Group Blog
All Blog
|
- - - I N F E R N O - - - เมื่อวานเห็นพี่ที่นับถือท่านหนึ่งเขียนถึงหนังเรื่อง Inferno ทำให้นึกอยากดูหนังมาก ฉันมีหนังสือเล่มนี้อยู่แต่ยังไม่ได้อ่าน จำได้ว่าซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะพอจะรู้จัก Inferno บทประพันธ์สุดยอดของดันเต้จากการที่ได้ไปดูประตูนรกของดันเต้โดยฝีมือของโรแด็ง ที่พิพิธภัณฑ์โรแด็ง โรแด็งสร้างประตูนรกแต่ไม่ได้นำประโยชน์ไปใช้ในด้านใดนอกจากยึดแนวทางตาม Inferno หรือ Divine Comedy เท่านั้น แรก ๆ ที่ไม่รู้อะไรก็งั้น ๆ แหละ เขาส่องประตูนรก ดูอะไรกันนะ แต่พอลองได้ใช้เวลาตรงนั้น แล้วจะอึ้ง ภาพแต่ละภาพตามประตูนั้น น่าดูทุกภาพ สีหน้าแสดงออกซึ่งทุกอารมณ์ เรามารู้ทีหลังว่า ภาพแต่ละภาพถูกดึงออกมาปั้นเป็นภาพเดี่ยว ๆ อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในงานที่โรแด็งทำไว้ในประตูนรก เขาเลือกฉากของคู่รักที่จูบกันอย่างดูดดื่มสไตล์ French Kiss คู่ฮันนีมูนมาเห็นเข้า คงรู้สึกหวานแหวว อยากให้หวานใจมาคิสกับชั้นบ้าง แต่ขอบอกคุณเจ้าสาวไว้ อย่าได้ละเมอฝันหามากเกินไป เพราะนี่คืองานบนประตูนรก ความรักบริสุทธิ์ย่อมไม่เกิด หนุ่มที่สาวจูบชื่อ Paolo ถ้าเป็นซะมีก็ว่าไปอย่าง แต่เผอิญไม่ใช่ แต่เป็นน้องซะมี เมื่อถูกจับได้ก็เป็นเรื่องสิ ถูกจับไปสู่ประตูนรกของดันเต้นั่นล่ะ และบนประตูนรกนั่นก็มีประวัติของแต่ละภาพไม่ธรรมดาเลย เราไม่สามารถเห็นรายละเอียดได้ชัดจนกระทั่งไปยืนส่องกล้องทางไกลและไล่ชมรายละเอียดของภาพตั้งจากบนลงล่างและจากซ้ายไปขวาและจะมีคนสามคนนี้อยู่เหนือประตู กล่าวว่า Abandon all hope, you who enter here ความหมายก็คือเจ้าผู้จะก้าวผ่านประตูเอ๋ย จงละทิ้งความฝันความหวังของเจ้าเสียเถิด ข้างในนี้คือนรกของแท้ งงมั้ยคะว่า ทำไมการซื้อหนังสือเล่มหนึ่งถึงต้องออกตัวว่าซื้อเพราะสาเหตุนั้นสาเหตุนี้ นั่นเพราะอ่านเรื่อง The Symbol เล่มล่าสุดของแดน บราวน์ไม่ค่อยสนุก อาจจะคาดหวังเหมือนตอนอ่านเรื่องดาวินชีโค้ดหรือเรื่องเทวากับซาตานก็เป็นได้ ทำให้ไม่ค่อยอยากอ่านงานของแดน บราวน์เรื่องอื่น แต่ Inferno แอบหวังว่าจะเห็นฉากนรกโลกันต์ในแบบของนักสร้างภาพยนตร์เพราะจินตนาการของเราอาจไปไม่ถึง แล้วก็คิดว่า งานของแดน บราวน์จะมีเสน่ห์สุดเพราะเขาถนัดในการหยิบเอาสถานที่และเรื่องจริงในประวัติศาสตร์มาผูกเข้ากับเหตุการณ์เทคโนโลยีในปัจจุบันเพื่อสร้างปมเรื่องที่น่าติดตามพร้อมสอดแทรกเกร็ดความรู้ได้อย่างแนบเนียน