Group Blog
All Blog
|
--- a little everyday : ของขวัญสำหรับเดือนเกิดของตัวเองปีนี้---
Sky above me Earth below me Fire within me :: ความสุขของคนชอบเขียนบันทึก เพียงแค่มันทำให้เราสนุก ช่วยเยียวยาจิตใจ ทำให้ฉันได้หลงใหล ทำให้ได้ชีวิตชีวากลับคืนมา การเขียนช่วยผ่อนคลายจากการงานประจำวัน แค่ได้เขียนทุกวันอย่างมีความสุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว :: R U N R U N ฉันบันทึกความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง จากวันแรกที่เริ่มวิ่งจนวันนี้ที่ยังวิ่งอยู่ ฉันบันทึกอะไร ถ้าไม่ใช่ภาวะด้านใน มีโลกอีกใบซ่อนในตัวเอง (ฉันสร้างโลกกี่ใบแล้วนะ) ไม่หรอก ฉันทำได้ทีละอย่าง ชอบอะไรก็ให้เวลา ทำความรู้จัก มีความสุข และอยู่กับมันนาน ๆ ค่อย ๆ แก้ไขไป ทำให้ดีเท่าที่มันจะดีได้ ประโยชน์ที่ได้จากการบันทึก อย่างแรกคือเป็นประโยชน์ต่อตัวเองมาก เห็นความเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีที่ผ่านไป หลายอย่างลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ดีใจที่เขียนบันทึกทุกวัน มีความสุขมาก :: บันทึกนักวิ่งแนวหลัง หนังสือทำมือ บันทึกการออกำลังกาย ตั้งแต่วิ่งบนสายพาน สู่ สนามมาราธอน ถึงรู้จักอัลตร้ามาราธอนแล้ว แต่วิ่ง ๆ เดิน ๆ วันละ 5-6 กิโลนั้น เป้าหมายใกล้สุด จริงสุดคือ มินิมาราธอน .. 3 เมษายน 2014 :: :: วันนี้เมื่อสามปีที่แล้ว ฉันยังอยู่ที่ฟิตเนสและเดิน ๆ วิ่ง ๆ บนสายพานอยู่เลย เพิ่งเริ่มอยากวิ่งจริงจังและตั้งเป้าหมายพอเอื้อมถึงคือผ่านมินิมาราธอน เราลงวิ่งมินิมาราธอนครั้งแรกงาน PEA เมื่อ พฤศจิกายน 2013 ตื่นเต้น สนุกสนานและเหนื่อยมาก แต่ปี 2014 เป็นปีที่แย่มาก ๆ เพราะเป็นโรคกระเพาะตั้งแต่ต้นปี หลังจากวิ่งจบมินิฯเหรียญแรกไม่ทันไร ฉันก็ป่วยอย่างต่อเนื่อง จนซูบไป อย่าว่าแต่ซ้อมเลย แค่ลุกเดินได้ ทำงานได้วันต่อวันก็วิเศษมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงเลย ฉันพลาดงานวิ่งที่แม่เหียะไปแต่ก็ได้แต่นั่งเชียร์พ่อลูกที่เส้นฟินิช แต่อีกเดือนต่อมาอยากวิ่งงานสิงห์สงกรานต์ที่ห้วยตึงเฒ่ามาก ทั้งที่ป่วยและไม่เคยซ้อมเลย หวังว่าวิ่งด้วยใจจะไปได้ ฝืนใจวิ่งงานนี้จนจบแต่เจ็บมาอีกสี่เดือนเต็ม ๆ เข็ดมาก สัญญากับตัวเองว่า จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เจ็บสะโพก ก้าวขาแทบไม่ไหว วันไหนนั่งยอง ๆ สองขาก็ไม่สามารถยันตัวลุกขึ้นได้ ขาไม่มีแรง บทเรียนแรกสำหรับการไม่ซ้อมและเอาแต่ใจไปวิ่ง หลังจากสี่เดือนแสนทรมาน เริ่มดูแลตัวเองใหม่ ซ้อมใหม่เพื่อลงวิ่งมินิมาราธอนงานเชียงใหม่มาราธอนปลายปี เป็นวันที่น่าจดจำเพราะเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่วิ่ง 10 กิโลโดยไม่เดินเลย ปี 2015 เราซ้อมวิ่งทั้งปี ลงวิ่งงานเฉลี่ยเดือนละครั้ง รวม 11 ครั้ง เพราะปลายปี เราวิ่งฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรก ปี 2016 เรายังสนุกกับการวิ่งเต็มเปี่ยม และคิดอยากมีมาราธอนครั้งแรกสักครั้ง ตั้งใจว่า อีก 2 ปีข้างหน้าก่อน ปีนี้จะซ้อมมินิมาราธอนให้เข้าฝัก ปราฏว่า CMU Marathon จัดครั้งแรกเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เราตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่า ขอลงที่นี่ที่แรก อยากมีมาราธอนแรกที่มหาวิทยาลัยของเราจัด เราผ่านมาราธอนแรกที่นี่อย่างสวยงามและน่าประทับใจมาก ปีนี้ทั้งปี เราผ่านฮาล์ฟมาราธอน 3 งาน / มาราธอน 3 งาน / และมินิมาราธอนอีก 5 งาน เป็น A Year of Marathon สมกับที่เราตั้งเป้าหมายไว้แต่ต้นปี ปี 2017 นับเป็นปีที่สี่ของการวิ่ง เราเพิ่งเก็บ มินิมาราธอนไป 3 งาน / ฮาล์ฟมาราธอนไป 2 งาน และอีก 1 มาราธอน จากนี้ยังไม่ลงงานไหน แต่วิ่งเก็บระยะไปเรื่อย ๆ ตั้งใจว่า จะวิ่งมาราธอนในสนามที่อยากวิ่งปีละหนึ่งหรือสองครั้ง และจะวิ่งไปเรื่อย ๆ ตามกำลัง ซ้อมให้กำลังอยู่ตัวเพราะลงวิ่งในวันที่ใจและกายพร้อมนั้น จะเป็นวันที่วิ่งได้ดีและสนุกมาก :) #whenpoopayiaruns 3 เมษายน 2017 --- พ ลั ง วิ เ ศ ษ ข อ ง ค น ธ ร ร ม ด า : อลิซาเบธ กิลเบิร์ต ---
