยินดีเสมอที่จะได้พบนกตัวเดิม ๆ บนดอยอีกทั้งนกเซเล็บ นกรับแขกหรือนกประจำถิ่นทั้งหลาย ฉันชอบทุกตัวนั่นแหละ แต่ถึงไม่ออกมารายงานตัว ฉันก็รับรู้ในการมีอยู่ของพวกเขา ![]() นี่ก็หล่อเกิ๊นนนน เห็นป้ากับลุงมาก็ออกมาต้อนรับเลยเชียว ไม่รู้ว่าเขารออาหารจากเราเหมือนเจ้าอัลตร้ามารีนหรือเปล่า สักพักเขาก็รู้เองว่า เรามามือเปล่า อยากมาทักทายสุดหล่อบนดอยช่วงนี้ เขาชื่อ เขนแปลง White-bellied Redstart เป็นนกอพยพเข้ามาช่วงฤดูหนาวเช่นกัน แต่ปีนี้ดูหล่อเหลาเอาการ ปีกสีน้ำเงินเข้ม ขนน้ำเงินคลุมจนถึงโคนหางด้านบนเลยค่ะ กลางท้องมีสีขาว ที่โคนของขนหางคู่นอกจะเห็นลายแต้มสีน้ำตาลแดง เขาเป็นนกไม่มีคิ้วนะคะ (แต่ cute) หล่อเฉียบขาดจริง ๆ ยิ่งเวลายืน ขายาวเชียวเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่น ชอบเขากระดกหาง เท่เลย เวลาได้ยินเสียงแต่ก แต่ก นี่ ทำเอาเราต้องเหลียวหาเขาตลอด ชอบสรีระของนกกางเขนเพราะดูสูง ปราดเปรียว อยากเห็นตอนแพนหางเหมือนกันแต่ก็ออกจะหวังอะไรมากเกินไป ว่าแต่ว่า เขาไม่เคยพาแฟนออกงานเลยนะ บินเดี่ยวทุกปี ฉันเคยพบเจ้าเขนแปลงเมื่อหลังไฟป่ามอดกลางเดือนเมษาก่อนหน้านี้ ไม่หล่อมากนัก อาจจะยังไม่โตเต็มวัยหรือนอกฤดูผสมพันธุ์เช่นกัน ปีกสีน้ำเงินคนละสีกับที่เห็นในวันนี้ ตอนนั้นเห็นเขาวิ่งอยู่บนใบไม้แห้ง หาเหยื่อตามพื้น ไม่มายืนโชว์หล่อแบบนี้หรอก (ไม่รู้มีคนใจดีเอาฮานามิมาฝากเขาหรือเปล่า เขาจึงรอกฮานามิจากเรา) เห็นในอิริยาบถต่างกันทำให้เหมือนนกคนละตัว เราเองก็แบบนั้นนี่นา บางวันก็อยู่ในชุดอยู่บ้าน ดูสบาย ๆ แต่ออกบ้านก็ดูดีขึ้นมานิดนึง แต่ไงก็ไม่ดูดีเหมือนพี่เขนแปลงวันนี้หรอก หล่อจนสาว(เหลือน้อย)กรี๊ด นี่เจอระยะประชิดอาจมีเลือดกำเดาออกได้นะเนี่ย หล่อไม่เกรงใจป้าเลยนะ พักผ่อนกันวันอาทิตย์ ขอให้มีความสุขทุกท่านนะคะ ภูพเยีย 19 กุมภาพันธ์ 2560 --- ด ว ง ใ จ จึ ง จำ น ร ร จ์ : ไพวรินทร์ ขาวงาม ---
แม้จะมีเพื่อนแท้ที่ฉันรัก ก็อาจจักพลัดพรากจากกันได้ ตรงนี้แหละที่เราพึงเข้าใจ กระทำวันนี้ไว้ให้งดงาม . คิดถึงเพื่อนยามที่ยังมีเพื่อน ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้ไปทุกหน อาจก้าวข้ามสันกำแพงแห่งตัวตน ล่วงรู้พ้นทุกมิติพิเศษใด :: ดวงใจจึงจำนรรจ์ ไพวรินทร์ ขาวงาม . วันนี้ได้รับหนังสือกวีนิพนธ์ ชุด ดวงใจจึงจำนรรจ์ ฉบับลายมือของพี่ไพวรินทร์ ขาวงาม เป็นบทกวีที่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษประกอบโดยคุณวรวดี วงศ์สง่า รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากค่ะ บทกวีเล่มเล็กเล่มนี้บรรจุความฝันและความรัก เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมือนบันทึกความทรงจำผ่านวานวันอย่างมีสีสัน อิ่มใจในความหมายของคำว่าเพื่อน เป็นบทกวีของพี่อีกเล่มที่อ่านแล้วอ่านอีกได้ อ่านแล้วสบายใจ สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีที่มีอยู่ รู้สึกถึงความเป็นมิตรที่ไม่เคยหายไป ขอบพระคุณพี่ไพวรินทร์มาก ๆ นะคะ ที่กรุณาฝากหนังสือมาให้เป็นที่ระลึก(หลายเล่มด้วย ตื่นเต้น ๆ ) พร้อมลายเซ็นสวยงาม มีคุณค่าทางใจมาก จะเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยค่ะ ขอบพระคุณที่เขียนบทกวีให้เราได้อ่านและรัก ขอให้พี่ไพวรินทร์มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขอยู่เสมอนะคะ ภูพเยีย 19 กุมภาพันธ์ 2560 --- V E N U S - - ข อ ใ ห้ หั ว ใ จ เ ป็ น สี ช ม พู ---
เพิ่งไดู้ดูหนังรักเรื่องนี้เมื่อคืนนี้เอง เป็นความรักต่างวัยระหว่างมอริสชายชราวัย 70 (ซึ่งนักแสดงรุ่นเดอะอย่างปีเตอร์โอทูลแสดงนำ ชอบสีหน้า สายตา การแสดงออกซึ่งความรัก ดูจัดเจนต่อโลกเหลือเกิ๊น) กับเจสซี่เด็กสาววัย 17 น่ารัก ดูแก่น ๆ อยากทำงานแต่ก็บอกไม่ได้ว่าอะไร .. รู้แต่อยากทำงาน "รูปร่างของผู้หญิงคือสิ่งที่สวยงามที่สุดที่ผู้ชายจะได้เห็น" แล้วผู้หญิงล่ะ ควรจะได้เห็นความงามด้านใดจากผู้ชายถ้าไม่ใช่หัวใจที่อ่อนโยนและมั่นคง ..(อันนี้ไม่เกี่ยวกับบทกวีของเช็คสเปียร์หรอกนะ) วีนัสเป็นเทพแห่งความรักและความงาม ชอบฉากของสองดาราอาวุโสในร้านกาแฟ ความรักของชายชราที่มีต่อสาวน้อย ชอบฉากความสวยงามของเมืองลอนดอน ตอนที่มอริสเล่าประสบการณ์ของเขาให้สาวน้อยฟัง มีบางสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของชายชราในเวลาที่เหลือน้อยลงเต็มที หากจะคิดว่าตาเฒ่านี่ลามกหรือเปล่าที่มานึกรักเด็กรุ่นเหลน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า เขาไม่รู้สึก หัวใจไม่ได้หมดอายุหรือราโรยซะที่ไหน ต่อให้เข้าบั้นปลายของชีวิตแล้วก็เถอะ ก็..นะ.. วันไหน ๆ ก็ขอให้หัวใจมีสีชมพู --- ข อ บ คุ ณ วั น แ ห่ ง ค ว า ม รั ก ---
เมื่อวานเป็นวันแห่งความรัก ฉันตามอ่านความรักของเพื่อน ๆ น่ารักดี อ่านแล้วมีความสุข เฟซบุ๊กเป็นแบบนี้เอง ฉันถึงไม่ไปไหน ฉันมีเพื่อนน่ารักหลายแบบ บางคนเล่าถึงสมัยเป็นนักเรียนที่นิยมแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจบนเสื้อ กระเป๋านักเรียน ส่งดอกกุหลาบ จดหมายน้อยบอกความนัย ฉันเคยเขียนเรื่องราวเหล่านี้มาแล้วและนานมากแล้วด้วย บรรยากาศเหล่านั้นยังหวานชื่นในความทรงจำ แต่นำมาเขียนในวันปัจจุบันไม่ได้ เพียงแต่ดีใจที่เคยเขียนบันทึกอารมณ์เหล่านั้นไว้ในวันที่อยากเขียน ใช่...