Group Blog
All Blog
|
--- 4 9 เ ป็ น วั น สุ ด ท้ า ย --- บันทึก 49 ปีเป็นวันสุดท้าย เวลาไม่เคยคอยใคร ยังคงเดินไปอย่างแน่วแน่และมั่นคง ชีวิตฉันมีกี่ภาคกันแน่ :: 25 ปีแรกของชีวิตที่ไร้เดียงสา ทำอะไรได้อย่างมั่นใจไร้ความสงสัย เศร้า ทุกข์ สุข สนุกสนาน เบิกบานใจ รัก ชอบ เกลียด สิ่งใด คนใด ก็แสดงออกได้ตรงไปตรงมา ทำอะไรไม่กลัวผิด พลั้งไปก็ไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สา ทำให้ใครบาดเจ็บบ้างก็ไม่รู้ ไม่จำ ยึดมั่นถือมั่น ถือตนเป็นใหญ่ กล้าได้กล้าเสีย จริงจัง จริงใจ พูดจาขวานผ่าซาก ไม่เกรงใจคนที่ไม่เกรงใจเรา ซื่อสัตย์กับความรักและมิตรภาพอย่างเหลือล้นจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โชคดีมากที่ความสัมพันธ์ฉันมิตรยืนยาว ทั้งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า มันจะลึกซึ้ง ผูกพัน ยาวนาน เป็น 25 ปีแรกที่ลองผิดลองถูก ใช้ชีวิตนอกกรอบ วิ่งวนในวงอโคจร เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างกับเพื่อน ๆ และคนรอบข้างที่ไว้วางใจได้ ทำงานใต้ระบบการทำงานแบบครอบครัว ต่อสู้ แก่งแย่งชิงดี แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นที่รักที่ชังของใคร กระทบกระทั่ง ทะเลาะเบาะแว้ง กดดันสารพัด ร้องไห้วันแล้ววันเล่า ไม่เข้าใจชีวิตหรืออะไรทั้งนั้น ก็ผ่านมาได้หมด พร้อมมิตรภาพและความรักของเพื่อนที่รักเราและจริงใจ คอยด่า คอยสอน เป็นเพื่อน ให้กำลังใจ ทะนุถนอมความรู้สึกด้วยความเข้าอกเข้าใจกับทุกเรื่องราวตรงหน้า มีผู้ใหญ่ใจดีที่ให้ความรักและเมตตามาโดยตลอด 25 ปีครั้งที่สอง ออกจากการงานประจำที่ทำมาเกือบสิบปี เริ่มสร้างฐานของครอบครัว เริ่มมีธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง รับผิดชอบทุกอย่างเอง จากเคยเป็นลูกน้อง ก็กลายมาเป็นเจ้านายตัวเอง ไม่มีวันนั้นคงมาไม่ถึงวันนี้ ตรงนี้ใจสงบขึ้น ไม่ร้อนรนกระวนกระวาย อยู่สงบ ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนหรือต้องแย่งชิงอะไรกับใครต่อไปอีกแล้ว ไม่โหยหาชีวิตแบบเดิม ๆ ที่ได้กิน ดื่ม เที่ยว เฮฮากับเพื่อนฝูง แบบหามรุ่งหามค่ำ อิ่มตัวกับเรื่องพวกนี้ที่ใช้เวลากว่าสิบปี ไม่เคยเสียดายเวลาที่ผ่านไป ทุกช่วงเวลามีค่ามาก มีอะไรให้ระลึกถึง หล่อหลอมเราให้มีก้าวใหม่และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจขึ้น ใจสงบเสงี่ยมขึ้น ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรที่ทำร้ายคนอื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ชอบการประนีประนอมมากกว่าการแตกหัก ใครไม่รักก็ไม่ว่าอะไร จะไม่พูดจาทำร้ายใคร อาจสะดุดความสัมพันธ์กับบางใคร รู้สึกเสียใจแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติ เมื่อโตขึ้น ก็จะเป็นผู้รับฟังมากขึ้น หลีกเลี่ยงการเบียดเบียนผู้อื่นทั้งกาย วาจา ใจ เมื่อวาน สะดุดคำถามของลูก ๆ ที่ว่า คนอายุ 33 เขาเป็นแบบนี้ทุกคนหรือแม่ เธอชอบศิลปินหน้ากากจิงโจ้ เขาเคยตกอยู่ในภาวะขาลง มีชื่อเสียมากกว่าชื่อเสียง มีแฟนคลับน้อย ทั้งที่เขาร้องเพลงได้ดีมาก แต่ความสามารถโดนกลบกับไปกับข่าวลบ จนกระทั่ง ทุกคนเห็นความสามารถที่แท้จริงภายใต้หน้ากากจิงโจ้ ทึ่งในพลังเสียงและความสามารถในการร้องเพลงของเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร เขาเป็นเอนเทอร์เทนเนอร์คนหนึ่งบนเวที ร่าเริง แจ่มใส มีความเป็นเด็กและเป็นธรรมชาติ ลูกสาวคลั่งไคล้ หลงใหลในตัวศิลปิน แต่กังขาในเรื่องความไม่เป็นผู้ใหญ่ ฉันเข้าใจ ฉันได้แต่บอกว่า ตอนแม่อายุ 33 แม่ต้องเลี้ยงลูก ดูแลกิจการของครอบครัว ไม่มีเวลาคิดถึงคนอื่น มีแต่เรื่องตัวเอง ดูแลลูกก็ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้ว เป็นหน้าที่และความรักในสิ่งที่เลือกทำตรงหน้า แม่พอใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้และชื่นชมการทำงานของคนอื่นในฐานะศิลปินเพราะคือการงานอย่างหนึ่งที่เราทำแบบเขาไม่ได้ แล้วลูกชอบเขาตรงไหน เธอเล่าว่า ช่วงที่เขาไม่มีแฟนคลับมาเกือบสิบปีนั้น บางทีออกคอนเสิร์ต มีคนดูเพียง 5 คน แต่เขาก็ร้องเพลงและเต้นเต็มที่ เล่นกับคนดูเต็มที่ ไม่มีครั้งไหนที่เขาเต้นและร้องไม่เต็มที่เลย บางคอนเสิร์ตก็ไม่มีใครเลย น่าสงสารทั้งที่เสียงดีมาก เขาร้องเพลงเพราะมาก ใคร ๆ ก็รู้จักเพลงแต่ไม่ค่อยเท่าไรกับตัวศิลปิน ฉันเลยพอเข้าใจว่าลูกชอบหน้ากากจิงโจ้เพราะอะไร เขาอาจจะเรียนไม่เก่งเหมือนศิลปินนักร้องที่เรียนสูง ความรู้ความสามารถไม่รอบด้านเหมือนศิลปินบางคน แต่คนอื่นก็ไม่มีในสิ่งที่เขามี ต่างคนมีดีไปคนละอย่าง เขายังทำหน้าที่ของเขาในภาวะที่ซบเซา รับผิดชอบงานการได้ก็ดีแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่า ใครจะดังหรือดับ ทำเหตุให้ดีในปัจจุบันไว้ก่อน ไม่ต้องคำนึงถึงผล น่าจะดีที่สุดในการใช้ชีวิตให้ดีในแต่ละวัน เรื่องของหน้ากากจิงโจ้ ทำให้คิดถึงเรื่องการเขียนหนังสือของตัวเอง ในช่วงชีวิต 25 ปีครั้งที่สองนี้ ฉันเริ่มเขียนกลอนและเขียนต่อเนื่องมาเป็นเวลาสิบปี หัดเขียนร้อยแก้วตั้งแต่ ก ไก่ ตัวโย้เย้จนตั้งตรงขึ้น พออ่านได้ ไม่เลวร้ายนัก เขียนหนังสือในแบบที่ตนเองชอบอ่าน ซื่อสัตย์ต่อวิธีคิดและใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง สื่อสารผ่านตัวหนังสือ จากการกระทำและกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โง่ได้เท่าที่ตัวเองจะโง่ เป็นได้เท่าที่ตัวเองจะเป็น มีความภาคภูมิใจอย่างสูงสุด เมื่อมีหนังสือเล่มแรก มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ คอยให้กำลังใจตั้งแต่เริ่มเขียนจนเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง มีบรรณาธิการอย่างคุณโดม วุฒิชัยที่คอยเอาใจใส่ แนะนำ ดูแลเรื่องงานเขียนให้เข้าที่เข้าทางอย่างใส่ใจและใจเย็น ยิ่งไปกว่านั้นคือคุณขจรฤทธิ์ รักษา กรุณาอ่านงานเขียน ให้คำแนะนำเป็นระยะ ๆ ระหว่างเขียนบันทึกและให้เกียรติเขียนคำนิยมที่ยาวเหยียดอย่างที่ตัวเองก็นึกไม่ถึงมาก่อน นำความปลาบปลื้มและประทับใจทุกครั้งที่หยิบหนังสือขึ้นมาหรือมอบให้ใคร แม้ว่าจะเป็นเล่มเดียวและอาจจะเป็นเล่มสุดท้ายของฉัน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดจะเลิกเขียนหนังสือเลยนับแต่นั้นมา อาจมีล้าบ้าง แต่การเขียนให้หลายสิ่งหลายอย่างกับชีวิตไม่น้อยไปกว่าการอ่านที่เทียบเท่ากับลมหายใจของชีวิต ช่วงชีวิตที่สองนี้ มีความรู้สึกมั่นคงทางใจมากขึ้น กายใจแข็งแรงมากขึ้นกว่าช่วง 25 ปีแรก ฉันเริ่มมีกิจกรรมใหม่เพิ่มเข้ามาคือการออกกำลังกายที่ควบคู่ไปกับการงานปัจจุบัน ครอบครัวเราหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เด็ก