น่ากลัว น่ากลัว น่ากลัว ความกลัวอะไรบ้างที่ปิดกั้นคุณจากการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ คุณกลัวว่าตัวเองจะไม่มีพรสวรรค์ คุณกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ ถูกวิจารณ์ ถูกล้อเลียน ถูกเข้าใจผิดหรือที่แย่ที่สุดคือ ไม่มีใครสนใจในสิ่งที่คุณทำเลย คุณกลัวว่าจะไม่มีตลาดรองรับความคิดสร้างสรรค์ในแบบของคุณ เพราะฉะนั้น มันไม่มีค่าพอที่จะทำ คุณกลัวว่าจะมีคนอื่นเคยทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าคุณมาแล้ว คุณกลัวว่าทุกคนเคยทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าคุณ คุณกลัวว่าจะมีใครขโมยความคิดของคุณไป ซ่อนมันไว้ในมุมมืดตลอดกาลยังจะปลอดภัยเสียกว่า คุณกลัวว่าจะไม่มีใครจริงจังกับสิ่งที่คุณทำ คุณกลัวว่าผลงานของคุณไม่ดีพอที่จะเปลี่ยนชีวิตใคร ไม่ว่าทางความคิด ทางอารมณ์หรือทางศิลปะ คุณกลัวว่าความฝันของคุณจะเป็นเรื่องน่าอาย คุณกลัวว่าวันหนึ่งเมื่อคุณมองย้อนกลับมาคุณจะพบว่า การพยายามใช้ชีวิตสร้างสรรค์เป็นเรื่องเสียเวลา เสียเงินและยังเปล่าประโยชน์อีกด้วย คุณกลัวว่าตัวเองจะมีความตั้งใจไม่มากพอ คุณกลัวว่าจะไม่มีทางที่เหมาะสม ไม่มีเงินพอ ไม่มีเวลาพอสำหรับจดจ่อกับการคิดค้นหรือสำรวจสิ่งใหม่ ๆ คุณกลัวคนอื่นจะมองว่าคุณเป็นคนน่าเบื่อ โง่ แค่อยากเป็นศิลปินหรือหลงตัวเอง คุณกลัวว่าคนรอบตัวและเพื่อนร่วมงานจะมองคุณเปลี่ยนไป ถ้าคุณแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา คุณกลัวว่าด้านมืดที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดในตัวคุณจะปรากฏออกมา และคุณก็ไม่อยากรู้จักมัน คุณกลัวว่าผลงานใหม่ของคุณจะไม่ดีเท่าผลงานเดิมที่เคยทำไว้ คุณกลัวว่าตัวเองจะไม่เคยสร้างผลงานดี ๆ ออกมาเลยด้วยซ้ำ คุณกลัวว่าคุณแก่เกินกว่าจะเริ่มต้นใหม่ คุณกลัวเพราะคุณเคยมีช่วงชีวิตที่ดีมากมาก่อน และชีวิตคุณคงไม่ดีไปกว่านั้นอีกแล้ว คุณกลัวเพราะคุณไม่เคยมีช่วงชีวิตที่ดีเลย แล้วจะพยายามไปเพื่ออะไร คุณกลัวว่าจะทำสำเร็จได้ครั้งเดียวแล้วก็ดับ คุณกลัวว่าจะไม่มีวันทำสำเร็จเลย... :: :: พลังวิเศษของคนธรรมดา อลิซาเบธ กิลเบิร์ต (ผู้สร้างผลงานโด่งดังอย่าง Eat Pray Love) --- เ ล่ น กั บ โ ล กไ ก ล บ้ า น : กิจการ ช่วยชูวงศ์ ---
บริสตอลอยู่ตรงไหนของอังกฤษ ชาตินี้อาจไม่ได้ไปเห็นหรือสัมผัสพื้นที่ตรงนั้นด้วยตัวเอง แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เลือกเมืองท่าบริสตอล ประเทศอังกฤษเป็นฉากหลังของการเดินทางด้วยหัวใจ เลือกที่จะหยุดอยู่ ณ สถานที่นี้ แล้วหยิบยกสิ่งต่าง ๆ ที่น่าสนใจรอบ ๆ ตัวมาบอกเล่า หนังสือเล่มนี้ เล่นกับโลกไกลบ้านของ กิจการ ช่วยชูวงศ์ เป็นงานเขียนสารคดีเชิงบันทึก จะว่าคล้ายสารคดีท่องเที่ยวก็เรียกได้เหมือนกัน เพราะผู้เขียนพาเราเดินทางไปด้วยกันกับสายตาและความคิด เป็นความเรียงประกอบภาพถ่ายที่สวยงาม ที่ข้าพเจ้าชอบเล่มนี้เพราะภาษาที่ใช้ง่ายและงดงามผ่านทัศนะคติด้านดีต่อชีวิตและสังคม มองเห็นความสวยงามของสรรพสิ่งและลงลึกในรายละเอียดได้น่ารักน่าอ่าน ภาพและเรื่องราวในหนังสือนี้เกิดขึ้นที่เมือง บริสตอล ประเทศอังกฤษ บรรยากาศเย็น ๆ ชื้น ๆ วันส่วนใหญ่ที่นั่นครึ้มฟ้าครึ้มฝนแสดงอารมณ์หม่นอยู่เสมอ ถ้าเป็นคนคงโดนค่อนขอดไปบ้างล่ะว่า จะร้องไห้อะไรกันทั้งปี ถนนไวท์เลดี้ส์นั้นเป็นถนนที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกคุ้นเคย ถือเป็นถนนที่ผู้เขียนถือเป็นเพื่อน ..