Group Blog
 
All Blogs
 

เต่าแสนรู้

เต่าแสนรู้

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

เต่าแสนรู้

" เล่าเซี่ยงชุน "

เมื่อครั้งที่ เปาบุ้นจิ้น ถือรับสั่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เดินทางไปตรวจราชการ ตามหัวเมืองน้อยใหญ่นั้น ได้นั่งม้ามาถึงตำบลซินเฮง แขวงเมืองจิกไซ และเห็นเต่าตัวหนึ่งคลานมาขวางหน้าม้าอยู่ เต่าตัวนี้มีน้ำตาไหลอาบ และผงกหัวสามครั้ง เหมือนดังจะคำนับท่านเปาบุ้นจิ้น แล้วก็คลานต่อไป เปาบุ้นจิ้นเห็นเป็นเรื่องประหลาดน่าอัศจรรย์ใจ เพราะท่านเคยจับเหตุนิมิตลางสังหรณ์ เอามาคิดตริตรอง เพื่อสอดส่องแสวงหาความเท็จ แลความจริงอันลี้ลับลึกซึ้งต่าง ๆ อยู่เสมอ จึงได้หยุดม้าอยู่ แล้วก็ให้คนใช้ที่มาด้วย ตามไปดูเต่าตัวนั้นว่าจะไปทางไหน คนใช้ก็ตามไป จนถึงบ่อแห่งหนึ่ง เต่านั้นก็กระโจนลงไปในบ่อนั้น คนใช้ก็กลับมาแจ้งให้เปาบุ้นจิ้นทราบ

เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตามตัวชาวบ้านตำบลนั้นมาห้าคน ให้เอาพะองพาดลงไปดูในบ่อว่าจะมีสิ่งใด ผู้คนที่มาช่วยก็ไต่พะองลงไปในบ่อ ก็พบว่ามีศพชายผู้หนึ่งตายอยู่ก้นบ่อ ก็ช่วยกันเอาเชือกผูกช่วยกันฉุดลากเอาศพนั้นขึ้นมา เปาบุ้นจิ้นพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่า ศพนั้นหน้าตายังสดใสอยู่ จึงสอบถามชาวบ้าน ก็ไม่ได้ความว่าผู้ตายเป็นใครอยู่ที่ไหน จึงให้เขียนหนังสือปิดประกาศไปทั่วทั้งแขวงเมืองจิกไซ แล้วให้ หลีเฉียว กับ เตียเจียว พนักงานสองคนไปเที่ยวสืบหาอีกทางหนึ่ง ได้ความว่าเมื่อต้นปีนี้ก็มีชายชื่อ กิ๊ดอั๋ง ลงเรือข้ามแม่น้ำแล้วเรือล่มจมน้ำตาย เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตามตัว นางซุนสี ภรรยาของกิ๊ดอั๋งมาดูศพ นางซุนสีเห็นศพที่เอาขึ้นมาจากบ่อ จำได้ว่าเป็นสามีของตน ก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกอยู่ไปมา และได้เล่าเรื่องเดิมให้เปาเล่งถูฟัง เป็นเนื้อความว่า

กิ๊ดอั๋งสามีของนางเป็นเศรษฐีใจบุญ วันหนึ่งได้เชิญ เซียงเฮง ซึ่งเป็นเพื่อนรักที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ มากินเลี้ยงที่บ้านเป็นการรื่นเริงกัน กิ๊ดอั๋งก็บอกแก่ เซียงเฮงว่า จะบรรทุกสินค้าไปขายที่เมืองไซเกียทางเรือ แล้วก็ชวนให้เซียงเฮงไปช่วยขายสินค้าด้วย เซียงเฮงก็ยินดีที่จะไปด้วยกัน กิ๊ดอั๋งก็ขอบใจและนัดให้เซียงเฮงกลับไปก่อน อีกเจ็ดวันให้คนใช้ขนสินค้าจากบ้านไปบรรทุกลงเรือเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยลงเรือไปพร้อมกัน ส่วนนางซุนสีนั้นมีบุตรชายคนหนึ่งอายุยังเยาว์นัก ก็ห้ามมิให้สามีเดินทางไปไกล แต่กิ๊ดอั๋งก็ว่า

"...สินค้าก็ขนลงเรือแล้ว จำเป็นต้องไปจะงดอยู่ไม่ได้ แต่ระยะเวลาที่จะไปอย่างช้าอยู่ในหนึ่งปี อย่างเร็วอยู่ในหกเดือนก็คงจะกลับมา....."

นางซุนสีครั้นห้ามสามีไม่ฟังดังนั้นแล้ว ก็อุ้มบุตรเดินร้องไห้เข้าเรือนไป

จนเวลาหลายเดือนต่อมา เซียงเฮงก็กลับมาหานางซุนสีที่บ้าน เอาเงินทุนและกำไรในการค้าขายมาให้ นางซุนสีเห็นเซียงเฮงกลับมาแต่ผู้เดียวก็สงสัยถามว่า

"....ท่านมาแล้วเหตุไฉนสามีของข้าพเจ้าจึงยังไม่มาถึง...."

เซียงเฮงก็บอกว่า

".....เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว สามีของท่านมอบเงินให้ข้าพเจ้า คุมมาส่งให้แก่ท่านก่อน ด้วยสามีของท่านยังไปเที่ยวดูงาน และเสพสุรากันด้วยเพื่อนอยู่แล้ว สามีของท่านจึงจะ มาต่อภายหลัง...."

นางซุนสีได้ฟังดังนั้นก็เชื่อโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยแต่อย่างใด จึงจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงเซียงเฮง แล้วเซียงเฮงก็ลากลับไป

ต่อมาอีกสองสามวัน เซียงเฮงก็มาบอกแก่นางซุนสีว่า

"....สามีของท่านลงเรือข้ามแม่น้ำมาเรือล่ม สามีท่านจมน้ำตายเสียแล้ว บัดนี้ศพลอยมาปะเข้าที่ฝั่งลำแม่น้ำสามแยก ขอให้ท่านใช้คนไปดูว่าจะใช่หรือไม่ใช่....."

นางซุนสีก็ตกใจ ให้คนใช้ชื่อ อันกอง ไปดูศพแล้วก็กลับมาบอกว่า ลักษณะศพนั้นดูแล้วจำหน้าตาไม่ได้ นางซุนสีก็ว่า

"....อันคนตายหลายเวลาแล้ว เนื้อหนังย่อมเน่าเปื่อย ไหนเลยจะจำได้ แต่มีของสิ่งใดติดตัวเป็นสำคัญบ้าง...."

อันกองก็บอกว่า

"...เห็นมีแต่กระเป๋าแพรปักด้วยไหมทองเป็นสำคัญ....."

นางซุนสีก็นึกแน่ใจว่าเป็นสามีของตนเอง จึงร้องไห้พูดรำพันว่า

"……กระเป๋าใบนี้มารดาของข้าพเจ้าทำให้คาดไว้กับตัว จึงได้ติดตัวไปจนถึงแก่ความตาย....."

แล้วนางซุนสีก็บอกบรรดาญาติพี่น้อง ให้จัดหีบใส่ศพเอาไปฝังไว้ แล้วก็ทำกงเต๊กเซ่นไหว้ แผ่ส่วนกุศลไปให้กิ๊ดอั๋งตามธรรมเนียม เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ล่วงมาเกือบจะครบปีแล้ว

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็ไปยังที่ว่าการ แล้วให้พนักงานไปเอาตัวเซียงเฮงมาสอบถาม ว่าทำไมจึงปลอมศพมาแจ้งแก่นางซุนสี เซียงเฮงก็ยืนยันว่ากิ๊ดเอ๋งจมน้ำตายที่แม่น้ำ เปาบุ้นจิ้น จึงให้คนยกศพกิ๊ดเอ๋งที่เอาขึ้นมาจากบ่อให้ดู ซึ่งหน้าตายังดีอยู่ ทำให้เซียงเฮงจนต่อหลักฐาน ไม่สามารถจะหาข้อแก้ตัวได้ จึงจำต้องยอมรับสารภาพตามความจริงว่า

เมื่อกิ๊ดเอ๋งชักชวนให้ลงไปช่วยค้าขายด้วยนั้น ตนเกิดความโลภคิดจะเอาประโยชน์เสียเอง วันที่จะออกเรือไปจึงอ้างว่าเย็นจวนค่ำอยู่แล้ว ไปหาสุรากินกันให้สบายใจก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยออกเรือไป กิ๊ดอั๋งก็เห็นชอบด้วยจึงชวนกันไปเสพสุราในคืนนั้น เซียงเฮงก็มอมสุราจนกิ๊ดอั๋งเมาไม่มีสติ จึงปลดเอากระเป๋าเงินของกิ๊ดอั๋งไว้ แล้วก็พากิ๊ดอั๋งกลับมาที่ตำบลซินเฮง เห็นว่าที่ข้างถนนนั้นมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งลึกหลายวา เซียงเฮงก็ผลักกิ๊ดอั๋งตกลงไปในบ่อน้ำ ถึงแก่ความตาย แล้วเซียงเฮงก็ลงเรือที่บรรทุกสินค้าของกิ๊ดอั๋ง ให้ลูกจ้างแจวไปค้าขายที่เมืองไซเกีย จนหมดสิ้นได้กำไรเป็นอันมากจึงกลับมายังเมืองจิกไซ เซียงเฮงก็แบ่งเอาเงินไว้กึ่งหนึ่ง ที่เหลือจึงนำไปคืนให้นางซุนสี

ครั้นนางซุนสีถามถึงสามีที่หายไป จึงหาอุบายที่จะให้นางซุนสีเลิกคิดถึงสามี โดยไปลักขุดศพในป่าช้าที่เพิ่งตายมาฝังไว้ใหม่ ๆ แล้วเอากระเป๋าของกิ๊ดอั๋งที่ได้ยึดไว้นั้นผูกเข้าที่เอวศพ นำศพไปทิ้งในแม่น้ำตรงสามแยก แล้วจึงมาบอกข่าวแก่นางซุนสีว่าเป็นศพของสามี เมื่อนางซุนสีเชื่อว่าสามีตกน้ำตายไปแล้ว เรื่องก็เป็นอันว่าเงียบหายไป ไม่มีผู้ใดสามารถจะล่วงรู้ได้ เซียงเฮงก็เอาเงินที่ค้าขายได้ มาทำทุนต่อไปจนมีเงินทองมากขึ้น ก็คิดว่าคงจะปลอดภัยแล้ว ไม่นึกว่ากรรมเก่าจะตามมาทันจนได้

