Group Blog
 
All Blogs
 

เปิดใจนักเขียนชรา

บันทึกของผู้เฒ่า

เปิดใจนักเขียนชรา

เมื่อผมต้องลาออกจากโรงเรียนมัธยมวัดราชาธิวาส ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๙ เพราะสอบตกชั้น ม.๖ และไม่มีค่าเทอมจะเรียนซ้ำชั้น ซึ่งขณะนั้นถือว่าชีวิตของผมอยู่ในขั้นต่ำสุด ต้องเลี้ยงชีวิตและครอบครัว ซึ่งมีแม่คนเดียว เพราะท่านผู้มีพระคุณได้เอาน้องหญิงไปอุปการะแล้ว ผมอดทนที่จะทำงานด้วยการทำขนมถ้วยตะไลขาย แทนการเรียนหนังสือ ได้กำไรจากการขายขนมวันหนึ่งเพียงพอแค่ค่าข้าวปลาอาหารในวันหนึ่งเท่านั้น ผมก็อดทนทำไปโดยไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

จนกระทั่งญาติอีกคนหนึ่งเป็นทหารขนส่งยศ ร้อยโท ทราบข่าว จึงมาพาไปสมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างใช้แรงงาน ของกรมพาหนะทหารบก ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น กรมการขนส่งทหารบก และทำงานระดับชุดดินดายหญ้า ขนย้ายอุปกรณ์อะไหล่รถยนตร์ จากที่หลบภัยทางอากาศ ต่างจังหวัดมาเก็บไว้ในคลัง พน.๓ ตรงข้ามวัดแก้วฟ้าจุฬามณี เกียกกาย บางซื่อ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

งานนั้นหนักมากแต่ยังไม่เกินกำลังของเด็กหนุ่มอายุเข้า ๑๕ ปีจะทำได้ แต่เจ้านายเวทนา เพราะตัวเล็กนิดเดียว น้ำหนักเพียง ๕๐ ก.ก. จึงเรียกไปทำงานเป็นภารโรงและเดินรับส่งหนังสือในปีต่อมา จนได้เปลี่ยนสภาพจากลูกจ้าง เป็นข้าราชการวิสามัญ ชั้นจัตวา ติดขีดเดียวขมวดเหลี่ยมที่อินทธนูบนบ่า ท่านร้อยโทผู้นั้นก็กรุณาให้เงินมาตัดเครื่องแบบแต่งไปทำงานหนึ่งชุด จึงได้เปลี่ยนสภาพเป็นเสมียนเต็มตัว

เป็นเสมียนของ กองคลัง อยู่ได้สองสามปี ก็เปลี่ยนเป็นเสมียนร้านสหกรณ์กรมพาหนะทหารบกอีกสองสามปี ก็มีอายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ครบกำหนดต้องไปรับการตรวจคัดเลือกเพื่อเข้ากองประจำการ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเกณฑ์ทหาร

ขณะนั้นแม่ป่วยเป็นวัณโรคอาการหนักมาก จึงขอผ่อนผันในฐานะลูกชายคนเดียวที่ดูแลแม่ เมื่อได้รับอนุมัติก็ได้บวชหนึ่งพรรษา ตั้งแต่ ก.ค.-ต.ค.๒๔๙๕ ลาสิกขาสึกออกมาได้สามเดือน ถึงธันวาคม แม่ก็ตายอย่างว้าเหว่กับผมสองคนแม่ลูก.

ผมหวนนึกไปถึงชีวิตของตนเอง ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ ผมเคยนั่งอยู่คนเดียวมืด ๆ และรำพึงว่า ในอนาคตอีก ๓๐ ปีข้างหน้าผมจะเป็นอย่างไร จะมีอาชีพอะไรสำหรับทำมาหากินเลี้ยงชีวิต ในขณะที่คิดอย่างนั้น ผมบวชครบพรรษาสึกออกมารอเข้ารับราชการทหาร และแม่ได้ตายจนทำการฌาปนกิจเสร็จสิ้นไปแล้ว ผมมองไม่เห็นที่หมายในอนาคตจริง ๆ เพราะ ๓๐ ปีนั้นนานเหลือเกิน ขณะนั้นผมมีอายุ ๒๑ ปีใน พ.ศ.๒๔๙๕ ถูกเรียกเกณฑ์ ขอผ่อนผัน ๑ ปี พอถึง เม.ย.๙๖ ก็ไปรายงานตัวที่มณฑลทหารบกที่ ๑ ซึ่งอยู่รวมกับกองพลที่ ๑ ข้างวังสวนกุหลาบ ขณะนั้นงบประมาณขาดแคลน จึงชึ้นทะเบียนทหารไว้ก่อน แล้วปล่อยตัวให้ทหารกลับบ้านไป อีกสามเดือนจึงค่อยมารายงานตัวครั้งหนึ่ง ถ้ายังไม่ได้รับการคัดเลือก ก็กลับบ้าน

ผมไปรายงานตัวเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อ ก.ค.๙๖ ครั้งที่ ๓ ต.ค.๙๖ ครั้งที่ ๔ ม.ค.๙๗ ครั้งที่ ๕ เม.ย.๙๗ จึงได้รับเลือกเข้ารับราชการเป็นพลทหารสังกัด กองร้อยกองบัญชาการ กองทัพที่ ๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามวังสวนกุหลาบ ปัจจุบันคือโรงเรียนราชวินิตนั้นเอง

ผมคิดไม่ออกว่า ๓๐ ปีหลังจากเป็นพลทหารและปลดออกจากประจำการแล้ว ผมจะไปทำมาหากินอย่างไร การเขียนหนังสือ ได้ค่าเรื่องบ้างไม่ได้บ้าง ที่ได้ก็ไม่เกิน ๑๐๐ บาท ซึ่งในระยะเวลา ๑๐ ปี ผมก็ได้รับเพียง ๓-๔ รายเท่านั้นเอง แล้วชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร แต่ยังดีที่ผมเหลือตัวคนเดียวไม่มีห่วงใยอะไรอีกแล้ว แม่ก็ไปสู่สุคติแล้ว น้องก็ได้รับการศึกษา โรงเรียนฝึกหัดครูประถม จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเมื่อต่อให้จบโรงเรียนฝึกหัดครูมัธยม ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามวังแดงเทเวศร์ เป็นคุรุสภาในปัจจุบัน เขาก็จะได้เป็นข้าราชการครู มีเงินเดือนชั้นสัญญบัตร คือชั้นตรี มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ในฐานะผู้สั่งสอนอบรมบ่มนิสัยเยาวชนของชาติ แล้วพลทหารกองหนุนอย่างผม ใครจะสามารถคาดเดาอนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร

แต่ผมก็เดินหน้าต่อไปตามกรรมซึ่งกำหนดไว้โดยใครก็ไม่รู้ ด้วยความทรหดอดทน ไม่ย่อท้อ ด้วยความขยันหมั่นเพียรอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่รู้ไม่เห็นว่าจะตลอดปลอดโปร่งหรือมีอุปสรรคประการใดบ้าง ย่ำเท้าก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เช่นเดียวกับพระชนก ที่อุตสาหะว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไป โดยไม่เห็นฝั่ง ฉันใดก็ฉันนั้น

ในขณะที่เคว้งคว้าง ท่ามกลางโลกอันกว้างขวาง ของกรุงเทพมหานครในฐานะพลทหารเกณฑ์ เงินเดือน ๔ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละดูเหมือนสองบาท รู้สึกลาง ๆ ว่าเมื่อหักค่าข้าวสามมื้อแล้วเหลืออีกห้าสลึง ให้ซื้อกับข้าวแม่ค้ามากินสามมื้อ เพราะเป็นหน่วยเล็กนิดเดียว จึงจ่ายแต่ข้าวเปล่า จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยซื้อปลาทูทอดตัวละ ๕๐ สตางค์ ขอน้ำปลาของหมวด สูทกรรมราดให้นอง แล้วแกะกินมื้อกลางวันกับมือเย็น มื้อละซีก เงินที่เหลือก็เก็บสะสมไว้ เวลาได้ลาเสาร์อาทิตย์ จะได้ซื้อบุหรี่ตราพระจันทร์มาสูบ

เคราะห์ยังดีที่ท่านผู้มีพระคุณเวทนาให้เบี้ยเลี้ยงพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ สัปดาห์ละ๑๐ บาท ก็พอจะแบ่งปันไปดูหนังได้ที่ต่ำสุด ๔.๕๐ บาท เบี้ยเลี้ยงพิเศษนี้จะได้รับทุกสัปดาห์ตลอดเวลา ๒ ปีกว่าจะปลดเป็นกองหนุน กลับไปเป็นข้าราชการวิสามัญ เงินเดือนประมาณ ๔๕๐ บาท ที่กรมพาหนะทหารบกตามเดิม

ในเวลาที่เป็นพลทหารนี้ ผมก็ยังเขียนหนังสือ ส่งสำนักพิมพ์เก่าที่เคยคุ้นชื่อกันอยู่ตามเดิม แต่เปิดสมุดบันทึกทบทวนดูแล้ว ระหว่าง พ.ศ.๒๔๙๗ เขียนหนังสือได้ลงพิมพ์ เพียงเรื่องเดียวโดย หนังสือพิมพ์เมืองหลวงฉบับวันอาทิตย์ ได้ค่าเรื่องดูเหมือน ๑๒๐ บาท

เมื่อเลื่อนขึ้นเป็นพลทหารปี ๒ ในเดือน ธ.ค.๙๗ ทางการประกาศรับสมัครพลทหารกองประจำการปีที่ ๒ เข้าเป็นนักเรียนนายสิบ จึงขออนุญาตผู้บังคับกองร้อยไปสมัครทันที ท่านก็อนุญาต และลงชื่อในใบรับรองความประพฤติให้ พร้อมกำชับว่าสมัครเหล่าทหารราบนะ ผมก็รับคำแต่เวลาสมัครเขามีแค่สามเหล่า คือแพทย์ สื่อสาร และปืนใหญ่ ผมเลือกสื่อสาร เพราะคิดว่าคงจะเบากว่าปืนใหญ่ และไม่น่าเสียวไส้เท่าแพทย์ แม้ไม่ได้กลับมาบอกผู้บังคับกองร้อย แต่ก็จะระลึกถึงพระคุณของท่านจนวันตาย

ในระหว่างเป็นนักเรียนนายสิบ ได้รับเงินเดือน ๑๒ บาท เบี้ยเลี้ยงเท่าพลทหาร แต่หักร่วมหมด เพราะเลี้ยงอาหารทั้งสามมื้อ ผมก็ได้เบี้ยเลี้ยงพืเศษ อาทิตย์ละ ๑๐ บาทนั้นยาไส้ไปได้ตลอดหลักสูตร ๑ ปี แต่ฝึกแบบพลทหาร ๖ เดือน อีก ๖ เดือนส่งไปฝึกงานที่หน่วยซึ่งจะบรรจุ ผมอยู่ กองกำลังพล กอง บัญชาการ กรมการทหารสื่อสาร ทำหน้าที่เหมือนภารโรงที่ กรมพาหนะทหารบกไม่มีผิด คือมาเปิดสำนักงานแต่เช้า ช่วยภารโรงทำความสะอาด แล้วไปเข้าแถวกินข้าวที่โรงเลี้ยง ๐๙.๐๐ น. ไปประจำที่กอง ทำหน้าที่เสมียน กลางวันกลับไปกินข้าวที่โรงเลี้ยง แต่เย็นเลิกงานแล้วไม่ได้กลับบ้าน ต้องกลับกองร้อย เข้าแถวไปกินข้าวโรงเลี้ยง อบรมและนอนบนกองร้อยเหมือนนักเรียนนายสิบตามเดิม

ระหว่างนี้ผมก็หาเวลาเขียนหนังสือส่ง หนังสือพิมพ์เท่าที่จะมีเวลาว่างบ้าง
ส่งเรื่องขำขันไปให้สถานีวิทยุ ท.ท.ท.บ้างตามที่บันทึกไว้เห็นว่าได้รับการตอบรับถึง ๕ เรื่อง

เมื่อครบกำหนด ๑ ปี ธ.ค.๙๘ ก็ได้รับการบรรจุเป็นนายสิบ ผมสอบได้ ๘๐ % ได้รับยศสิบโท และมีสิทธิ์ไปเรียนหลักสูตรนายร้อยสำรองด้วย แต่เผอิญไม่สำเร็จชั้น ม.๖ จึงมีคุณสมบัติไม่ครบต้องเป็น เสมียน กองกำลังพล ตามที่ได้รับการบรรจุแต่แรก

จึงเป็นการเริ่มต้นรับราชการใหม่อีกครั้ง จากครั้งก่อนที่เป็น ลูกจ้าง และข้าราชการวิสามัญ คราวนี้เป็นข้าราชการประจำ ซึ่งดีกว่าข้าราชการสามัญชั้นต่ำกว่าสัญญาบัตร ที่เพื่อน ๆ ซึ่งอยากเป็นนักเขียนในกรมพาหนะทหารบกเป็นเสียอีก เพราะได้รับจ่ายเครื่องแบบปีละ ๒ ชุด ตั้งแต่หมวกถึงรองเท้าอีกด้วย

และพอจะเห็นอนาคตราง ๆ ว่าถ้ารับราชการต่อไปอีก ๔๐ ปีโดยไม่มีด่างพร้อย ก็น่าจะเกษียณอายุราชการในยศ จ่าสิบเอก รับเงินเดือนร่วม ๆ ร้อยโท.

แต่ จ่าสิบเอก รุ่นพ่อรุ่นลุง ที่เกษียณอายุในยศ ร้อยเอก พันตรี และพันโท ก็พอมีให้เห็น

เป้าหมายแรกที่จะต้องคว้าไว้ให้ได้ก็คือรับราชการให้ครับ ๑๕ ปี มียศ จ่าสิบเอกมาแล้ว ๕ ปี ก็จะมีสิทธิ์เข้าสอบ เพื่อเลื่อนฐานะเป็นนายทหารสัญญาบัตร แต่ถ้าภายหน้าเขาออกกฎระเบียบว่าผู้เป็นนายทหารสัญญาบัตรจะต้องจบ ม.๖ เราก็อดอีกตามเคย ดังนั้นเมื่อถึง พ.ศ.๒๕๐๐ กึ่งพุทธกาล เป็นสิบเอก จึงได้สมัครเข้าเรียน โรงเรียนผู้ใหญ่ที่ ร.ร.แม้นศรีพิทยาลงกรณ์ สี่แยกสะพานดำ เรียนได้ ๘ เดือน ก็สอบรวมทั่วประเทศ ผ่าน ๕๐ % จบประโยคมัธยมต้นในลำดับที่ไม่ถึง ๑๐๐

พ.ศ.๒๕๐๑ ได้เงินเดือนชั้น ๖ (๖๕ บาท) ได้เลื่อนยศเป็น สิบเอก มีผลงานการเขียน เรื่องลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หนังสือได้ ๑๕ ราย แม้ไม่มีค่าตอบแทนก็ไม่เป็นไร ส่วนใหญ่นิตยสารทหารสื่อสาร ไม่มีงบประมาณค่าเรื่อง เพราะเป็นข้าราชการในกรมด้วยกันทั้งนั้น

เป็นเรื่องบังเอิญที่ในกรมการทหารสื่อสาร มีการออกหนังสือพิมพ์ถึงสองฉบับคือ นิตยสารทหารสื่อสาร เป็นหนังสือพิมพ์ประจำเหล่าทหารสื่อสาร มีสมาชิกในหน่วยทหารสื่อสาร ทุกกองพล และ กองทัพอีกฉบับหนึ่งคือ วปถ.ปริทรรศน์ เป็นหนังสือของสถานีวิทยุกระจายเสียงประจำถิ่น มีสมาชิก เกือบทุกจังหวัดที่ตั้งสถานีทั่วประเทศ ผมจึงมีสนามที่จะลงเรื่องสั้นและบทความบทกลอนมากขึ้น และง่ายขึ้น เพราะเป็นพวกเดียวกันเอง แรก ๆ ก็ส่งให้ วปถ.ปริทรรศน์ ต่อมาถึง พ.ศ.๒๕๐๓ จึงส่งไปลง ที่นิตยสารทหารสื่อสาร และก็จะได้ลงพิมพ์ทุกเรื่อง การส่งให้หนังสือพิมพ์ภายนอกจึงลดลง ในระยะที่ครบรอบ ๑๐ ปีแห่งการเขียนหนังสือ จึงมีผลงานทั้งหมด ๖๙ ชิ้น และเริ่มทศวรรษที่ ๒ ตั้งแต่ ๒๕๐๒ – ๒๕๑๑ ซึ่งได้เข้าไปช่วยงานในกองบรรณาธิการ และมีเรื่องของตนเองลงพิมพ์ โดยไม่ต้องมีผู้อื่นมาพิจารณาอีก เพราะทำหน้าที่แทนผู้ช่วยบรรณาธิการทุกเรื่อง ในรอบ ๑๐ ปีที่ ๒ มีผลงาน ๑๒ ชิ้น

ในราชการทหารสื่อสาร ยังอยู่ในยศ สิบเอก เช่นเดิม แต่ได้ไปช่วยราชการ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก สนามเป้า ช่อง ๗ ขาวดำ ตั้งแต่ ก.ค.๒๕๐๒ ในตำแหน่ง พนักงานกล้องโทรทัศน์ ตั้งแต่บ่ายจนปิดสถานี

พ.ศ.๒๕๐๔ ได้รับเงินเดือนขึ้นประจำปีสองหน คือเดิมได้เดือน ม.ค.๐๔ แต่ทางราชการเปลี่ยนแปลงการขึ้นปีงบประมาณ เป็น ต.ค. จึงได้เลื่อนเงินเดือนอีกครั้งหนึ่ง เป็นชั้น ๑๑(๗๕๐ บาท เลื่อนยศเป็น จ่าสิบโท

พ.ศ.๒๕๐๕ ได้เงินเดือนชั้น ๑๒ (๘๐๐ บาท) ยศ จ่าสิบเอก ซึ่งจะต้องรับชั้นนี้ต่อไปจนครบ ๕ ปี พ.ศ.๒๕๑๐ จึงจะมีสิทธิ์ สอบคัดเลือกเพื่อนเลื่อนเป็นนายทหาร

ผลงานการเขียนเรื่องที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ลงในนิตยสารทหารสื่อสาร เป็นเรื่องหลายประเภท และหลายนามปากกา เช่น เรื่องสั้น ใช้ “เพทาย” หรือ “เพทาย ทิพยสุนทร” เรื่องขำขัน “พัชรรัตต์” สารคดี “วรพจน์” เบ็ดเตล็ด “จ.จาน” เขียนเพื่อเป็นการฝึกฝนและพัฒนาฝีมือของตนเอง

จนถึง พ.ศ.๒๕๑๐ ได้เข้าศึกษาหลักสูตร นายสิบอาวุโส สอบได้ที่ ๑๑ และ พ.ศ.๒๕๑๑ ได้สอบคัดเลือกเพื่อเลื่อนเป็นนายทหารได้ที่ ๑ จากจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด ๒๐๐ ราย และผู้ที่มีสิทธิ์จะได้เลื่อนยศเป็นนายทหารสัญญาบัตรนั้น ทางกองทัพบกบกกำหนดให้ทหารสื่อสี่เลื่อนได้ในปีนั้น เพียง ๕ คน ที่ ๑ ถึงที่ ๕ เท่านั้น

ผู้ที่ได้เลื่อนเป็นนายทหารนั้น จะรับเงินเดือนชั้นเดิม ซึ่งอยู่ในระดับร้อยตรีทั้งนั้น เว้นแต่ผมเองได้ปรับเงินเดือน เมื่อก่อนสอบอยู่ในระดับร้อยโท กองทัพบกจึงให้ติดยศร้อยตรีเพียง ๖ เดือน แล้วก็เลื่อนเป็น ร้อยโท ได้เลย

อนาคตที่ว่าเห็นอย่างเลือนรางนั้น จึงได้ค่อยแจ่มชัดขึ้น ว่าอย่างน้อยก็เกษียณอายุ ไม่ต่ำกว่า ร้อยเอก อย่างแน่นอน

ถึง พ.ศ.๒๕๑๒ ได้เงินเดือน ร.ท..อันดับ ๑ ชั้น ๖ (๑๑๕๐ บาท) และต่อไปก็ได้เลื่อนเงินเดือนปีละขั้น จนถึง พ.ศ.๒๕๑๖ ได้รับเงินเดือน ร.อ.อันดับ ๑ ชั้น ๑๐ (๑๕๘๐ บาท) ติดยศร้อยเอกเมื่อ อายุ ๔๒ ปี ยังมีเวลาราชการเหลืออยู่ ๑๘ ปี

ในด้านงานเขียนหนังสือ จาก พ.ศ.๒๕๑๑จนถึง พ.ศ.๒๕๒๑ มีผลงาน ๕๓ ชิ้น

แต่ร่างกายทรุดโทรม เพราะงานกล้องเป็นงานหนักมาก โรคเก่าคือไส้เลื่อนซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด และได้รับการผ่าตัดข้างขวาครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ ก่อนที่จะเป็นนักเรียนนายสิบ ได้กำเริบจนทำงานไม่ไหว จึงขอลากลับมารับราชการทางกรมการทหารสื่อสาร เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ เป็นประจำกองกำลังพลตามเดิม และได้รับการผ่าตัดข้างซ้ายเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ จนเป็นปกติ

พ.ศ.๒๕๑๙ ขณะที่เป็น ร้อยเอก รับเงินเดือนเต็มขั้น ก็ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการ สถานีโทรทัศน์กองทัพบก สนามเป้า ช่อง ๕ ในปัจจุบัน ในตำแหน่ง รองหัวหน้าฝ่ายกำลังพล ททบ. ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้บริหารที่มีอาวุโสน้อยที่สุด แต่ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ ก็ได้รับเงินเดือน พ.ต.อันดับ ๑ ชั้น ๑๕ (๒๖๘๐ บาท) และติดยศ พันตรี เมื่อ ๑ ต.ค.๒๑