บางวันมอมแมมทั้งสาย เพราะฝนเทลงมาให้เลอะฝุ่นเลอะโคลน บางวันเป็นเหมือนฉากละคร เล่นเรื่องสวรรค์ ดอกไม้ใบไม้สวยแข่งกันวันที่แดดใส ซอยเล็ก ๆ บางซอยมีร้านขายต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ใบ กระถางสวย ๆ เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ใบไม้ใส่ซองสีสดเรียง วันฝนกระหน่ำผ่านเลยไปแล้ว เหลือแต่เมฆอ้วนก้อนใหญ่ มองไปที่ห้องนั้น ที่ประดับโคมไฟสว่างสวยอีกที ที่พึ่งทางใจนั้น ที่เดียวก็อาจจะพอแล้วครับ สว่าง สงบ สดชื่น ท่ามกลางเรื่องราวกวนตากวนใจ ถ้ามีสองสามห้องที่เปิดไฟสว่างอย่างห้องนี้ อาคารทึม ๆ ฟ้าหม่น ๆ อาจไม่ได้สวยที่กลางใจเราเท่านี้ ชอบความอ่อนโยนของเขาแทรกซึมในภาษาเขียน ซึมรอยยิ้มไปด้วยในแต่ละบท วันนี้ผมเห็นรองเท้าหนังคู่เล็ก ๆ วางขายอยู่ จิ๋ว..จนทึ่งว่าเท้าเจ้าของนั้นจะเล็กยิ่งกว่านี้ขนาดไหน ขนาดมองจากข้างนอก ดูพื้น ดูโครงสร้างรองเท้า พลิกซ้ายพลิกขวาก็ว่าเล็กแล้ว ดูวัสดุบุข้างในยิ่งแล้วใหญ่ ผ้าที่บุฟูกินที่ข้างใน แปลว่าเท้าที่จะสวมใส่ก็นิดเดียวเท่านั้น หนังแท้นะครับ ตัดเย็บด้วยหนังนุ่ม พื้นอย่างดี สงสัยว่าทำไมต้องให้ดีขนาดนั้น เด็กเท้าเล็กขนาดนี้ไม่น่าจะเดินได้ ใส่แล้วคงไม่ได้ทำอะไร เท้าเล็กเพียงนี้ ตัวก็คงเท่า ๆ ลูกหมา วันหนึ่ง ๆ คงนอนเป็นส่วนใหญ่ ความคิดของผมนั้นไม่ตรงกับความจริงครับ อย่างน้อยก็ความจริงที่บริสตอลนี่ เด็ก ๆ ที่นี่เดินกันตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ไม่ใช่แค่เดินในบ้านเสียด้วย ออกมาท่องโลกกันเลย รองเท้าเด็กที่เล็กจนดูเหมือนจะเป็นพวงกุญแจนั้นเป็นรองเท้าเพื่อใช้งานจริง ชีวิตที่นี่ การเดินเป็นเรื่องปกติ ขอขอบคุณการเดินทางด้วยใจในตัวหนังสือของผู้เขียนสร้างบรรยากาศพร้อมรอยยิ้มให้เรามองโลกไกลบ้านของเขาอย่างมีความสุขและไม่ลืมที่จะมองโลกใกล้ตัวของเรา แด่การอ่านค่ะ แนวรุกสำคัญของโลกการเรียนรู้ตลอดชีวิต ขอบคุณมากค่ะ ภูเพยีย ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ --- โ ท ร ทั ศ น์ : ซะห์นูน อะหมัด ---
บันทึกหลังการอ่าน โทรทัศน์ ซะห์นูน อะหมัด เขียน อับดุล ราซัค แปล ข้าพเจ้าชอบน้ำเสียงการเล่าตอนเปิดเรื่อง น่าติดตามมากและเมื่ออ่านตลอดเล่มก็ยังชื่นชมการเขียนของเขาว่าอ่านง่าย เข้าใจง่ายนั่นคือเห็นภาพตามโดยไม่ต้องตีความอะไร 'ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยมีข้อขัดแย้งแต่อย่างใด ดวงตะวัน สายลม และสายฝน ไม่เคยคิดจะเป็นปรปักษ์ต่อกัน ป่าดงพงไพรก็ยังคงปกแผ่โดยมีบริวารล้อมรอบ เนินเขา ภูผา แมกไม้ สายธาร เหล่าฝูงนกก็กระพือปีกตามประสาของมัน และฝูงควายก็ยังคงแปดเปื้อนด้วยโคลนเช่นเดิม ฝูงวัวก็ยังคงดุ่ม ๆ ด้อม ๆ ทำตามหน้าที่ของมัน...' จากนั้นก็บรรยายชีวิตประจำวันของครอบครัวหนึ่ง บ้านของเขาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ป่าดงพงไพรยังทึบแน่นด้วยต้นไม้นานาพรรณ บ้านนี้มีอยู่ห้าคน มะอีซา เจฮา สองสามีภรรยาและลูกอีกสามคือ จะห์ ฮาซานะห์และฮาซัน ครอบครัวนี้นับถือศาสนาอิสลาม มีการทำละหมาดขอพรต่อองอัลเลาะห์ทุกวันเป็นจารีตปฏิบัติ ตื่นมาก็ละหมาดขอพร ทำงาน กิน ละหมาด ทำงาน ละหมาด ก่อนนอน ละหมาด เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ ก่อนที่ภาพเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเมื่อจะห์ ลูกสาวคนโตเข้าไปทำงานเป็นสาวโรงงานในเมืองหลวง หลังจากหกเดือน