เปาบุ้นจิ้นก็พิพากษาโทษเซียงเฮง ให้นำตัวไปประหารชีวิตเสีย แล้วก็เล่าความให้นางซุนสีฟังว่า ความเรื่องนี้กระจ่างขึ้นมาได้ก็เพราะเต่าเป็นเหตุ นำพาไปจนพบศพกิ๊ดอั๋ง

นางซุนสีจึงเล่าว่า เมื่อสองเดือนก่อนที่ สามีจะไปค้าขายกับเซียงเฮง วันหนึ่งมีชาวนาเอาเต่ามาขายให้ตัวหนึ่ง กิ๊ดอั๋งคิดราคาเต่าให้ผู้ขายไปแล้ว ก็ให้คนใช้เอาเต่าไปขังไว้ในครัว พอตกกลางคืนได้ยินเสียงดังเหมือนคนนอนกรม กิ๊ดอั๋งก็จุดเทียนเข้าไปส่องดูในครัวก็ไม่เห็นมีผู้ใดนอนอยู่ นอกจากเต่าที่ถูกขังอยู่ในตะกร้า รุ่งขี้นกิ๊ดอั๋งจึงถามชาวนาผู้นั้นว่าเต่าตัวนี้ได้มาจากที่ใด ชาวนาก็บอกว่าได้มาจากหน้าศาลเจ้าเล่งอ๋อง กิ๊ดอั๋งจึงให้คนใช้นำเต่านั้นไปปล่อยยังบึง หน้าศาลเจ้าเล่งอ๋องตามเดิม

เปาบุ้นจิ้นจึงกล่าวว่า

"....ชั้นแต่สัตว์เดียรัจฉานยังรู้จักคุณมนุษย์ แต่มนุษย์ด้วยกัน หาใคร่จะรู้จักคุณกันไม่....."

ความที่ท่านเปาบุ้นจิ้นกล่าวข้อนี้เป็นของจริงแท้ ที่แม้เวลาจะล่วงมากว่าร้อยปีแล้ว บ้านเมืองยิ่งเจริญขึ้น มนุษย์ก็ยิ่งขาดความกตัญญูรู้คุณกันมากขึ้น มีแต่จะเอารัดเอาเปรียบกันทุกวิถีทาง หากไม่มีท่านเปาบุ้นจิ้น ซึ่งมีสติปัญญาเฉียบแหลม และเอาธุระหน้าที่ของท่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน บางทีจะเลยกลบเกลื่อนผันแปรไปได้หลายทาง

ควรเราท่านผู้อ่านจะจดจำจารึกไว้ในใจว่า คนชั่วประกอบการทุจริต แม้จะได้ลาภก็จะเป็นไปได้คราวหนึ่ง แต่จะไม่ยั่งยืนยาวถาวร ตนคงจะต้องรับผลของความทุจริต ที่เป็นบาปอันตนได้กระทำไว้ อย่างแน่นอน.

##########

วารสารสุรสิงหนาท
มกราคม ๒๕๔๑






 

Create Date : 10 กันยายน 2554    
Last Update : 10 กันยายน 2554 7:37:04 น.
Counter : 508 Pageviews.  

ปีศาจปลอม

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

ปีศาจปลอม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ในครั้งหนึ่ง เปาบุ้นจิ้นได้เป็นผู้ตรวจราชการ มาพักอยู่ที่เมืองเต๊กอันหู มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อ เสียวหูฮั่น มายื่นฟ้อง ค้อเหียนตง นักเรียนในชั้นสิวจ๋าย อายุสิบแปดปี ว่าได้ฆ่า นาง สุกเง็ก บุตรีอายุสิบเจ็ดปีของตนถึงแก่ความตาย เนื้อความในคำฟ้องไม่มีรายละเอียดอันใดเลย นอกจากเล่าว่า

เช้าวันหนึ่งถึงเวลากินข้าวแล้ว บิดาและมารดาของนางสุกเง็ก ไม่เห็นบุตรีของตนลงมากินข้าวด้วย เสียวหูฮั่นจึงขึ้นไปในห้องนอนของนางสุกเง็ก ก็เห็นบุตรสาวของตนนอนตายอยู่ในห้อง มีบาดแผลโลหิตไหลอาบอยู่ จึงได้เชิญกำนันนายบ้านนายอำเภอ มาพลิกศพชันสูตรบาดแผล รู้ว่าถูกแทงด้วยมีด และทรัพย์สินก็หายไปหลายสิ่ง กับมีเพื่อนบ้านไม่ระบุชื่อมาบอกเล่าว่า นางสุกเง็กรักใคร่เป็นชู้อยู่กับค้อเหียนตงมาช้านานแล้ว คืนที่เกิดเหตุค้อเหียนตงไปกินเลี้ยง เสพสุรากับเพื่อนหลายคน คงจะเมาสุรากลับมาหานางสุกเง็กและฆ่านางเสีย

แม้จะเป็นคำฟ้องที่เลื่อนลอยเต็มที แต่เปาบุ้นจิ้นก็มิได้ละเลยในการคิดพิจารณาหาสาเหตุ จึงให้นักการไปตามตัวค้อเหียนตงมาชำระไต่ถาม ค้อเหียนตงก็ได้ให้การว่า ตนเป็นนักเรียนได้เดินทางไปโรงเรียน ผ่านมาทางบ้านของเสียวหูฮั่นทุกวัน ได้แลเห็นนางสุกเง็กบุตรสาวของเศรษฐี มีลักษณะงามก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ยิ่งนัก จึงวานหญิงที่ชอบพออัชฌาสัยกับนางสุกเง็ก เป็นสื่อช่วยพูดจาให้ นางสุกเง็กก็พอใจรักใคร่ตนด้วย จึงได้นัดแนะไปมาหาสู่ร่วมรู้รักใคร่ได้เสียกัน

นางสุกเง็กก็บอกกับค้อเหียนตงว่า ต่อไปไม่ต้องเอาบันไดมาพาด ให้ผู้คนชาวบ้านรู้เห็น นางจะเอาเชือกทำบันไดมีสายเหนี่ยว หย่อนลงไปจากหน้าต่าง มีเชือกเส้นเล็ก ๆ ผูกไว้เป็นสำคัญ เมื่อมาถึงก็ให้กระตุกเชือก จะได้หย่อนบันไดลงมาให้ไต่ขึ้นไปอยู่ด้วยกัน ค้อเหียนตงก็ไปมาหาสู่นางสุกเง็กด้วยวิธีดังกล่าวนั้น ประมาณสักหกเดือน บิดามารดาของนางสุกเง็กก็มิได้รู้ความ แต่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงนั้นก็รู้กันอยู่ทั้งสิ้น

ในระหว่างที่เกิดเหตุนั้น ค้อเหียนตงได้ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนนักเรียน และเสพสุรามึนเมา จนต้องนอนค้างกับเพื่อนอีกหลายคน ซึ่งสามารถที่จะอ้างให้มาเป็นพยานได้

เปาบุ้นจิ้นก็ให้ไปตามพยานที่ค้อเหียนตงกล่าวถึง พยานเหล่านั้นก็ได้ให้การตรงตามคำของจำเลยทุกคน เปาบุ้นจิ้นจึงถามจำเลยว่า เมื่อเวลาที่ไปมาหาสู่กับนางสุกเง็กในครั้งก่อน ๆ นั้น ได้พบปะผู้ใดให้รู้เห็นเป็นพยานบ้างหรือไม่

ค้อเหียนตงก็ให้การว่า

“…..เมื่อเวลาข้าพเจ้าไปมาหาสู่นางสุกเง็กนั้น หามีผู้รู้เห็นเป็นพยานไม่ ได้พบแต่หลวงจีนรูปหนึ่ง เดินภาวนาเคาะเกราะไปมาอยู่ตามถนนนั้น นอกจากนั้นแล้วข้าพเจ้าหาได้พบปะผู้ใดไม่…..”

เปาบุ้นจิ้นก็ว่าถ้าเช่นนั้น ค้อเหียนตงก็เป็นผู้ฆ่านางสุกเง็กเป็นแน่แล้ว จึงสั่งให้เฆี่ยนค้อเหียนตงยี่สิบที แล้วให้เอาตัวไปขังคุกไว้ก่อน จากนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ไปเที่ยวสืบว่า หลวงจีนองค์ที่จำเลยให้การถึงนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่ก็ไปสืบได้ความว่าชื่อ หลวงจีนเม่งซิว สำนักอยู่ที่วัดกวนอิมยี่ ใกล้สะพานฮ่วนเกีย เปาบุ้นจิ้นจึงได้ออกอุบายให้เจ้าหน้าที่สองคนคือ อ๋องต๋ง กับ หลีหงี ไปทำการหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม

วันหนึ่งเวลาดึกประมาณสองยาม หลวงจีนเม่งซิวออกจากวัดเที่ยวเดินภาวนาตีเกราะมาตามเคย พอถึงสะพานฮ่วนเกีย ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใต้สะพาน เหมือนเสียงปีศาจว่า

“…ท่านหลวงจีนเอ๋ย ไม่ควรเลยที่จะฆ่าเรา บัดนี้เราได้ไปฟ้องท่านต่อพระยายมราชแล้ว ท่านให้นำยมบาลมาเป็นเทวฑูต เอาดวงจิตวิญญาณของท่านไปชำระยังเมืองนรก..”

หลวงจีนเม่งซิวได้ยินก็ตกใจยิ่งนัก แลเห็นเทวฑูตยืนอยู่บนสะพานร้องสำทับว่า

“….ท่านหลวงจีนนี้ไม่อยู่ในศีลในธรรม ฆ่ามนุษย์แล้วมิหนำเอาทรัพย์ของเขาโดยไถยจิตอันเป็นใจขะโมย บัดนี้พระยายมให้เรามาเอาวิญญาณท่านไปชำระในนรก….”