ๆ เติบโตและใส่ใจเรื่องการเรียนมาก ไม่มีอะไรให้หนักใจ เราให้กำลังใจลูกเต็มที่เมื่อถึงเวลาต้องสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับชีวิต มีอุปสรรคบ้างแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ฉันคิดไม่ถึงว่า ชีวิตจะเดินทางไกลถึงวันนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งภายนอกและภายในตัวเอง เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดี ไม่กังวลเรื่องภายหน้าจนเกินไป ไม่ทุกข์ล่วงหน้า ไม่หาเหตุให้ทุกข์ซ้ำซาก จากคนที่ทุกข์ง่าย หายยากก็รู้จักวางอะไรได้บ้าง ค่อย ๆ ฝึกฝนกันไป รู้ตัวเร็วและปล่อยไปเร็วเช่นกัน และรู้ว่าแม้แต่ความสุขก็ต้องใช้ปัญญา อยากโกรธ เกลียดคนให้น้อยลง เพราะไม่ว่ารัก เกลียด ชอบ ทุกข์ สุขทุกอารมณ์นั้น เกิดที่เรา เรารู้อยู่คนเดียว แบกคนเดียว อยากเป็นคนเป็นแบบไหนก็เลือกเอา ความสุข ความมั่นคงในจิตใจในทุกวันนี้ ขอยกความดีทั้งหมดให้ผู้อยู่เบื้องหลังคือทุกคนในครอบครัวโดยเฉพาะสามี เขาทำให้ฉันกล้า แกร่ง มีความสุข สบายใจ ให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันรัก สนับสนุนทุกอย่างที่ฉันชอบ คอยข่วยเหลือ เติมเต็มชีวิตที่ขาดพร่องในวัยเด็กให้ฉัน เข้าใจในสิ่งที่ฉันคิดและเป็นอยู่ ให้อิสระ ให้เกียรติและไว้วางใจฉันเสมอมา เขาดูแลฉันและลูก ๆ เป็นอย่างดีตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ขอบคุณชีวิตที่มีเขาเคียงข้างเสมอมา พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ฉันจะเริ่มชีวิต 25 ครั้งที่ 3 ฉันอยากขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉัน ให้ได้เรียนรู้ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ทุกอย่างเป็นบทเรียนทุกวัน หากเคยล่วงเกินใครด้วยคำพูดหรือทางใดทางหนึ่งด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้โปรดอภัยให้ด้วย เพราะคิดว่าน่าจะเป็นการสื่อสารที่ผิดจากเจตนารมณ์ที่แท้จริง ฉันอยากรักษาความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับมาให้คงอยู่ แม้ว่าบางความสัมพันธ์หรือมิตรภาพกับบางใครไม่มีการเดินทางต่อไปก็ตาม ก็จะระลึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เราเคยมีร่วมกัน ไม่คิดว่า ชีวิตจะเดินทางมาถึงอายุที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของสังขาร โดยเฉพาะสายตาที่แย่ลงทุกวัน เนื่องในวันดีอีกวันหนึ่ง ขอให้เพื่อน ๆ ทุกคน มีสุขภาพ กายใจ สมบูรณ์แข็งแรง มีชีวิตที่ดีและมีความสุขกับทางที่เลือก มีความรักเป็นพื้นฐาน มีธรรมะควบคู่กับการดำเนินชีวิต ลาก่อน 49 ปี ด้วยรัก ภูพเยีย
แวะมาเจิมอ่านไดอารี่
โดย: อุ้มสี
![]() ![]() บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต อุ้มสี Review Food Blog ดู Blog สาวไกด์ใจซื่อ Review Food Blog ดู Blog ภูเพยีย Diarist ดู Blog มาอ่านค่ะ โดย: Stand by bowky
![]() บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต ภูเพยีย Diarist ดู Blog Stand by bowky Diarist ดู Blog สาวไกด์ใจซื่อ Review Food Blog ดู Blog แมวเซาผู้น่าสงสาร Travel Blog ดู Blog โดย: อุ้มสี
![]() ![]() ![]() โดย: สมาชิกหมายเลข 4507140
![]() |
ภูเพยีย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Friends Blog
|