วิถีชีวิตทุกอย่างตรงนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ความเปลี่ยนแปลงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ไม่มีอะไรที่จะอยู่คงเดิม เพียงแต่ ความเปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนไปแบบไหน มีแต่เราเท่านั้นจะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอย่างไร จะห์คือตัวแปรสำคัญที่นำความเปลี่ยนแปลงเข้ามาอย่างเป็นรูปธรรม เปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อและพฤติกรรมหลาย ๆ อย่าง ที่เห็นได้ชัดคือ การแต่งเนื้อแต่งตัวที่เน้นโชว์เนื้อหนังมังสา แต่งหน้าทาปาก เปลี่ยนสีผม หน้าอกหน้าใจไม่ปกปิดมิดชิดอย่างที่หญิงมุสลิมควรทำ นอกจากนี้ยังไม่ถือเนื้อถือตัว จับมือถือแขน อยู่กับชายหนุ่ม กอดจูบกันต่อหน้าพ่อแม่ น้อง ๆ และในที่สาธารณะอย่างไม่เคอะเขินเพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือความทันสมัย 'เราจำเป็นต้องเลียนแบบความเจริญจากเมืองนะแม่' เธอเริ่มใส่ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ให้ทุกคนที่บ้าน และย้ำอยู่เสมอว่า อย่าได้คิดว่าสิ่งใหม่เป็นเรื่องต่ำต้อย น่าอับอาย และอย่าไปสนใจคำครหานินทาจากชาวบ้านเลย โลกมันไปถึงไหนต่อถึงไหนแล้ว จะห์ มีแฟนเป็น แ ข ก นั่นอาจหมายถึงความรักสามารถข้ามศาสนาได้ ไม่ยึดถืออะไรมากนัก และ ' แ ข ก ' ในอีกความหมายหนึ่งคือความแปลกใหม่ วัตถุ เงิน ความมีหน้ามีตา ความทันสมัย ความศิวิไลซ์ การผลัดเปลี่ยนหรือไม่ก็คือการเข้าถึงสิ่งเสื่อมทราม ความชั่วร้าย ปีศาจ แต่ในเรื่องใช้สัญลักษณ์เป็นโทรทัศน์หรือทีวีที่จะห์ซื้อมาให้คนในครอบครัวได้เสพสิ่งใหม่ ๆ เพื่อจะได้เห็นว่า โลกปัจจุบันไปถึงไหนกันแล้ว แขก ที่มาเยือนบ้านนี้คือ โทรทัศน์หรือทีวี วันที่ทีวีจะมาบ้านของจะห์ ทุกคนตื่นเต้นมาก บ้านเก่าโกโรโกโสที่มีห้องมิดชิดอยู่หนึ่งห้อง เสาเอียงไปหนึ่งด้าน มุมที่ละหมาดอยู่ทางทิศตะวันตก แต่ผู้เขียนเหมือนจะเน้นว่าต้องใช้มุมนี้เพื่อให้แขกของบ้านมาแทนที่ เท่ากับว่า พวกเขาจะทำละหมาดตรงไหนก็ได้ ผ้าฮิญาบ กอปิเญาะห์ จะแขวนตรงไหนก่อนก็ได้ คำภีร์ซ่อนตรงไหนก่อนก็ได้ ทุกอย่างที่เคยทำเป็นจริยวัตรนั้นพักไว้สักประเดี๋ยวเพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ที่จะมาถึง มุมหนึ่งคือ เปิดใจรับมันเข้ามาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองพร้อมจะรับสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาจู่โจมนี้แล้วหรือยัง และสิ่งใหม่มันคืบคลานเข้ามาแทนที่สิ่งที่เคยปฏิบัติมา มันคุ้มค่าหรือไม่ นึกถึงตัวเองสมัยเด็ก ๆ เราเป็นเด็กบ้านนอก มักมีค่านิยมที่ฝังใจแบบผิด ๆ และไม่เข้าใจอะไรในตอนนั้นว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่อยากมีสามีฝรั่งเพราะเขารวย ดูโก้กว่าใคร หญิงสาวที่มีสามีฝรั่งก็มักจะใส่เสื้อแขนกุดไม่ใส่เสื้อยกทรง กางเกงขาสั้นจู๋ แต่งหน้าทาปาก เสื้อผ้ารัดรูปจนคนมองรู้สึกอายแทน กระนั้นก็เถอะ ก็เหมือนจะห์ที่กลับมาในสภาพแบบนั้น เธอใส่ความคิดใหม่ ๆ ให้พ่อแม่และน้อง ๆ อีกว่า ' ช า ว บ้ า น มั น มี แ ค่ ลู ก ต า . . .' อารมณ์ที่สะท้อนกลับมาคือ ชาวบ้านอิจฉาคนมีเงิน บ้านไหนลูกสาวหาสิ่งแปลกใหม่มาได้ ก็ยกย่องเชิดหน้าชูตา สะท้อนความเป็นชนบทในบางที่ของเราที่ยังมีค่านิยมบางอย่างโดยให้ลูกสาวขายตัว งานขายตัวเป็นงานหนัก สาหัสและไม่ใช่งานสบายเลย ข้าพเจ้าไม่ได้สนับสนุนอะไรและไม่ได้โต้แย้งเพราะเขาได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่เขาอย่างหนึ่ง อยากให้พ่อแม่อยู่สบายเหมือนบ้านอื่น อย่างน้อยก็ดีกว่าการคอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบ เพียงแต่อยากให้ค่านิยมนี้หายไปจากบ้านเราเสียที และคิดว่าทางมาเลเซียคงเผชิญปัญหากับบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าความเจริญซึ่งเข้ามาทดแทนคำสอนที่ศาสนาพร่ำสอนความดี ประพฤติดี และมีการปฏิบัติศาสนกิของประชาชน สิ่งที่มากับความเจริญนั้นดีจริงหรือ การที่หญิงชายนั่งกอดจูบกันเป็นบาป เพราะโต๊ะอิหม่ามบอกว่า นี่มันเรื่องลับ หากไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว เรื่องลับ ๆ แบบนี้คนที่ไม่ใช่สามีภรรยาจะทำได้อย่างไร และมันเอิกเกริกตำตาอยู่ในทีวีนั่น สิ่งที่ทีวีสื่อออกมา โดยเฉพาะฉากรัก บทอีโรติก เราสามารถดูโดยไม่รู้สึกรู้สาจริงหรือ หรือดูบ่อย ๆ ก็จะชินไปเอง เหมือนจมหายไปกับเหตุการณ์นั้น ๆ จนเป็นเรื่องปกติและไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอีกต่อไปแล้ว การหักห้ามใจจากภาพที่เกิดขึ้นทุกวัน ๆ นั้น มันทำได้จริงหรือ ถ้าคนทำได้จริงแล้วจะมีศาสนาไว้ทำไม สื่อที่มีให้เห็นทั้งภาพและเสียงนั้นหลอนเข้าไปในจินตนาการ ได้ง่ายกระตุ้นกำหนัดและความดิบเถื่อนของมนุษย์ตรง ๆ ซึ่งศาสนาช่วยกล่อมเกลากิเลสของปุถุชนให้เบาบาง รู้ดีรู้ชั่วและการหักห้ามใจไม่ทำสิ่งไม่ดี การเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาจึงถูกท้าทายให้ย้อนคิดอยู่เกือบตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงคือหลักประกันของความเจริญก้าวหน้า หรือมีเพียงแต่คนคร่ำครึเท่านั้นที่หวาดผวาต่อการเปลี่ยนแปลง ??? ในนวนิยายเล่มนี้ ใช้สัญลักษณ์การเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาด้วย ทีวีที่ใหญ่กว่าบ้าน ข้าพเจ้าหลับตาวาดภาพ ของใหม่ที่โตคับบ้านกำลังมาแทนที่เสื่อละหมาด คำภีร์อัลกุระอ่าน ผ้าละหมาดของผู้หญิง ลูกประคำ กอปิยะห์ฯลฯ และเห็นผ้าละหมาดผืนใหม่รองทีวี ผ้าปูละหมาดที่มีภาพมัสยิดอิลฮารอม เห็นแล้วเศร้าใจ เข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอ เห็นแล้วหดหู่ ยิ่งไปกว่านั้น ภาพและเนื้อหาที่นำเสนอผ่านทีวีนั้นมอมเมาด้วยความเฮฮา สนุกสนาน เราติดมันงอมแงมจนไม่อยากลุกไปไหน เคยไปทำละหมาดก็เอาไว้ก่อน แม่ที่เคยเข้าครัวเป็นปกติก็ละเลยหน้าที่ประจำวัน ถึงทำก็ทำแบบลวก ๆ พ่อไม่ไปลากควายจากท้องทุ่งเข้าบ้าน นานเข้าควายป่วยตายไร้คนเหลียวแล หญ้าท่วมสูง ไม่มีใครดายหญ้า ไม่มีใครดูแลบ้านให้สะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่แม้แต่จะเข้าห้องน้ำห้องท่า ลืมกินข้าวกินปลา เคยพบหน้าเพื่อนบ้านหรือประกอบพิธีศาสนกิจร่วมกับชุมชนก็ห่างหาย ทุกอย่างถูกละเลยเมื่อทุกคนในบ้านติดอยู่ที่หน้าจอ 'แขกที่มาบ้านนี้ไม่ใช่แขกอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นสมาชิกถาวรภายในบ้านหลังนี้' ใช่แล้ว ความแปลกใหม่ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อีกต่อไปเพราะเราต้อนรับมันเข้ามา แนบสนิทดั่งคนคุ้นเคยกัน ฉันรู้สึกคุ้น ๆ กับอารมณ์นี้ทีละนิด นึกถึงการติดมือถือ ติดเฟซบุ๊ก อารมณ์ฟุ้งฟาย ตามข่าวคราวที่บางทีไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้นแต่เราก็หลงเสพมัน สังคมก้มหน้าที่ต่างคนมีโลกของตัวเอง เลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ บนโลกจริง หนักเข้า ๆ ก็สร้างโลกใบใหม่และติดอยู่ในวังวนจนแยกไม่ออกและปรับตัวอยู่บนโลกจริงไม่ได้และไม่สุงสิงกับใครเหมือนครอบครัวของมะอีซาและเจฮา 'ความประณีตในชีวิตประจำวันหายไป ทุกคนเหมือนถูกตอกตรึงอยู่หน้าจอ' นิยายเรื่องนี้เสียดสีรัฐโดยว่า ทีวีเป็นของรัฐ ถ้ารัฐแสดงให้เห็นในจอทีวี นั่นคือสิ่งดีที่ควรกระทำ นับเป็นเรื่องที่ท้าทายความนึกคิดของคนในสังคมและรัฐบาลของเขามาก