หลวงจีนเม่งซิวก็ทรุดตัวลงนั่งภาวนา แล้วร้องบอกไปว่า

“….อันแก้วแหวนเงินทองสิ่งของเครื่องแต่งตัวของเจ้านั้น เราจะจำหน่ายขายเอาเงินมาทำกงเต๊ก แผ่กุศลส่วนบุญให้แก่เจ้า อย่าได้มาหลอกหลอนเราต่อไปเลย….”

เทวพูตทั้งสองตนบนสะพาน ก็ตรงเข้ามาจับตัวหลวงจีนเม่งซิวมัดไว้ ซึ่งที่แท้ก็คืออ๋องต๋งกับหลีหงีนั่นเอง ทั้งสองนำตัวหลวงจีนมาให้เปาบุ้นจิ้นไต่สวน หลวงจีนก็ให้การตามความสัตย์จริงว่า

เรื่องที่ค้อเหียนตงกับนางสุกเง็กพบกันนั้น ตนได้เห็นอยู่เสมอ เมื่อคืนที่เกิดเหตุนั้น ตนเดินจงกรมตามถนนผ่านมาถึงตึกของนางสุกเง็ก เห็นเชือกเส้นเล็กห้อยลงมาจากหน้าต่าง จึงเข้าไปใกล้แล้วจับเชือกนั้นดึงดู นางสุกเง็กเข้าใจว่าเห็นค้อเหียนตง จึงหย่อนบันไดเชือกลงมารับอย่างเคย หลวงจีนเม่งซิวจึงเหนี่ยวเชือกปีนบันไดไปจนถึงหน้าต่าง

นางสุกเง็กเห็นเป็นหลวงจีนมิใช่ค้อเหียนตง ก็ตกใจตัวสั่นแล้วว่า

“….เราหวังใจว่าชู้รักของเรา จึงหย่อนบันไดรับให้ขึ้นมา ตัวท่านหาใช่ชู้รักของเราไม่ ประการหนึ่งตัวท่านเป็นชีบานาสงฆ์บวชแล้ว ควรจะตั้งอยู่ในศีลสัตย์ตามเพศของนักบวช หาควรกระทำความชั่วให้ผิดเพศสัมณะไม่ จงรีบลงไปเสียให้พ้นตึกเรา….”

หลวงจีนก็ตอบว่า

“….ตัวเจ้าได้รับรูปขึ้นมาถึงที่นี่แล้ว ขอให้รูปได้อาศัยหลับนอนด้วยสักคืนหนึ่งเถิด รูปจะมีความขอบใจสีกาเป็นอันมาก ทั้งสีกาก็จะได้ส่วนผลานิสงค์เป็นอันมากด้วย….”

นางสุกเง็กก็ตวาดเอาว่า

“….ถ้าท่านขืนดื้อดึงอยู่ มิลงไปเสียโดยเร็ว เราจะร้องขึ้นให้ชาวบ้านร้านตลาด มาจับตัวท่านว่าเป็นผู้ร้าย ท่านก็จะได้ความอัปยศอดอาย ทั้งจะมีโทษด้วยเป็นอันมาก….”

หลวงจีนยังเถียงอีกว่า

“…..เจ้ารับเราขึ้นมาแล้ว และกลับมาขับไล่เสียอีก ดังนี้หาควรไม่….”

นางสุกเง็กเห็นหลวงจีนยังพูดดื้อดึงอยู่ดังนั้น ก็ร้องขึ้นได้คำหนึ่ง ทันใดนั้นหลวงจีนก็ชักมีดออกจากพก ตรงเข้าไปฆ่านางสุกเง็กตายในทันที แล้วก็เก็บแก้วแหวนเงินทอง และสิ่งของซึ่งมีราคา อันเป็นเครื่องแต่งตัวของนางสุกเง็กนั้น ไปเป็นประโยชน์แห่งตนทั้งหมด

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังคำสารภาพของหลวงจีนเม่งซิวแล้ว ก็พิพากษาปรับโทษไปตามกฎหมาย และให้รางวัลแก่หญิงคนชั่วที่ปลอมเป็นปีศาจ และอ๋องต๋ง กับหลีหงี ซึ่งปลอมเป็น เทวฑูต ตามสมควรแก่ความชอบ แล้วก็ปล่อยค้อเหียนตงออกจากคุก

ท่านเปาบุ้นจิ้นได้แนะนำค้อเหียนตงว่า

“…..ตัวท่านก็ได้เป็นผู้เล่าเรียนรู้ขนบธรรมเนียมอยู่แล้ว อันนางสุกเง็กผู้ตายก็ได้ร่วมรักแก่ตัวท่าน จัดว่าเป็นภรรยาของท่านแล้ว มาถึงแก่ความตายเสียด้วยฝีมือของหลวงจีนฉะนี้ ตัวท่านต้องไว้ทุกข์นุ่งขาวห่มขาวให้แก่นางสุกเง็ก อันนางสุกเง็กนี้ต้องนับว่าเป็นเอกภรรยาของท่าน…..”

ค้อเหียนตงก็กระทำการไว้ทุกข์ ให้นางสุกเง็กตามธรรมเนียมจีน แล้วก็แจ้งความกับเปาบุ้นจิ้นว่า

“………..เดิมข้าพเจ้าตั้งใจว่า ถ้าข้าพเจ้าสอบไล่ได้ประโยคกือหยินแล้ว ก็จะให้ผู้ใหญ่เป็นเฒ่าแก่มาสู่ขอนางสุกเง็กต่อบิดามารดา มาบังเอิญเป็นให้หลวงจีนคนร้าย ฆ่านางสุกเง็กเสียดังนี้ ข้าพเจ้ามีความเสียดายนางสุกเง็ก และมีความโทมนัสเป็นที่ยิ่ง ข้าพเจ้าไม่ขอมีภรรยา ต่อไปแล้ว…..”

เปาบุ้นจิ้นก็ให้สติว่า

“…..อันเกิดมาเป็นชายชาติทหาร ต้องมีบุตรภรรยา จะได้ต่อเชื้อสืบสายตระกูล แม้ว่าผู้ใดไม่คิดต่อเชื้อชาติตระกูล ก็จัดว่าผู้นั้นไม่มีความกตัญญูต่อแผ่นดิน และบิดามารดาของตน….”

ค้อเหียนตงก็เชื่อฟังคำของเปาบุ้นจิ้น เล่าเรียนต่อไปจนสอบไล่หนังสือได้ประโยคชั้นกือหยิน ทำราชการเป็นขุนนางมียศขึ้นตามลำดับ เปาบุ้นจิ้นจึงให้เพื่อนข้าราชการ เป็นเฒ่าแก่ไปขอบุตรของพวกแซ่ซุ่ย มาแต่งงานเป็นภรรยาค้อเหียนตงในที่สุด

คดีเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ถือศีลกินเจแต่ยังประพฤติชั่วนั้น ก็ได้มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ถ้าไม่ได้ท่านเปาบุ้นจิ้น ทำอุบายให้ปีศาจและเทวฑูตปลอม ไปหลอกหลวงจีนผู้ทำชั่ว จนถึงต้องสารภาพแล้ว ค้อเหียนตงก็คงจะต้องเสียทั้งภรรยา และต้องตายอยู่ในคุกเสียเป็นแน่แท้.

##########

วารสารสยามอารยะ
ธันวาคม ๒๕๓๙




 

Create Date : 09 กันยายน 2554    
Last Update : 9 กันยายน 2554 5:55:05 น.
Counter : 524 Pageviews.  

รักแล้วไม่แคล้วกัน




เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

รักแล้วไม่แคล้วกัน


กาลครั้งนั้น เปาบุ้นจิ้น ได้เป็นข้าหลวงพิเศษเดินทางไปตรวจราชการบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ มาถึงเมืองเตี้ยจิวบู ก็ได้รับคำฟ้องร้องของ ติวสือเหลง ขุนนางเก่าเคยรับราชการในตำแหน่งเทียนเจ่งอยู่ที่เมืองน่ำเกีย มีใจความว่า

เมื่อวันขึ้นสองค่ำเวลาประมาณสองยามเศษ มีผู้ร้ายลอบเข้าไปในบ้านได้ฆ่า นางตั๋นกุ้ย สาวใช้ของ นางเลี่ยงเง็ก ผู้เป็นบุตรสาว ถึงแก่ความตาย แล้วก็เก็บเอาทรัพย์สินเงินทองไปหลายสิ่งหลายอย่าง ดังรายการที่แจ้งมาแล้ว

ต่อมาได้ให้คนใช้ไปเที่ยวสืบเสาะตรวจดูตามโรงร้านต่าง ๆ ได้กำไลทองคำของกลางซึ่ง อ๋องเฉียวตั๋ง เอามาขายไว้หนึ่งอัน ซึ่งยืนยันว่าอ๋องเฉียวตั๋งนั้นเป็นผู้ร้าย จึงขอได้เรียกตัวมาพิจารณา ตามพระราชกำหนดกฎหมาย และทางยุติธรรมด้วย

ท่านเปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการไปตามตัวอ๋องเฉียวตั๋ง มาไต่สวนตามข้อหา แต่อ๋องเฉียวตั๋งให้การปฏิเสธ

เปาบุ้นจิ้นจึงว่า ถ้าไม่ยอมรับว่าได้ฆ่านางตั๋งกุ้ยตาย แล้วเอากำไลทองคำของกลางนั้นมาจากไหน จงให้การไปตามความสัตย์จริง ถ้าอำพรางไว้จะทำโทษให้ถึงสาหัส

อ๋องเฉียวตั๋งก็เลยให้การอย่างยืดยาว ท้าวความตั้งแต่ตนเองก็ยังไม่เกิด ซึ่งพอจะเรียบเรียงได้ดังนี้

เมื่อสิบหกปีมาแล้วบิดาของอ๋องเฉียวตั๋งชื่อ อ๋องจือสิน ได้เป็นเพื่อนรักกับติวสือเหลง ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ เมื่อครั้งที่ทั้งสองได้เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบไล่เข้ารับราชการนั้น ภรรยาของอ๋องจือสิน กับภรรยาของติวสือเหลง ต่างก็มีครรภ์ใกล้กำหนดคลอด