ฉันเขียนเมื่อฉันรู้สึกเท่านั้น ฉันไม่สามารถเขียนตามคำสั่ง ตามโจทย์ที่ให้ไว้ เหมือนกับวาดรูป ฉันวาดเท่าที่ฉันอยากวาด วาดภาพประกอบไม่ได้นอกจากใครอยากเอาภาพที่ฉันวาดไปประกอบหนังสือเขาเท่านั้น ข้อจำกัดที่ว่านี่คือ ฉันไม่เก่ง ฉันเก่งไม่จริง ฉันทำได้เท่าที่ฉันทำได้และอยากทำ อดทึ่งนักเขียนอาชีพทั้งหลาย เขาเป็นมืออาชีพเสียจริงที่สามารถเขียนงานออกมาเรื่อย ๆ รอบตัวมีแต่เรื่องราว ออกไปหาเรื่องตามที่ต่าง ๆ หรือจากประสบการณ์ตัวเองซึ่งเหมือนจะไม่มีวันเหือดแห้ง เขาทำได้อย่างไรกันนะ เรื่องราวของเพื่อนที่ฉันอ่านและประทับใจมากที่สุดคือ วาเลนไทน์หมายเลข 8 ของคุณวิกรานต์ ตัวหนังสือของเขาหวาน ไม่เลี่ยน (หวานจนฉันอิจฉาล่ะ 555 ไม่ได้อิจฉาความรู้สึกแบบนี้ของใครมานาน) อิ่มเอมด้วยความรักและความรู้สึกวางใจ อุ่นใจที่เขามีรอยยิ้มหนึ่งซึ่งเป็นของเขาคนเดียว เขาเท่านั้นที่ได้ครอบครอง ความรักในวันแรกกับปัจจุบัน ไม่ว่าของใครย่อมเปลี่ยนแปลง อาจจะไม่หวานเท่าวันแรกแต่มั่นใจและมั่นคงกว่าวันแรก วันเวลายึดโยงสายใย ผูกพันด้วยความเข้าใจตามวันเวลา รู้รัก รู้คอย รู้ถอยนิ่ง ความรักเป็นเหมือนบ้านที่เปิดรับยามหัวใจเหนื่อยล้า เราไม่ได้ต้องการใครหลาย ๆ คนแต่เราต้องการใครบางคนที่เข้าใจและรู้จักเราอย่างที่เราเป็น วันแห่งความรัก ฉันบอกรักพ่อกับแม่ แม่บอกรักฉัน แต่พ่อไม่รู้ว่าคือวันอะไร เราคุยกันผ่านเฟซไทม์เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา คุยกันครบทุกคนในหมู่พี่น้อง คือครอบครัวของน้องชายและน้องสาว เรามีกันสามพี่น้องเท่านั้น ฉันบอกรักลูกสาว เขาก็บอกรักฉันไปตามวาระ แต่ฉันลืมบอกรักสามี เป็นไปได้ไง ฉันไม่ได้ลืมนะ แต่ไม่ได้พูดอะไรกันพิเศษเพราะบังเอิญ เจ้าคนโตของเราเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการไข้สูงและปวดท้องมาก เรารอฟังอาการด้วยความห่วงใยเพราะโรงพยาบาลเอกชนที่เธอไปเป็นที่แรกนั้น แพทย์ขอดูอาการอย่างต่อเนื่อง ขอทำซีทีสแกน แม้เราสันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นโรคกระเพาะมากกว่าไส้ติ่งอย่างที่แพทย์บอกตอนแรก ฉันบอกน้องสาวให้พาเธอย้ายโรงพยาบาลไปเลิดสินก่อนที่จะหมดเนื้อหมดตัว จะป่วย จะรักษาก็ขอให้อยู่ในความสามารถที่พอจ่าย นอนสองวัน จ่ายสาหัสมาก อาการที่บอกก็จะเป็นไส้ติ่งแตกอย่างเดียว เราเองก็อยากให้แน่ใจ ไม่ได้นิ่งนอนใจและไม่คิดเดาไปเอง โรงพยาบาลเลิดสิน เราวางใจทั้งนายแพทย์และที่สำคัญคือค่าใช้จ่าย ระหว่างที่รอฟังการวินิจฉัยจากแพทย์ เราก็ต้องวางใจ ถึงเวลาผ่าก็ต้องผ่า ลางานให้เรียบร้อย การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่เลือกวัน เรารอน้องสาวส่งข่าว จนทราบภายหลังว่า เธอเป็นโรคกระเพาะและแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล พร้อมยาห่อโต ๆ ซึ่งเราดูแล้วคือยารักษาโรคกระเพาะทั้งสิ้น จากนี้ก็ได้แต่เตือนให้ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น ไม่รู้จะเตือนอย่างไรเพราะเคยเตือนมาบ้างแล้ว บทเรียนบางอย่างก็ต้องรู้ด้วยตัวเองถึงจะจำ ถึงกระนั้น เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เกิดซ้ำ... ส่วนเราก็มีกิจกรรมการวิ่งด้วยกันหลังเลิกงานเป็นปกติ เรามักจะบอกใครว่าเราซ้อมวิ่ง แต่มักจะถูกเหน็บแนมเรื่องวิ่ง จากที่พูดใส่เราตรง ๆ ก็เริ่มไม่พูดและเมินเฉย ทำไม่สนใจ ข้ามเรื่องราวที่เราพูดถึงกิจกรรมของเราและเพื่อนนักวิ่ง แต่อาการแบบนี้ ไม่ได้ทำให้เราเลิกวิ่งหรือเลิกเขียนถึงแต่อย่างใด เราเพียงแต่เข้าใจและทำความรู้จักกับคน ๆ นั้นมากขึ้นเท่านั้น ย้อนวันเวลากลับไปที่เขามักจะยกคนนั้นคนนี้มาข่มเราอยู่เสมอ เราเองก็ไม่เข้าใจว่า เขาจะทำแบบนี้ไปทำไม การเปรียบเทียบไม่ให้ความรู้สึกที่ดีกับใครเลย เราไม่ใช่สิ่งของ ที่สำคัญ ทำให้ความสัมพันธ์เกิดช่องว่างและห่างกันไปเรื่อย ๆ ไม่มีทางจะต่อกันติดอีกแล้ว ฉันปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า ไม่ได้พยายามจะอธิบายอะไร การคบหากันโดยปราศจากความจริงใจนั้นไม่ได้ให้อะไร เวลาที่ผ่านมาคือความกลวงเปล่า หรือเพราะตอนนั้น ฉันไม่คิดจะวิ่ง นึกไปก็ขำ วิ่งช้า อยู่หางแถวขนาดนี้ ยังมีคนจะค่อนอยู่อีก ยังจะทับถมความสามารถของคนวัยทองอย่างฉันอีก ตลกดี วันแห่งความรัก...ที่ฉันไม่ได้เป็นคนที่เขารักอย่างที่ฉันเคยคิดต่อไปอีกแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปอีกเรื่อง ขณะเราซ้อมวิ่ง เราพูดถึงงานวิ่งที่บุรีรัมย์ที่ใครต่อใครเขียนถึง ฉันชอบอ่านเพจ วิ่งสร้างภาพ มากที่สุด แอดมินเขียนถึงงานบุรีรัมย์ได้อลังการมาก อยากไปเยือนสักครั้ง ฉันได้ข่าวมาว่า โรงแรมที่บุรีรัมย์เต็มหมดทุกแห่งแล้วสำหรับงานวิ่งระดับประเทศนี้ในปีหน้า แต่ฉันไม่คิดอะไรมาก เราอยากวิ่งให้ครบทุกระยะที่ CMU Marathon อีกในปีหน้าซึ่งตรงกับงานบุรีรัมย์พอดิบพอดี จากที่อ่านสนามวิ่งในตำนาน เราไปเยือนมาสองแห่ง เราชอบที่เขาปิดถนนร้อยเปอร์เซ็นต์ ชอบเส้นทาง ชอบผู้คนและงาน แต่ไม่ถึงกับประทับใจเป็นพิเศษนั่นเพราะฉันมีที่พิเศษในใจ ฉันชอบงานวิ่งหลายงานนะ จัดใหญ่แต่เงียบเชียบ ไม่ค่อยมีคนเขียนถึง รู้สึกเป็นงานวิ่งที่ยิ่งใหญ่แต่เป็นส่วนตั๊วส่วนตัว สนามเป็นเลิศ ประทับใจจนอยากกลับไปวิ่งซ้ำ ทั้งที่อายุขนาดฉัน ไม่น่าจะต้องกรี๊ดกร๊าดกับเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อสนามดี ฉันก็ต้องชม อยากไปอีก วิ่งที่ไหนแล้วมีความสุขก็อยากกลับไปที่นั่น นิสัยแบบนี้ของฉันไม่เคยเปลี่ยนเลย ขณะที่เราวิ่งได้ เราก็วิ่ง แต่เมื่อวาน ฉันวนไปหน้าอำเภอเหมือนเคย เจอลุงรถเข็นขยะ นั่งลงข้างทาง เนื้อตัวมอมแมม กลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยวมาก มองอาหารบนรถก็เหมือนมีแต่ถุงขยะ ไม่รู้ว่ากินได้หรือเปล่าและไม่รู้ลุงเอามาจากไหน เหมือนไม่ใช่ของกิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ฉันเจอแก เพราะแกมาขอซื้อทัมใจที่บ้านฉันคราวละ 5 บาทซึ่งฉันเอาเงินบ้าง ไม่เอาบ้างเพราะไม่รู้ที่มาที่ไป ช่วงหลัง ๆ ฉันซื้อยาทัมใจมาฝากแกเป็นกล่อง ๆ ละร้อยซอง หมดเมื่อไรให้บอก จะเอามาให้อีก แต่กำชับกับแกว่า อย่ากินยาตอนท้องว่าง แกก็ให้พรมามากมาย ฉันอยากจะถามใครสักคนเหมือนกันว่า ลุงเป็นใคร บ้านช่องอยู่ที่ไหน กลางคืนนอนไหน แต่เหมือนไม่ได้คำตอบแท้จริง บางคนก็บอกว่า บ้านแกก็มีแต่ไม่ยอมกลับ ออกมาเข็นรถร่อนเร่ เดินไร้เรี่ยวแรง ค้นขยะหาแลกเศษเงินเท่านั้น ฉันเก็บกล่องยา กระป๋องพลาสติกและลังไว้ให้ลุงแทบทุกครั้งที่แกผ่านหน้าร้านฉัน ลุงได้แต่ขอบใจ ๆ ขอให้เจริญ ๆ ฉันตั้งใจไว้แล้วว่า จะหาเวลาคุยกับแกสักที แต่ไม่มีเวลาสักที... แต่หลัง ๆ มา เจอแกทีไรก็ถามว่ากินข้าวหรือยัง แกบอกว่า ยัง ขอเงินกินข้าว 20 บาท วันนี้ยังไม่ได้กินข้าว แกว่างั้นนะ เย็นนั้นฉันติดตัวไปร้อยบาท เลยให้แกหมด อยากให้ตั้งนานแล้ว อยากให้เอาไปกินอะไรก็ได้ แกน้ำตาคลอ ฉันบอกไม่เป็นไรหรอกลุง จะได้กินอะไรบ้าง เมื่อวาน ฉันเจอแกอีก คราวนี้รู้ล่ะว่า ไม่ต้องถามหรอก บอกลุงว่า เดี๋ยวมานะ จะไปซื้อขนม ฉันซื้อน่องไก่ทอดมาสองอัน ฝากลุงและเอาเงินให้แกอีก 40 บาท ตอนลุงก้มตัวไหว้ฉัน ฉันเห็นเงินในกระเป๋าเป็นแบงค์ 20 บาท เห็นเสื้อผ้าที่เก่า เน่า ขาดรุ่งริ่ง กลิ่นเหม็นเปรี้ยวรุนแรง กางเกงสีเทาเน่า ๆ ราวกัลคลุกโคลน ผมแข็งเหนียว สียางมะตอยไม่แห้งจับเป็นกลีบซึ่งไม่รู้แชมพูขนานไหนจะเอาไหว เสื้อผ้าฉันมีอยู่เยอะ อาจจะเอาติดรถมาฝากแกบ้าง เปลี่ยนเสื้อก็ยังดี แกพึมพำว่า