ในเนื้อหามีเรื่องเพศ การร่วมรัก บทอีโรติกค่อนข้างมากหรือเกือบทั้งเล่มตั้งแต่ทีวีเข้ามา ผู้ชายจะคุมกำหนัดของตัวเองไม่ค่อยได้ จิตเตลิดเปิดเปิงได้ง่าย ฟุ้งซ่านในเรื่องเพศไม่ว่ากับภรรยาตัวเองหรือหญิงอื่นรวมถึงสายเลือดเดียวกัน สะท้อนปัญหาภายในครอบครัวที่มากับทีวี ฉันชอบภาษาเขียนของเขานะ อ่านง่าย มีอะไรให้คิดย้อนแย้งกลับไปกลับมา มีอะไรให้ตีความมากมายตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน คำเปรียบเทียบคมคาย อ่านแล้วสะอึก จุกอกเหมือนเห็นโลกข้างหน้าที่เทคโนโลยีทะลักเข้ามา คนสมัยใหม่อาจไม่ทันระวังและไม่คิดว่านี่คือความเปลี่ยนแปลงเพราะมันแทรกซึมเข้ามาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวจนแทบขาดมันไม่ได้ แต่คนครึ่งเก่าครึ่งอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะปรับตัวยากแม้จะไหลตามกระแสไป แต่บางขณะก็อยู่นิ่งเฉยเพราะไปไม่เป็น ชะงักงันและตั้งคำถามกับตัวเอง การเปลี่ยนแปลงหรือความทันสมัยบนโลกใบใหม่ก็เหมือนดาบสองคม มีให้เลือกทั้งดีและไม่ดี ก็เหมือนกับ จะห์ เธอเป็นตัว 'เปลี่ยนแปลง'นำความแปลกใหม่มาสู่บ้าน เปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์และความคิดใหม่ ๆ ที่ทำให้ทุกคนคล้อยตาม และในทางตรงกันข้าม เธอคือความหายนะด้วย เธอเป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเพราะทุกคนกลายเป็นเหยื่อของความทันสมัยโดยไม่รู้ตัวหรือแม้แต่ตัวของจะห์เอง อย่างไรก็ตาม อยากชวนเพื่อน ๆ อ่านเล่มนี้ โดยภาษานั้นอ่านลื่นไหล มีวาทะศิลป์ โดยเนื้อหานั้นมีอะไรหลายอย่างให้ตีความอีกมากมาย บางคนติดขัดเรื่องการนำเสนอเรื่องเพศที่ดูตกต่ำมากนั่นเพราะต้องการสื่อให้เห็นความเสื่อมของสังคมเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมปนมาในความเปลี่ยนแปลงซึ่งให้โทษใหญ่หลวงแก่คนของเขา มองเขา(อาจ)เห็นเรา ขอบคุณค่ะ ภูพเยีย ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ หมายเหตุ : จากปกหลัง นวนิยายขนาดสั้นเรื่อง โทรทัศน์เรื่องนี้ตีพิมพ์ในค.ศ. ๑๙๙๕ โดยเดวัน บาฮาซา ดันปุสตากา เป็นงานเขียนที่อื้อฉาวและได้รับการกล่าวขานและเป็นวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงวิชาการวรรณกรรมพอสมควร บ้างว่าเป็นงานเขียนที่ลามกอนาจาร บ้างเห็นว่าเป็นงานวรรณกรรมอิสลามที่ดีเลิศน่ายกย่อง ซะห์นูนใช้เวลาเพียง ๓๒ วันในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้ โดยที่ท่านกล่าวว่าประเด็นที่ท่านต้องการหยิบยกมานำเสนอในนิยายเล่มนี้เป็นเรื่องของภาวะความตกต่ำเสื่อมเสียทางด้านจริยธรรมและศีลธรรมของสังคมปัจจุบันอันเนื่องมาจากอิทธิพลของเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยท่านใช้สื่อโทรทัศน์เป็นสัญญาลักษณ์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กลายเป็นเหรียญสองด้านที่มีทั้งคุณและโทษ สวัสดีทุกท่านอีกครั้งนะคะ ข้าพเจ้าพยายามทบทวนสิ่งที่เขียนถึงหนังสือเล่มนี้อย่างรอบคอบ และใส่ใจในเรื่องการใช้ถ้อยคำเป็นพิเศษเพราะมีเรื่องของศาสนาและคำสอน ความเชื่อในพระมหาคัมภีร์อัลกุระอ่านเข้ามาเกี่ยวข้อง พยายามสื่อสารเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นปัญหาต่อเนื่องและต้องตามแก้ไขหรือขอโทษเพราะความอ่อนด้อยในการสื่ิอมากกว่าเจตนาที่ชักชวนเพื่อน ๆ มาอ่านด้วยกันว่าวรรณกรรมเล่มนี้ใช้เครื่องมือหนึ่งเพื่อเข้าสู่เป้าหมายในด้านจรรโลงสังคมไปในทิศทางที่ดี การนำเสนอประเด็นหลักของซะห์นูน อะหมัดในนวนิยายเรื่องนี้คือ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ โดยจำลองสถานการณ์หนึ่งในครอบครัวซึ่งเป็นชนชั้นรากหญ้าที่หาเช้ากินค่ำอย่างครอบครัวของมะอีซา ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนกล่าวโทษว่าหญิงสาวคนนี้ชั่วโดยกำเนิด เพียงแต่มิได้เขียนรายละเอียดที่ผู้เขียนสื่อเรื่องความรุนแรงเกินแก้ไข ให้ระมัดระวังอย่าได้เกี่ยวข้องหรือข้องแวะกับสิ่งชั่วร้าย เตือนเพื่อให้สังคมรู้จักจดจำเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และไม่ซ้ำรอยเดิม โทรทัศน์ เพียงสะกิดใจทุกคนในสังคมของเขาที่อาจหลงลืมอะไรบางอย่างไป ตัว'จะห์'เองคือเหยื่อของความทันสมัย ความใหม่ และเธอเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน จะห์คือตัวเชื่อมโยงเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาในบ้าน เธอเดินตามมันแบบไม่ตะขิดตะขวงใจใด ๆ แต่ทุกคนในบ้านยังไม่ใช่ เนื้อหาในทีวีทำให้ทุกคนติดงอมแงม เห็นทุกฉากของโลกใบใหม่ มาอีกครั้งเธอเอาวีดีโอเรื่องเซ็กส์มา เปิดให้ทุกคนในครอบครัวดูร่วมกัน พ่อคุมกำหนัดไม่ได้ เขามีใจจดจ่อต่อภาพที่เห็นและหมกมุ่นอยู่กับมันและเกิดเหตุการณ์ถึงกับเกิดการกระทำอนาจารกับลูกสาวในไส้ ซึ่งความรุนแรงในแบบจำลองนี้เป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากในแง่การจำลองของเขา แต่เพราะผู้เขียนแสดงเจตนาที่สะท้อนปัญหาสังคมของเขาจนหลายต่อหลายคนรับไม่ได้และมองข้ามประเด็นหลักที่เขาซ่อนไว้ในเนื้องานนั่นคือ คนฟุ้งเฟ้อกับวัตถุและกิเลสจนลืมเรื่องบาปบุญคุณโทษและธาตุแท้ของตัวเองที่ต้องได้รับการขัดเกลา และบทจบทุกคนก็ถูกลงโทษทั้งทางตรงและทางอ้อม บางอย่างที่คนอื่นไม่เห็นแต่ฟ้ามีตา ผู็เขียนตั้งใจเขียนเตือนชาวมุสลิมให้หลีกเลี่ยงความชั่วร้ายทั้งหมด มิฉะนั้นจะได้รับการลงโทษอย่างสาหัสจากพระเจ้า หากหนังสือเล่มนี้สะท้อนปัญหาสังคมไทยในชนชั้นรากหญ้า คิดว่าคงโดนโจมตีอย่างหนักหนาสาหัสเช่นกัน ขอบคุณทุกท่านที่สนใจและอ่านบันทึกของข้าพเจ้า ด้วยมิตรภาพ ภูพเยีย --- สู ท ไ ส้ ก ร อ ก ---
เรารู้จักรสชาติ แต่ไม่มีเครื่องปรุงอีกแล้ว สิ่งนี้นั่นเอง ความทรงจำต่อสิ่งที่หาไม่ได้ เธอนึกหาคำคำหนึ่ง ที่พอจะช่วยบรรยายรสชาตินี้ได้ : รสชาติแห่งความทรงจำ สูทไส้กรอก เรื่องของ 'รส' และ ' ชาติ' วรรณกรรมเยอรมันร่วมสมัย ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนบันทึกความทรงจำอันสวยงามนี้อย่างไร เรื่องราวเกิดจากความบังเอิญโดยแท้ เป็นความบังเอิญที่งดงาม ความทรงจำของคน ๆ หนึ่งซึ่งเคยกินไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่ที่อร่อย เขานึกถึงเธอในวันหนึ่งเมื่อไส้กรอกราดซอสผงกะหรี่กลายเป็นอาหารติดตลาด เป็นฟาสต์ฟู้ดของคนเยอรมันในปัจจุบัน ใครจะเชื่อละว่า ไส้กรอกผงกะหรี่นี้จะมีคนคิดค้นหรือจะเป็นใครสักคนที่คิดขึ้นมาได้ ความทรงจำวันเก่าของเขารุกเร้าให้ตามหาเธอ นึกถึงแผงขาย จนกระทั่งตามหา อยากรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า จนกระทั่งเจอเธอซึ่งกลายเป็นหญิงชรา ตาบอดที่บ้านพักคนชรากำลังนั่งถักไหมพรม (ภาพปกหนังสือจึงกลายเป็นภาพจำของฉันไปแล้ว) การนัดพบและฟังเรื่องเล่าของเธอผ่านการเล่าของเขานั้นน่าฟังและน่าติดตามเพราะคุณยายหรือคุณนายเลนา บรึคเคอร์เป็นสาวใหญ่ ตัวละครเอกของเรื่อง เธอฉลาดเฉลียว หนักแน่น มีอารมณ์ขัน กล้าหาญ ทันคนและเปี่ยมไปด้วยพลัง สิ่งที่เธอเป็นนี่ล่ะที่ทำให้ฉันแอบอิจฉาเธอ บางครั้ง ฉันคิดว่า การรู้จักใครสักคนในหนังสือทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมได้ ฉันอดไม่ได้ที่จะมองหาว่า มีอะไรในชีวิตเหมือนตัวละครในนิยายบ้างหรือเปล่า ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นมนุษย์ธรรมดา มีโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่นางเอกหรือเทวดาที่มีแต่ด้านบวกด้านเดียว