ทั้งสองจึงตกลงกันว่า ถ้าบุตรของตนทั้งสองฝ่าย เป็นชายหรือเป็นหญิงทั้งคู่ เมื่อโตขึ้นจะให้เป็นพี่น้องกัน แต่ถ้าเป็นบุตรชายกับหญิง ก็จะให้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน

ครั้นถึงเมืองหลวง ติวสือเหลงสอบได้ ก็เข้ารับราชการเป็นนายอำเภอ แต่อ๋องจือสิน สอบตก ต้องกลับมาอยู่บ้านเดิม

นางหลีสี ภรรยาของติวสือเหลง คลอดบุตรเป็นหญิง เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนสาม ปีมะโรง เวลาย่ำค่ำ

ส่วน นางงุ่ยสี ภรรยาของอ๋องจือสินก็คลอดบุตรเป็นชายคือตัวจำเลยนี้ ซึ่งเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่เป็นเวลาสองโมงเช้า

อีกสองเดือนต่อมาติวสือเหลงก็วานให้ เล่าเป๊กเหลียน เพื่อนรักอีกคนหนึ่งเป็นเฒ่าแก่ จัดแหวนเพ็ชรวงหนึ่งให้แก่บุตรชายของอ๋องจือสินเป็นของหมั้น และอ๋องจือสินก็จัดกำไลหยกคู่หนึ่ง เป็นของหมั้นแก่บุตรสาวของติวสือเหลงด้วย

ต่อมาอ๋องจือสินได้ไปสอบไล่อีกสองครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แม้จะมีมานะทนรับราชการเป็นผู้น้อยอยู่ที่เมืองสงกัง แต่ต่อมาอีกไม่นานก็ป่วยถึงแก่ความตายไป และได้ฝากฝังภรรยากับ บุตรชายไว้แก่ติวสือเหลง

ซึ่งติวสือเหลงก็ยินดีอุปการะนางงุ่ยสีและอ๋องเฉียวตั๋งเป็นอย่างดี แต่ อ๋องเฉียวตั๋งไม่อาจจะทิ้งมารดาไปเรียนหนังสือได้ จึงขัดสนยากจนลงเป็นลำดับ

จนกระทั่งอ๋องเฉียวตั๋งอายุได้สิบหกปี ติวสือเหลงเป็นขุนนาง ตำแหน่งเทียนเจ่งที่เมืองน่ำเกีย ได้ลาออกจากราชการมาอยู่บ้านเดิม อ๋องเฉียวตั๋งจึงขอร้องให้เล่าเป๊กเหลียนผู้เคยเป็นเฒ่าแก่ ไปเจรจาขอแต่งงานกับนางเลี่ยงเง็ก

แต่ติวสือเหลงเห็นว่าฝ่ายชายเป็นคนยากจนไม่มีเงินทองก็คิดรังเกียจ จึงให้จัดเงินทองสิ่งของมาแต่งงานตามธรรมเนียม ให้สมเกียรติของลูกข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ อ๋องเฉียวตั๋งไม่มีเงินทองตามที่เรียกร้อง จึงต้องรออยู่

วันหนึ่งอ๋องเฉียวตั๋งเดินผ่านไปทางสวนดอกไม้ หลังบ้านนางเลี่ยงเง็ก ก็มีสาวใช้ชื่อนางตั๋นกุ้ยมาเชิญให้เข้าไปในสวน แล้วก็ได้พูดคุยกับนางเลี่ยงเง็ก นางมีความสงสารอ๋องเฉียวตั๋ง จึงว่า

"........บิดาของข้าพเจ้ากับบิดาของท่าน ก็ได้ให้คำมั่นสัญญากันไว้ว่า จะให้ท่านกับข้าพเจ้าอยู่กินด้วยกัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมีความเมตตาอาลัยในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านจงอุตสาหะเรียนหนังสือในตระกูลกวี ให้มีชื่อเสียงปรากฎไว้ในแผ่นดิน ข้าพเจ้ากับท่านคงจะได้อยู่กิน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปกว่าจะหาชีวิตไม่....."

อ๋องเฉียวตั๋งก็ตอบว่า

".......บิดามารดามีคำมั่นสัญญาไว้ต่อกันนั้นก็จริงแล้ว มาบัดนี้บิดาของข้าพเจ้าถึงแก่กรรมล่วงลับไปเสียแล้ว ตัวข้าพเจ้าก็อนาถายากจน ชั้นแต่เสื้อกางเกงจะบริโภคนุ่งห่มก็ไม่เต็มภาคภูมิ เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจมาจัดการวิวาหมงคล จึงได้รอรั้งไว้โดยความเจียมตัวว่าเป็นคนอนาถา....."

นางเลี่ยงเง็กก็ตั้งใจจะอุปถัมภ์อ๋องเฉียวตั๋ง จึงนัดให้ไปหาเวลาค่ำจะได้มอบสิ่งของเงินทองให้ อ๋องเฉียวตั๋งก็ลาไปก่อน พอถึงเวลาประมาณสองยามก็กลับมาอีก นางตั๋นกุ้ยก็เปิดประตูสวนรับเข้าไปหานางเลี่ยงเง็ก

นางก็เชิญให้ร่วมโต๊ะเสพสุรา พูดจาสนทนากันด้วยความรักใคร่ แต่นางเลี่ยงเง็กบอกว่า

".....ข้าพเจ้านัดให้ท่านมาในวันนี้ ประสงค์จะให้เงินทองเสื้อผ้าแก่ท่านไปใช้สอยก่อน และจะได้ให้เฒ่าแก่มานัดการมงคล แล้วท่านกับข้าพเจ้าจึงจะเป็นสามีภิริยากันต่อไปภายหน้า จึงจะสมควรแก่เราท่าน ที่เป็นบุตรผู้มีบิดามารดาด้วยกัน....."

อ๋องเฉียวตั๋งจึงเกรงใจไม่กล้าล่วงเกิน แม้นางเลี่ยงเง็กจะเมาสุราจนม่อยหลับไป

พอใกล้สว่างนางเลี่ยงเง็กตื่นขึ้นมาล้างหน้า แล้วจึงได้มอบแพรอย่างดีสามไม้ เงินสามลิ่มสายสร้อยกำไลทองคำหนึ่งคู่ ให้แก่อ๋องเฉียวตั๋ง บอกว่าให้เอาไปใช้สอยก่อน ส่วนเงินทองสิ่งของที่จะแต่งงานนั้น จะจัดหาให้ภายหลัง

ตั้งแต่นั้นอ๋องเฉียวตั๋งก็แวะเวียนไปหานางเลี่ยงเง็กอีกหลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้หลับนอนด้วยกันประมาณสิบห้าวัน

พอดีมารดาอ๋องเฉียวตั๋งไม่สบาย อ๋องเฉียวตั๋งต้องอยู่ดูแลมารดา คืนนั้นจึงไม่ได้ไปหานางเลี่ยงเง็ก

พอรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่า นางตั๋นกุ้ยถูกฆ่าตาย และคนร้ายได้เก็บทรัพย์สินสิ่งของเอาไปเป็นอันมาก อ๋องเฉียวตั๋งจึงไม่กล้าไปหานางเลี่ยงเง็กอีก

ต่อมานางงุ่ยสีมารดาป่วยหลายวันไม่มีค่ายา อ๋องเฉียวตั๋งจึงเอากำไลทองคำที่นางเลี่ยงเง็กให้นั้น ไปขายให้ร้านทองเสียข้างหนึ่ง พอดีคนใช้ของติวสือเหลงจำได้ว่าเป็นของนางเลี่ยงเง็ก จึงขอยืมไปให้นายดู ติวสือเหลงจึงมาฟ้องร้องคดีนี้ ซึ่งตนเองมิได้รู้เห็นเรื่องการตายของนางตั๋นกุ้ยเลย

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังคำให้การของอ๋องเฉียวตั๋งแล้วก็คาดคั้นว่า ถ้าไปสืบกับนางเลี่ยงเง็กแล้ว เขาไม่รับตามคำที่อ้างจะว่าประการใด อ๋องเฉียวตั๋งก็ยังยืนยันอยู่ว่า

".....ถ้าสืบที่นางเลี่ยงเง็กเขาไม่รับ ไม่สมคำให้การของข้าพเจ้าแล้ว ก็แล้วแต่ท่านจะเมตตา เพราะเป็นความจริงอย่างนั้น ข้าพเจ้าจึงกล้าอ้าง....."

เปาบุ้นจิ้นก็ให้นักการไปตามตัวนางเลี่ยงเง็ก มาสอบถามเป็นคนต่อไป
เมื่อนางเลี่ยงเง็กมาศาลแล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ถามว่า นางมีความสัมพันธ์กับอ๋องเฉียวตั๋งตามคำให้การนั้นหรือไม่

นางเลี่ยงเง็กมีความละอายในการกระทำของตน จึงไม่กล้าตอบ ได้แต่หมอบก้มหน้านิ่งอยู่

เปาบุ้นจิ้นถามซ้ำถึงสามครั้ง ก็ไม่ยอมตอบ เปาบุ้นจิ้นโกรธจึงสั่งให้นักการ เอาตัวอ๋องเฉียวตั๋งมาเฆี่ยนเสียสี่สิบทีก่อน แล้วจึงค่อยถามต่อ

พอจะลงมือตี อ๋องเฉียวตั๋งก็ร้องไห้รำพันว่า

"......เรากับเจ้าก็ได้ร่วมรักทำสัตย์สาบานต่อกันไว้ ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจนตลอดชีวิต เจ้าจึงได้ให้สิ่งของเงินทองไปแก่เรา มาบัดนี้เกิดความด้วยอ้ายผู้ร้าย ลอบเข้าไปฆ่านางตั๋นกุ้ยตาย ตัวข้าพเจ้าต้องรับอาญาแทนอ้ายคนร้าย ถึงตัวข้าพเจ้าจะต้องตายโดยความซื่อสัตย์ ก็ไม่คิดเสียดายแก่ชีวิตแล้ว แต่มาห่วงด้วยมารดาเป็นคนชรา อยู่ภายหลังจะได้ความลำบากยากแค้น ไม่มีใครจะอุปถัมภ์เท่านั้น......"