ส่วนในด้านงานเขียนก็ครบรอบ ๓๐ ปี มีผลงานสู่สาธารณชนอีก ๕๔ ชิ้น ขณะนี้ผลงานที่ได้รับการลงพิมพ์แล้วรวม ๑๓๕ ชิ้น

เมื่อได้รับตำแหน่งผู้บริหารงานก็เบาลง แต่ได้เบี้ยเลี้ยงมากขึ้น เทียบเท่าอัตราที่ได้รับทางกรมการทหารสื่อสาร แสงสว่างที่ว่าเรืองรองนั้นก็สว่างจ้าขึ้น ความขาดแคลนที่มีมาตลอดเวลา ๔๐-๕๐ ปี ก็หายไป มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย กับครอบครัว ซึ่งได้แต่งงานตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๗ เมื่อมียศ จ่าสิบเอก และภรรยาเป็น สิบเอกหญิง เสมียนในกองกำลังพลนั่นเอง มีลูกชาย ๓ คน แต่คนแรกเสียชีวิตตั้งแต่อายุได้ ๖ วัน คงเหลือ ๒ คน คนโตอายุ ๑๓ ปี คนหลังอายุ ๙ ปี และมีความหวังว่าคงจะไม่กลับไปมีชีวิตยากจนข้นแค้นเหมือนเมื่อ ๕๐ ปีก่อนอีกแล้ว

ก่อนจะครบรอบ ๑๐ ปีที่ ๔ ของการเขียนหนังสือ ถึง พ.ศ.๒๕๒๘ ได้รับเงินเดือน พ.ท.ระดับ น.๓ ชั้น ๗ (๙๓๘๕- ๗๑๐) และเลื่อนยศเป็น พันโท และเมื่อครบรอบ ๔๐ ปีของการเขียนหนังสือ พ.ศ. ๒๕๓๑ ก็มีผลงานอีก ๓๙ ชิ้น รวม ๑๗๓ ชิ้น

และเมื่อถึง พ.ศ.๒๕๓๓ สิ่งที่มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น โดยได้รับการส่งชื่อเข้าคัดเลือกเพื่อเลื่อนเป็น พันเอก และได้รับอนุมัติจาก กองทัพบก เป็นรุ่นแรกของนายทหารที่ไม่ได้มีปริญญา จึงได้รับเงินเดือน พ.อ.ระดับ น.๔ ชั้น ๑๓ (๑๘๑๐๐ – ๗๑๐) และเลื่อนยศเป็น พันเอก โดยได้แต่งเครื่องแบบสวมหมวกมีช่อชัยพฤกษ์ อยู่เพียง ๒ ปี พอถึง พ.ศ.๒๕๓๕ ก็ครบเกษียณอายุราชการ รับบำนาญสังกัด มณฑลหารบกที่ ๑
ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ โดยมีอายุจริง ๖๑ ปีกับ ๖ เดือน และได้รับเงินเดือนแถมอีก ๑ ชั้น สำหรับคำนวนบำนาญด้วย

ในด้านงานเขียนขณะที่ออกจากราชการ มีเรื่องได้รับการพิมพ์ ถึงเดือน ตุลาคม ๒๕๓๕ ซึ่งครบรอบ ๔๔ ปี รวม ๒๔๐ ชิ้น

.ถ้าจะนับว่าการเกษียณอายุราชการในยศ พันเอก เป็นจุดสูงสุดของการรับราชการ ผมก็ได้มาถึงจุดสุดยอดของพลทหารกองประจำการที่สามารถจะขึ้นมาถึงได้แล้ว ส่วนงานเขียน คงยังมีต่อไปอีกจนกว่าจะหมดแรงหรือตายไหก่อน.

เมื่อหมดห่วงเรื่องราชการแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือต่อไป เพราะได้วางแผนไว้ก่อนที่จะเกษียณ ว่าจะเอานิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก ของท่าน เจ้าพระยาพระคลัง (หน) มาเรียบเรียงให้เป็นสามก๊ก ฉบับลิ่วล้อ ใช้นามปากกา “เล่าเซี่ยงชุน” ยัดเยียดเข้าไปแทรกในตลาดหนังสือให้ได้ และได้ลงมือตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๔ จนถึง พ.ศ.๒๕๔๑ ครบรอบการเขียนหนังสือ ๕๐ ปี อายุ ๖๗ ปี ได้รับการจัดพิมพ์สามก๊กฉบับลิ่วล้อ โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ได้ค่าตอบแทนมากที่สุดจนแทบไม่น่าเชื่อ เช่นเดียวกับการได้ยศพันเอกในทางทหาร

สามก๊ก ฉบับลิ่วล้อ เรียบเรียงใหม่จาก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) โดย “เล่าเซี่ยงชุน” จำนวน ๓ เล่ม เล่มที่ ๑ จำนวน ๒๖ ชุด รวม ๔๐ ตอน เล่มที่ ๒ จำนวน ๒๓ ชุด รวม ๓๔ ตอน เล่มที่ ๓ จำนวน ๑๘ ชุด รวม ๓๖ ตอน รวมทั้งสิ้น ๖๗ ชุด ๑๑๐ ตอน

ชีวิตของผมทั้งทางราชการ และส่วนตัวได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ทั้งสองด้าน เหมือนตัวทากจากพื้นดิน ที่ค่อย ๆ ไต่ขึ้นกำแพงอย่างช้า ๆ ไม่เคยหยุดพัก และไม่เคยถอยหลัง มีแต่คืบหน้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ย่อท้อ แม้จะไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เมื่อถึงอายุ ๖๗ ปี ก็บรรลุถึงที่หมายปลายทาง เหมือนนิทานชาดกเรื่องพระชนก

ตามธรรมดาเมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วก็จะต้องค่อย ๆ ลดต่ำลง แต่ในการเขียนหนังสือของผมแล้ว ยังคงเดินหน้าต่อไป เขียนโดยมิได้มุ่งหวังสิ่งอื่นใด นอกจากการได้ทำในสิ่งที่รักและหลงใหลมาแต่วัยเด็ก และจะทำไปจนกว่าจะสิ้นแรง หมดกำลัง และขาดลมหายใจ.

บันทึกนี้เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๖ พอถึง พ.ศ.๒๕๕๗ ก็ได้รับรางวัล นราธิป จาก สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นเกียนติอันสูงสุด ในชีวิตของนักเขียนคนยาก ที่อุตสาหะบากบั่น ในการเขียนหนังสือมาตลอดเวลา กว่า ๖๐ ปี ดังได้เล่าไว้ในบันทึก เรื่อง หกสิบปีในถนนนักเขียน แล้ว.

##############

ถนนนักเขียน เวปพันทิป
กรกฎาคม ๒๕๕๖
อายุ ๘๒ ปี ๔ เดือน

เพิ่มเติมเมื่อ มีนาคม ๒๕๕๙
อายุ ๘๕ ปี บริบูรณ์




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2558    
Last Update : 26 ธันวาคม 2558 16:46:45 น.
Counter : 472 Pageviews.  

จดหมายถึงหมอ

จดหมายถึงหมอ


เมื่อ ๒๖ พ.ย.๕๘ ไปหาหมอคลีนิคผู้สูงอายุเจ้าเก่า โดยกำลังเป็นไข้หวัดอย่างหนัก
เกรงว่าจะไปไอรดหมอเสียก่อนที่จะเล่าอาการจบ จึงเขียนเป็นจดหมายติดมือไปด้วย ดังนี้











 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2558 16:32:47 น.
Counter : 721 Pageviews.  

บันทึกของพ่อ

บันทึกของพ่อ

๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘

เรื่องของลูก

เมื่อหลาน ออกัส เกิด ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ได้เขียนหนังสือชื่อ เรื่องของ ออกัส เก็บไว้ให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด เมื่อเขารู้ความ หรืออ่านหนังสือออกแล้ว ส่วนอัลบั้มภาพนั้น ทำแล้วก็เหนื่อย เพราะพ่อของเขา ถ่ายรูปไว้มากมายเหลือเกิน เลือกไม่ไหว

วันนี้เจอภาพแป๋งเมื่ออายุ ๗ วัน แม่อี๊ดกำลังห่อตัวจะกลับบ้าน ซึ่งแป๋งบอกว่า ไม่เห็นภาพนี้เลยมาตลอด ๕๐ ปี พ่อก็ไม่รู้ว่าอยู่ในอัลบั้มเล็ก ๆ เมื่อทำประวัติของแป๋งและป๋อ ด้วยภาพตั้งแต่เกิด จนอายุ ๑๔ ปี นั้น ก็ไม่ได้นึกถึงภาพนี้ จึงหยิบอัลบั้มภาพประวัติของแป๋ง มาพลิกทบทวนดู เล่มนี้ยังอยู่ที่พ่อ เพราะแป๋งไม่มีครอบครัว เป็นของตนเอง ไม่เหมือนป๋อที่ให้เขาไปแล้วเขาก็เอาไปเป็นแบบอย่าง ในการทำอัลบั้มของ ออกัส ด้วย

เมื่อพลิกดูภาพของแป๋งในอดีตหมดเล่มแล้ว ก็คิดจะเขียน เรื่องของลูก ให้เป็นประวัติแรกเกิด เช่นเดียวกับเรื่องของหลาน ซึ่งตนเองก็จำไม่ได้แล้ว ต้องอาศัยบันทึกที่ยังมีเหลืออยู่ก้นลิ้นชัก และเมื่อจะเขียนประวัติของลูกแล้ว ก็ต้องนึกถึง ป๋อง ลูกชายคนแรก ซึ่งประวัติตลอดชีวิต ๖ วันของเขา ได้เป็นเรื่องสั้นมานานแล้ว ชื่อ ลูกของเรา จะได้เอามาปะหน้า เป็นเรื่องราวของ พี่น้องสามคน สกุล นิมิปาล สาขา สวนอ้อย ต่อไปในอนาคต

ลูกคนแรก วรพจน์ (ป๋อง) นิมิปาล เกิดเมื่อ ๑๐ กันยายน ๒๕๐๗

คนที่สอง วรพล (แป๋ง) นิมิปาล เกิดเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๘

คนที่สาม วรพันธ์ (ป๋อ) นิมิปาล เกิดเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๑๒



ลูกของเรา (๑)

วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ผมจำได้อย่างแม่นยำไม่มีวันลืมเลือน มันเป็นวันที่สำคัญ ที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม ผู้ซึ่งไม่ค่อยจะมีวันสำคัญเท่าใดนัก

วันนั้นผมกลับจากงาน ที่ต้องเข้าเวรกลางคืน ถึงบ้านเกือบสี่ทุ่มจึงได้ทราบว่า แม่ไปโรงพยาบาลแล้ว นึกไม่ถึงจริง ๆ คิดว่าจะไปราวกลางเดือน มัวแต่วุ่นอยู่กับงานในหน้าที่ทั้งกลางวันกลางคืน จนลืมเรื่องนี้เสียได้ ดีแต่น้องสาวอยู่ที่บ้าน จึงได้พาแม่ไปส่งที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อตอนเย็นวันนี้เอง จะไปเยี่ยมก็ไม่ได้ เพราะเลยเวลาไปนานแล้ว

แม่กำลังจะคลอดลูก ซึ่งเป็นลูกคนแรกของเรา ผมเฝ้ารอวันนี้มาเป็นเวลาร่วมเก้าเดือน รอคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ก็ได้ตั้งชื่อไว้ให้แล้ว ทั้งชื่อจริงชื่อเล่น แม้ว่าจะอยากได้ลูกผู้ชายเป็นคนหัวปีตามทัศนะของคนหัวโบราณ แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่า เป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นเพื่อนแม่เมื่อโตขึ้น และจะได้ช่วยแม่เลี้ยงน้องด้วย ผมคิดเรื่อยเจื้อยไปในขณะที่นอนไม่หลับ จะเป็นลูกหญิงหรือลูกชาย พ่อก็รักเจ้าเท่ากันนั่นแหละ ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูก ให้คลอดง่าย และมีร่างกายสมบูรณ์ก็พอใจแล้ว

รุ่งขึ้นผมโผล่เข้าไปในโรงพยาบาลแต่เช้า ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานกัน เขาจึงไม่อนุญาตให้เข้าไปเยี่ยม ได้แต่ข่าวว่าเป็นลูกชายคลอดเมื่อเวลาสามทุ่มเศษและแม่สบายดี เท่านั้นหัวใจก็พองโตด้วยความชื่นใจ ความวิตกกังวลเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งมีอยู่ตลอดคืนที่ผ่านมา ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น สามารถที่จะเดินยิ้มออกมาได้ อย่างสบายอารมณ์ ผู้คนในท้องถนนดูหน้าตาแจ่มใสไปเสียทั้งนั้น ขอขอบคุณสวรรค์ที่บันดาลให้มีการเกิด ขอบคุณหมอและพยาบาลที่ช่วยเหลือแม่ผู้ไม่ประสีประสา และขอบคุณแม่ที่ให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งทำให้ผมมีความสุขและความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณเจ้าหนูน้อยที่ช่วยให้แม่ไม่ต้องเจ็บปวดนานจนเกินไปด้วย รีบคลอดออกมาในเวลาเพียงไม่ถึงห้าชั่วโมง หลังจากที่แม่เจ็บท้อง

ตอนเที่ยงจึงได้เห็นหน้าลูก ตัวเล็กนิดเดียวยาวแค่ศอก หัวเถิกมาทางพ่อ ปากเชิดก็มาทางพ่ออีก ไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนแม่ เขาห่อผ้าอ้อมนอนเงียบอยู่ข้างแม่ ไม่ร้องไม่กวน คงจะเป็นเด็กดีแน่ แม่ยิ้มอย่างอ่อนแรงเมื่อเห็นหน้าผม ทุกสิ่งทุกอย่างดู เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นห่วง

ผมเดินผ่านศาลอันเป็นที่สักการะบูชา ของคนไข้ในโรงพยาบาล เห็นมีพวงมาลัยห้อยอยู่เต็มไปหมด ผู้คนก็เข้าออกตลอดเวลา คงจะมาบนบานขอความคุ้มครอง ให้พ้นจากความเจ็บไข้ได้ทุกข์ หรือไม่ก็มาแก้บนเมื่อพ้นทุกข์แล้ว ผมกำลังมีความสุขจึงยืนคารวะอยู่แต่ภายนอก แล้วก็กลับไปทำงานด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น

แต่พอวันที่สอง ความสุขนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป เมื่อได้ทราบว่าลูกไม่สบาย ต้องส่งไปให้หมอเด็กตรวจ เพราะหายใจไม่ค่อยสะดวก ปอดก็ไม่ค่อยแข็งแรงจึงต้องฉีดยาทุกหกชั่วโมง ชักไม่ค่อยแน่ใจในความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ลูกหายโดยเร็วเถิด จะได้กลับไปอยู่บ้านของเรา

ถึงวันที่สาม อาการของลูกดีขึ้น พยาบาลบอกว่าตัวไม่ร้อน แต่ไม่ยอมดูดนมแม่ ต้องใช้วิธีหยอด และเขาไม่ให้นอนกับแม่แล้ว แยกไปนอนในห้องอบ ผมแอบมองผ่านทางหน้าต่างกระจก เห็นแต่ใบหน้าที่ซีดเซียวหลับตาอยู่ตลอดเวลา ผมยืนดูลูกอยู่เป็นเวลานานนับชั่วโมง ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย อยากจะให้ขยับตัวออกฤทธิ์เดช หรือร้องไห้ให้แสบแก้วหูจนหน้าตาแดง จะดีกว่านอนเฉยอยู่อย่างนี้ ดูแล้วเกิดความรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก

เช้าวันที่สี่ ใจซึ่งเหี่ยวแห้งอยู่แล้วยิ่งหดหู่ลงไปอีก เมื่อได้ทราบว่าเขาส่งตัวลูกชายไปตึกกุมารเวชกรรม ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะหอบมากขึ้นต้องให้อ็อกซิเจน เขาแยกไปก็เพื่อจะได้รักษาอย่างจริงจัง แสดงว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว สุดที่จะทำใจได้ เมื่อเห็นลูกนอนอยู่บนเตียง เล็ก ๆ มีลูกกรงล้อมรอบ เนื้อตัวเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง ให้ทั้งเลือดและน้ำเกลือ เส้นเลือดก็เล็กนิดเดียว เล็กกว่าสายที่ส่งน้ำเกลือนั้นเสียอีก เกือบเท่ากับเข็มที่แทงใกล้ขมับและหลังมือ มีเชือกผูกทั้งข้อมือข้อเท้า กันไม่ไห้ดิ้นจนเข็มหลุด ได้แต่อ้าปากร้องด้วยเสียงอันแหบแห้ง ผมแทบจะหมดแรงยืนทรงกายอยู่ได้ ทำไมลูกจึงโชคร้ายถึงเพียงนี้ เพิ่งจะเกิดมาได้แค่สี่วันเท่านั้น ยังไม่ได้ทำบาปกรรมอันใดเลย

หมอที่ทำการรักษาบอกว่า โลหิตเป็นพิษต้องถ่ายเลือดให้ลูก และให้ผมไปถ่ายโลหิตพรุ่งนี้ เขาบอกว่าเลือดของผมดีที่สุดในโลก ก็ไม่ได้ว่าอะไรจะให้ทำอย่างไร ก็ทำได้ทั้งนั้น แม้จะสูบเลือดออกจนหมดตัว ขอเพียงแต่ให้ลูกหายจากโรคอันร้ายกาจนี้ โดยเร็วที่สุดก็แล้วกัน

ผมเดินออกมาด้วยความรู้สึก ที่อัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เดี๋ยวนี้ลูกก็อยู่ในมือของนายแพทย์และพยาบาล ซึ่งมีทั้งหยูกยาและเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยที่จะช่วยรักษาชีวิตคนไข้พร้อมมูลอยู่แล้ว ผมหมดปัญญาที่จะทำอะไรได้อีก ไม่มีที่พึ่งอื่นใดที่จะขอให้ช่วยชีวิตลูกของผมอีกแล้ว นอกจากจะกราบไหว้วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอได้โปรดช่วยอย่าให้ลูกต้องเจ็บปวดทรมานไปนานนักเลย ถ้าไม่สามารถที่จะอยู่ได้ ในโลกอันแสนจะสกปรกใบนี้ ก็ขอให้หนีไปเสียโดยเร็วเถิด ผมคงจะทนได้แม้ใจแทบจะขาด แต่ก็จะต้องทนให้ได้

วันที่ห้าผมมานอนให้เขาถ่ายเลือด ที่ตึกข้างเคียงกับที่ลูกนอนป่วยวอยู่นั้น ผมลืมตา มองเพดานห้องคิดวนเวียนไปมา ถึงเรื่องราวร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับลูก และครอบครัวของเรา ก็นึกไม่ออกเลยว่าได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเลวร้าย เป็นเวรเป็นกรรมเมื่อใด และอย่างไร จึงต้องได้รับผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนถึงเพียงนี้ เลือดแต่ละหยดที่ได้ไหลออกจากร่างกายของผมลงไปในขวดนั้น ดูช่างกินเวลานานเหลือเกิน นานพอ ๆ กับแต่ละหยดที่ไหลตามสายยางเข้าไปในร่างกายของลูก แม้ว่ามันจะช่วยรักษาชีวิตของลูก แต่มันก็แสนจะทรมานหนักหนา

เลือดของผมเป็นหมู่โอ ของลูกเป็นหมู่บี ซึ่งพอจะใช้กันได้ แต่ครั้นเอาเข้าจริงปรากฎ ว่าลูกไม่ต้องใช้แล้ว หมอเอาสายอ็อกซิเจน สายน้ำเกลือ และสายที่ถ่ายเลือด ออกจากตัวหมดแล้ว ผมมองดูด้วยสายตาตนเองว่ามีอาการดีขึ้น เพราะลูกนอนหายใจเบา ๆ ไม่หอบตัวโยนเหมือนเมื่อวาน อาจจะพ้นอันตรายแล้วก็ได้ ผมปลอบใจตนเอง ด้วยความหวังที่ริบหรี่เต็มที

วันนี้หมอตึกคลอดให้แม่กลับบ้านได้ จึงเล่าอาการของลูกให้ฟัง เพราะเมื่อวันก่อนผมได้แต่อ้อมแอ้มว่าไม่มีอะไรมาก และก่อนจะออกจากโรงพยาบาล ก็พาไปแวะดูลูกพักหนึ่ง นับว่าเป็นโชคดีของแม่ ที่ไม่ต้องเห็นภาพอันน่าสงสารอย่างที่ผมได้เห็นเมื่อวันก่อน แต่ก็ยังไม่วายน้ำตาไหล อยากจะอุ้ม อยากจะกอดลูก แต่ก็จำต้องฝืนใจกลับไปนอนที่บ้านคนเดียว โดยไม่มีลูกให้ใครได้ชื่นชมเหมือนคนอื่น ที่เขามาคลอดลูกกันทั่วไป

แล้วก็ถึงวันที่หก ผมมาเยี่ยมลูกแต่เช้า ปรากฎว่าไม่มีลูกนอนอยู่ที่เตียงซึ่งเคยนอน มันว่างเปล่าเหมือนหัวใจของผม พยาบาลบอกว่าลูกตายเมื่อหกโมงครึ่งเช้านี้เอง ฟังดูเหมือนเขาพูดกับคนอื่น เหมือนไม่ได้บอกกับผม หูได้ยินเพียงแว่ว ๆ แต่ใจไม่อยากรับรู้ ประสาทชาไปหมดทั้งร่าง

จบสิ้นกันไปแล้ว ชีวิตที่สั้นแสนสั้น ลูกชายคนหัวปีที่ใฝ่ฝัน เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานาน แต่ได้เห็นหน้ากันเพียงห้าวัน ชีวิตกระจิดหริดนั้นบริสุทธิ์สะอาดหมดจด ยังไม่เคยได้ก่อกรรมทำเวรอะไรกับใครเลย แต่โลกไม่ต้องการ ไม่ต้อนรับ แล้วยังทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนสุดที่จะทนทานไหว จิตใจของผมชอกช้ำยับเยินเพียงไหน หัวใจของแม่ก็ยิ่งเพิ่มเป็นร้อยเท่าพันทวี

ผมมอบให้ทางโรงพยาบาล นำศพลูกไปผ่าตัดเพื่อวิเคราะห์โรค และก็ได้ทราบผลในภายหลังว่า มีเนื้องอกเกาะอยู่ที่ปอด ทำให้การหายใจขัดข้อง โลหิตจึงได้เป็นพิษ ไม่มีทางที่จะรักษาได้ นอกจากการผ่าตัด ซึ่งย่อมจะทำไม่ได้กับทารกตัวแค่นี้

ทุกสิ่งทุกอย่างได้สิ้นสุดลงโดยรวดเร็ว เหมือนท้องทะเลในวันที่อากาศกำลังแจ่มใส แล้ว จู่ ๆ เมฆก็มืดครึ้มพายุพัดกระหน่ำ ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา น้ำหลากท่วมพัดบ้านเมืองพังพินาศ

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดเงียบหายไป ทิ้งแต่ร่องรอยปรักหักพังเอาไว้เบื้องหลัง ทะเลก็กลับเป็นท้องน้ำที่ราบเรียบ เขียวใสอย่างเดิม เหมือนที่ได้เคยเป็นมาชั่วนิรันดร

หยดน้ำเม็ดเล็ก ๆ ร่วงลงบนหน้ากระดาษสมุดบันทึก ซึ่งเคยมีรอยหยดน้ำตา ซึมอยู่เดิมแล้ว ๓ - ๔ ดวง ผมปิดสมุดบันทึกคร่ำคร่านั้นลงอย่างทนุถนอม

ผมจำวันสุดท้ายนั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่มีลืมเลือน มันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม

แม้เวลาจะล่วงเลยมานานกว่าสามสิบปีแล้วก็ตาม.









ลูกของเรา (๒)

๑๖ ก.ย.๐๘

วันนี้ตื่นแต่เช้า ใส่บาตร ๓ องค์ อุทิศส่วนกุศลให้ป๋อง เมื่อคืนนี้คิดถึงลูกมาก เช้านี้หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่าน หลังจากที่เก็บไว้ในตู้ ๑ ปีเต็ม ๆ ยิ่งคิดถึงลูกมากขึ้นอีก ลูกรัก พ่อและแม่คิดถึงเจ้าเสมอ ขณะนี้เจ้าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ขอให้ลูกมีความสุข

ขณะนี้แป๋งอยู่ในท้องแม่ได้ ๖ เดือนกว่าแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถึงอย่างไรพ่อและแม่ ก็เตรียมรักเจ้าแล้วละ

๒๐ พ.ย.๐๘
๑๐๓๐ วารีไปโรงพยาบาลอีกแล้ว สุพินกับขันทองไปส่ง เราตามไปติด ๆ ตกลงเขารับไว้แต่ยังไม่มีห้องว่าง
๑๗๓๐ ได้ห้องแล้ว ยังไม่คลอดแต่เจ็บท้องอยู่เรื่อย แป๋งเอ๊ยอย่าช้านะลูกนะ พ่ออยากเห็นหน้าเจ้าเต็มทีแล้วละ
๒๑๕๐ ได้รับโทรศัพท์จากวชิรพยาบาล บอกว่าวารีคลอดลูกแล้ว เป็นผู้ชาย ทั้งแม่ลูกสบายดี ขอบคุณ ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ช่วยให้วารีและลูกปลอดภัย
๒๓๕๕ กลับมาถึงบ้านบอกข่าวดีแก่สุพิน และคุณน้าแล้ว ทุกคนคงหลับต่ออย่างสบายใจ รวมทั้งพ่อด้วย บอกไม่ถูกหรอกว่าดีใจสักแค่ไหน ขอให้โชคดีนะลูกนะ

๒๑ พ.ย.๐๘
อยากเห็นหน้าลูกใจจะขาด แต่เกรงใจข้อบังคับของโรงพยาบาล ถึงได้ไปสายตั้งสองโมงครึ่ง ได้เห็นหน้าลูกเหมือน...เหมือนอะไรก็ไม่รู้ที่วิเศษที่สุดในโลก อย่าว่าแต่พ่อเลยแม่ของเจ้าก้เถอะ เห็นหน้าลูกแล้ว หน้าตาแจ่มใสเหมือนไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานมาตั้งครึ่งค่อนวันเลย แป๋งลูกรัก เจ้าเป็นเด็กดีมาก ขอให้พ่อได้บันทึกไว้ตรงนี้ก่อน

ด.ช.วรพล นิมิปาล น้ำหนัก ๓๓๐๐ กรัม เกิดเมื่อ ๒๐ พ.ย.๐๘ เวลา ๑๙๔๐ ตรงกับวันเสาร์ ตรงกับวันแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะเส็ง
ขอให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุข และเป็นเด็กดีต่อไปในภายหน้า

พยาบาลเขาบอกว่า แป๋งหน้าเหมือนอาสุพิน งั้นก็เหมือนพ่อน่ะซี แต่หูไม่ยักกาง พ่อดูไม่รู้หรอกว่าเหมือนใคร แต่เชื่อว่าเหมือนป๋องมากที่สุด แต่ตัวแดงกว่า แล้วก็ร้องดังกว่าด้วย
พ่อและแม่ดีใจมากที่ลูกแข็งแรงดี

๒๒ พ.ย.๐๘
วันนี้ลูกสบายดี แม่เขาก็แจ่มใส อุ้มลูกมาเชยชม แล้วก็ให้กินนม หยอกล้อต่าง ๆ นานา เหมือนกับว่าลูกโตเสียเต็มที พ่อมองดูแล้วก็ชื่นใจอยู่ห่าง ๆ เพราะอุ้มไม่เป็น ลูกเพิ่งเกิดมาได้ ๒ วัน จัวยังเล็กแล้วก็แบบบางเหลือเกิน กลัวว่าจับแล้วจะบุบบิบไปเสียหมด เจ้าก็เอาแต่นอนท่าเดียว ไม่งั้นก็กินนม หิวขึ้นมาก็คว้าอะไรได้ก็ดูดหมด พ่อชอบมองลูกอยู่ห่าง ๆ เห็นลูกนอนอยู่นิ่ง ๆ ก็อยากจะให้ลูกทำอะไรต่ออะไรอย่างอื่นเสียบ้าง ครั้นพอตื่นขึ้นมาร้องจ้า ก็ไม่ชอบอีก ใจไม่ดีจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ นึกดูก็คงแปลก ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะว่า พ่อไม่เคยรักใครเท่านี้มาก่อนเลยกระมัง ความรูสึกรักใคร่ห่วงใยอย่างลึกซึ้งนี้ ลูกทุกคนในโลกนี้ ไม่มีวันจะรู้และเข้าใจได้เลย จนกว่าเขาจะมีลูกของเขาเองบ้างเท่านั้น

๒๓ พ.ย.๐๘
ตอนเช้าไปเยี่ยมลูก เอามืออังตัวดูรู้สึกว่าร้อนหน่อย ๆ แม่เขาว่าบอกพยาบาลแล้วไม่เป็นไร ตอนเย็นกลับมาดูใหม่ ปรอทลดลงกว่าเมื่อเช้า แต่เขาว่าไม่ค่อยสบายเสียแล้ว ท่าจะเป็นหวัด พ่อไม่ชอบใจเลย เขาฉีดยาลูกพ่ออีกแล้ว ไม่ชอบที่สุดในโลก ได้ยินเสียงลูกร้องเวลาพยาบาลฉีดยา ใจมันจะขาด หมอเขาบอกว่า เด็กเล็ก ๆ อย่างนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า ตัวร้อนเป็นหวัด แล้วก็ท้องเสีย สลับกันไปจนกว่าจะโต

ขอบคุณที่ช่วยปลอบใจ แต่พ่อไม่เคยเลี้ยงลูก หรือไม่เคยเลี้ยงเด็กมาเลย จึงไม่สบายใจเอา
มาก ๆ ทีเดียว กลับมาบ้านเปิดบันทึกของป๋องดูแล้ว อยากจะบ้าเสียให้ได้
แป๋งลูกรัก พรุ่งนี้ต้องหายนะ

๒๔ พ.ย.๐๘
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย เป็นห่วงลูก แต่ตอนเช้าได้เห็นหน้าแล้ว ก็ค่อยคลายใจ ลูกยังคงดูเป็นปกติอยู่ ตัวร้อนนิดหน่อย หมอยังคงฉีดยาให้ แต่เชื่อว่าคงไม่เป็นอะไรมากนัก ถึงเวลากินก็กินได้ ถึงเลานอนก็หลับดี พ่อก็ดีใจ และจะดีใจมากที่สุด ถ้าเขาเลิกฉีดยาลูก

๒๕ พ.ย.๐๘
แป๋งสบายขึ้นมาก ไช้ลดลงแล้ว โดยทั่วไปไม่รู้สึกว่าไม่สบายเลย แต่ปรอทยัง ๙๙ องศา จึงยังต้องอยู่โรงพยาบาลต่อไปอีกสักวัน คงจะกลับบ้านได้ในเย็นวันพรุ่งนี้ หรือเช้าวันที่ ๒๗ พ.ย.

แป๋งดูดนมแม่ไม่ได้ เพราะหัวนมแตกเป็นแผลต้องทายา จึงใช้ขวดนมของพยาบาล แม่เขาว่ากินจุมาก เขากะให้สามชั่วโมงต่อครั้ง ปรากฏว่าร้องก่อนถึงเวลาเสมอ กินแล้วก้ถ่าย แล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาก็ร้องกินอีก สลับกันไปตลอดวันตลอดคืน ตอนนี้ไม่ว่าอะไรหรอก อยากกินเท่าไรก็กินเข้าไป จะได้โตเร็ว ๆ และแข็งแรงมากขึ้น พ่อแม่ก็จะได้สบายใจ

๒๖ พ.ย.๐๘
วันนี้ไปรับแป๋งกับแม่ของเขากลับบ้านวัดแก้วฟ้า ตั้งแต่เวลาประมาณห้าโมงเย็นเมื่อถึงบ้าน คุณตาและคุณยายทวด ได้ต้อนรับและผูกข้อมือเป็นศิริมงคล
แล้วก็เริ่มเลี้ยงดูแป๋งกันเป็นโกลาหล นอกจากอี๊ดแล้ว นอกนั้นคือ พ่อ แม่ และน้า ๆ พี่ ๆ ของแป๋งไม่มีใครมีความรู้การเลี้ยงเด็กเลย จึงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจไม่น้อง แต่ทุกคนก็ร่วมมือกันด้วยความเต็มใจ เพราะทุกคนต่างก็รักแป๋งด้วยกันทั้งนั้น
ใคร ๆ พากันมาเยี่ยมเยียน และทุกคนก็ยินดีที่จะรับแป๋งไว้ในครอบครัว ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง

๒๗ พ.ย.๐๘
เมื่อคืนไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แป๋งท้องเสียถ่ายเป็นน้ำใส เช้าพ่อจึงรีบมาปรึกษาหมอที่โรงพยาบาลโดยด่วน หมอให้ยามา ๓ ขนาน และบอกว่าคงไม่เป็นอะไรมาก เพราะเด็กอ่อนต้องเป็นกันทุกคน แต่ก็ไม่มีใครสบายใจเลย

๒๘ พ.ย.๐๘
เมื่อคืนต้องตื่นมาดูแป๋งทุก ๒ ช.ม.ให้กินยาที่หมอให้มาแล้ว อาการทางท้องเสียดค่อยยังชั่วขึ้น ถ่ายค่อยห่างลง และมีเนื้อไม่โจ๋งอย่างครั้งแรก แต่มีอาการไม่ดีคืออาเจียน ทานยาและทานนมแล้ว อีกไม่นานก็อาเจียน บางครั้งหิวอย่างมากมาย แต่พอให้ดูดนมไปสัก ๑๐ กว่า c.c.ก็หยุด ทำท่าจะอาเจียน ต้องช่วยกันประคับประคองแทบแย่ ตอนใกล้สว่างจึงค่อยยังชั่วขึ้นบ้าง ไม่อาเจียนแต่กินนมได้น้อย เพราะมีทีท่าแสดงว่าเกิดอาการไม่ดีในท้อง ทุกครั้งที่มีอะไรตกถึงท้อง ต้องรีบมาปรึกษาหมออีก หมอให้ยามากินอีก ๒ ขนาน เป็นยาแก้อาเจียนโดยตรง ทั้งกำชับว่าถ้าพรุ่งนี้ยังอาเจียน หรือกินนมไม่ได้ ให้ให้พาตัวไปให้หมอตรวจ

ลูกเอ๋ยทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้ อยู่โรงพยาบาลก็ไม่เป็นอะไรมาก พอกลับบ้านก็ไม่สบายตองกินยาถึง ๕ ขนาน พ่อกับแม่แสนจะกลุ้ม ใคร ๆก็พากันเป็นห่วงอาจเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์บางอย่าง ของพ่อและแม่ในการเลี้ยงเจ้า ก็เป็นได้ แต่เราก็พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว เพราะเจ้าเป็นลูกสุดที่รักของพ่อและแม่ เป็นแก้วตาก็ว่าได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องพยามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้ลูกหาย ไม่ว่าจะต้องอดตาหลับขับตานอน สักเพียงใด
แป๋งลูกรัก ขอให้ลูกโชคดี รีบ ๆ หายเสีย อย่าให้ถึงต้องกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกเลย ใจพ่อแม่จะขาดเสียก่อน

๒๙ พ.ย.๐๘
วันนี้อี๊ดมาเยี่ยมแป๋ง และตกลงใจเลิกกินยาจากโรงพยาบาล เพราะรู้สึกว่าไม่ดีขึ้น กลับไปใช้ยาไทยของหมอคง หมอรักษาโรคเด็กที่อี๊ดแนะนำ เพราะลูกของเขาก็ใช้ยานี้มาก่อน ก็เห็นจะต้องลองดู เพราะเขาแนะนำด้วยความหวังดีเป็นอย่างยิ่ง เราแน่ใจว่าเขาหวังดีต่อเราอย่างมากมายที่สุด และเป็นเวลานานมาแล้ว ถ้าเป็นโชคดีของแป๋ง และพ่อกับแม่ด้วย อาจจะถูกกับยาเหล่านี้ก็ได้

๒ ธ.ค.๐๘
ตัดสินใจพาแป๋งไปโรงพยาบาลมิชชั่น เพราะอาการไม่ดีขึ้นเลย กินยาโรงพยาบาลวชิระมา ๒ วัน และกินยาไทยมาอีก ๓ วัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างคงเป็นไปเหมือนเดิม มีอาการท้องเสียถ่ายเหลวมาก และถ่ายบ่อย เมื่อมีอะไรตกถึงท้อง ไม่ว่าจะนมหรือยา จะเกิดอาการปวดมวนในท้องต้องถ่าย และอาเจียนทันที ไม่มียาอะไรจะระงับอาการนี้ได้ จึงเป็นที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาก็หิวนม ครั้นให้นมกินก็ดูไปได้ครึ่งเดียว ก็นิ่งอั้นเพราะเกิดอาการไม่ดีในท้อง หรือไม่ก็สะอึก และอีกสักครู่ต่อมาก็อาเจียน แลถ่ายปรูด และเป็นเช่นนี้นี้อยู่ ตลอดระยะเวลา ๒ ช.ม. พ่อแม่สุดจะทนดูต่อไปได้อีกแล้ว ถึงจะต้องเสียเงินมากขึ้นก็ไม่วิตกอะไร ขอให้แป๋งได้รับการรักษาพยาบาล ที่ดีกว่านี้เท่านั้น

๓ ธ.ค.๐๘
วันนี้พ่อไปถ่ายทอดพิธีสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ตั้งแต่ ๐๙๐๐ – ๑๘๓๐ เพิ่งมีโอกาสได้ไปเยี่ยมลูกตอนค่ำ

มองดูลูกแล้วก็ค่อยสบายใจขึ้นบ้างนิดหน่อย ได้สอบถามแม่และขันทองที่อยู่เฝ้าอาการตลอดคืน ไดความว่าเมื่อเขารับตัวไว้ก็จัดการฉีดยาและให้น้ำเกลือทันที งดนม ให้ดื่มแต่น้ำข้าว และน้ำชาเท่านั้น

ใน ๒๔ ช.ม.ที่ล่วงมา สามารถกินข้าวและกินยาได้ตามเวลา มีอาเจียน ๒ ครั้ง และถ่าย ๓ ครั้ง ยับว่าห่างไปมาก ขณะพ่อไปเยี่ยมลูกนอนหลับสบาย ปากดำปื๋อเพราะเขาป้ายที่ลิ้นไว้ รักษาเม็ดเล็ก ๆ ที่ขึ้นบนลิ้นและในปาก ทำให้ลูกไม่อยากดูดนม หมอคิดว่า ๕ ธ.ค.พอจะกลับบ้านได้
ได้กำชับแม่ไว้ว่าต้องให้ลูกมีอาการดีขึ้นอย่างแท้จริงเสียก่อน จึงจะให้กลับบ้าน ถึงจะเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกก็ไม่ว่าอะไร แต่เมื่อกลับไปบ้านแล้ว ต้องไม่อยู่ในสภาพเก่าอีกเป็นอันขาด

มีบางคนเมื่อรู้เรื่องแล้ว ก็ตำหนิพ่อแม่ว่าตื่นเกินไป เด็กเล็ก ๆ นั้นท้องเสียเป็นเรื่องธรรมดา ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลมิชชั่นให้เสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ พ่อมาอยากโต้เถียงกับใคร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป ใช้วิจารณญาณ อย่างรอบคอบที่สุดที่จะทำได้แล้ว เพื่อลูกของพ่อคนเดียวเท่านั้น

เป็นเวลา ๖ วันนับแต่แป๋งได้กลับมาบ้าน พ่อและแม่ต้องเฝ้าพยาบาลลูกอย่างที่ไม่เป็นอันได้หลับได้นอน คอยนั่งมองอาการกิริยาของลูก แทบจะทุกชั่วโมงทุกนาที จนแทบจะรู้ว่าขณะนั้นลูกกำลังรู้สึกอย่างไร ก็ว่าได้ เมื่อได้ใช้ยารักษามาพอสมควรแล้วอาการไม่ดีขึ้น มีแต่ถ่ายออก อาเจียนออก กินนมไม่ได้เพราะไม่อยากดูด หรือแม้แต่หยอดให้ก็ออกมาหมด เราจะนั่งงอมืองอเท้าอยู่ได้อย่างไร จะรอให้ปาฏิหาริย์อะไรมาช่วยปกป้องให้ลูกพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ เราต้องทำอะไรให้ดีกว่านี้แน่นอน เพราะฉะนั้นใครจะว่าอย่างไรก็ตามทีเถิด พ่อกับแม่เชื่อว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด ที่พอจะทำได้ให้แก่ลูกแล้ว และจะไม่เสียใจเลย แม้อะไรจะเกิดขึ้น ขอให้ลูกรักหายป่วยก็แล้วกัน

๒๑ ธ.ค.๐๘
เมื่อวานแม่พาแป๋งไปหาหมอที่โรงพยาบาลมิชชั่น ตรวจเช็คร่างกายตามที่หมอสั่ง ปรากฏว่าปกติเรียบร้อยดี ไม่ต้องสั่งยาอะไรเพิ่มเติมอีก และแนะนำให้กินกล้วยบดได้นิดหน่อย ตอนเย็นพ่อกลับบ้านมาผูกเปลให้ เขาว่ากันว่ากลางวันชักจะนอนยากขึ้นชอบร้องงอแงบ่อย ๆ ต้องลงเปลเสียที เปลนี้เป็นเปลหวายของ หมวดช่วงให้มาลองใช้ดูก่อน พรุ่งนี้จะลองให้นอนขณะนี้แป๋งกินนมเพิ่มขึ้นเป็น ๖๐-๙๐ c.c.แล้ว ดีมากจะได้โตเร็ว ๆ

๑ ม.ค.๐๙
สวัสดีปีใหม่ วันนี้เป็นวันปีใหม่ครั้งแรกในชีวิตของแป๋ง อายุได้ ๑ เดือน ๑๑ วัน เมื่อเวลา ๒๔๐๐ ของวันที่ ๓๑ ธ.ค.๐๘ พ่อกลับมาจากงานแต่งงานเพื่อน ได้เวลาย่างขึ้นปีใหม่ พ่ออวยพรให้ลูก ขอให้คุณรัตนตรัยจงอภิบาลรักษาลูก ให้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ มีพลานามัยสมบูรณ์ เป็นศรีแก่พ่อแม่และเป็นเด็กดี มีประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไปในอนาคต เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอนหลับตาเฉย

๒๐ ม.ค.๐๙
แป๋งอายครบ ๒ เดือนวันนี้ สุขภาพสมบูรณ์ดีตามปกติ เริ่มกินข้าวกับกล้วยบด วันละ ๓ มื้อ แถมด้วยน้ำส้มคั้นอีกมื้อละ ๒ ลูก ได้น้ำส้มเกือบ ๒ ออนซ์ ตามด้วยนมอีก ๒ ออนซ์ ตอนกลางคืนกินนม ๔ มื้อ ครั้งละ ๔ ออนซ์ เวลานี้มีเนื้อมีหนังขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้ชั่งน้ำหนัก บางทีเวลาเผลอ ๆ ก็ยิ้มได้บ้างเหมือนกัน นาน ๆ ครั้ง ตั้งใจจะถ่ายรูปไว้ แต่วันนี้ไม่ว่างเลย ไม่มีเวลา