ใช่แล้ว ฉันมองหาด้านมืดของจิตใจมนุษย์ซึ่งฉันมี เรื่องเล่าของคุณยายนั้นถูกเล่าด้วยชายวัยกลางคนมาเล่าต่ออีกที เรื่องนี้มีฉากหลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฉันลุ้นไปไม่ต่างกับเขาที่อยากรู้ที่มาของไส้กรอกผงกะหรี่ว่ามายังไง เริ่มตอนไหน อ่านไปเกือบจะหน้าสุดท้ายจึงทราบที่มา แต่เรื่องชีวิตของคุณยายนั้นลุ่มลึกและมีเสน่ห์มาก คุณยายมีครอบครัวแล้ว ตอนนั้นสามีคุณยายเป็นคนขับเรือยนต์ กัปตันเรือเล็ก ๆ รับส่งคนงานท่าเรือข้ามแม่น้ำแต่ก็ติดคุก และคุณยายก็รักเบรเมอร์ทหารหนุ่มผู้หนีทัพ ก็..นะ..ความรักเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันอยู่ด้วยกันสองคน ต่างคนต่างปิดบังเรื่องส่วนตัว แม้คุณยายจะรู้ว่าเขามีครอบครัวแล้ว แต่มันไม่ใช่ประเด็นในภาวะสงคราม ฉันไม่รู้ว่าความรักมันเริ่มยังไงเหมือนคุณยายบอกว่า บางเรื่องไม่จำเป็นต้องใช้เวลา ความรู้สึกที่ชะตาตรงกัน บังเอิญหรือเปล่าฉันถามตัวเองเบา ๆ เรื่องเล่าของคุณยายนั้นลึกซึ้งแกมเศร้า ประทับใจ และทำให้ฉันจุกอก น้ำตาไหล เมื่อพบก็มีพราก อดลุ้นไปด้วยไม่ได้ว่า วันที่สงครามสงบ คุณยายรั้งเบรเมอร์ไว้อีกระยะเวลาหนึ่งโดยไม่บอกว่าสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงนั้น เพียงแค่อยากยืดเวลาออกไป ทำให้เบรเมอร์เป็นตัวตลกที่ฉันแอบหัวเราะกับพฤติกรรมเขาเพราะเธอเล่าได้น่ารัก แต่ความลับไม่มี วันที่เขารู้ เขาหันหลังให้และจากไปไม่ได้ล่ำลา แล้วคนสองคนจะได้เจอกันอีกไหมจากนี้ ฉันอดใจหายไม่ได้ คุณเคยมีใครสักคนที่คุณรักและหายไปจากชีวิตและอยากมีโอกาสจะพบเขาหรือเปล่า ฉันนึกภาพนะว่า เราจะทำตัวยังไงถ้าได้เจอกัน มันจะเหมือนภาพที่เราวาดไว้ไหมในฐานะที่เรามีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในครอบครัวของตน ความบังเอิญคือความงาม ใช่แล้วค่ะ คุณยายไม่ได้คิดค้นสูตรไส้กรอกนี้ขึ้นมาด้วยการลองผิดลองถูก แต่บังเอิญเหลือเกินที่ทหารเรืออย่างเบรเมอร์มีเหรียญเงินที่ได้มาจากความสามารถพิเศษในการขี่ม้า และเธอใช้เหรียญแลกกับสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต มีสองอย่างให้เลือกในตอนนั้น ระหว่างเสื้อขนกระรอกรัสเซียกับผงกะหรี่ ไม่ต้องบอกก็ทราบนะคะว่า เธอเลือกอะไร เรื่องเล่าของคณยายก็ด้วยความระลึกถึงเบรเมอร์ด้วยเพราะเขาเคยเล่าถึงผงกะหรี่ที่เคยกินในอินเดีย ไม่รู้ล่ะ ฉันซาบซึ้งมาก หากใครนึกถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ดี ๆ ของเราสองคน และก็อีกนั่นแหละ บังเอิญที่เธอทำขวดซอสมะเขือตกและมันไหลรวมกับผงกะหรี่ เธอเลียซอสที่ไหลรวมกับผงกะหรี่ เธอหัวเราะลั่นในความสะเพร่า อาหารสูตรวิเศษที่ถูกลิ้นจึงเกิดขึ้น สูทไส้กรอกจึงเกิดขึ้น ความทรงจำมีให้เราเลือกจำ อยู่ที่เราจะจำเรื่องอะไร เหมือนฉันอ่านหนังสือก็เพื่อความเพลิดเพลิน อยากเปิดหูเปิดตา ลองอ่านอะไรที่ไม่เคยอ่าน ฉันไม่สามารถบอกกลวิธีการเขียนของวรรณกรรมเยอรมันเล่มนี้ เมื่อคุณอ่านถึงบรรทัดสุดท้าย คุณจะได้ยินคำว่า โนเวลเลอ ซึ่งมีคำอธิบายไว้โดยละเอียดสำหรับใครที่สนใจการเขียน สำหรับฉัน อ่านสนุก เพลิดเพลิน มีหลากหลายอารมณ์ให้รู้สึก ซาบซึ้งและประทับใจ ฉันพอใจแล้ว เสน่ห์ของการเล่านั้นตะลุยใส่ฉันไม่หยุดยั้ง มีหลายเรื่องที่เรารู้ก็เป็นทุกข์ ไม่รู้ก็เป็นทุกข์ บางทีก็ปลอบตัวเองว่า ยังมีเวลาที่จะถาม แต่มันก็อาจไม่เหลือเวลาเหล่านั้นให้ถามเพื่อรอคำตอบแล้วก็ได้ ฉันซาบซึ้งเรื่องราวของคุณยายเลนามากกว่าอยากรู้ที่มาของไส้กรอกผงกะหรี่เสียอีก ขอบคุณค่ะ ภูเพยีย |
ภูเพยีย
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?] Friends Blog
|