นางเลี่ยงเง็กก็ร้องไห้ด้วยความเมตตาสงสารอ๋องเฉียวตั๋ง จึงคุกเข่าคำนับเปาบุ้นจิ้น แล้วยอมให้การตามจริงซึ่งพอจะจับใจความได้ว่า

วันที่บิดามารดาของนางปรึกษากันถึงเรื่องอ๋องเฉียวตั๋งนั้น นางแอบฟังอยู่หลังฉาก บิดาบอกว่า

".....บุตรของเราอายุก็เจริญมากขึ้นเป็นสาวแล้ว เดิมได้รับคำมั่นสัญญาไว้ว่าจะให้อ๋องเฉียวตั๋ง..อ๋องเฉียวตั๋งมีความเจียมตัวว่ายากจนไม่มีสิ่งใดจะมาแต่งงาน ถ้าไม่มาแต่งแล้วมีบุตรขุนนางผู้อื่นมาขอ เราจะยกให้แก่ผู้อื่นเสีย....."

มารดาก็ว่า

"...ความยากจนไม่มีเงินทอง แต่มีความเพียรเล่าเรียนหนังสือ มีคุณเป็นประโยชน์แก่ราชการแล้ว ผู้นั้นจะตกไปอยู่ทิศานุทิศก็ไม่เป็นคนต่ำช้า ประการหนึ่งเราก็ได้สัญญาไว้แก่ อ๋องจือสิน ผู้บิดาของอ๋องเฉียวตั๋งไว้แต่เดิม ถ้าเราบิดพริ้วทำลืมคำสัญญาเสีย ก็ได้ชื่อว่าเราเป็นผู้เสียสัตย์ จะเป็นที่ติเตียนของเทวดาและมนุษย์ หาควรไม่..."

นางเลี่ยงเง็กจึงคิดอยู่ในใจว่า แม้บิดามารดาจะยกให้ผู้อื่นต่อไปจริง จะขอตายเสียดีกว่าที่จะอยู่เป็นมนุษย์ต่อไป เพราะอายแก่เขาที่จะขึ้นชื่อว่า เป็นหญิงม่ายขันหมาก

ต่อมาวันหนึ่งนางได้เห็นอ๋องเฉียวตั๋ง เดินผ่านมาริมสวนดอกไม้ เห็นมีลักษณะงาม แต่นุ่งห่มเป็นคนอนาถาไม่สะอาด นางมีจิตคิดสงสาร จึงให้นางตั๋นกุ้ยสาวใช้ไปเชิญให้มาพบปะเจรจากัน จนถึงขั้นสุดท้ายตามที่อ๋องเฉียวตั๋งให้ถ้อยคำทุกประการและได้ย้ำว่า เมื่อผู้ร้ายเข้าไปฆ่านางตั๋นกุ้ยนั้น แสงไฟก็ส่องสว่างได้เห็นตัวผู้ร้าย ว่ามิใช่อ๋องเฉียวตั๋งแน่นอน แต่จำหน้าไม่ได้ ส่วนอ๋องเฉียวตั๋งจะได้เป็นผู้ร้ายฆ่านางตั๋นกุ้ยนั้น หามิได้

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังนางเลี่ยงเง็กให้การตรงกับอ๋องเฉียวตั๋ง จึงให้ปล่อยตัวอ๋องเฉียวตั๋งเสีย อ๋องเฉียวตั๋งก็มาคุกเข่าคำนับเปาเล่งถู อยู่เคียงกับนางเลี่ยงเง็ก นางเห็นมวยผมของอ๋องเฉียวตั๋งหลุดลุ่ย ก็ช่วยเกล้าให้ใหม่

ติวสือเหลงเห็นดังนั้นก็ทนไม่ได้ โกรธบุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง จึงด่าว่ากระทำเช่นนี้ บิดาได้ความอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก ช่างไม่มีความละอายและเกรงกลัวบิดามารดาเลย

เปาบุ้นจิ้นจึงเกลี้ยกล่อมให้ติวสือเหลง เห็นความจริงว่าได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าอ๋องเฉียวตั๋งไม่ได้เป็นผู้ร้าย และไหน ๆ ทั้งสองคนก็ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว จึงควรจะจัดการตบแต่งให้อยู่กินด้วยกันเสียเถิด จะได้ไม่เป็นคนเสียสัตย์

ติวสือเหลงก็แย้งว่าต้องชำระให้ได้ตัวผู้ร้ายฆ่านางตั๋นกุ้ยเสียก่อน จึงจะจัดการแต่งงานให้

เปาบุ้นจิ้นก็ปล่อยตัวทุกคนกลับบ้านไป แล้วไต่ถามเจ้าหน้าที่ในเมืองนี้ ว่ามีผู้ใดเป็นผู้ร้ายตัดช่องย่องเบาอยู่บ้าง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ามีอยู่คนหนึ่งชื่อ เซ้งหยิน ซึ่งเคยตัดช่องย่องเบาชาวบ้าน เขาจับตัวได้ชำระเป็นสัตย์ แล้วสักเป็นตัวอักษรไว้ด้วยหมึกที่บ่า ชื่อและแซ่ยังปรากฎ อยู่ในสารบบบัญชี

เปาบุ้นจิ้นจึงให้ไปตามตัวมาไต่สวน

เซ้งหยินก็ให้การปฏิเสธ เปาบุ้นจิ้นจึงว่าถ้ารับเสียโดยดีแล้ว โทษทัณฑ์ก็พอจะลดให้เบาบางลงได้บ้าง แต่ถ้าไม่รับแล้วภายหลังเป็นสัตย์ จะต้องทำโทษเต็มตามกฎหมาย เซ้งหยินก็ให้การว่า

"......แต่เดิมนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้ร้าย เที่ยวตัดช่องย่องเบาจริง มาบัดนี้ข้าพเจ้ามีความเข็ดหลาบ กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน มิได้ประพฤติความชั่วอีกเช่นแต่ก่อนแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ฆ่านางตั๋นกุ้ย และมิได้เก็บเอาทรัพย์สมบัติ เงินทองของเจ้าเรือนไปเลย....."

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้เฆี่ยนเพื่อขู่จะให้รับ แต่บังเอิญมองเห็นลูกกุญแจของเซ้งหยินห้อยอยู่ที่เอว จึงให้นักการแก้เอามาพิจารณาดู แล้วก็สั่งให้นักการไปค้นหาของกลางที่บ้านเซ้งหยิน พร้อมกับบอกอุบายให้ด้วย

นักการไปถึงบ้านเซ้งหยิน ก็บอกกับภรรยาว่าเซ้งหยินผู้สามียอมรับเป็นสัตย์แล้ว จึงให้ลูกกุญแจมาไขเอาของกลาง ที่เก็บไว้ในหีบส่งไปที่ศาล

ภรรยาของเซ้งหยินสำคัญว่าจริง จึงนำนักการเข้าไปในห้อง มีหีบอยู่สองใบ นักการก็เอาลูกกุญแจไขดู เห็นมีเงินทองสิ่งของมากมาย จึงนำมาให้เปาบุ้นจิ้นพิจารณา

เปาบุ้นจิ้นก็ให้เสมียนจดรายการไว้ แล้วให้ตามตัวติวสือเหลงมาดูของกลาง ก็ปรากฎว่าเป็นทรัพย์สินของติวสือเหลงทั้งสิ้น

เซ้งหยินจึงต้องรับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุนั้น ตนได้เข้าไปถึงประตูสวนดอกไม้หลังบ้านของติวสือเหลง นางตั๋นกุ้ยก็เดินมาเปิดประตูให้ แต่พอได้เห็นหน้าตนก็ตกใจวิ่งกลับเข้าบ้านและจะร้องให้คนช่วย จึงวิ่งไล่ตามไปฆ่าเสีย แล้วก็เก็บเงินทองสิ่งของติดมือไปจริง

เปาบุ้นจิ้นก็พิพากษาให้ลงโทษเซ้งหยินตามกฎหมาย
ส่วนติวสือเหลงก็ต้องจัดการแต่งงานให้อ๋องเฉียวตั๋งกับนางเลี่ยงเง็ก
ตามที่ได้ตกลงกับท่านเปาบุ้นจิ้น ผู้ทรงความยุติธรรมไว้นั้น

ทั้งสองหนุ่มสาวจึงได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน สมความปรารถนาในที่สุด.

##########








 

Create Date : 08 กันยายน 2554    
Last Update : 8 กันยายน 2554 6:09:00 น.
Counter : 476 Pageviews.  

ศพปริศนา

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

ศพปริศนา
" เล่าเซี่ยงชุน "

กาลครั้งหนึ่งเมื่อ เปาบุ้นจิ้น ถือรับสั่ง พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ออกไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ จนถึงเมืองกวางตุ้ง เจ้าเมืองก็ออกไปต้อนรับ พาเข้าพักในก๋งก๊วนอันเป็นที่พักสำหรับแขกเมือง แล้วเจ้าเมืองกับคณะกรมการเมือง ก็นำคดีความที่ยังค้างคาอยู่ มาให้เปาบุ้นจิ้นพิจารณา

คดีหนึ่งมีความเดิมว่า พังเล่ ชาวเมืองกวางตุ้ง ได้ยก นางพังชุนเน้ย บุตรสาว ให้แต่งงานกับ หลิมฮัก ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายข้าวแกง อยู่ในเมืองนี้ หลิมฮักมีทุนค้าขายอยู่สองพันตำลึง ก็อยู่กินเป็นสามีภรรยากันมาโดยไม่ขัดสน แต่นางพังชุนเน้ยมีนิสัยไม่ดี ชอบคบชู้สู่ชายนอกใจสามีอยู่เนือง ๆ บิดามารดาของหลิมฮัก รู้เห็นเหตุการณ์ที่นางพังชุนเน้ยประพฤติตนเป็นคนชั่ว ใจง่ายก็บอกให้หลิมฮักรู้ หลิมฮักก็มีความโกรธจึงทุบตีด่าว่าภรรยามิปราณีปราสัย