๒๐ ก.พ.๐๙
แป๋งอายุครบ ๓ เดือนวันนี้ เป็นอันว่าผ่านระยะเวลาที่เขาว่าเลี้ยงยากไปแล้ว เมื่อก่อนนี้เวลาแป๋งร้องไห้โยเย ผู้ใหญ่ก็จะว่าต้องร้องกันไปถึง ๓ เดือน ดูเถอะเผลอไปไม่เท่าไร ก็ ๓ เดือนแล้ว ต่อแต่นี้ไปแป๋งก็จะเป็นเด็กดี กินนอนเป็นเวลา ไม่ร้องไม่กวนโดยไม่มีเหตุผลอีกต่อไป จริวไหมลูก ขอให้ลูกเจริญเติบโตต่อไปตามสมควร โดยไม่มีโรคมีภัยมาแผ้วพาน ไม่ต้องอ้วนตุ๊ถึงขนาดที่เขาประกวดกัน พ่อแม่ก็ดีใจแล้ว นะแป๋งนะ

๒๐ มี.ค.๐๙
แป๋งอายุครบ ๔ เดือนในวันนี้ ถ่ายรูปไว้ดูอีก จับให้นอนคว่ำแล้วก็ถ่ายรูปไว้ดู แต่ความจริงจนบัดนี้ แป๋งก็ยังคว่ำไม่ได้เลย เตยเห็นพยายามอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เป็นอันว่าก่อนนั้นเป็นเรื่องฟลุคไป วันนี้พี่เลี้ยงไปธุระ แม่จึงต้องลงมือเลี้ยงเองตลอดวัน และน่ายินดีที่แป๋งได้รับคำชมเชยจากแม่ว่า เป็นเด็กดีเลี้ยงง่าย ไม่ร้องไม่กวนอะไรเลย กินและนอนตามเวลาที่สมควร นอนนั้นก็นอนเล่นยิ้มหัวกับใครต่อใครอย่างอารมณ์ดี เป็นที่น่ารักของผู้พบเห็นทั่วไป พ่อก็ดีใจด้วย แต่เสียอย่างเดียวเวลาจะถ่ายรูปเกิดไม่ยอมยิ้มขึ้นมาเสียเฉย ๆ จะหลอกจะล่ออย่างไรก็ทำหน้าตายเสียยังงั้นแหละ

๒๐ เม.ย.๐๙
แม่พาแป๋งไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้โดนฉีดยา ๑ เข็ม และได้ยามากินอีก ๒ ขนาน ตอนกลางคืนต่อยยังชั่วขึ้น ไม่ร้องกวนโยเย กินนมได้ตามเวลา แล้วก็หลับไป เป็นที่น่ายินดีมาก พ่อแม่ก็เท่านั้นเอง อย่างที่ว่าไว้เมื่อวันก่อน ลูกแข็งแรงสบายดีก็ดีใจ ถ้าลูกไม่สบายก็หน้าเซียวไปตาม ๆ กัน เพราะลูกบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรที่ไหน เมื่อมันไม่สบายก็ร้องแง ๆ ไป เสียงร้องของลูกมันบาดใจพ่อแม่ ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นในโลกนี้

๒๐ พ.ค.๐๙
ตอนเช้าแม่จะให้พาแป๋งไปโรงพยาบาล แต่อีกหลายเสียงรวมทั้งพ่อด้วยบอกว่าแป๋งหายแล้ว ก็เลยไม่ต้องพาไป พ่อไปทำงานกลับมาตอนดึก ปรากฏว่าแป๋งมีสร้อยคอใส่แล้ว เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบ ๖ เดือน ของแม่ ซึ่งไปแบ่งเอามาจากสายสร้อยคอและสายาร้อยข้อมือของแม่เอง ทองหนัก ๒ สลึง ราคา ๒๒๐ บาท คราวนี้ก็เป็นอันสบายใจด้วยกันทุกฝ่าย แป๋งก็ได้ของ ใครเห็นก็ชอบ แม่ก็สบายใจเพราะได้เคยยุให้พ่อหาให้ตั้งนานแล้ว แต่พ่อไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน หรือขี้เหนียว แต่พ่อเห็นของพ่อว่าผู้ชายเขาไม่จำเป็นต้องแต่งตัวด้วยเครื่องประดับประเภทสร้อยสนิมพิมพ์พาภรณ์ ให้มันมากเกินไปนัก จะทำให้เป็นคนสำรวยไปเสียเปล่า ๆ ลำพังลูกกระพรวนข้อเท้า ให้เหมือนเด็กไทยทั้งหลายก็น่าจะพอแล้ว แต่แม่ทนไม่ได้ถ้าลูกไม่มีสายสร้อยคอ พ่อก็ไม่ว่าอะไร เพราะต่างก็รักลูกด้วยกันทั้งนั้น แม้ว่าการแสดงออกจะต่างกันก็ตาม

๒๐ พ.ย.๐๙
บุญรักษานะลูก พ่อบอกลูกแป๋ง เมื่อตื่นขึ้นมาสาธุตอนเช้ามืด วันนี้เป็นวันเกิดครับรอบ ๑ ขวบของแป๋ง ตื่นขึ้นมาตอนตีห้า น่ารักมาก ไม่ร้องกวนอะไรเลย บอกให้ฉี่ก็ฉี่โดยดี แต่งตัวแล้วเข้าครัวไปดูแม่ทำกับข้าว บอกให้ทำอะไรก็ทำได้ครบทุกอย่าง เช่น จับปูดำ จ้ำจี้ ตบมือ รำละคร และสาธุ นับว่าเป็นเช้าที่แจ่มใส สมกับเป็นวันสำคัญในชีวิตของแป๋ง

หกโมงเช้าแป๋งออกไปที่หน้าบ้าน ใส่บาตร ๑ องค์ มีคนทักทายพอสมควรเพราะแป๋งตัดผมใหม่หน้าตาแปลกไป พ่อถ่ายรูปไว้ดูเป็นที่ระลึก แล้วก็ให้ถ่ายคู่กับพี่เยาว์ พี่เลี้ยงที่มีความสำคัญต่อแป๋งเป็นอันมาก ผู้ซึ่งเลี้ยงดูแป๋งด้วยความรักใคร่เอ็นดูอย่างจริงใจ ขอได้รับความขอบคุณจากพ่อแม่ของแป๋งเป็นอย่างยิ่ง และถ้าแป๋งได้รู้ก็คงระลึกถึงไม่ลืมเช่นกัน

คุณอาให้ของขวัญด้วยการให้เลือกแผ่นธนบัตรตามใจชอบ แป๋งเลือกเอาธนบัตรใบละยี่สิบบาท ใส่กระปุกไว้เป็นประเดิม สำหรับรอบปีต่อไป

ตอนบ่ายคุณนาคุณป้าทหารสื่อสาร ยกขบวนกันมาเยี่ยมแป๋งหลายคน ต่างก็ชอบใจในความน่ารักน่าเอ็นดูของแป๋งด้วยกันทั้งสิ้นเพราะแป๋งออกแขกได้ดีไม่มีโยเยเลย ตอนนี้ได้ของขวัญจากน้าอู๊ดเป็นเสื้อกางเกงชุดสวยมาก แป๋งใส่แล้วดูตัวโต เกินกว่าจะเป็นทารกเพียงขวบเดียว ได้กวางสีแดงสดจากป้าทวีสุข และได้ผ้าสำลีจากพี่ขันทอง ทั้งหมดถ่ายรูปคู่กับแป๋งไว้เป็นที่ระลึก



ตอนเย็นพวกคุณอาคุณลุงยกขบวนกันมาอีกหลายคน คราวนี้แป๋งได้เสื้อยืดจากอาออด และห่านน้อยจากอาผีหรืออาเล็ก ชุดนี้เลี้ยงดูปูเสื่อกันจนถึงตีหนึ่ง แป๋งก็ร่วมรายการด้วยเหมือนกัน กว่าจะนอนก็ตกเข้าไปเกือบสองทุ่ม

วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของแป๋ง พ่อแม่ดีใจมากที่ลูกได้เกิดมา และดีใจที่ได้ช่วยกันประคบประหงมลูก จนเจริญเติบโตมาถึงวันนี้ ครบรอบ ๑ ปี ด้วยความยากลำบาก และด้วยสติปัญญากับความพากเพียรอย่างดีที่สุด ผสมด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่มหาศาลที่ประมาณมิได้


ในขวบปีที่ผ่านมานี้ มีเหตุการณ์มากมายเหลือเกินที่เกี่ยวกับลูก ทั้งที่ได้บันทึกไว้ในสมุดนี้ และทั้งที่อยู่ในความทรงจำ ทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งตื่นเต้นและวิตกกังวลนาประการ นับตั้งแต่วันแรกที่แม่ไปโรงพยาบาลเพื่อคลอดลูก และตลอดมาจนเดี๋ยวนี้ แม่นั้นไม่ต้องพูดถึง ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้ว สำหรับพ่อก็ขอมีส่วนได้ช่วยเหลือบ้าง เท่าที่สามารถทำได้

เคยมีผู้สงสัยว่าทำไม แม้พ่อจะทำงานกลับมาดึก ๆ จึงพอใจที่จะลุกขึ้นชงนมให้ลูกทุกครั้งที่ต้องการ ไม่ใช่แม่ทำไม่ได้หรือไม่อยากจะทำ แต่เพราะพ่อต้องการมีส่วนได้เลี้ยงลูก ได้แสดงออกถึงความรักความห่วงใยในตัวลูก ให้มากกว่าที่สักแต่ว่าจะเป็นเพียงพ่อเท่านั้น เดี๋ยวนี้ผลของความพยายามของพ่อและแม่ ได้ปรากฏเป็นลูกแป๋งที่ใคร ๆ ก็รักใคร่พ่อแม่จึงภูมิใจมาก และดีใจที่สุด ไม่มีอะไรจะเทียบได้

ลองหวนไปทบทวนดูแป๋ง ในรอบขวบปีที่ผ่านมา พ่อเก็บสถิติได้ดังนี้
๒ เดือน ยิ้ม
๓ เดือน กินข้าว
๔ เดือน คว่ำ
๘ เดือน คืบ
๑๑ เดือน นั่ง คลาน

ตลอดเวลา ๑๒ เดือน แป๋งกินนม ๘๕ ปอนด์ นม S-26 =๕๐ ปอนด์ ๗๓๕.-บาท
นมฮิวแมนไนซ์ ๓๕ ปอนด์ ๔๒๐ บาท รวมปีที่แล้วป่วย ๕ ครั้ง

มีสมบัติส่วนตัว คือ กำไลข้อเท้า หนัก ๑ บาท ๑ สลึง ราคา ๕๐๐ บาท
สายสร้อยทองหนักสองสลึง ราคา ๒๒๐ บาท
สลากออมสิน ๑๒ ฉบับ เงิน ๒๔๐ บาท

วันนี้เป็นวันเกิดของลูกแป๋ง พ่อเห่อมากก็เลยเขียนอะไรต่ออะไรเสียยาวยืด อาจมีผู้สงสัยว่า แป๋งจะสามารถเข้าใจที่พ่อเขียนยังไง ข้อนี้พ่อเคยได้ตั้งใจไว้ว่า พ่อจะไม่ให้แป๋งได้อ่านบันทึกนี้เลย ตลอดเวลาที่แป๋งยังเล็กอยู่ พ่อจะบันทึกเหตุการณ์ และความคิดเห็นของพ่อตามสบาย เท่าที่พ่อจะจดจำได้ และตามความรู้สึกของพ่อในเวลานั้น ๆ จนกว่าลูกจะโตพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่ คือเมื่อเจ้ารู้จักมีความคิดอันเป็นของตัวเองแล้ว พ่อก็จะเลิกเขียนบันทึกนี้ และมอบให้เจ้าได้อ่าน ซึ่งในเวลานั้นลูกจะเข้าใจพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม


ของขวัญชิ้นสุดท้ายจากพ่อในวันครบรอบ ๑ ขวบของลูกแป๋ง คือ โอวาทหรือคติสั้น ๆ “จงเชื่อดี” หมายความว่าเชื่อในความดี เชื่อมั่นว่าในโลกนี้ ความดีเท่านั้นที่จะช่วยให้ผู้กระทำ ประสบแต่ความสุขความเจริญ สามารถเอาชนะต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง และเป็นที่เคารพนับถือของผู้อื่นได้
จำไว้ให้มั่นนะลูกรัก

๑ ธ.ค.๐๙
ครบรอบ ๑ ปีที่พี่เยาว์ได้เลี้ยงดูแป๋งมาด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ประกอบทั้งมีความรักความเอ็นดู และเมตตากรุณแก่แป๋ง อย่างยากที่จะหาได้ง่าย ๆ ด้วยความมีน้ำใจอันดีนี้เอง ที่ผูกพันเราไว้ด้วยกันเหมือนญาติ

๒๐ พ.ย.๑๐
วันเกิดของแป๋งอายุ ๒ ขวบ แป๋งตื่นแต่เช้าอารมณ์แจ่มใสดีมาก สวัสดีพ่อในมุ้ง พ่อบอก HAPPY BIRTH DAY แป๋งก็เลยเอาไปบอกต่อทุกคนในบ้าน เมื่อเวลาสวัสดี

แป๋งกับคุณอาออกไปตักบาตรหน้าบ้าน แป๋งใส่บาตรสำหรับตัวเอง ๑ องค์ คุณอาใส่ให้ป้าเสนอ ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ๓ องค์ พระเณรที่มารับบาตรชอบแป๋งไปตาม ๆ กัน แล้วก็ถ่ายรูปกับครอบครัวไว้ตามธรรมเนียม แต่พอจะถ่ายคู่กับพี่เยาว์ แป๋งทำฤทธิ์ทำเดชต่าง ๆ นานา ต้องบังคับกัน พ่อเห็นว่าเป็นกิริยาที่ไม่ดีเลย แต่ยกให้กับวันเกิด ไม่งั้นโดนฟาดแน่ ถึงแป๋งเองก็เถอะ ถ้าหากมีความรู้ความคิดแล้ว ก็จะต้องเสียใจเหมือนกัน ที่แสดงกิริยาไม่ดีต่อพี่เยาว์ ซึ่งเลี้ยงดูแป๋งมาด้วยความรัก จน ๒ ขวบปีเข้านี่แล้ว

วันนี้แป๋งได้รับของขวัญจากสมาชิกในครอบครัวหลายอย่าง พี่เยาว์ให้แหวนทองลงยาหนักหนึ่งสลึง พี่ขันทองให้รองเม้า ๑ คู่ คุณอาให้เงิน ๒๑ บาท พ่อตั้งใจถ่ายรูปสีลอยกระทงเป็นของขวัญให้แป๋งแล้ว แต่อดไม่ได้ซื้อโทรศัพท์พลาสติกให้อีก

ตอนสายแคะกระปุกออมสินของแป๋ง นับเงินได้ ๔๓๒.๑๐ บาท พ่อเอาเศษ ๒.๑๐ บาทใส่กระปุกต่อไป และเพิ่มให้อีก ๑๐ บาท ซื้อสลากออมสิน ๒๒ ฉบับ แม่ซื้อสลากออมสินให้แป๋ง เดือนละฉบับ ตลอดปีรวม ๑๒ ฉบับ เงิน ๒๔๐ บาท สมบัติของแป๋งในรอบปีที่ ๒ มี ดังนี้
สายสร้อยคอหนัก ๑ บาท
แหวนทองหนัก ๑ สลึง
สลากออมสิน ๔๖ ฉบับ เงิน ๙๒๐ บาท
ทีนี่ลองดูความเจริญเติบโตของแป๋งในรอบปีที่ผ่านมาดูบ้าง
ขวบ ๑ เดือน ฟันซี่แรกขึ้น
ขวบ ๒ เดือน หัดยืนและเดิน
ขวบ ๓ เดือน หัดพูด
ขวบ ๕ เดือน เดินเก่ง หัดวิ่ง
ขวบ ๗ เดือน มีฟัน ๔ ซี่
ขวบ ๘ เดือน มีฟัน ๗ ซี่
ขวบ ๑๐ เดือน กรามขึ้นอีก ๔ ซี่

ตลอด ๑๒ เดือน ไม่สบาย ๔ ครั้ง กินนม ๑๓๒ ปอนด์ คิดเป็นเงินถึง ๑๔๐๓.๔๐ บาท น้ำหนักยังไม่ได้ชั่งจึงยังไม่ทราบ แต่ความสูง ๘๓ ซ.ม.ตัวรู้สึกว่าจะผอมลง เพราะไม่ชอบกินข้าว หรืออาจจะเป็นเพราะยืดตัวก็ได้

และวันนี้ก็คือวันเกิดครบรอบปีที่ ๒ ของลูกแป๋ง ลูกรักของพ่อแม่ ความเจริญเติบโตของลูก ทั้งทางกายและทางความคิด สติปัญญาของลูก เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ แต่พร้อม ๆ กันนั้น ความดื้อรั้น ที่แสดงออกมาในระยะหลัง ๆ ก็เป็นความหนักใจของพ่อแม่เช่นเดียวกัน พ่อแม่ทุกคนในโลก ย่อมอยากให้ลูกของตนเป็นเด็กดี มีความฉลาดเฉลียว มีความประพฤติเรียบร้อย มีความเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ และผู้ใหญ่ พ่อกับแม่ของลูกแป๋งก็เช่นเดียวกัน ได้พยายามอบรมสั่งสอน และ ดุว่าตลอดจนลงไม้ลงมือกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวนิดเดียวเพียงแค่นี้ ก็เพราะอยากจะให้ลูกเป็นเด็กดี ตามอุดมคติของเรา และหวัว่าลูกแป๋งก็คงจะไม่ทำให้พ่อแม่พี่ป้าน้าอาต้องผิดหวัง ลูกจะต้องเป็นเด็กดี ที่มีความเจริญไปในทางที่ดีเท่านั้น

ความหวังอันสูงส่งของพ่อแม่ คือพรที่มีค่าสำหรับลูก เพราะเราไม่ได้เพียงแต่หวัง หรือวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างเดียวเท่านั้น เราได้บงมือกระทำด้วยความรัก และความหวังดีอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เพื่อให้ลูกเจริญก้าวหน้าต่อไป ในทางที่ดีงามเท่านั้น ส่วนจะเป็นไปได้ถึงแค่ไหนนั้น ก็ต้องคอยดูกันต่อไป


สิ่งสุดท้ายที่พ่อจะให้ลูกในวันเกิด ก็คือคติที่เป็นอุดมคติของพ่อ “จงคิดดี”
เมื่อลูกเติบโตขึ้นจนสามารถใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตได้แล้ว จงคิดแต่สิ่งที่ดี ละทิ้งความคิดที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ แก่ตนเองและผู้อื่น เมื่อปีก่อนพ่อขอให้เชื่อในความดี ปีนี้พ่อขอให้คิดแต่สิ่งที่ดี เช่น

ไม่คิดเอาเปรียบผู้อื่น
ไม่คิดอยากได้ของที่เราไม่มีสิทธิ์
ไม่คิดทำลายผู้อื่น เป็นต้น
จงคิดเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นมีสุข
กรุณาปรารถนาจะะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตามีความยินดีด้วยเมื่อผู้อื่นได้รับความสุข ปราศจากความอิจฉาริษยา
สิ่งเหล่านี้ไม่ยากเกินไปกว่าที่จะทำได้ และเมื่อทำได้แล้ว เราเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย
พ่อขอฝากไว้ให้ลูกในวันเกิดครบ ๒ ขวบนี้ สวัสดีลูกรัก

๒๐ พ.ย.๑๑
วันเกิดครบรอบสามขวบของลูกแป๋ง วันนี้ลุกขึ้นแต่เช้ามืดด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ สวัสดีพ่อแม่และทุกคนในบ้าน อย่างเรียบร้อย ซึ่งทุกคนก็อวยพร ในวันเกิดของแป๋ง ให้มีความสุขความเจริญรุ่งเรืองต่อไป แล้วก็ช่วยกันไปตักบาตรที่หน้าบ้าน ปีนี้แม่ทำของใส่บาตรให้แป๋ง ๕ องค์ แล้วก็ถ่ายรูปกับรถจิ๊ป และใครต่อใครที่หน้าบ้านไว้เป็นที่ระลึกตามเคย

ตอนกลางวันพวกน้า ๆ ป้า ๆ ทางสื่อสารเขามาทำส้มตำกินกันเอง ตอนเย็นกินไก่ย่างกัน ภายในครอบครัว เพราะพ่อไม่ได้เลี้ยงใคร เหมือนอย่างเคย มีอาแมวมาร่วมด้วยคนเดียว แป๋งได้ของขวัญหลายอย่าง เป็นเสื้อกางเกง ๓ ชุด ของเล่น ๒ ชิ้น และเงินฝากออมสินอีก พ่อแคะกระปุกลูกนับเงินทั้งหมดได้ ๒๒๐ บาท ซื้อสลากออมสินได้ ๑๑ ฉบับ กับของอาสมัยอีก ๑ ฉบับ รวมทั้งสิ้นแป๋งมีสลากออมสิน ๗๐ ฉบับ เป็นเงิน ๑๔๐๐ บาท และยังคงมีสมบัติเก่า คือ สร้อยคอ ๑ บาทกับแหวนที่พี่เยาว์ให้อีก ๑ วง ไม่ค่อยได้เอามาใส่กลัวหลุดหาย

ปีนี้แป๋งอดนมเมื่อ อายุได้๒ ขวบกับ ๖ เดือน จึงเสียค่านมเพียง ๖๔๖.๘๐ บาท เป็นจำนวน ๕๖ ปอนด์ น้ำหนักตัวกับความสุขของแป๋งไม่ได้วัด จึงไม่ทราบแน่นอน แต่เข้าใจว่าคงขะไม่เติบโตกว่าเมื่อปีก่อนเท่าใดนัก นี่คาดคะเนเอาด้วยสายตา แค่ความเจริญด้านสมองและการพูดจาเพิ่มขึ้นกว่าเก่ามาก เฉลียวฉลาด รอบรู้ในสิ่งต่าง ๆ มากกว่าเด็กธรรมดา พูดจาคล่องแคล่วและชัดเจน แป๋งพูดชัดกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก มีอยู่ตัวสองตัวคือ ส.กับ ซ.ที่ออกเสียงเป็น ต.กับ ฉ. แต่เดี๋ยวนี้กำลังพยายามพูด ให้ชัดมากขึ้น จนเกือบจับไม่ได้แล้ว

ความเจริญเติบโตของลูก ก็เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ แต่ความดื้อรั้นและซุกซน ก็เป็นความหนักใจของพ่อแม่เหมือนกัน โดยธรรมดาเด็กฉลาดย่อมซนและดื้อ แต่พ่อแม่ก็พยายามจะให้ซนแต่น้อย ดื้อแต่บางเวลา แต่ให้ฉลาดยิ่ง ๆ ขึ้นไป จะทำได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่ความพยายาม และเวรกรรมด้วย พ่อเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่อความประพฤติ และความคิดของเด็ก แต่พ่อเชื่อในสันดานมากกว่า สันดานมันจะดีต่อให้สิ่งแวดล้อมมันแสนเลว มันก็ต้องเอาตัวรอดออกมาได้ ถ้าสันดานมันจะเลว แม้อยู่ในที่แสนดีมันก็ไปหาที่เลวจนได้

พ่อและแม่จึงได้แต่หวังว่า ลูกจะทำตัวให้เป็นเด็กดีได้ โดยพ่อแม่ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญและถ้าเห็นว่าไม่ค่อยเชื่อฟังหรือคิดจะลองดี พ่อก็มีแต่ไม้เรียวเท่านั้น ที่จะเป็นกำแพงกั้นไม่ให้ลูกเฉไฉนอกคอกออกไป พ่อเป็นคนหัวโบราณ ถือว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เดี๋ยวนี้ใครเขาอาจคิดว่าป่าเถื่อนเต็มที แต่พ่อไม่สนใจ ขอให้พ่อได้อบรมลูกด้วยวิธีที่พ่อคิดว่าดีที่สุดแล้ว เมื่อหมดหน้าที่ของพ่อ พ่อจะได้สบายใจว่า พ่อได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าลูกจะดีหรือไม่ดี แค่ไหนก็ตาม

ของฝากจากพ่อในวาระครบวันเกิดในครั้งที่ ๓ นี้ พ่อก็ขอให้ต่อจาก ๒ ปีก่อน คือ“จงพูดดี”
เมื่อได้เชื่อมั่นในความดี และคิดที่จะทำในสิ่งที่ดีแล้ว เมื่อได้ลงมือกระทำ ประการแรก ด้วยวาจา ก็คือ การพูดดี เช่น

พูดให้ไพเราะอ่อนหวานจับใจผู้ฟัง
พูดด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง
พูดถึงความดีของคนอื่นให้มาก
พูดให้เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น
และพูดแต่ความจริง หรือพูดด้วยใจจริง
งดเว้นกับการพูดที่ตรงข้ามกับข้างต้น เช่น การพูหยาบคาย กระโชกโฮกฮาก พูดตลบตะแลง เพ้อเจ้อไร้สาระ พูดส่อเสียดหรือนินทาว่าร้ายผ้อื่น หรือพูดโกหกพูดเท็จ จนไม่มีใครเชื่อถือ
เป็นต้น


พ่อขอฝากไว้เพียงแค่นี้ก่อน ถ้ามีโอกาส พ่อจะขยายความให้ฟังต่อไปอีก จงจำไว้ว่า การพูดนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ สวัสดีลูกรัก.

ที่ยี่สิบพฤศจิกามาบรรจบ
สามขวบครบวันเกิดลูกที่ผูกจิต
คือนายแป๋งคนดีคู่ชีวิต
รักสนิทเหนือใครในโลกา
จงอยู่เย็นเป็นสุขทุกสถาน
สิ่งต้องการได้สมหวังดังปรารถนา
เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องเรืองวิชา
ถึงภายหน้าเกียรติปรากฏยิ่งยศเอย.

๒๐ พ.ย.๑๒
วันเกิดครบรอบ ๔ ปี ของลูกแป๋ง ตอนเช้าตื่นขึ้นมาใส่บาตร ๕ องค์ แต่ไม่เช้าพอ พระหมด เหลืออีก ๒ ชุด ต้องเดินไปจนถึงหน้าวชิรพยาบาล จึงพบพระ ทุลักทุเลดีเหมือนกัน ปีนี้ไม่ได้บอกใคร จึงไม่มีใครมาที่บ้าน นอกจากอาแมวกับอาประสิทธิ์ แวะมาตอนเย็นเลยได้กินไก่ย่างกัน

วันนี้แคะกระปุกแป๋ง รวบรวมเงินได้ ๒๔๐ บาท เศษ ก็เอาเศษใส่กระปุกต่อไป พ่อแม่ให้ ๖๐ บาท เป็น ๓๐๐ บาท พอดีอาแมวอาประสิทธิ์ให้อีก ๔๐ บาท คุณอาให้อีก ๑๐ บาท พ่อไปซื้อสลากออมสินเลยต้องให้ครับ ๔๐๐ บาท ซื้อได้ ๒๐ ฉบับรวมเงินฝากของแป๋งขณะนี้ มีสลากออมสิน ๙๕ ฉบับ เป็นเงิน ๑๙๐๐ บาท

ในรอบปีที่ ๔ ของแป๋งที่ผ่านมา ได้เข้าเรียนชั้นอนุบาล ๑ ร.ร.เกษประสิทธิ์วิทยา ที่บ้านญวน การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี เรียนรู้ได้เร็ว เขียนเก่ง และขยันในการเรียนการทำการบ้าน มีจิตใจรักการเรียน แต่มีเพื่อนคอยรังแกบ่อย ๆ เพราะแป๋งเป็นเด็กเรียบร้อย ค่อนข้างอ่อนแอ มีประสบการณืในการคบเพื่อนน้อย หรือเรียกได้ว่าไม่ทันคน จึงถูกคนที่เก่งกว่า โกงกว่าเอาเปรียบและแกล้งเอาบ้าง แต่ก็อดทนได้ไม่งอแงเลย

แต่นิสัยเมื่ออยู่ที่บ้านตรงกันข้าม ค่อนข้างดื้อและเกเร เพราะรู้จุดอ่อน ของคนในบ้านดีว่า ต่างก็รักและเอาอกเอาใจอยู่ตลอดเวลา คุณย่าไม่ยอมตามใจก็จะโกรธ มีกลัวแม่บ้างนิดหน่อย แต่กลัวพ่อมากกว่าใคร ๆ ทั้ง ๆ ที่ตีน้อย แต่อบรมสั่งสอนมาก

ความจำและการใช้ไหวพริบในการโต้ตอบ หรือคุยเรื่องต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว และคล่องแคล่ว จึงมักจะเถียงเมื่อถูกดุว่า และชักจะเคยตัว คือมีเหตุผลโต้แย้ง ทุกครั้งที่ถูกดุ จึงดูเป็นเด็กดื้อยิ่งขึ้น เมื่อเวลาโกรธไม่ได้อะไรตามความต้องการ จะแผลงฤทธิ์อาละวาดมาก และพูดจากระด้างไม่ไพเราะมากขึ้น ต้องกำราบไว้เสมอ ถ้าพ่ออยู่บ้านก็ค่อยยังชั่วลงบ้าง อยากให้ทุกคนช่วยลงโทษทุกครั้งที่ทำผิด แต่ก็ไม่มีใครค่อยทำ คอยแต่จะบอกพ่อให้ชำระ บางทีก็เชื่อ บางทีก็ไม่เชื่อ พอพ่อมาก็รีบ ประจบประแจงเสียก่อน ใครทำท่าจะฟ้องก็โกรธเอาเลย อย่างนี้ก็เลยไม่ค่อยจะได้ผลนัก แต่เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไป ในวัยเดียวกัน พ่อก็มีความภูมิใจที่จะบันทึกว่า แป๋งเป็นเด็กที่ดีมากในทุก ๆ ด้าน

การคิดว่าลูกเป็นเด็กดี ไม่อาจทำให้พ่อแม่ย่อหย่อน ในการกวดขันและอบรมลูก ต่อไป เหมือนการปลูกต้นไม้ เมื่อเห็นเมล็ดงอกออกมาเป็นต้น ที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว ไม่ค่อยรดน้ำพรวนดิน ดูแลรักษาให้ดี ก็อาจมีด้วงแมงมาทำลาย หรือขาปุ๋ยร่วงโรยลงได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

ปีนี้พ่อมีของฝากให้ลูกเช่นเคย คือ “จงทำความดี “ เมื่อมีความคิดที่ดี และได้พูดจาในสิ่งที่ดีแล้ว ก็ลงมือทำความดีได้

การทำความดีมีมากมายหลายวิธีเหลือเกิน และการทำความดีนั้น ก็ควรจะเริ่มทำที่ตนเองก่อน คือทำตนให้เป็นคนดี แล้วก็ทำดีเพื่อครอบครัว หรือหมู่คณะ เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง และต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง เป็นที่สุด

การทำตนให้เป็นคนดีนั้น ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ก็ควรจะเริ่มด้วยศีลขั้นต้น ของพระบรมศาสดาก่อน คือ ศีลห้า
การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
การไม่ละโมบในของที่ไม่ใช่ของตน
การไม่พูดเท็จ
การไม่ประพฤติผิดศีลธรรม
การไม่ดื่มสุราเมรัยและของมึนเมาทั้งปวง

ถ้าใครมาอ่านพบเข้า จะสงสัยว่าพ่อสอนลูกอะไรหนักหนา เมื่ออายุเพียง ๔ ขวบ เท่านั้น แต่พ่อก็เคยบันทึกไว้แล้วว่า จะเก็บเอาไว้ให้ลูกอ่าน เมื่อลูกโตพอที่จะเข้าใจข้อความที่พ่อเขียนแล้ว แป๋งเป็นเด็กฉลาด อาจเข้าใจความหมาย ตั้งแต่อายุน้อยก็ได้ใครจะรู้ ขนาดเดี๋ยวนี้ก่อนนอนทุกคืน ลูกก็ต้องสวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว อย่างน้อย นะโม สามจบก็ยังดี แม้จะยังไม่เข้าใจว่า จะทำให้เกิดผลดีแก่ตนอย่างไร แต่ถ้าลูกเชื่อว่าการไหว้พระเป็นสิ่งดี พ่อก็พอใจแล้ว

๒๐ พ.ย.๑๓
แป๋งอายุครบ ๕ ขวบ วันนี้ตื่นเช้าใส่บาตร ๕ องค์ คราวนี้เสร็จเช้า เพราะน้องป๋อม่สบายเมื่อคืน เลยตื่นกันเช้ากว่าธรรมดา แป๋งหลับสบายไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องเลย ต้องปลุกกันอยู่ตั้งนาน ปีนี้ไม่ได้บอกใครจึงไม่มีใครมาที่บ้านเลย และพ่อก็ต้องไปถ่ายทอดทีวีด้วย คุณอากับแม่และแป๋งฉลองกันเล็กน้อยที่บ้าน มีแต่น้าแดงกับน้าหมู ทางโรงงานของคุณแม่ ฝากของขวัญมาให้เพียง ๒ รายเท่านั้น คุณอาให้เสื้อชุดใหม่ ๑ ชุด และซื้อช็อกโกแล็ตอย่างดีให้อีก ๑ กล่อง พ่อเปิดกระปุกออกนับเงินได้ ๒๐๐ บาทเศษ ก็เอาเซเศษเก็บไว้ ให้สมทบอีก ๓๐๐ บาท รวมเป็น ๕๐๐ บาท ฝากประจำต่อไป

ขณะนี้มีเงินฝากออมสินประจำ รวมเป็นเงิน ๕๕๐๐ บาท กับสลากออมสินอีก ๑๕ ฉบับ เงิน ๓๐๐ บาท

ด้านนิสัยใจคอและความประพฤติ โดยทั่วไปนับว่าดี เพราะเป็นเด็กที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่อยู่บ้าง แต่เมื่อโมโหจะเกิดความดื้อรั้นเกเร และพยายามจะเอาชนะทั้งที่ผิด มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ทั้งเรื่องทั่วไปและเรื่องการเรียน เป็นคนสนใจใคร่รู้ในสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ ช่างสังเกตจดจำ ชอบเพ้อฝัน ชอบฟังนิยาย ชอบสมมต พื้นฐานของจิตใจที่แท้จริงนั้น เป็นคนอ่อนแอ รักสงบ แต่อดทน

สรุปแล้วแป๋งโตขึ้นมาก รู้อะไรต่ออะไรมากขึ้น ใช้ให้ทำอะไรหรือหยิบอะไร ช่วยเหลืออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ .แต่เมื่อมีความฉลาดมากขึ้นความโกงก็เพิ่มขึ้นด้วย มีการใช้สำนวนโวหารแปลก ๆ หรือเถียงเมื่อถูกดุว่า หรือมีการแก้ตัวต่าง ๆ นานา การโกหกอาจมีบ้างเล็กน้อย แต่ยังจับไม่ได้ถนัดนัก ส่วนมากถ้าไม่ต้องการจะบอกอะไร มักใช้การนิ่งหรือทำเป็นจำไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ที่จะต้องขัดเกลากันต่อไป

ขอเงฝากที่พ่อเคยให้ทุกปีก็คือ หลักในการที่จะทำตนให้เป็นคนดี ให้เป็นที่รักของคนทั่วไป เมื่อปีก่อนพ่อบอกว่าการทำความดีนั้น ขั้นต้นต้องยึดศีลห้า เสียก่อน มีอะไรบ้างพลิกไปอ่านดูได้ ปีนี้ขอขยายความข้อแรก

ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชีวิตเป็นสิ่งที่รักที่สุดของคนทุกคน และของสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อเรารักชีวิตของเรา ก็ต้องเห็นชีวิตของผู้อื่นมีค่าเสมอของเราด้วย

นอกจากไม่พยายามฆ่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ทั้งคนและสัตว์แล้ว รองลงมาก็คือไม่ทำร้าย ให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานด้วย การป้องกันตัวให้พ้นจากอันตราย จากคนและสัตว์ ที่จะทำร้ายเรานั้น เป็นความจำเป็น แต่ถ้าอยู่ดี ๆ เราไปทำร้ายผู้อื่น หรือรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า หรือรังแกสัตว์ คนนั้นย่อมไม่ใช่คนดีเป็นแน่


การไม่ข่มเหงรังแกหรือทำอันตรายต่อผู้อื่นนั้น จะต้องมีความเมตตากรุณาอยู่ในใจเสมอ เมตตาต่อชีวิตทั้งหลายในโลก ไม่อยากทำให้ต้องรับความลำบาก จากการกระทำของเรา กรุณาต่อชีวิตทั้งหลายในโลก ที่ได้รับความทุกข์ และพยายามช่วยเหลือ ให้พ้นจากความทุกข์เหล่านั้น เท่าที่เราสามารถจะช่วยได้
เมื่อเรามีความรัก ความเมตตา ความกรุณา ต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจแล้ว ผู้อื่นก็จะรักใคร่เมตตากรุณาต่อเรา เช่นเดียวกัน

ข้อนี้เป็นข้อแรก ที่จะช่วยให้ลูกมีความสุขต่อไปได้ในอนาคต ปราศจากคนที่จะปองร้าย หรือขัดขวางกลั่นแกล้งใดใด จะหาศัตรูได้น้อยลง และถ้าทำได้ ก็เมตตากรุณา แม้แต่ศัตรูของเรา จำไว้เถอะลูก ทำความดี เพื่อตัวเราจะได้เป็นคนดี และคนดีนั้นจะมีแต่ความสุขทุกเวลา
สวัสดีลูกรัก

๑๖ ก.ย.๑๕
ตื่นเช้าใส่บาตรให้ลูกป๋อง ๓ องค์ ทั้งแป๋ง ป๋อ แม่ ลุกขึ้นมาช่วยกันหมด ขอให้ลูกมีความสุขไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งหน ตำบลใด หรือชาติใด ภพใด ก็ตาม
พ่อคิดถึงลูกเสมอ

หมายเหตุท้ายเล่ม

บันทึกของแป๋ง เล่มที่ ๑ หมดลงเมื่อแป๋งอายุได้ ๖ ปี ๑๑ เดือน พ่อก็ไปเขียนต่อ เล่มที่ ๒ และจะมีอีกสักกี่เล่มก็ไม่ทราบได้ เพราะเดิมพ่อตั้งใจไว้ว่า จะเขียนไปเท่าที่จะมีเรื่อง มีเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับตัวแป๋ง โดยไม่ให้แป๋งอ่านก่อนที่จะโตพอที่จะอ่านได้ความรู้ ทั้งเรื่องราว และอารมณ์ ตลอดจนข้อคิดเห็น หรือคำสั่งสอนของพ่อ ที่บรรจุอยู่ในบันทึกนี้ คือประมาณเมื่อแป๋ง อายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ หรือจบชั้น ม.ศ.๓ แล้ว

แต่ตอนนี้เกิดเปลี่ยนใจ เพราะสังเกตเห็นแป๋งอ่านหนังสือมากขึ้น มีความเข้าใจในหนังสือที่อ่านมากกว่าเดิม และมีความสนใจ อยากรู้ว่าพ่อเขียนอะไร ลงไว้ในบันทึกเล่มนี้ คอยเมียงมองดูเสมอเมื่อพ่อเขียน แต่ก็คงจะอ่านยากพอใช้ เพราะลายมือของพ่อมันเป็นไปตามอารมณ์ ส่วนมากก็หวัดเสียแทบตลอดเล่ม แต่เพื่อสนองความสนใจใคร่รู้ของลูก ก็เลยคิดว่าจะมอบ บันทึกเล่มที่ ๑ นี้ ให้เป็นวันเกิด ครบ ๑๐ ปี ใน ๒๐ พ.ย.๑๘ หวังว่าคงจะอ่านพอเข้าใจบ้าง ถ้ายังมีข้อสงสัยก็ควรจะเก็บเอาไว้อ่าน เมื่อโตม าก กว่านี้ มีความรู้ความคิดมากกว่านี้ก็ได้


พ่อแบ่งอายุของคน ตามอัตโนมัติของพ่ออง เป็น ๕ ระยะ คือ
๑-๑๕ ปี เด็ก
๑๖-๓๐ ปี หนุ่มสาว
๓๑-๔๕ ปี ผู้ใหญ่
๔๖-๖๐ ปี กลางคน
๖๑ ปี ขึ้นไป แก่

พ่อจึงคิดจะมอบสมุดบันทึกนี้ ให้ลูกเมื่อพ้นวัยเด็ก แต่ในวันนี้ก็น่าจะแบ่งได้อีกคือ ๑-๑๐ ปี ควรจะเรียกว่าทารก ๑๑-๑๕ ปี เรียกว่าเด็กหนุ่มหรือ ทีนเอจ ซึ่งเป็นวัยที่กำลังเติบโต เตรียมตัวที่จะเป็นหนุ่ม เริ่มจะมีความคิดเป็นของตนเอง มีการตัดสินใจเอง ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อแม่ เหมือนเมื่อเล็ก ๆ อยากจะเป็นอิสสระ แต่ธรรมชาติก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กวัยนี้ มีความรู้ความคิดมากมายอะไรนัก การตัดสินใจหรือการปฏิบัติจึงมักจะผิดพลาดอยู่เสมอ ยังต้องได้รับการควบคุมดูแล อย่าใกล้ชิดจากพ่อแม่และครูอาจารย์อยู่ ยังต้องได้รับการสั่งสอนอบรมอีกมาก กว่าที่จะทำอะไรได้ด้วยตนเอง ให้ถูกต้องเป็รส่วนมากได้

ในบันทึกเล่มนี้ มีประโยชน์สำหรับลูกจะได้รู้ เรื่องราวชีวิตของตนเองในวัยเด็ก ตั้งแฟต่แรกเกิด ได้รู้ถึงความเจริญเติบโต ความประพฤติ และนิสัยใจคอ ของตนเอง ในทัศนะของพ่อ ได้รับรู้ถึงความรักความหวังดี ความห่วงใย ของพ่อแม่ที่มีต่อลูกอย่างบริสุทธิ์ใจ และตรงต่อความเป็นจริง ยิ่งกว่าที่ใครจะบอกเล่าให้ฟังได้ และได้รับรู้ถึงความคิด ความตั้งใจ ที่พ่ออยากจะบอกกล่าว หรืออบรมสั่งสอนให้แก่ลูก เพื่อให้ลูกเป็นคนดีต่อไปในภายหน้า

พ่อหวังว่า ถ้าลูกอ่านเข้าใจ ก็คงจะมีประโยชน์ และนำไปใช้ควบคุมความคิดอ่าน ตลอดจนความประพฤติปฏิบัติ ของลูกต่อไปในอนาคต ใคร ๆ ก็จะยกย่องว่าลูกเป็นคนดีได้ และถ้าลูกได้อาศัยแนวทางและข้อคิดที่พ่อเสนอแนะไว้ ในบันทึกนี้ เป็นเครื่องนำชีวิตของลูก ให้ไปสู่ที่ดีงามได้ พ่อก็จะภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าความสำเร็จใดใด ที่พ่อเคยได้รับมาคลอดชีวิต

เพราะฉะนั้น พ่อจึงมอบให้ลูกได้อ่านเสียบ้าง ก่อนที่จะโตเป็นหนุ่ม หรือมีใครมาเปลี่ยนแปลง ความคิดความเชื่อ ไปจากที่เราได้อบรมสั่งงสอนกันมา ตั้งแต่ก่อนพ่อจะเกิด จนบัดนี้ ซึ่งพ่อเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์เราจะยึดถือ คือความเคารพต่อผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ครูอาจารย์ และเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านเหล่านั้น ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ

บังเอิญที่บันทึกเล่มนี้ เริ่มต้นด้วยชีวิตของป๋องพี่ชายคนเดียวของแป๋ง และจบลงในวันครบรอบวันตายของปีที่ ๘ ของเขา พ่อขอฝากให้ลูกแป๋ง ช่วยคิดถึงเขาด้วย เพราะเขาเป็นคนที่อาภัพที่สุด ในครอบครัวของเรา

ด้วยอานุภาพของความรัก อันบริสุทธิ์ใจ ที่พ่อแม่มีต่อลูก ขอให้คุณพระรัตนตรัย จงคุ้มครองลูกแป๋ง ให้มีความสุข พ้นจากสิ่งที่ชั่วร้าย ด้วยประการทั้งปวง
จากพ่อ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๑๘

ถึงยี่สิบพฤศจิกามาบรรจบ สิบบขวบครบวันเกิดประเสริฐศรี
ของนายแป๋ง วรพล ลูกคนดี พ่อแม่นี้รักเจ้าเท่าชีวัน
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้ามา แต่ลืมตาดูโลกไม่โศกศัลย์
แม้ป่วยไข้แก้ไขมาสาระพัน ได้มิชชั่นช่วยไว้ไม่อับจน
ถึงวันนี้ขออวยชัยให้มีสุข พ้นจากทุกข์ผองภัยไม่หมองหม่น
ปัญญาดีมีเชาว์ไวไม่ซุกซน สอบทุกหนให้ติดบอร์ดยอดทุกปี
เมื่อเติบโตต่อไปให้ก้าวหน้า รู้รักษาตัวไว้ไม่เสื่อมศรี
หวังสิ่งใดสำเร็จพลันโดยทันที รักความดี ซื่อตรง มั่นคงเอย.

๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๘





ลูกของเรา (๓)

จันทร์ ๒ มี.ค.๓๕
วันเกิดป๋อครบ ๒๒ ปี ทีแรกว่าจะไปทำโปรเจคที่เชียงราย คงไม่ได้อยู่บ้าน แต่ลงท้ายก็ยังไม่ได้ไป เช้าใส่บาตร ๙ องค์แล้ว ก็แยกย้ายกันไปทำงาน เย็นเจอกันที่วิเศษไก่ย่าง บางโพ มีครอบครัวน้าต๋อยเป็นแขก เช่นเดียวกับวันเกิดคุณอา ที่ตำหนักไท

ป๋อได้ของขวัญเป็นเงินสดรวมถึง ๑๓๐๐ บาท ก็คงใช้เลี้ยงเพื่อนฝูงสบายไป ถึงตรงนี้ก็พลิกย้อนกลับไปดู วันที่ ๒ มี.ค.๓๔ ปรากฏว่าไม่ได้บันทึกอะไรเลย หาตั้ง ๒-๓ ครั้ง ปรากฏว่าไปบันทึกหนักในวันทำบุญอายุครบ ๖๐ ปี เสียยาวเหยียด แล้วมีเรื่องอื่นก่อนหน้นั้น กับหลังจากนั้นมาก็ไม่ค่อยสบาย เลยลืมทั้งวันเกิดคุณอา และวันเกิดป๋อ นั่งนึกเดี๋ยวนี้ก็นึกไม่ออกเลย ว่าทำอะไร แม้เรื่องเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ยังลืม นึกไม่ออก เมื่อวานทำอะไรบ้างก็ลืม ความจำเสื่อมเอามาก ๆ ทีเดียว



แต่เชื่อว่าคงได้อวยพรด้วยปากไปแล้วอย่างแน่นอน ของขวัญนั้นไม่ค่อยได้ให้เป็นวัตถุ เพราะมีอะไรก็เบิกได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ต้องการที่จะเอาเงินไปเลี้ยงเพื่อน ในสังคมของเขามากกว่า

ป๋อเป็นคนขยัน แม้ว่าจะเรียนไม่เก่งนัก แต่ก็เอาจริงเอาจังมาก ประมาณเดือน ต.ค.๓๕ ก็จะจบหลักสูตร วิศวกรรมเคมี ก็ขอให้ได้วานที่ดี มีหลักฐานมั่นคง และทำงานได้ยั่งยืน หรืออยากจะเรียนต่อ ก็ขอให้ได้ปริญญาโทโดยไม่ลำบากนัก แค่นี้คงพอ

พฤหัสบดี ๘ ต.ค.๓๕
ป๋อได้ทำงานที่บริษัทไทยรุ่งเรือง มีโรงงานน้ำตาลที่ กาญขนบุรี และสระบุรี ต่อไปจะเปิดที่พิษณุโลก แม่เขาฝากกับเพื่อนนายทหารหญิง ที่มีแฟนเป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ เขาให้ไปทดลองทำงานที่สระบุรี เดินทางไปวันจันทร์ ที่ ๑๒ ต.ค.นี้ เจ้าตัวได้ปรึกษาหารือเพื่อนรุ่นพี่แล้ว สุดท้ายก็มาคุยกับพ่อ ก็ให้คำแนะนำไปตามความเข้าใจ สรุปว่าควรจะลองทำดู เพราะเป็นงานที่ตรงตามวิชาที่เรียนมากที่สุด ถ้าเงินเดือนและสวัสดิการ อยู่ในเกณฑ์ปกติ เมื่อมีประสบการณ์แล้ว อย่างน้อย ๑ ปี จะคิดขยับขยายก็จะมีใบรับรองผ่านงาน ค่าตัวก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าสามารถทำต่อไปได้ ก็น่าจะก้าวหน้าตามสมควร ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต และเมื่อจะทำที่นี่แล้ว คือหลังจากทดลอง ๗ วันแล้วตกลงใจทำ ก็ไม่ต้องไปสัมภาษณ์ที่ไหนอีก

คุณอาเก็บดอกผลของเงินฝากปีนี้แล้ว ได้ตามเป้าหมายคือครบล้านบาท โดยใช้ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มทำงาน พ.ศ.๒๕๐๐ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๓๕ ปี เขาก็ภูมิใจมาก ได้ทำสังฆทานที่วัดแคสามเสน หรือวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เมื่ออาทิตย์ที่ ๔ ต.ค.วัดนี้เป็นที่จัดการฌาปนกิจศพคุณแม่ เมื่อ ธ.ค.๙๕ ครบรอบ ๔๐ ปี พอดี แล้วก็ไปทำบุญกับพระอาพาธ ที่ รพ.สงฆ์ ในวันอังคารที่ ๖ ต.ค.แล้วก็ไปกินเลี้ยงที่ ยกยอ บางโพ และยังมีการไปทัศนาจรอีก แต่วันเสาร์อาทิตย์ไม่ว่างตลอดเดือน ต.ค.พอดีโรงเรียนปิด ไม่รู้ว่าเดือน พ.ย.จะไปได้หรือเปล่า

เราก็พลอยยินดีด้วย แม้เขาจะให้ลงชื่อร่วมในสมุดฝากเล่มใหม่ ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้เงินของเขา ขอให้เขาเก็บไว้ใช้อย่าให้ขาดมือเลย จนตลอดชีวิตก็พอแล้ว กลัวว่าจะเก็บอย่างเดียวใช้ไม่เป็น ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

พุธ ๑๔ ต.ค.๓๕
ป๋อกลับมาจากสระบุรี เพื่อปรึกษาพ่อในเรื่องงาน เพราะทางบริษัทพลาสติกที่แม่ฝากไว้ เกิดจะเรียกไปสัมภาษณ์ เขาได้พิจารณางานทางบริษัทน้ำตาลสระบุรีแล้ว เห็นว่าเป็นงานที่ท้าทายความรู้ความสามารถของเขามาก แต่เงินเดือนน้อยกว่าที่คาดไว้นิดหน่อย คือเดือนละ ๙๐๐๐ บาท แต่จะได้ทำนอกเวลาช่วงฤดูหีบอ้อย อีก ๖ เดือน ได้เงินเดือนสองเท่า เฉลี่ยแล้ว ได้เงินเดือนปีละ ๑๘ เดือน บ้านพักก็มีให้ เลี้ยงอาหาร ๓ มื้อ ที่ทำงานอยู่กิ่งอำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี ติดต่อกับลพบุรี เดินทางแยกจากถนนใหญ่ที่อำเภอพัฒนานิคมของลพบุรี ไปอีก ๓๐ ก.ม. เขาตกลงใจที่จะทำงานอย่างน้อย ๑ ปี

จึงกลับมาปรึกษาเรื่องบริษัทที่เขาเรียกไปสัมภาษณ์ ตัดสินใจว่าจะไม่ไปสัมภาษณ์ให้เสียเวลา และเกิดความลังเลใจ ก็ขอให้พ่อไปเจรจากับรองผู้อำนวยการที่เคยฝากไว้ เพื่อไม่ให้ผิดใจกันต่อไป เราเองก็สนับสนุน ให้ป๋อตกลงใจอย่างนี้ เพราะบริษัทพลาสติก ยังไม่แน่ว่าจะได้หรือไม่ แม้ว่าถ้าได้จะมีเงินเดือนมากกว่าก็ตาม แต่บริษัทน้ำตาลได้ทันที และเป็นสถานที่ซึ่งจะทดสอบความเป็นลูกผู้ชายของป๋อได้อย่างดี พ่อขอให้คิดว่า เป็นการฝึกภาคสนามก่อนรับปริญญา ๑ ปี ไม่ต้องเอาตัวไปเทียบกับเพื่อน ที่เขาได้งานสบายทำ คุณอาก็เห็นด้วย เพราะป๋ออยู่กรุงเทพก็เหมือนเด็กไม่รู้จักโต ออกป่าเสียบ้างจะได้เข้มแข็ง ช่วยตัวเองได้ ก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จ ในการงาน ในการปกครอง ในสังคมชนบท

พฤหัสบดี ๑๕ ต.ค.๓๕
ป๋อออกจากบ้านไปทำงานที่สระบุรี เมื่อ ๑๐๐๐ วันนี้ เมื่อวานไปเลี้ยงส่งกันที่วิเศษไก่ย่าง เขาไปพบเพื่อนที่สถาบันแล้ว ว่าจะไปลาจ๋าก็ไม่ได้ไป

จันทร์ ๙ พ.ย.๓๕
เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ พ.ย.ได้ไปค้างที่สระบุรี เพื่อต่อรถไฟไปผแก่งเสือเต้นในเช้าวันรุ่งขึ้น เดินหาโทรศัพท์ เพื่อติดต่อป๋อให้รู้ล่วงหน้าได้บริการที่ร้านหน้าสถานีตำรวจ ใกล้บ้านเก่าของคุณลุงขุนประสงค์ ฯ ของวารี โทรเข้าโฟนลิงก์แล้วรอตอบได้ ป๋อรีบโทรกลับมาคุยพอร฿เรื่องว่าจะไปถึงแก่งเสือเต้น โดยรถเร็วหนองคาย เวลา ๐๙๐๐ แล้วเราก็เข้าโรงแรมพันธ์ทิพย์ ชื่อเพราะดีแต่แคบเหมือนรังหนู ราคาเพียง ๗๐ บาท แค่ซุกหัวนอนจะเป็นไรไป กินก๋วยเตี๋ยวและกระเพาะปลา แล้วก็นอนเมื่อสามทุ่ม หลับได้ดีพอสมควรทั้ง ๆ ที่มีเสียงเอ็ดตะโรอยู่ไม่ไกลนัก เพราะเขาซ้อมขบวนสิงโต หรืออย่างไรก็ไม่รู้

ตื่นเช้าวันเสาร์ที่ ๗ พ.ย.อาบน้ำแต่งตัวมาที่สถานีรถไฟตั้งแต่หกโมงครึ่ง เพราะไม่รู้จะอยู่ทำไมในห้องแคบอย่างนั้น กินข้าวผัดกระเพราเป็นอาหารเช้า แล้วก็ไปนั่งคอยรถฟากกรุงเทพ ตั้งแต่ ๐๗๐๐ รถไฟจะเข้า ๐๘๑๓ แต่รอจนเกือบถึงเวลาก็ยังไม่เปิดขายตั๋ว พอเข้าไปถามเจ้าหน้าที่บอกว่า รถไฟช้าไป ๕๐ นาทีแปลว่าเข้า ๐๙๐๕ เที่ยวเดินหาโทรศัพท์แถวนั้นก็ไม่มี จะติดต่อกับป๋อให้รู้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาคอย เลยไม่สำเร็จปล่อยไปตามเรื่อง รออยู่อีกชั่วโมงกว่า รถไฟจึงมาไม่ทราบสาเหตุ ว่าช้ามากมายเพราะอะไร ไปถึงแก่งเสือเต้น ๑๐๐๐ กว่า ๆ ป๋อเอารถมาคอยรับหน้าสถานี ก็เลยไม่ต้องเดินไปลงเรือข้ามฟาก เมื่ออยู่ที่สถานีรถไฟ มองเห็นปล่องโรงงานใกล้มาก แต่ทางถนนรถยนต์แล่นอ้อมไปจนแทบมองไม่เห็นปล่อง แล้วจึงเลี้ยวเข้าโรงงาน

ป๋อพาเข้าบ้านแล้วเขาก็ไปทำงานต่อ บ้านกว้างใหญ่มากเป็นทาวเฮ้าส์แฝดสองชั้น ๒ ชุด ของแป๋งควรอยู่ได้ถึง ๓ คน แต่เดิมมีอยู่ครอบครัวเดียว จะต้องย้ายไปเพราะออกจากงานแล้ว แต่ยังไม่ได้ขนของ ป๋อก็เลยอาศัยตู้เย็น โทรทัศน์ของเขา แต่อยู่ภายในห้องของตัวซึ่งก็ยังกว้างมาก มีฝุ่นทั่วไป คงไม่เคยได้กวาดเลย ตอนเที่ยงมาพาไปกินข้าวกลางวันซึ่งทางโรงงานจัดเลี้ยง โชคไม่ดีเจอเส้นหมี่เครื่องก๋วยจั๊บ ซึ่งมีแต่พวกเครื่องในหมู ที่เลิกกินไปแล้ว จึงต้องควานแต่เส้นหมี่ แถมถั่วเขียวต้มน้ำตาล พออยู่ท้อง

นอนพักถึงบ่ายสามโมงก็ลุกขึ้นแต่งตัว ไปสถานีรถไฟ ป๋อลางานกลับกรุงเทพด้วย รถไฟควรจะมา ๑๕๔๐ มาเสียเลย ๑๖๐๐ ช้าประมาณ ๓๐ นาที ถึงกรุงเทพทุ่มกล่า หิวแทบแย่เลยไม่กลับบ้าน ผ่านไปแวะวัดโสมนัส ซึ่งวารีไปช่วยงานศพเจ้านายอยู่ทุกคืน ปรากฏว่า พี่ชั้นหรือพี่สุภา อินสว่าง ได้ถึงแก่กรรมตั้งศพสวดอยู่ที่ศาลา ๓ ด้วย ตั้งแต่ ๖ พ.ย. จึงต้องเข้าไปกราบศพทั้ง ๆ ที่แต่งตัวรุงรังเต็มที

เมื่อไปเยี่ยมป๋อได้พบกับผู้จัดการหญิงร่างเล็ก ท่าทางเชื้อจีน อัธยาศัยดี เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ และผู้อยู่ในบังคับบัญชา อายุมากกว่าทั้งนั้น ดูท่าทางจะเข้ากันได้ดี คงไม่มีอุปสรรคในการทำงาน

เรื่องการเงิน ขณะนี้ได้เงินเดือนทดลองงาน ๘๐๐๐ บาทแต่ได้ทำโอเวอร์ไทม์ตลอดเวลา เมื่อรวมทั้งเดือนแล้ว อย่างสูงสุดจะได้เป็นสองเท่า เวลาจ่าย วันที่ ๓ และกลางเดือนก็จะได้ครั้งละประมาณ ๘๐๐๐ บาท แต่ครึ่งเดือนแรกนี้ลาหลายครั้ง ได้เพียง ๖๐๐๐ บาท เขาตั้งใจว่าจะแบ่งเงินออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งเก็บสะสม ส่วนที่สองให้ครอบครัว ส่วนที่สามใช้ส่วนตัว แต่ ๓ เดือนแรกอาจจะใช้จ่ายหลายอย่างที่จำเป็น เช่นวิทยุโทรทัศน์ และตู้เย็นก่อน ก็บอกว่าให้ใช้ของที่ติดบ้านไปก่อน เมื่อเขามาขนไปจึงค่อยหาซื้อทีละสิ่ง นอกจากวิทยุซึ่งของเก่าโปเกมาก ควรซื้อก่อน เพราะฟังวิทยุได้พักผ่อนจริง ๆ หลังจากทำงานตั้งแต่ ๐๘๐๐-๒๒๐๐ แล้ว และการใช้เงินนี้ อย่าถือว่าเป็นสัญญาตายตัว ถ้ามีความจำเป็นอย่างไร ก็เปลี่ยนแปลงได้ อาจไม่ต้องให้ครอบครัวเลยก็ได้ เพราะพ่อยังเลี้ยงครอบครัวได้อย่างเดิม ป๋อมีความจำเป็นต้องใช้เงินอีกมาก ในเวลาตั้งตัวนี้ อย่างน้อยก็จะต้องเรียนเอาปริญญาโท ใน ๓-๕ ปีข้างหน้า ขอให้โชคดีสมหวังตั้งใจทุกประการ

พฤหัสบดี ๒๕ ก.พ.๓๖
ป๋อกลับมาบ้านเมื่อเย็นวาน เพราะมีเรื่องยุ่งยากในการศึกษา ถึงขั้นที่จะไม่รับปริญญา เมื่อมาถึงก็ชวนคุณอาๆปฉลองวันเกิดเสียก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง พอตอนดึกก็ไปหารือกับเพื่อน กลับมาเมื่อไรไม่รู้ นอนถึง ๐๘๓๐ ก็ตื่นแต่งตัวไปสถาบัน

ได้ความว่าวิชาที่เรียนเมื่อปีก่อน ประมาณ .ย.๓๒ ป๋อไปผ่าส้นเท้าและไม่ได้ลงไปหนึ่งวิชา แต่เจ้าตัวคิดว่าลงแล้ว และผ่านแล้วแม้เมื่อได้ทรานสคริป ไปสมัครงานก็ยังไม่รู้ว่าขาดอยู่อีก ๑ วิชา พอทำเรื่องขอรับปริญญา ทางสถาบันเขาแจ้งว่า ให้ไม่ได้ยังไม่จบ

ป๋อไปหาหลักฐานแล้ว ทางสถาบันถูกต้อง กลายเป็นว่าป๋อออกจากสถาบันตั้งแต่ ต.ค.๓๕ โดยไม่ได้ติดต่อขอดำรงสภาพนักศึกษาไว้เลย คล้ายกับนักเรียนหนีโรงเรียนไปเฉย ๆ เพราะเจ้าตัวคิดว่าจบแล้ว มาบัดนี้กำลังจะกลายเป็นหมดสภาพนักศึกษา เหมือนกับถูกไล่ออก เจ้าจึงทำหนังสือร้องขอให้คงสภาพย้อนหลัง เขาจะประชุมพิจารณาวันอังคารที่ ๒ มี.ค.ตรงกับวันเกิดพอดี ถ้าได้รับอนุมัติ ก็ต้องหาทางเข้าเรียนวิชาที่ยังขาดอยู่ ถ้าได้ในภาคฤดูร้อน ก็สามารถจบได้ในต.ค.๓๖ ถ้าต้องลงปีการศึกษา ๓๖ ก็จะไปจบเอา ต.ค.๓๗

เป็นเรื่องของความประมาท ไม่รอบคอบ ควรจะรู้ตัวตั้งแต่ได้รับทรานสคริปท์มาแล้ว ว่าวิชาที่เรียนไม่ครบ พยายามเรียนต่อ โดยไม่ต้องไปสมัครงาน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ตามหลักแล้วมื่อไม่ได้รับปริญญาก็ทำงานไม่ได้ เพราะเหลือวุฒิเพียง ม.๖ เท่านั้น ใครเขาจะจ้าง ก็บอกว่าต้องยอมรับความบกพร่องอย่างกล้าหาญ ไม่ต้องไปเสียดายกับเงินเดือนหมื่น ลาออกมาเรียนให้สำเร็จ ถ้าเขาอนุมัติให้เรียน ถ้าเขาเอาระเบียบมาจับแล้ว ถึงขั้นจำหน่ายออก ก็เป็นเวรกรรมอย่างร้ายแรงมาก

วันเสาร์ป๋อจะกลับสระบุรี ตั้งใจว่าจะพาครอบครัวไปฉลองวันเกิที่โน่นก็คงต้องงด ป๋อตั้งใจว่าจะทำสังฆทานที่วัดคำพราน ก็คงทำไปตามเดิม คงไม่มีจิตใจที่จะรื่นเริงได้ เขาบอกว่าผู้จัดการรู้เรื่องแล้วหัวเราะ บอกว่าป๋อคงต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปไม่มีทางไปที่อื่น แสดงว่าเขาจะยังเอาไว้ใช้ ก็นับว่าเป็นโชคดี แต่ต้องรอคำตัดสิน ๒ มี.ค.เสียก่อน ว่าจะได้เรียนต่อหรือไม่

พุธ ๓ มี.ค.๓๖
ป๋อมาเมื่อวานซืนก่อนค่ำ เพราะรถไฟเสียเวลาไผป ๓๐ นาที แถวรังสิต เข้าใจว่าจะเกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่รอกินขาวก็เลยอิ่มไปก่อน คุยอะไรกันไม่ออกต้องรอวันรุ่งขึ้น แล้วก็รีบไปสถายัน ตอนเย็นนัดกินข้าวที่ครัววังหลัง เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งพรนคร ป๋อมาตามเวลาก็ได้ข่าวดีว่า ที่ประชุมคณะอาจารย์อนุมัติให้คงสภาพนักศึกษาต่อไปได้ ส่วนจะได้เรียนวิชาที่ขาดไปเมื่อไรนั้น แล้วแต่ว่าเขาจะเปิดในฤดูร้อนนี้ หรือเทอมสองคือ พ.ย.๓๖