จะต้องมีการผจญภัยของศาสตราจารย์ แลงดอนในสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามต่าง ๆ จนเราตะลึงอยากตามไปเที่ยวหรือตามรอยไปถอดรหัสด้วย เรื่องนี้ก็หลงใหลฉากในเรื่องอีกเช่นเคยเพราะเหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดในประเทศอิตาลี และแดน บราวน์ก็ยังให้แลงดอนข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังอิสตันบูล นครสำคัญของตุรกีอีกจนเกิดอาการฝันและอยากไปเที่ยวสุด ๆ (นี่กำลังดูหนังฆ่าล้างโลกอยู่นะเนี่ย) เรื่องนี้ยังเปิดฉากได้น่าตื่นเต้นตามสไตล์ของเขา แลงดอนสูญเสียความทรงจำและโดนไล่ล่าโดยมีผู้ช่วยเป็นคุณหมอสาวสวย พากันหลบซ่อนและหนี กว่าจะคลี่คลายก็กลางเรื่องและก็หักมุมจนได้ ฉันสนใจประเด็นของหนังที่พูดถึงปัญหาประชากรล้นโลกจนทำให้เกิดการแย่งกันใช้ทรัพยากร ยิ่งบางประเทศที่มีความเจริญกระจุกตัวอยู่แค่ในเมืองหลวงและเมืองเศรษฐกิจยิ่งเด่นชัดในมุมของการแย่งกันกินแย่งกันใช้ แต่มันใช่เหรอที่ ใครคนใดคนหนึ่งจะมาลดปริมาณประชากรด้วยการปล่อยไวรัส อัจฉริยะไม่มีสิทธิ์เหนือคนอื่น เหมือนกับที่แลงดอนบอกว่า บาปที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ล้วนทำในนามของความรัก แต่ไม่มีใครมองการกระทำนี้แล้วเรียกว่าความรัก การฆ่าคนเป็นพันล้านเพื่อรักษาคนบางส่วน นั่นคือการกระทำของเผด็จการ แล้วใครคือผู้สมควรจะมีชีวิตอยู่ คนมักจะเข้าข้างตัวเอง จนเกิดคำถามว่า ถ้าคุณมีสวิตช์ที่จะกดปุ่มฆ่าคนจำนวนมหาศาลเพราะเหตุที่ว่า โลกมีมนุษย์มากเกินไป เราจึงต้องลดจำนวน ในจำนวนนั้นอาจจะรวมทุกคนที่คุณรักและไม่รักเพื่อรักษาโลกเพราะถ้าไม่ทำตอนนี้ อีก100 ปีก็จะสูญพันธุ์ คุณเป็นความหวังสุดท้าย หนังเรื่องนี้มีการตั้งคำถามแบบนี้ ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นความหวังตรงไหนเลย แล้วคนไม่กี่คนจะมาตัดสินชะตาชีวิตของคนทั้งโลกได้อย่างไร แต่ถ้าดูสนุกแบบแนวทริลเล่อร์และดูฉากสวย ๆ (ชอบฉากสุดท้ายมากเลยนะ) ก็พอไหว หรือฉันต้องไปเก็บรายละเอียดในหนังสืออีกครั้ง ไม่ต้องเชื่อนะคะ ฉันก็เล่าไปตามที่ฉันเพิ่งดูจบ ไม่แน่ใจว่าจะอ่านหนังสือต่อเพื่อเก็บความหรือเปล่า อีกอย่างที่ดูเรื่องนี้เพราะชอบ ทอม แฮงค์ส มากค่ะ ขอบคุณค่ะ ภูพเยีย 2 กุมภาพันธ์ 2560 ![]() โดย: สมาชิกหมายเลข 4507140
![]() |
ภูเพยีย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Friends Blog
|