นางพังชุนเน้ยมีความแค้นยิ่งนัก จึงมาฟ้องบิดาว่า ถ้าเห็นว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว ก็ควรที่จะทิ้งเสียให้ตายตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าอ้อม ก็จะเป็นการสิ้นทุกข์ไป แต่นี่บิดาและมารดาเลี้ยงมาจนใหญ่ปานนี้ มายกให้แก่คนใจคอโหดร้าย ถ้าทำความดีก็เสมอตัว แต่คำพูดนั้นหยาบช้า ด่าค่อนขอดต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ถ้ากระทำผิดก็ทุบตีเอาไม่เว้น เห็นทีจะต้องฆ่าตัวตายไปเสียดีกว่าอยู่เป็นมนุษย์

พังเล่ก็ปลอบโยนเอาใจว่า เขาเป็นสามีของเจ้าอย่าได้ต่อล้อต่อเถียง จงเชื่อถ้อย ฟังคำสามี จึงจะถูกต้องตามแบบอย่างธรรมเนียม ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังเขาแล้ว ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องทะเลาะวิวาท ทุบตีกันเป็นธรรมดา นางพังชุนเน้ยก็ไม่ว่าอะไร แล้วก็ลาบิดากลับบ้านไป

อยู่มาไม่ช้าไม่นาน นางพังชุนเน้ยก็หายไปจากบ้าน หลิมฮักผู้สามีเที่ยวสืบเสาะแสวงหาก็ไม่ได้ข่าวคราว ว่าไปอยู่แห่งหนตำบลใด แต่พังเล่พ่อตาไม่เชื่อว่านางพังชุนเน้ยจะหายไปจริง เข้าใจว่าหลิมฮักคงจะทุบตีภรรยาจนถึงแก่ความตาย แล้วเอาศพไปซุกซ่อนเสีย แกล้งทำอุบายเที่ยวสืบหาเพื่อแก้สงสัยเท่านั้น จึงมาฟ้องร้องต่อเจ้าเมือง และย้ำในตอนท้ายว่า

".......เมื่อเห็นบุตรีของข้าพเจ้าเป็นคนชั่วร้ายสามานย์ประการใด ก็ชอบแต่จะคืนบุตรของข้าพเจ้า มาให้ข้าพเจ้าผู้บิดามารดา มาบัดนี้หลิมฮักทุบตีบุตรของข้าพเจ้าถึงสาหัส จนบุตรข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย แล้วเอาศพไปซ่อนเสียมิให้ข้าพเจ้าพบเห็น และทำกลอุบายว่าบุตรของข้าพเจ้าหนีไป ถ้าบุตรของข้าพเจ้าหนีไปจริงแล้ว คงจะมีผู้พบปะและได้ข่าวคราวบ้าง....."

เจ้าเมืองได้รับคำฟ้องแล้ว ก็ให้พนักงานคุมตัวหลิมฮักมาไต่สวน แต่หลิมฮักยืนยันว่ามิได้ทุบตีนางพังชุนเน้ยถึงแก่ความตาย นางพังชุนเน้ยหนีตามชู้ไปเอง ซึ่งเจ้าเมืองและตุลาการเห็นว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ จึงให้เอาตัวหลิมฮกไปขังไว้ในกองลหุโทษก่อน

ต่อมาราษฎรชาวบ้านแขวงเมืองกวางตุ้ง พบศพผู้หญิงตายอยู่ในบ่อน้ำลึกหลายวา จึงเอาพะองพาดลงไปในบ่อ เอาเชือกหย่อนลงไปผูกมัดชักศพนั้นขึ้นมาจนได้ พนักงานกำนันและอำเภอ ก็มาชันสูตรพลิกศพ แต่ศพนั้นเน่าเปื่อยจำหน้าไม่ได้แล้ว

ตุลาการก็คุมตัวหลิมฮักพร้อมด้วยพังเล่ไปดูศพ พังเล่คิดว่าเป็นศพของบุตรสาวของตนก็ร้องไห้ ตุลาการก็ถามหลิมฮักว่า ศพนี้เป็นศพของภรรยาท่านดังที่พังเล่ฟ้องกล่าวโทษแล้วหรือไม่ จงรับเสียโดยดีเถิด

หลิมฮักก็ให้การว่า

"……ลักษณะศพหญิงผู้นี้ หาใช่ศพของภรรยาข้าพเจ้าไม่ ภรรยาของข้าพเจ้ามีลักษณะเป็นคนอายุมาก ลักษณะศพหญิงผู้นี้ยังอ่อนกว่าภรรยาข้าพเจ้า ประการหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้ารูปร่างสูง รูปหญิงผู้ตายนี้เป็นคนต่ำเตี้ย อีกประการหนึ่ง ภรรยาของข้าพเจ้ามีผมยาวจดซ่นเท้า ศพหญิงนี้ผมสั้น ขอท่านพิจารณาโดยยุติธรรมเถิด……"

เจ้าเมืองได้ฟังคำให้การของหลิมฮักไม่ยอมรับ ก็ว่าเขาได้ศพมาแล้ว ยังให้การเป็นสำนวนต่อไปอีกเล่า แล้วก็ให้พนักงานตีหลิมฮักยกหนึ่งสี่สิบที หลิมฮักเหลือจะทนทานความเจ็บปวดได้ จึงต้องจำใจรับตามข้อหา เจ้าเมืองจึงสั่งให้เอาไปจำขังไว้จนบัดนี้

ท่านเปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม ได้ตรวจดูถ้อยคำสำนวน ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยตลอดแล้ว เห็นว่านางพังชุนเน้ยเป็นหญิงหลายใจ มักมากในกามราคะ เพราะฉะนั้น หลิมฮกผู้สามีจึงได้ทุบตี ชะรอยนางพังชุนเน้ยจะหนีตามผู้ชายไปเป็นแน่ จึงสั่งให้มีหนังสือประทับตรายี่ห้อเปาเล่งถู วางไปตามหัวเมืองทุกแขวงทุกตำบล ให้สินบนนำจับตัวนางพังชุนเน้ย และให้พนักงานเที่ยวสืบดูให้รู้ชัดว่าศพหญิงที่ได้มานั้น เป็นภรรยาหรือบุตรของผู้ใดแน่

ในไม่ช้าพนักงานก็นำตัวชายผู้หนึ่งมาให้เปาบุ้นจิ้นสอบสวน ก็ได้ความว่า ชายผู้นั้นเดิมเป็นชาวเมืองจิกกัง มาเช่าตึกทำการค้าขายอยู่ในเมืองกวางตุ้ง ชื่อ จื้อฮวย มีภรรยาน้อยคนหนึ่งชื่อ นางอ๋องสี เวลาเสพสุราเมาแล้ว นางอ๋องสีปฏิบัติไม่ถูกใจ ก็ตีด่ามิได้ปราณีปราสัย กระทำเช่นนั้นมาเป็นหลายครั้งหลายหน จนนางอ๋องสีเหลือที่จะอดทนได้ ครั้นเวลาดึกนางอ๋องสีหายไปจากบ้าน จื้อฮวยก็เที่ยวตามหาแต่ไม่พบ เป็นที่จนใจอยู่ จึงเขียนหนังสือให้สินบนปิดไว้หลายแห่ง ประมาณสักสองเดือนก็ไม่ได้ข่าวคราว จึงเลิกทำการค้าขายที่เมืองกวางตุ้ง กลับไปเมืองจิกกังบ้านเดิม เมื่อทราบข่าวศพหญิงในบ่อน้ำจึงทราบว่าเป็นภรรยาของตน เข้าใจว่าคงจะหนีไปโดดบ่อน้ำตาย ตั้งแต่ตอนที่หายไป

เปาบุ้นจิ้นไต่สวนจนเชื่อได้ว่าเป็นความจริงแล้ว ก็ปล่อยตัวจื้อฮวยกลับไป แล้วก็สั่งปล่อยหลิมฮกออกจากคุก ให้กลับไปขายข้าวแกงที่บ้านตามเดิม แล้วก็ให้สืบหาตัวนางพังชุนเน้ยต่อไป

อีกไม่ช้าไม่นาน เปาบุ้นจิ้นใช้ให้เจ้าพนักงานชื่อ ทังกัว ถือหนังสือไปติดต่อราชการกับเจ้าเมืองฮุนหนำ เมื่อเสร็จธุระแล้วก็พักอยู่ที่ตึกก๋งก๊วน คอยรับหนังสือตอบจากเจ้าเมือง ฮุนหนำ อยู่มาวันหนึ่งก็ไปเที่ยวที่สำนักโสเภณี ซึ่งได้ข่าวว่ามีหญิงรูปงามเพิ่งมาอยู่ใหม่ ทังกัวพบกับหญิงผู้นั้นแล้วก็สงสัยจึงถามว่า

".....เจ้าเป็นชาวเมืองไหนรูปร่างหมดจดงดงาม เหตุใดจึงมาเป็นคนหาเงินอย่างนี้...."

นางนั้นก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า

"....บิดามารดาของข้าพเจ้า ท่านก็เป็นคนดีเรียบร้อย แต่งให้ข้าพเจ้ามีสามี แต่สามีของข้าพเจ้า เป็นคนหยาบช้าดุร้ายยิ่งนัก ข้าพเจ้าอดรนทนไม่ได้จึงหนีมาอยู่เมืองนี้ ครั้นขัดสนจนยากไม่มีทุนรอนจะทำมาหากิน จึงจำใจจำเป็นหาเงินด้วยการอย่างนี้ พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น....."

ทังกัวจึงจำได้แล้วบอกว่า

".....ข้ากับเจ้านี้เป็นคนบ้านเดียวเ มืองเดียวกัน เจ้านี้เป็นภรรยาของลิมฮักมิใช่หรือ...."