ครอบครัวของเรา และน้าต๋อยก็พากันยินดี ที่ยังมีอนาคตอยู่ มีเพื่อนเก่าเซ็นคาเบรียลมาร่วมวงด้วยสามคน จะไปต่อแม่ก็ห้ามไว้ ให้อยู่บ้าน ไม่รู้อาจารย์ไหนสั่ง ก็เลยต่อกันที่บ้านจนสองยาม ป๋อขอนอนพัก นายแป๋งอยู่ต่อกับเพื่อนรุ่นน้องทำท่าจะอยู่ถึงเช้า แต่ลงท้ายตีสามครึ่งก็แยกย้ายกันไป ไม่รู้ว่าขับรถกลับกันได้ยังไง เราเองก็เลยนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน เพราะเสียงคุยรบกวนเหลือเกิน หนีขึ้นไปนอนข้างบนก็ยังได้ยิน
พอดีตีห้าก็ต้องตื่นขึ้นมาปลุกป๋อไปขึ้นรถไฟกลับ สองคนพ่อแม่ต้องช่วยกันเก็บกวาดล้างโต๊ะอาหารหน้าบ้านที่ทิ้งเอาไว้เลอะเทอะเหมือนกินที่ร้านอาหาร ตั้งใจว่าจะไปส่งป๋อ เพื่อนั่งคุยกันบนรถไฟ เพราะไม่มีเวลาได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย แต่ก็ไม่สบายเพราะอดนอน ขืนไปก็คงแย่แน่ จึงขอเวลา ๕ นาที อบรมสั่งสอนเรื่องความประมาทที่ทำให้เกือบเสียอนาคตไปแล้ว และให้กลับไปเล่าเรื่องให้ผู้จัดการ ตัดสินว่าจะยินดีรับไว้ทำงานต่อไป ทั้ง ๆ ที่อาจจะได้ปริญญาปีหน้าหรือไม่ และเราไม่มีข้อขัดข้องหรือโต้แย้งอะไร ถ้าไม่ให้ทำก็กลับบ้าน แต่ถ้าเขาให้ทำ ก็เป็นหนี้บุญคุณเขาต่อไป และเมื่อได้ผลทั้งทางผู้จัดการ และทางสถาบันว่าอย่างไร แล้ว ให้เขียนจดหมายมาบอก ไม่จำเป็นไม่ต้องลาเข้ากรุงเทพอีก ตั้งหน้าตั้งตาทำงานใช้หนี้ต่อไป

พอป๋อขึ้นรถตุ๊กไปแล้ว กลับมากลัวป๋อจะลืมเรื่องที่พูดกัน จึงเขียนจดหมาย และส่งการ์ดอวยพรตามไปทันที แล้วก็นอนเอาแรง
สุขสันต์วันเกิด แด่ ป๋อลูกรัก
สองมีนาป็อเกิดมาครบยี่สิบสาม
กรรมติดตามแทบม้วยด้วยเรื่องหลัง
เพราะประมาทเลินเล่อเผลอเกือบพัง
แต่บุญยังมีอยู่กู้เหคุการณ์
เมื่อโตใหญ่ต่อไปจำให้มั่น
ทำหน้าที่ทุกวันอย่าฝันหวาน

หมั่นตรวจตราถี่ถ้วนกระบวนงาน
อย่าปล่อยผ่านเลยไปไม่ดูแล
พ่ออยู่กลางภาพนี้มีแต่จิต
ตามมาอยู่ใกล้ชิดกับป๋อแน่
คอยเตือนลูกที่ผูกพันมั่นดวงแด
ให้มีแต่ความสุขทุกเมื่อเอย.
ภาพนั้นเป็นภาพโต๊ะทำงานที่รกรุงรังตัวเก่า แต่ถ่ายครั้งหลังสุด แวดล้อมไปด้วย กองหนังสือและเครื่องคอมพิวเตอร์คู่มือ ตั้งใจว่าจะให้เขาเก็บไว้แทนตัวพ่อ เมื่อตายไปแล้วด้วย

ศุกร์ ๔ มี.ค.๓๗
เมื่อ ๒ มี.ค.ไปหาป๋อที่แก่งเสือเต้นพร้อมวารี ได้อวยพรวันเกิด และเลี้ยงกันเล็กน้อยในตอนค่ำที่บ้าน เพราะงานยุ่งออกไปไหนไม่ได้ เชิญผู้จัดการและรองผู้จัดการมาร่วมวงด้วย ก็คุยกันอยู่จนถึงตีหนึ่งกว่า ได้ความว่าเขาไว้ใจให้ป๋อทำงานที่สำคัญหลายอย่าง รวมทั้งการติดตั้งโรงงานใหม่ที่พิษณุโลกด้วย กับจะให้ควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ด้วย แต่ป๋อไม่ยอมรับ เพราะคิดว่าจะทำไม่ได้ดี และไม่ชอบงานนั่งโต๊ะ ผู้จัดการยืนยันว่าแม้จะไม่ได้ใบปริญญา ก็เชื่อถือ เพราะเห็นผลงานและความตั้งใจทำอย่างเข้มแข็ง แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยก็พยายามจะทำให้สำเร็จ ก็ขอบคุณว่าเขาได้นายที่ดี และรักใครเหมือนลูกหลาน
วารีไปถึงก็ไม่ได้ว่างเลย ทำงานบ้านจัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้ ซักผ้ากวาดถูบ้าน แม้ไม่ได้หมดจดแต่ก็กำจัดความปกปรกรกรุงรังลงได้บ้าง
๒ มี.ค.๓๘
วันเกิดป๋อครบ ๒๕ ปี เขาเพิ่งกลับไปสระบุรี จึงไม่ได้ลงมาฉลองที่บ้าน เช้าใส่บาตรประจำวันแล้ว จึงส่งโฟนลิ้งก์ไปแต่เช้า เมื่อวันที่ป๋อกลับ พ่อก็เขียนจดหมายตามหลังไปทันที และอวยพรวันเกิดแล้ว ป่านนี้คงถึงเรียบร้อย

เสาร์ ๒ มี.ค.๓๙
เวลา ๐๕๓๐ ลุกขึ้นมากวาดท่อระบายน้ำ เพราะฝนตกหนัก เป็นปีที่แปลกมากในชีวิต คือเข้าหน้าร้อนแล้ว พระอาทิตย์ก็ยังไม่โผล่ตรงเวลา หกโมงเช้ามืดเหมือนฤดูหนาว เมื่อ ๑๘ ก.พ.เป็นวันตรุษจีน แต่อากาศหนาวเหมือนเดือน ธ.ค. และบางวันกลางวันร้อยมากจนถึงเย็น พอค่อนรุ่งอากาศหนาวมากห่มผ้าไม่ทัน พอรุ่งขึ้นอีกวันมีฝนตก ดูเหมือนเมืองไทยมีสามฤดู ภายใน ๓ วัน พบหน้าใครก็บอกว่าเป็นไข้ 0เป็นหวัดกันแทบทุกคน เราเองก็เป็นอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา
วันนี้เป็นวันเกิดของป๋อ เขาโทรศัพท์บอกว่างานยุ่งมาก ไม่สามารถจะกลับบ้านได้ ว่าจะมาในวันเกิดของพ่อ ๑๙ มี.ค.ก็ได้ อวยพรไปทางไปรษณียบัตรแล้ว

๓ มี.ค.๔๕
เมื่อวานวันเกิดป๋อครบ ๓๒ ปีเขาโทรศัพท์มาขอพรคุณอา แม่ และพ่อ ก็บอกว่าได้อวยพรใส่ไว้ในหนังสือแจกปีนี้แล้ว คือชีวิตที่พอเพียง แต่เขายังไม่ได้รับ

๒๔ มี.ค.๔๕
ป่อว่าจะมาบ้านตอนกลางวัน ๒๓ มี.ค. แต่เครื่องจักรของโรงงานขัดข้องต้องแกไขตลอดคืน เช้าจึงนอนพักออกจากโรงงานบ่าย ถึงบ้าน ๑๕๓๐ ที่ว่าจะหกินเลี้ยงมื้อกลางวันจึงต้องเปลี่ยนเป็นเย็น ที่วิจิตรตามเคย มีลูกสาวของต๋อยมาสองคนรวมเป็นแปดคน
จ๋ามาหาป๋อเช้าวันนี้ เพราะไม่ได้เจอกันมานาน ป๋อมาแล้วก็ไม่ค่อยว่างะไปเยี่ยม จึงมาคุยและกินเลี้ยงกันเล็กน้อย
๓ ส.ค.๔๕
ป๋อมาบ้านตั้งแต่เมื่อวาน ให้หนึ่งขึ้นรถเมล์มาเอง เพราะตัวเขาไปประชุม แล้วมาถึงบ้านก่อน หนึ่งมาทุ่มกว่าเขาก็เอางบประมาณที่ปรับปรุงใหม่มาให้ดู ไม่ได้ลดลงกว่าเดิมเท่าไร สรุปว่าพยายามไม่ให้เกินสามแสนห้า และปรึกษากันเรื่องแขกรับเชิญ งานกลางคืนไม่เกิน ห้าร้อย ตาพิธีตอนเช้าประมาณไม่ถูก เพราะทางจังหวัดประมาณสามสิบ ญาติข้างเราเกือบยี่สิบ แขกต้องไม่เกินสิบ เพราะสถานที่รับได้อย่างมากไม่เกินหกสิบ รู้สึกว่าคนอยากมาเยอะ โดยเฉพาะเพื่อนของแม่สองกลุ่ม ก็ขอให้บอกไปว่าสถานที่คับแคบ แต่ถ้าเขาจะมาก็ช่วยไม่ได้ เพราะแม้จะสั่งอาหารเพิ่มได้ ก็ไม่มีที่จะยืน
พิธีตอนเช้าเริ่มประมาณ ๐๘๐๐ เป็นการหมั้นและไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย พอถึง ๐๘๓๐ เป็นพิธีสงฆ์ เมื่อพระฉันเพลเสร็จแล้ว หลั้งน้ำพระพุทธมนต์ แล้วจึงเชิญรับประทานอาหารบุฟเฟ่ ซึ่งต้องเสียเวลาจัดสถานที่อีก ป๋อจะต้องไปปรึกษาในรายละเอียดอีกครั้ง สำหรับสโมสร ทบ.ตั้งใจจะไปวางมัดจำ แต่เขาไม่ทำงานวันเสาร์อาทิตย์ จึงต้องหาโอกาสต่อไป เพราะป๋อมาประชุมสัมมนา ตลอดทั้งเดือน ส.ค.และ ก.ย.

๑๖ส.ค.๔๕
ป๋อกับหนึ่งมาบ้านเมื่อค่ำวานนี้ วันนี้หนึ่งไปลองชุดแต่งงาน ป๋อไปอบรมแล้วเย็นพากันกลับไปสระบุรี

๑๙ ส.ค.๔๕
ป๋อว่าจะมาติดต่อกับสโมสร ทบ.วันนี้ แต่โทรศัพท์มาขอเลื่อนเป็น ๒๕ ส.ค.และจะเอาซองที่พิมพ์เสร็จแล้วมาให้ด้วย

๒๘ ส.ค.๔๕
ป๋อมาบ้านตั้งแต่ ๒๕ ส.ค.นัดถ่ายรูปคู่ที่เรือนเจ้าสาว แล้วไปแต่งงานลกชายนายแมวด้วยกัน ให้ป๋อสังเกตการณ์ลำดับงานของเขา รุ่งขึ้นหนึ่งกลับไปทำงานป๋ออยู่อบรมที่กรุงเทพ
วันนี้พ่อแม่และป๋อไปเรียนเชิญคุณย่าเทเวศร์ แล้วไปตกลงรายละเอียดที่สโมสร ทบ.กินข้าวกลางวันแล้วไปเรียนเชิญคุณลุงสุพัฒน์ ที่ซอยวัดรวก เข้าบ้านไม่ถูกต้องกลับออกมาโทรศัพท์ถามทาง แล้วจึงเข้าไปใหม่ ปรากฏว่าครั้งแรกเข้าถูกแล้ว แต่จำไม่ได้เข้าใจฟว่าผิด จึงหลงไปทางอื่น เมื่อเจอกันแล้วหาบัตรเชิญไม่พบ ทั้งห้าใบที่จะให้ผู้ใหญ่ห้าพี่น้อง เราแน่ใจว่าหยิบใส่ถุงกับมือแต่ไปทำหายที่ไหน ถามที่บ้านเทเวศร์ก็ไม่มี จากนั้นก็ไปบ้านจ๋า แต่ป๋อไม่ได้ไปด้วยเชิญหมดทั้งสามบ้าน แต่จ๋าจะไปงานเช้าให้ได้
เมื่อกลับมาบ้านก็ไม่พบบัตรเชิญที่หายไป ทำให้รู้สึกตัวว่าความเสื่อมทางสมองได้เยี่ยมกรายเข้ามาแล้ว นอกจากความเสื่อมทางกาย ที่ความเข้มแข็งลดลงไปตั้งแต่เริ่มเข้าเจ็ดสิบ คราวนี้ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตนเอง ทั้งการไม่เอาแผนที่บ้านวัดรวกไปดูเส้นทาง และการที่ไม่รู้ว่าบัตรเชิญหายไปได้อย่างไร จำต้องยอมลดความเป็นผู้นำลง ให้ผู้อื่นกำกับดูแลได้แล้ว

๓๐ ส.ค.๔๕
ป๋อกลับไปสระบุรี หลังจากที่มาค้างตั้งแต่ ๒๕ ส.ค.การเตรียมงานส่วนใหญ่เรียบร้อยไปแล้ว จากนี้ไปก็เป็นการนับถอยหลัง ทบทวนสิ่งที่เตรียมไว้แล้ว ว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องอีกบ้าง สรุปว่า งานนี้มีผู้ใหญ่และแขกไม่เกิน ๖๐ คน งานเลี้ยงค่ำแขกประมาณไม่เกิน ๕๕๐ คน
บัตรเชิญของญาติผู้ใหญ่ที่หาไม่เจอนั้น ปรากฏว่าอยู่ในถุงรวมกับบัตรที่ยังไม่ถึงเวลาส่ง ทบทวนดูว่าได้หยิบมาตรวจดูแล้วทั้ง ๕ ใบ แต่เอาไปใส่ผิดถุง จึงไม่ได้เอาติดมือไปด้วย นี้คือความเสื่อม

๖ ก.ย.๔๕
เมื่อวานไปซื้อผ้าไหว้ ๓๖ ชุด กับบุหงาอีก ๑๐๐ ชุด ที่พาหุรัด เตรียมงานแต่งงาน ซึ่งคงจะเป็นรายการสุดท้ายที่จ่ายก่อนวันงาน สรุปจากงบประมาณ ๒๕๐,๐๐๐ บาท จ่ายแล้ว ๘๙,๒๐๐ บาท เหลือเงินสด ๑๖๐,๘๐๐ บาท ต้องจ่ายวันงาน ๑๓๘,๒๓๐ บาท เหลือไว้แก้ปัญหา ๒๓,๕๘๐ บาท

๑๕ ก.ย.๔๕
อีก ๗ วันจะถึงวันแต่งงานของป๋อ ยังมีการแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา ความกังวลของป๋อที่กลัวว่า แขกจะมาเกินจำนวนโต๊ะที่สั่งไว้ ๕๐ โต๊ะ อะไหล่ ๕ โต๊ะ จนคิดจะเพิ่มอีก ๕ โต๊ะ เมื่อวานนี้กลับกลัวว่าน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จะท่วมโรงงาน แล้วจะขาดแขกไปสองคันรถบัส พอถึงวันนี้น้ำยังไม่ท่วม พอจะวางใจได้ คราวนี้มีแขกที่จะมาค้างกรุงเทพ ๒ คืน จะต้องกลับในคืนเดียว ๓ ห้อง เหลือค้าง ๒ คืน ๒ ห้อง พรุ่งนี้จะต้องแก้ไขที่จองไว้อีก และเราจะต้องหารถไปส่งพ่อแม่เจ้าสาว ในวันจันทร์แทนรถที่กลับไปก่อนแล้ว
วันที่ ๑๙ ก.ย.จะไปรับของชำร่วยที่สั่งเพิ่มอีก ๑๐๐ ชุด แล้วก็คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมเสียที รอเวลาปฏิบัติงานจริง อีก ๓ วันข้างหน้าว่าจะเป็นไปตามแผนหรือไม่

๑๖ ก.ย.๔๕
วันนี้ตื่นแต่เช้า เพื่อใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ลูก ป๋อง วรพจน์ นิมิปาล ซึ่งตายไปเป็นเวลา ๓๘ ปีแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีรูปถ่าย ไม่มีกระดูกหรือขี้เถ้า ไม่มีวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดเป็นสัญลักษณ์ นอกจากความทรงจำในจิตใจของพ่อ และจะไม่มีวันลืม จนกว่าพ่อจะสูญสลายไปจากโลกนี้เหมือนกัน

๑๗ ก.ย.๔๕
อีก ๕ วันจะถึงวันงาน วันนี้ได้สรุปแผนงานครั้งสุดท้าย เหลืองานที่จะต้องทำอีก ๒-๓ อย่าง จะสิ้นสุดลงใน ๒๐ ก.ย. ป๋อจะมา ๒๑ ก.ย. แต่งงาน ๒๒ ก.ย. ไปประชุม ๒๓ ก.ย. ไปสัมมนา ๒๔ ก.ย. กลับสระบุรีเช้าวันที่ ๒๕ ก.ย.

๒๔ ก.ย.๔๕
งานใหญ่ของชีวิต ที่วางแผนมานานหลายเดือน ก็ได้สำเร็จลงด้วยดี ไม่มีข้อบกพร่องที่เป็นอุปสรรคหนักหนา แต่ประการใด
๒๑ ก.ย. ป๋อมาจากสระบุรีถึงบ้านเที่ยง ตอนบ่ายสามโมงไปดูความเรียบร้อยของสถานที่ เรือนเจ้าสาว ปรากฏว่าชื่อเจ้าสาว ซึ่งเขียนเป็นฉากหลังที่รดน้ำ เพี้ยนจาก หนึ่งหทัย เป็น หนึ่งฤทัย ไม่รู้ว่าใครผิด แต่แก้ไขทัน
พ่อแม่ ยาย และญาติ ของหนึ่งรวม ๑๗ คน มาถึงเกือบห้าโมงเย็น พาเข้าที่พักโรงแรมแก้วเจ้าจอม ของราชภัฏสวนสุนันทา แล้วพาเดินออกประตูหลังข้ามถนนราชวิถี มากินอาหารเย็นที่ครัวไร่ส้ม สมาคมหนังสือพิมพ์ พูดคุยทำความรู้จักกันแล้ว ก็กลับไปพักผ่อน
๒๒ ก.ย.เช้าคู่บ่าวสาวไปแต่งหน้าแต่งตัวที่เรือนเจ้าสาว เรียบร้อยก่อน ๐๘๐๐ ญาติทั้งสองฝ่ายและแขกผู้มีเกียรติทยอยมาจนถึง ๐๙๐๐ ทำพีหมั้นแล้ว ไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ๑๐๓๐ พระภิกษุมาเจริญพระพุทธมนต์ แล้วถวายภัตตาหารเพล จากนั้นเป็นการหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ แล้วผู้เข้าร่วมพิธีรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งเลยเวลาไปเกือบ ๑๓๐๐ เป็นอาหารบุฟเฟ่จำนวน ๖๐ คน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าแขกประมาณ ๘๐ คน น่าแปลกที่ข้าวหมดเหลือแต่กับ พวกที่รอตักทีหลังเลยกินแต่กับข้าวสบายไป ตลอดเวลาฝนได้ตกลงมาเบาบ้างหนักบ้าง แต่เมื่อเสร็จงานแล้วก็เหลือเพียงประปราย ไม่ลำบากในการแยกย้ายกันกลับ
๑๖๓๐ ญาติทั้งสองฝ่ายพร้อมที่สโมสรทหารบก แต่คู่บ่าวสาวแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จประมาณ ๑๗๓๐ แขกรับเชิญทยอยกันเข้ามาในงาน ทั้ง ๆ ที่มีฝนตกหนักบ้างเบาบ้าง สลับกันไปเช่นเคย แขกเข้ามาเต็มโต๊ะครึ่งซีกซ้าย แต่กลุ่มใหญ่จาก โรงงานน้ำตาลสระบุรี ยังมาไม่ถึง ต้องรอจนถึง ๑๙๓๐ จึงมานั่งตามโต๊ะที่เขียนป้ายจองไว้ แล้วจึงเสริฟอาหารหลัก ปรากฏว่าเต็มทั้งหมด ๖๑ โต๊ะ เว้นแต่โต๊ะผู้ใหญ่สามโต๊ะที่นั่งตามสบาย
๒๐๐๐ ผู้จัดการโรงงานน้ำตาล กล่าวอวยพรในนามผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว ผู้อำนวยการโรงงานน้ำตาลกล่าวอวยพรในนามของผู้บังคับบัญชาของเจ้าบ่าวเจ้าสาว พล.ต.มรกต ธัญญสิริ กล่าวอวยพรในนามผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว ทั้งสามท่านได้พูดอย่างมีสาระ และแขกต่างตั้งใจฟังกันเงียบ ผิดกับงานที่เคยเห็นมา เข้าใจว่าฝ่ายโรงงานซึ่งมีอยู่เกือบครึ่ง ให้เกียรติแก่ผู้บังคับบัญชาของตน จึงพาให้แขกอื่น ๆ เงียบไปด้วย
เมื่อคู่บ่าวสาวกล่าวตอบ หนึ่งพูดได้ดีมีสาระ ประทับใจทั้งเจ้าบ่าว และแขกเป็นอันมาก ป๋อก็พูดขอบคุณได้ดี และได้แสดงการดีดกีตาร์ประกอบร้องเพลงที่มีความหมาย ซึ่งประทับใจทั้งเจ้าสาว และแขกมากเช่นเดียวกัน พ่อก็หน้าบานไป เพราะมีคนมาชมให้ฟังเป็นจำนวนมาก
งานจบแล้วฝนยังไม่หาย ตกไม่หนักแต่พอเปียก ญาติฝ่ายเจ้าสาวเหลือสี่คน คือ พ่อ แม่ ยาย และย่า ฝ่ายเจ้าบ่าวครบสี่คน ส่งตัวในห้องพักโรงแรมแก้วเจ้าจอม ห้องเลขที่ ๔๐๔ เป็นการส่งตัวที่แปลกกว่าธรรมดาที่เคยทำมา คือไม่มีพิธีปูที่นอนเรียงหมอน แต่ขนญาติทั้งหมดเข้าไปนั่งบนเก้าอี้และที่นอน ให้คู่บ่าวสาวนั่งที่พื้น เราก็กล่าวส่งตัวและให้โอวาท รู้สึกว่าเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าทุกครั้ง เพราะเป็นลูกของเราเอง ซึ่งร่างและพิมพ์เอาไว้ ให้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย เมื่อเขาจะลากลับไปสระบุรีด้วย จบแล้วเราก็ลาญาติกลับบ้านสวนอ้อยสี่คน นอกนั้นนอนที่โรงแรม รวมทั้งคู่บ่าวสาวด้วย
รุ่งขึ้น ๒๓ ก.ย.ตั้งใจว่าจะพาญาติหนึ่งไปเลี้ยงส่งที่วิจิตรราชดำเนิน แต่รถยนต์เกิดขัดข้อง ต้องเข้าไปเลี้ยงกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่กว่ารถจะเสร็จอีกนาน จึงพาผู้ไม่เกี่ยวข้องมาให้รู้จักบ้านป๋อ และฉายวีดีโอ กับดูภาพนิ่ง ที่ถ่ายตอนกลางคืน จนรถเสร็จลากลับไปร่วมห้าโมงเย็น
สรุปงานนี้ ป๋อยืมเงินแม่มาจัดงาน สองแสนห้าหมื่นบาท ใช้จ่ายไม่หมด เหลือเกือบหมื่นบาท และได้เงินรับไหว้จากผู้ใหญ่กับเงินของขวัญ ประมาณสามแสนเก้าหมื่นบาท เขาก็เอามาคืนแม่ทันที ที่เหลือจะได้เป็นทุนนำรอง เริ่มครอบครัวต่อไป ขอให้มีความสุขสมหวังยั่งยืนนาน
แม่ให้แหวนแต่งงานของเก่า ราคาสามพันห้าร้อยบาท ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันประมาณ สามหมื่นห้าพันบาท สวมนิ้วมือเจ้าสาว พ่อให้เงินรับไหว้สองหมื่นบาท ขยักเอาไว้จ่ายนอกงบประมารอีกหมื่นบาท คุณอาให้สร้อยข้อมือเจ้าสาว และเงินอีกสามหมื่นบาท