ที่นี่ที่ไหน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก บอกแต่ลุงกินซะ นี่ตังค์เอาไว้ซื้ออะไรกิน ฉันต้องรีบไป ยอมรับว่าเหม็นมาก หากแกป่วยและมีคนเอาแกไปส่งโรงพยาบาล ฉันสงสารน้อง ๆ พยาบาลเหลือเกิน ไม่มีเนื้อตัวส่วนไหนน่าสัมผัสสักนิด แต่เวลานั้น เธอก็ต้องพยาบาลลุงอยู่ดี แกคงไม่รู้หรอกว่า วันนี้คือวันอะไร สำคัญกับใครอย่างไร แกไม่สนหรอกว่าใครมีความรักหรืออกหัก ช้ำโศก โลกเน่า ไม่สนว่าใครจะโสด โดนทิ้ง บอกลา แกไม่ต้องสนใจคำพ้อ คำพร คำหวานของใคร แกคงอยู่กับรถเข็นพร้อมขยะในซาเล้งไปวัน ๆ มีอะไรก็กิน ของที่เรากินไม่ได้ แกกินได้เพื่อประทังชีวิต แต่ไม่กล้าคิดจะถามว่าแกอยู่เพื่ออะไร มีความหวังหรือความฝันอย่างไรบ้าง ฉันรู้สึกดีแค่ได้ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่า คิดว่าจากนี้ ตั้งใจจะซื้อขนม ซื้อข้าวฝากแกกินบ่อยขึ้น ผ่านหน้าร้านก็จะสั่งข้าวใส่กล่องให้แกไป คิดแค่นี้แหละ พูดในวันแห่งความรักนี่แหละ ฉันคิดว่าเป็นเรื่องง่ายที่พอจะทำได้และตั้งใจจะทำไปเรื่อย ๆ แค่คิดก็มีความสุขในใจ ฉันทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ กับโรงเรียนหรืองานบุญบ้าง แต่ไม่มากนัก เพียงแต่มีโอกาสได้ร่วมทำบุญใส่ซองตามเทศกาล แต่ไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่ให้เบียดเบียนตัวเอง บางครั้งก็ไม่เต็มใจกับการถูกบังคับใส่ซอง คนอื่นอาจเต็มใจ แต่ฉันมีบ้างที่ไม่เต็มใจ บุญก็ไม่ได้แถมบาปอีกต่างหาก ให้แล้วใจไม่มีความสุข ก่อนนี้ ฉันเคยให้นายไฮ เขาเป็นคนที่มีร่างกายไม่สมประกอบ แขนและขาสองข้างไม่เท่ากัน เข็นซาเล้งเก็บขยะเลี้ยงชีพเหมือนกัน หน้าตาไม่เต็มเต็งแต่เขาจำฉันได้ เห็นที่ไหน เขาจะ เฮ่ย เฮ่ย เรียกฉัน คนนี้อีกคนที่ฉันเต็มใจซื้อขนมให้ทุกครั้งที่เจอกัน เขาพูดไม่ได้แต่ยิ้มและเพยิดหน้าขอบคุณฉัน นัยน์ตาสุกใสดีใจแทนคำขอบคุณ ฉันไม่เห็นนายไฮนานมากแล้ว จริงสินะ นานมากลแ้ว เขาเป้นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้เลย ส่วนลุงคนนี้ ฉันมีโอกาสหยิบยื่นสิ่งที่ฉันมีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ลุงบ้าง ฉันไม่สัญญาหรอกว่าจะทำได้แค่ไหน แต่ฉันจะทำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอบคุณวันแห่งความรักที่มีโอกาสให้ฉันคิดถึงสิ่งที่อยากทำเป็นพิเศษ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีและมีความสุขทุกวัน ขอบคุณค่ะ ภูพเยีย 14 กุมภาพันธ์ 2560 |
ภูเพยีย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Friends Blog
|