นางนั้นก็ตกใจ ยอมรับว่าตนคือนางพังชุนเน้ย และเล่าความจริงให้ฟังก็ได้ความว่า วันหนึ่งตนได้พบชายผู้หนึ่งชื่อ ค้อตัด ได้พูดจาเกี้ยวพาราสี และชวนไปกินน้ำชาที่บ้านของเขา ตนมีความแค้นหลิมฮักสามี ที่ชอบดุด่าทุบตีอยู่เสมอ จึงไปกับค้อตัดแล้วก็ได้เสียกัน ที่บ้านของค้อตัดซึ่งอยู่คนเดียว ต่างก็พอใจต่อกัน นางพังชุนเน้ยจึงไม่กลับบ้าน เวลาค้อตัดจะออกจากบ้านก็ใส่กุญแจขังนางพังชุนเน้ยไว้ในห้อง ต่อเมื่อกลับมาก็ไขกุญแจเข้าไปหลับนอนด้วยกัน เป็นเช่นนี้มานานจนพังเล่บิดาของนางพังชุนเน้ย นำความไปฟ้องร้องต่อเจ้าเมืองกวางตุ้ง กล่าวโทษหลิมฮักว่าฆ่านางพังชุนเน้ยตายแล้วซ่อนศพไว้

ค้อตัดจึงบอกกับนางพังชุนเน้ยว่า บัดนี้เกิดความขึ้นแล้ว เราจะอยู่กันที่ตำบลนี้ไม่ได้ จำจะต้องไปอยู่เมืองอื่นจึงจะพ้นภัย ทั้งสองจึงออกเดินทางจากเมืองกวางตุ้งในเวลากลางคืน มาอยู่ที่เมืองฮุนหนำ อยู่มาไม่นานเงินทองที่มีติดตัวก็ร่อยหรอหมดสิ้นลง ค้อตัดก็ปรารภว่าในเมืองนี้ก็ไม่มีวงศาคณาญาติอยู่เลย เงินทองที่จะใช้สอยก็หมดแล้วจึงมีความวิตกยิ่งนัก นางพังชุนเน้ยเห็นช่องทางที่จะหาเงินได้ จึงขออนุญาตค้อตัดให้ทำตัวเป็นหญิงหาเงิน เพื่อจะได้เลี้ยงดูกันไปวัน ๆ ค้อตัดก็ไม่ขัดข้อง จึงเช่าโรงให้นางพังชุนเน้ยอยู่ หากินเลี้ยงกันมาจนถึงบัดนี้

แล้วนางพังชุนเน้ย ก็ขอร้องทังกัวมิให้แพร่งพราย บอกเล่าแก่ผู้ใดในเมืองกวางตุ้ง พร้อมทั้งเอาเงินให้ทังกัวด้วยหวังจะเป็นค่าปิดปาก แต่ทังกัวไม่รับบอกว่า

".....เจ้าพลัดบ้านเมืองมาได้ความขัดสนยากจน จงเก็บเอาไว้ใช้สอยเถิด รุ่งขึ้นพรุ่งนี้แล้วเราจะลาเจ้ากลับไปบ้าน...."

เมื่อทังกัวกลับมาถึงเมืองกวางตุ้ง ส่งหนังสือตอบข้อราชการให้แก่ท่านเปาบุ้นจิ้นแล้ว ก็ไปหาหลิมฮักเล่าเรื่องที่ไปพบนางพังชุนเน้ยให้ฟังทุกประการ หลิมฮักจึงไปร้องเรียนต่อ เปาบุ้นจิ้น ขอให้พิจารณาคดีความของตนใหม่ ในเรื่องชายชู้ เปาบุ้นจิ้นจึงให้พนักงานถือหนังสือไปหาเจ้าเมืองฮุนหนำ ให้จับตัวนางพังชุนเน้ยกับค้อตัด ส่งตัวมาชำระคดีที่เมืองกวางตุ้ง

เมื่อสอบสวนได้ความกระจ่างแล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ตัดสินพิพากษาให้นางพังชุนเน้ย คืนสินสอดของหมั้นให้แก่หลิมฮักผู้เสียหาย ส่วนค้อตัดนั้นให้ลงโทษเนรเทศไปให้พ้นจากเมือง กวางตุ้ง และเอาเงินสินบนนำจับให้ทังกัวสามตำลึง ราษฎรทั้งหลายต่างก็พากันสรรเสริญ เปาบุ้นจิ้นเป็นอันมาก

ในคดีนี้ท่านผู้แปลได้สรุปไว้ว่า คำให้การของหลิมฮักที่ยืนยันว่าศพนั้นไม่ใช่ภรรยาของตน แต่เจ้าเมืองและตุลาการยกเสียว่าเป็นสำนวนโต้แย้ง ไม่ยอมพิจารณา ทั้งเอาหลิมฮักไปลงโทษ จึงทำให้เห็นผิดห่างไกลจากความจริงไปมาก ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีเปาบุ้นจิ้น หลิมฮักคงต้องตายด้วยความไม่จริง ตามกฎหมายและความเห็นของเจ้าเมือง กับตุลาการในสมัยนั้นเป็นแน่ เพราะฉะนั้นผู้พิพากษาควรจะต้องจดจำไว้ดำริอยู่เสมอ

ลิ่วล้อผู้เล่าก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เมื่อร้อยปีก่อนเลย แม้ในปัจจุบันนี้ก็ตาม ขอท่านผู้ถือกฎหมายอยู่ในมือทุกระดับ ได้กรุณาดำริความข้อนี้ไว้เสมอ ราษฎรตาดำ ๆ จะได้อุ่นใจทั่วหน้ากัน.

##########

วารสารสุรสิงหนาท
พฤศจิกายน ๒๕๔๐





 

Create Date : 07 กันยายน 2554    
Last Update : 7 กันยายน 2554 13:21:59 น.
Counter : 514 Pageviews.  

สำคัญที่หีบ

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม
สำคัญที่หีบ
" เล่าเซี่ยงชุน "

ขณะเมื่อเปาบุ้นจิ้นได้ตรวจราชการไปถึงเมืองโซวจิ๋ว วันหนึ่งออกนั่งว่าราชการตามปกติ ก็มีผู้มายื่นฟ้องความว่า ตนเองชื่อ เมงเหลง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองเตงจิ๋ว เป็นพ่อค้าผ้าแพร ได้รวบรวมทุนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาซื้อสินค้าที่เมืองโซวจิ๋วกับคนใช้ เมื่อได้ผ้าแพรตามที่ต้องการแล้ว จึงว่าจ้างเรือของ หอตั๋นกุ้ย กับ ฮวยซิน ให้บรรทุกสินค้าเพื่อเอาไปขายที่เมืองตังไซ ครั้นเดินทางไปได้ประมาณห้าวันถึงตำบลเจียงอ๋อง เป็นเวลาจวนค่ำเจ้าของเรือจอดเรือเข้าที่ริมฝั่ง หุงต้มอาหารกินกันทั้งสี่คน หอตั๋งกุ้ยและฮวยซินชวนเมงเหลงกับคนใช้เสพสุรา จนถึงเวลาดึกประมาณสองยาม ทั้งเมงเหลงและคนใช้เมาสุราไม่ได้สติ หอตั๋งกุ้ยกับฮวยซินก็ช่วยกันหาม เมงเหลงกับ คนใช้โยนลงน้ำ แล้วก็ออกเรือเอาสินค้าหลบหนีไป

ทั้งสองนายบ่าว เมื่อถูกโยนลงไปในน้ำก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น แต่คนใช้ว่ายน้ำไม่เป็นจึงจมน้ำหายไป ส่วนเมงเหลงพอจะว่ายน้ำได้ แต่แม่น้ำนั้นกว้างและลึก ว่ายพยุงตัวไปจวนจะสิ้นกำลัง เผอิญมีขอนไม้ลอยน้ำมาใกล้ จึงเกาะขอนไม้นั้นลอยไปตามกระแสน้ำถึงสามคุ้ง ได้พบเรือใหญ่แจวสวนมาก็ร้องเรียกให้ช่วยรับ บังเอิญเจ้าของเรือเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทางฝ่ายมารดาชื่อ เตียจิ้น เมื่อช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือแล้ว เมงเหลงก็เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้ฟังโดยตลอด เตียจิ้นจึงแนะนำให้มาฟ้องร้องต่อศาลนี้

เปาบุ้นจิ้นจึงให้พนักงานสองคนถือหมายไปคุมตัว หอตั๋นกุ้ย และฮวยซินที่บ้าน แต่ปรากฎว่ายังไม่กลับมา เปาบุ้นจิ้นจึงให้จับตัวบุตรภรรยาของทั้งสองคนมาขังไว้ เป็นตัวจำนำก่อน แล้วก็ให้เอาเมงเหลงไปขังไว้เสียด้วย และสั่งให้ เซียน้ง กับ หลีกิว เจ้าพนักงานพร้อมด้วยพลตระเวน เฝ้าตรวจเรือตามลำแม่น้ำ คอยดักจับกุมหอตั๋นกุ้ยและฮวยซินให้ได้

พนักงานทั้งสองนายก็ให้พลตระเวนลงเรือไปตรวจทางน้ำ ส่วนตนเองเดินไปทางบก เมื่อถึงตำบลเจียงอ๋องก็พบหอตั๋นกุ้ยกับฮวยซินจอดเรืออยู่ จึงว่าจ้างให้นำเรือกลับมาส่งที่เมือง โซวจิ๋ว พอเรือกลับมาจอดที่ท่าแล้ว พนักงานทั้งสองก็จับหอตั๋นกุ้ยกับ ฮวยซิน ล่ามโซ่ใส่กุญแจควบคุมตัวมาที่ศาล เปาบุ้นจิ้นก็ซักว่าไปจับมาได้จากที่ไหน หลีกิวก็รายงานว่า

"....ข้าพเจ้าไปสืบถามทุกตำบลรายทางตลอดไป ถึงตำบลเจี๋ยงอ๋องได้ความว่าอ้ายผู้ร้ายทั้งสองคนนี้ไปเมืองน่ำเสีย ข้าพเจ้าหวังใจว่าจะตามไปถึงเมืองน่ำเสีย ก็เผอิญไปประจวบพบเข้าที่ตำบลเจียงอ๋อง หอตั๋นกุ้ยกับฮวยซินถามข้าพเจ้า ก็ลวงบอกว่าไปราชการกลับมาจากเมืองสงกังจะกลับบ้าน หอตั๋นกุ้ยกับฮวยซินจึงให้ข้าพเจ้าโดยสารมา ครั้นถึงท่าข้าพเจ้าจึงจับตัวมาส่งท่าน...."