๒๕ ก.ย.๔๕
ขณะนี้เวลา ๒๑๒๐ก่อนจะนอนขอบันทึกถึงป๋ออีกเล็กน้อย เขาสองคนได้ลากลับไปสระบุรีตั้งแต่ประมาณ ๐๙๓๐ ถึงบ้านสระบุรีประมาณ ๑๕๐๐ เมื่อขนของแล้วมาลาพ่อ ก็ได้มอบอัลบั้มภาพป๋อตั้งเกิดจนถึง ๑๕ ปี กล่องใส่เหรียญที่ระลึก ซึ่งสะสมมาตั้งแต่เกิดเหมือนกันพร้อมด้วยโอวาทที่ให้เมื่อคืนวันแต่งงาน เพื่อจะได้เก็บไว้ดูทบทวนในโอกาสหน้า โดยย้ำว่าให้เป็นตัวอย่างสำหรับคนที่จะเกิดมาในเวลาต่อไป และอย่ามีลูกเพียงคนเดียว ถ้าจะให้ดีควรมีมากกว่าสองคน เผื่อพี่แป๋งด้วย
ของที่ให้ป๋อเป็นสมบัติของป๋อ แต่ไม่ได้ให้เมื่อเริ่มทำงาน เพราะไม่เชื่อว่าจะรักษาไว้ได้นานคงกระจัดกระจายสูญหายไปหมด เมื่อเขามีผู้ดูแลการบ้านการเรือนแล้ว จึงให้เขาเป็นผู้เก็บรักษาแทน
พ่อภูมิใจว่าการตัดสินใจของพ่อ ทำให้ป๋อได้แต่งงานเร็วขึ้นหนึ่งปี และไม่ต้องลำบากในการพากเพียร สะสมเงินไว้จนกว่าจะถึงปีหน้าและป๋อบอกแม่ว่าจะเก็บเงินที่พ่อแม่และคุณอาให้ ไว้เป็นทุนสำหรับครอบครัวต่อไป นับว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว เริ่มสะสมเสียตั้งแต่บัดนี้ เพราะทั้งสองคนไม่มีบำนาญและไม่มีผู้ใดทราบว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันยาวนานข้างหน้า

เรื่อง ลูกของเราทั้งสามคนก็คงจะยุติลงแต่เพียงนี้ ชีวิตของ ป๋อง สิ้นสุดลงไปนานแล้ว นับถึงปี ๒๕๕๘ นี้ก็เป็นเวลา ๕๑ ปี แป๋งขณะนี้มีอายุ ๕๐ ปี ได้อาศัยเป็นหู เป็นตา เป็นปาก และช่วยเหลือพ่อแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ป๋อก็จะมีอายุ ๔๗ ปี ใน ๒ มีนาคม ๒๕๕๙ มีลูกสาว คือ อนัญญา อายุ สี่ขวบ เข้าโรงเรียนชั้นอนุบาล ๑ พ่อก็จะครบ ๘๕ ปีบริบูรณ์ ใน ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๙
แม่จะครบ ๘๒ ปี ใน ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และคุณอาจะครบ ๘๑ ปีใน ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ชีวิตยังต้องดำเนินไปตามกรรม แต่ขอให้ลูกทั้งสาม รวมทั้งครอบครัว จงมีความสุขในชีวิตตลอดไป.

##########




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2558 12:29:34 น.
Counter : 809 Pageviews.  

บันทึกถึงเพื่อนชาวบางป่ามุง

วันนี้มาอาศัยร้าบถ่ายเอกสาร เข้าพันทิป เพราะคอมพ์ที่บ้านขัดข้องครับ

กลับจากไปเยี่ยมหลานที่โคราช ก็เป็นหวัดและไออย่างหนัก แต่ต้องรับงานต่ออีกหนึุ่งอาทิตย์ จะเอาเวลาที่ไหนไปรักษาตัว หรือพักผ่อน ถ้าไม่เปนหวัดใหญ่หวัดหลวงก็บุญแล้ว เวลานี้ก็ไอมากจนเจ็บซี่โครง

งานเกี่ยวกับการศพของเพื่อน ที่ชื่อนายแมว ชาวบางป่ามุง ตำบลบางประมุง อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์

นายแมวเขารู้ว่าผมไม่ว่าง เขาก็รอได้ ถ้าเขาตาย วันที่ ๑๓ หรือ ๑๔ พ.ย.ผมจะแย่เลย ก่อนตายเขาเรียกชื่อผม ภรรยาเขาบอก เรียกซ้ำ ๆ อยู่ คงบอกให้ภรรยามาแจ้งให้ผมจัดการเรื่องของเขา เพราะเขาฝากผมไว้ แต่ผมนึกว่าคงต้องไปก่อนเขา สุดท้ายผมก็ต้องเผาเขาจนได้

เพื่อนกลุ่มนี้ที่มีชื่อ"เจียวต้าย"มีอยู้แปดคน
คนแรกนายออด ตาย พ.ศ.๒๕๑๐
คนที่สองนายผี ไปบวชตั้งแต่เกษียณ ได้ ๒๔ พรรษาเป็นหลวงตาแล้ว
คนที่สามพี่สันต์ ตายประมาณพ.ศ.๒๕๒๙ อายุประมาณ ๗๐ ปี
ตนที่สี่นายแมว เพิ่งตาย
คนที่ห้านายพึงตายเมื่อ ธ.ค.๕๖ ก่อนชื่อเจียวต้ายจะได้รับรางวัล
คนที่หกนายหงอกยังอยู่ไปรดน้ำศพนายแมวแล้วก็กลับ
คนที่เจ็ดนายต๋องหายสาบสูญไปไม่ได้ข่าว
คนสุดท้ายกำลังรอวันตายอยู่ครับ

วันที่ ๑๖ พ.ย.ไปรอรับศพนายแมวที่วัดแก้วฟ้าจุฬามณี ท่าน้ำเกียกกาย แล้วเป็นประธานฟังสวดพระอภิธรรม

วันที่ ๑๗ พ.ย.ตื่นตีห้า พาแม่บ้านไป รพ.ตำรวจ แล้วให้ลูกชายนอนเป็นเพื่อน รอผ่าตัดตา ผมกลับมาเป็นที่ปรึกษางานศพ ใครปรึกษาก็แนะนำ ใครไม่ปรึกษาก็ไม่ว่า รับผิดชอบในการเขียนประวัติ ก็ทวงถามต้นฉบับเก่าที่เจ้าตัวเขาอ่านแล้ว ก็ไม่มีใครหาเจอ ต้องกลับมาเขียนใหม่ แล้วก็ให้เขาเอาสมุดประวัติของราชการมาตรวจสอบ เสร็จเรียบร้อยให้ลูกน้องไปพิมพ์ วันนี้จะไปตรวจ

วันที่ ๑๘ พ.ย.ตื่น ๐๗.๓๐ กินขนมปังปั่นแล้วก็นอนเอาแรง ตื่น ๑๑.๐๐ ออกมากินเกี๊ยวในสวนอ้อย แล้วก็เข้าร้านคอมพ์ส่งข่าวว่า คงจะหายเงียบไปทั้งสัปดาห์

คืนนี้ สส.เป็นเจ้าภาพ จะรอดูคนรู้จักที่เคยเป็นหลานอาแมว ว่าจะมากันสักกี่คน

วันที่ ๑๙ พ.ย.จะเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม ในนามของ สว.สส.กลุ่ม วิเศษไก่ย่าง ถึงไม่มีใครมาก็ไม่ว่าอะไร

วันที่ ๒๐ พ.ย.ททบ.จะเป็นเจ้าภาพ ก็ต้องไปคอยดูว่า หลานอาแมวจะมากันสักกี่คนเช่นเคย
ทั้งสื่อสารและทีวีที่รักกันจริงก็มาแล้วเมื่อสองวันแรกบ้างประปราย ก็ขอบใจเขาแทนผู้ตายด้วย

วันที่ ๒๑ พ.ย.พระราชทานเพลิง ก็จะเอาหนังสือ "เรื่องเล่าของคนวัยทอง" ไปแจกเป็นที่ระลึก ๒๐๐ เล่ม

วันนี้เดี๋ยวจะไปสั่งพิมพ์สติ๊กเกอร์แปะปก พรุ่งนี้ให้ลูกชายเขาเอารถมารับหนังสือและสติ๊กเกอร์ไปช่วยกันแปะที่วัด

วันที่ ๒๒ พ.ย.คงไม่ไปเก็บกระดูกถ้าไม่ป่วยก็ขอนอนพัก รำลึกถึงความรักความหลัง ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๙ จนถึง ๒๕๕๘ เป็นเวลา ๕๐ กว่าปีที่รักใครอุปถัมภ์บำรุงกันมาจนสุดความสามารถ ประดุจเป็นพี่น้องท้องเดีัยวกันมา เหลือแต่หนังสือที่ระลึกที่ทำเมื่อเขาอายุ ๗๒ปี ชื่อ "จากโกรกพระ ถึง สะพานแดง" เท่านั้น

เมื่อคืนผมยุ่งอยู่กับคอมพ์ที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ แมวชื่อนังแสบขึ้นมานอนบนตัก พักหนึ่งมันก็สะดุ้งแหงนหน้าไปมองที่บันได ก็บอกมันว่า ไม่มีใครหรอก คุณอาก็นอนแล้ว แม่ก็ไปอยู่โรงพยาบาล แป๋งก็ไปเฝ้าแม่ จะมีใครมา หรือจะเป็นอาแมว ผมนึกไปถึงหนังเรื่องหนึ่ง ที่พระเอกตายไปแล้ววิญญาณยังมาวนเวียนคอยช่วยนางเอก ให้พ้นจากการปองร้าย จึงรู้ว่าฝรั่งมันเชื่อว่าแมวเห็นวิญญาณครับ ผมไม่เคยเชื่ออะไร ทำนองนี้ แต่ผมก็บอกออกไปว่า ไปดีเถิดเพื่อนเอ๋ย ฉันจะดูแลทุกอย่างให้

ผมบอกกับภรรยา(คนสุดท้าย)เขาว่า มีทุกข์ร้อนอะไรบอกผมได้ทุกอย่างรวมทั้งเรื่องเงิน แต่เขาก็มีชื่อรับเงินฌาปณกิจศพเกือบสองแสน และบำนาญตกทอดอีกหรือเปล่าไม่ทราบ ส่วนเจ้าลูกชาย ลูกสาวสองคนก็มีหลักฐานไปแล้ว ลูกชายคนเล็กก็ทำทีวีมีรายได้สองทางและโบนัสปีละหลายหมื่น แต่ภรรยาที่เหลือจะขาดรายได้ไปเดือนละ สองหมื่นบาท

ผมเคยบอกกับเขาว่า ผมไม่มีน้องชายนอกจากเขาเท่านั้น เขาก็นับถือผมมากกว่าความเป็นเพื่อน มีอะไรก็ปรึกษาผมทุกอย่าง และผมก็ตักเตือนแนะนำเขาทุกประการ ผมมีอะไรผมก็คุยกับเขาได้ทุกเรื่อง เหมือนคุยกับต้นโพธิ์ ไม่มีกระจายไปไหน

เขากลัวความเจ็บป่วยซึ่งมีอยู่ทั้งความดัน ไขมัน และโรคหัวใจรวมทั้งข้อเข่าไม่แข็งแรง เขาซักถามผมถึงเรื่องความตาย เรื่องโลกนี้โลกหน้าอยู่ตั้งแต่หลายปีก่อน เดี๋ยวนี้เขาคงรู้ดีกว่าผมแล้ว

เขาไม่ได้ตายเพราะโรคอะไรที่เขาเป็นเลย เขาหัวใจวายเงียบไปเฉย ๆ โดยยังไม่ได้นอนหลับ ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องใส่สายสะพายให้รุงรัง ไม่ต้องให้อากาศอาหารทางสาบยาง ก็นับว่ามีบุญพอแล้ว ผมก็อยากเป็นอย่างเขานี่แหละ ถอนหายใจสองที ก็ไปเลย........จบครับ




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2558 14:34:06 น.
Counter : 457 Pageviews.  

มนุษย์สองหน้า

บันทึกของผู้เฒ่า

มนุษย์สองหน้า


เมื่อไม่นานมานี้ มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งเข้ามาอ่านเรื่องในบล็อกของ"เจียวต้าย" แล้วปรารภว่า อ่านเรื่องที่เขียนแล้วรู้สึกว่า คนเขียนเป็นมนุษย์สองร่าง (หรือสองวิญญาณ หรืออะไรทำนองนี้จำไม่ได้)หรือว่าสองบุคคลิค

รู้สึกสดุ้ง เพราะเคยได้มีประสบการณ์ เมื่อเข้ามาเขียนหนังสือใน ถนนนักเขียน ใหม่ ๆ มีนักเขียนหญิงท่านหนึ่ง ชมเชยว่าเราว่าเป็นคนขวางโลก อยากจะนำบุคคลิคอันนี้ไปเป็นนิสัยของพระเอก ในเรื่องต่อไป

เรากลับรู้สึกโกรธ เพราะคำว่า ขวางโลก ไม่ใช่คำยกย่อง จึงตอบขยายความออกไปตามความคิดในขณะนั้น ซึ่งจำไม่ได้เสียแล้ว แต่ทำให้เธอผู้นั้นโกรธมาก และเลิกคุยกับเราไปเลย ซึ่งทำให้เราเสียใจมาก และไม่ทราบว่า บัดนี้เธอได้เป็นนักเขียนอาชีพมีชื่อเสียงแล้วหรือยัง

คราวนี้ตั้งสติถามกลับไปว่า สองบุคคลิคอย่าง ดอกเตอร์ เจนกิ้นส์ กับ มิสเตอร์ ไฮด์ หรือเปล่า
เธอผู้นี้ตอบว่า ไม่ใช่ คือในด้านหนึ่งเป็นทหาร น่าจะมีแต่คนที่มีความเข้มแข็ง หรือแข็งกระด้าง แต่ในข้อเขียนดูเป็นคนใจบุญสุนทาน มันขัดกันมากเลย

จึงค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย ขอบคุณเธอไปว่า เพราะสันดานคงเป็นคนใจบุญ แต่มีอาชีพเป็นทหาร ก็ยังทำบุญให้ทานอยู่่ จึงทำให้รอดปลอดภัยการ เกี่ยวข้องกับการผจญภัยอันตรายใดใดไปได้อย่างประหลาด

เมื่อตอบท่านผู้นี้ไปแล้วก็กลับมานึกถึงชีวิตจริงที่ผ่านมา มันก็แปลก แต่เดิมเมื่อยังเด็กก็ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษอะไร เล่นพิเรนไปตามประสาเด็กหัวอ่อน เพื่อนชวนไปทางไหนก็ไปทางนั้น
ตามประสาเด็กยากจน หรือเด็กในสลัมเดี๋ยวนี้

แต่เมื่อโตขึ้นก็ทำงานทำการ ด้วยน้ำพักน้ำแรง เป็นกรรมกรใช้แรงงาน หรือชายขนม ก็อดทนพากเพียรทำโดยไม่ย่อท้อ เพื่อการดำรงชีวิต จนสุดท้ายอายุเข้าเกณฑ์ทหาร ก็พอดีอยู่ระหว่างสงครามเกาหลี คิดจะสมัครไปเป็นทหารราบอาสาไปสงครามเกาหลี แต่ไม่ได้สมัคร จับได้ใบแดง เขาให้ไปเป็นทหารราบ อยู่ในกองร้อย กองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๑ หน่วยเล็กนิดเดียว

แต่ได้พบผู้บังคับหมู่ที่เคยเป็นนักเรียนมัธยมชั้นเดียวกัน กลับมาจากสมรภูมิเกาหลีด้วยเหรียญกล้าหาญ เป็นวีรบุรุษของหน่วยเลย แต่ตนเองก็ไม่ได้ไปสนามกับเขา ฝึกเบื้องต้นเสร็จต้องเข้ัาโรงพยาบาล ด้วยการผ่าตัดไส้เลื่อนแทน

เมื่อหายดีก็สมัครเข้าเรียนหลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารสื่อสาร ออกรับราชการเป็นนายสิบเสมียน อยู่ในกองบัญชาการ กรมการทหารสื่อสารจนเป็นสิบเอก ก็ได้ถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทีพบก สนามเป้า จนเป็นจ่าสิบเอก ระหว่างนั้นมีสงครามอินโดจีน ระหว่างฝ่ายโลกเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ อยู่ทั้งในเวียตนาม เขมร และลาว

ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับอเมริกา มีการส่งทหารอาสาสมัครไปรบในประเทศแถบอินโดจีน และมีเพื่อนนักเรียนนายสิบรุ่นเดียวกัน สมัครไปสนาม แล้วกลับมาเขียนเล่าเรื่องราวการรบ จนเป็นนักเขียนมีชื่อเสียงโด่งดัง

ก็มีญาติผู้ใหญ่ทางแม่บ้าน เป็นนายทหารเสนาธิการ ท่านชวนให้สมัครไปเป็นทหารอาสา เพราะมีรายได้พิเศษสูงกว่าเงินเดือนหลายเท่า แต่เราก็ปฏิเสธว่า ผมไปช่วยราชการทางทีวีแล้ว ท่านก็คงคิดว่าไอ้นี่ตาขาว

แต่น่าคิดว่าผมช่วยราชการอยู่ในห้องแอร์ออกอากาศอย่างสบาย จะไปตรากตรำฝ่ากระสุนปืนในสนามรบได้อย่างไร แม้จะมีรายได้น้อยกว่า แต่ก็มีความสุขมากกว่าอย่างแน่นอน

ครั้นเป็นนายทหารระดับร้อยโท ไม่ได้ทำงานทางทีวี และผ่าตัดโรคไส้เลื่อนอีกข้างหนึ่งแล้ว สงครามอินโดจีนก็ยังไม่เลิก กลายเป็นสงครามเวียตนามที่ กองทัพอเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้องเต็มตัว มีการส่งทหารไทยไปร่วมรบ และทหารสื่อสารมีอัตราอยู่ในกองพลอาสาสมัครนั้นระดับกองพัน

ก็อยากจะสมัครไปรบบ้าง แต่ยศยังไม่ถึงอัตราที่เขาจะบรรจุ จึงต้องรอผลัดต่อไป พอดีสงครามนี้ก็เลิกลง โดยฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะ ฝ่ายอเมริกาถอนทหารกลับบ้านไป ทำให้เราอดไปราชการสนามตามความตั้งใจ

ต่ดมาถึง พ.ศ.๒๕๒๕ ได้เริ่มศึกษาธรรมะจากคำสอนของท่าน พุทธทาสภิกขุ อย่างจริงจังและเอาไปปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้งการรักษาศืล ฟังธรรม และประพฤติปฏิบัติตามคำสอน จากวัดชลประทานรังสฤ๋ดิ์ด้วย ก็เลยเป็นคนในบุญสุนทาน และหมั่นละกิเลสอยู่เป็นประจำ

จนึงเกษียณอายุราชการใน พ.ศ.๒๕๓๕ จึงเขียนหนังสืออิงธรรมะธรรมโม หรือมีคติธรรมทางพุทธศาสนามากขึ้น จนเข้ามาเขียนในพันทิป อย่างที่เล่าข้างต้น จนถึงปัจจุบัน

เมื่อนึกถึงคำพูดของท่านสุภาพสตรีนักอ่าน ที่ข้างต้นเรื่อง แล้วก็เห็นจริง จึงต้องยอมรับสภาพมนุษย์สองหน้า หรือสองบุคลิคตามที่เธอกล่าว อย่างไม่มีทางงเถียงเป็นแน่แท้.

#############





 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2558 16:52:54 น.
Counter : 333 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.