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้พนักงานสี่คนไปเฝ้ารักษา เรือของหอตั๋นกุ้ย และตรวจค้นด้วยว่าจะมีสิ่งของอันใดที่จะเป็นของกลางได้บ้าง

แล้วเปาบุ้นจิ้นก็ให้ถามผู้ต้องหาทีละคนว่า ทั้งสองได้ฆ่าเมงเหลงตาย แล้วเก็บทรัพย์สิ่งของเงินทองไปได้มากน้อยเท่าใด จงให้การรับเสียโดยดี อย่าให้ต้องเฆี่ยนตี จะได้รับความเจ็บปวดมากไปเปล่า ๆ หอตั๋นกุ้ยก็ให้การปฏิเสธว่า เป็นผู้แจวเรือจ้างไปส่ง พอถึงกลางทางก็ถูกพวกผู้ร้ายมาปล้น ยึดเอาเรือและทรัพย์สิ่งของไป ซึ่งตนเองก็แทบจะไม่พ้นความตายด้วยฝีมือโจร หาได้เป็นผู้ร้ายไม่ เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

"...มึงเป็นผู้ร้ายปากกล้าใจแข็งไม่รับโดยดี จะยอมตายในอาญาก็ตามแต่ใจ...."

ว่าแล้วก็สั่งให้พนักงานตีผู้ต้องหาทั้งสอง คนละสี่สิบที แล้วก็ให้พนักงานขนของในเรือขึ้นมาจนหมด และให้คุมตัวเมงเหลงมาดูสิ่งของ ถ้าสิ่งใดจำได้แน่นอนว่าเป็นของตนก็ให้บอก จะได้ยึดไว้เป็นของกลางต่อไป

ปรากฎว่าของนั้น มีเพียงเงินตำลึงหนึ่งกับผ้าแพรผืนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ของเจ้าทุกข์ เมงเหลงจึงพูดกับผู้ต้องหาทั้งสองว่า

"....ท่านนี้เอาสุรามอมข้าพเจ้าให้เมา แล้วจับตัวข้าพเจ้ากับคนใช้ของข้าพเจ้า โยนลงในน้ำ แล้วเอาสิ่งของข้าพเจ้าไป ไม่ควรเลยที่จะมากระทำแก่ข้าพเจ้าถึงเช่นนี้...."

หอตั๋นกุ้ยก็เถียงว่า

"......ข้าพเจ้าเป็นลูกจ้างแจวเรือให้ท่านนั่งไป เมื่อผู้ร้ายมาตีเรือนั้น ข้าพเจ้าหนีเอาตัวรอดไปได้ ตัวท่านผู้ร้ายจับโยนลงน้ำ ผู้ร้ายเก็บเอาสินค้าของท่านไปสิ้น แล้วทิ้งเรือไว้ ข้าพเจ้าจึงได้เรือคืนมาดังนั้น แล้วข้าพเจ้าก็ได้ไปทำคำกฎหมายตราสินไว้ต่อกำนันและอำเภอตามกฎหมายเป็นพยาน ส่วนตัวผู้ร้ายนั้นท่านไม่ฟ้องหากล่าวโทษ ท่านกลับมาฟ้องหากล่าวโทษข้าพเจ้า หาควรไม่....."

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น เปาบุ้นจิ้นก็ได้ความคิดขึ้นมา จึงสั่งให้ผู้คุมนำตัวทั้งสองฝ่ายไปขังไว้ก่อน

พอรุ่งขึ้นก็ให้ผู้คุมนำตัวฮวยซิน มาถามคนเดียวก่อน ได้ความว่าเรือจอดอยู่ที่ท่าตำบลโหซิน หอตั๋นกุ้ยและตนเองกับผู้ว่าจ้างทั้งสองนอนหลับอยู่ มีผู้ร้ายตัดเชือกให้เรือขาดลอยออกไปกลางแม่น้ำ เมื่อเวลาประมาณสองยาม เรือของผู้ร้ายมีสามลำ ล้อมเข้ามาทั้งสามด้าน ผู้ร้ายคนที่ขึ้นมาบนเรือ รูปร่างลักษณะใหญ่สูงแปดศอก สวมเสื้อสีเขียว เมงเหลงกับคนใช้ตกใจกลัวโจนลงน้ำไป พวกผู้ร้ายจึงจับตัวฮวยซินไว้ แต่ได้ร้องขอชีวิตว่าเป็นแต่ลูกจ้างหาใช่ตัวนายไม่ ผู้ร้ายจึงปล่อยตัว และเก็บสินค้าในเรือไปหมดสิ้น

เปาบุ้นจิ้นก็ให้ผู้คุมนำตัวหอตั๋นกุ้ยมาซักถามบ้าง ก็ได้ความว่าเมื่อเวลาดึกประมาณสองยาม พวกผู้ร้ายมีเรือประมาณเจ็ดแปดลำ ลอบเข้ามาตัดเรือลอยออกไปกลางแม่น้ำ ตัวผู้ร้ายที่กระโจนขึ้นมาจับตัวเมงเหลงกับหลีเฮ็งโยนลงน้ำนั้น เป็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อสีแดง แล้วจับตัวตนเองกับฮวยซินไว้ ตนได้ร้องขอชีวิตว่าเป็นแต่ลูกจ้าง หาใช่นายเรือไม่ ผู้ร้ายจึงปล่อยตัว แล้วเก็บเอาผ้าแพรซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่ในเรือไปทั้งสิ้น แล้วตนเองจึงได้ไปแจ้งนายอำเภอเจียนอ๋องไว้เป็นหลักฐาน

เปาบุ้นจิ้นเปรียบเทียบคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสอง เห็นว่าแตกต่างกันเป็นพิรุธ จึงว่า

".....มึงสองคนนี้คบคิดกันเป็นผู้ร้ายแน่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย อันสิ่งของซึ่งเอาไปนั้นเอาไปไว้ที่ไหน จงนำไปเอาคืนมาให้แก่โจทก์เขาเสียโดยดี จึงจะพ้นอาญา....."

แล้วเปาบุ้นจิ้นก็ขึ้นนั่งเกี้ยว ให้ไพร่พลหามไปตรวจดูที่เรือต้นเหตุด้วยตนเอง ดูในท้องเรือก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใด แต่เห็นกระทงเรืออันหนึ่งมีลักษณะแน่นหนา เมื่อดูโดยละเอียดก็เห็นมีลิ้นชักใส่กุญแจอยู่ จึงให้พนักงานเอาขวานงัดออกมา ก็เจอหีบใส่สิ่งของมีน้ำหนักอยู่ข้างใน จึงให้พนักงานยกขึ้นมาบนศาล แล้วคุมตัวโจทก์จำเลยมาพร้อมกัน

เปาบุ้นจิ้นถามหอตั๋นกุ้ยว่า ในหีบนี้ใส่สิ่งใดไว้ข้างใน หอตั๋นกุ้ยบอกว่า เป็นเงินของผู้มีชื่อฝากไว้ เปาบุ้นจิ้นก็เปิดหีบออกตรวจดู มีหีบหนังสองใบอยู่ข้างใน เปาบุ้นจิ้น จึงถามเมงเหลงว่า

"....เมื่อลงเรือไปนั้น นอกจากสินค้าแล้วมีของสำคัญอะไรอีกหรือไม่....."

เมงเหลงบอกว่า

".....มีหีบหนังสองหีบมียี่ห้ออักษรตัวเต๊ง เป็นสำคัญอยู่ในหีบ...."

เปาบุ้นจิ้นจึงให้เปิดหีบหนังทั้งสองออกดู ก็มีตัวอักษรตรงตามที่เมงเหลงให้การ เมื่อนับเงินในหีบมีอยู่หีบละหกร้อยห้าสิบตำลึง รวมเป็นเงินหนึ่งพันสามร้อยตำลึง เปาบุ้นจิ้นมีความโกรธยิ่งนัก จึงว่า

"...เงินอยู่ในหีบเป็นเงินแบ่งกันแล้ว มึงเป็นผู้ร้ายใจแข็งปากกล้า บัดนี้ได้ของกลางแล้วมึงก็ไม่รับ...."

ว่าแล้วก็ให้พนักงานมัดจำเลยทั้งสองเข้าหลัก ตีหกสิบทีแล้วก็ยังไม่รับจึงให้ตีต่อไปจนกว่าจะรับ ทั้งสองจำเลยได้ความเจ็บปวดยิ่งนัก สุดที่จะปิดความจริงไว้ได้ จึงยอมให้การตามจริง ได้ความว่า

หอตั๋นกุ้ยเป็นน้องเขยฮวยซิน มีอาชีพรับจ้างแจวเรือรับส่งผู้คนในลำน้ำนี้ ได้คบคิดกันจัดซื้อเครื่องกับแกล้มและสุราลงเรือ เพื่อมอมเหล้าเมงเหลงกับคนใช้ แล้วจึงจับโยนลงน้ำหวังให้ตาย จากนั้นก็แจวเรือล่องตามน้ำลงไปจนถึงตำบลเจียงอ๋อง จึงเอาสินค้าลงบรรทุกเรือเล็กไว้ แล้วเอาเรือเปล่าไปแจ้งความที่อำเภอว่า ถูกผู้ร้ายปล้น เสร็จแล้วก็จ้างคนเฝ้าเรือไว้ สองคนก็นำเรือเล็กบรรทุกสินค้าไปขายถึงเมืองน่ำเกีย จำหน่ายสินค้าได้เงินพันสามร้อยตำลึงก็แบ่งกันคนละครึ่ง แล้วกลับมาเอาเรือที่ตำบลเจียงอ๋อง จึงพบกับเซียน้งและหลีกิว ว่าจ้างกลับมาเมืองโซวจิ๋ว

เปาบุ้นจิ้นจึงตัดสินพิพากษา ให้เอาตัวหอตั๋นกุ้ยและฮวยซิน ไปตัดศรีษะเสียตามกฎหมาย ส่วนเมงเหลงได้เงินพันสามร้อยตำลึงนั้น แต่ให้หักไว้เฉพาะต้นทุนของตน ส่วนที่เป็นกำไรให้มอบแก่บุตรภรรยาของคนใช้ ที่ตายด้วยฝีมือผู้ร้ายนั้นไป

คดีจึงเป็นอันสิ้นสุดลงโดยยุติธรรม ดังนี้.


##########

นิตยสารโล่เงิน
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙




 

Create Date : 06 กันยายน 2554    
Last Update : 6 กันยายน 2554 15:39:16 น.
Counter : 1116 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.