Group Blog
 
All Blogs
 

ร่มเจ้ากรรม

เปาบุ้นจิ้นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม

ร่มเจ้ากรรม

" เล่าเซี่ยงชุน "

ครั้งนั้น เปาบุ้นจิ้น ในตำแหน่งเปาเล่งถู รับราชการอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวง เป็นวันขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนสี่ฤดูฝน ขณะที่ฝนกำลังตกอย่างหนัก ก็มีชายสองคนเดินโต้เถียงทะเลาะกันมาถึงหน้าบ้าน โดยเปียกฝนด้วยกันทั้งคู่ เปาบุ้นจิ้นได้ยินเสียงจึงให้คนใช้ออกไปพาตัวชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน และถามว่าทุ่มเถียงอะไรกันอื้ออึงอยู่กลางถนน

ชายคนหนึ่งชื่อ ล่อจิ๊นเหียน ก็เล่าว่า ตนกางร่มเดินไปหาเพื่อนที่ตำบลก๊วนเต๊ง แล้วมีชายผู้นี้เดินตามมาขออาศัยร่มไปด้วย ล่อจิ๊นเหียนไม่ยอมให้อาศัย บอกว่า

".....ข้าพเจ้ามีร่มมาแต่คันเดียวเท่านี้ ท่านจะมาขออาศัยกระไรได้....."

ชายผู้นี้ก็บอกว่า

".....ร่มของข้าพเจ้าก็มีอยู่คันหนึ่ง เพื่อนกันเขามาขอยืมเอาไปกาง ข้าพเจ้าคอยอยู่เป็นเวลาช้านานยังไม่เห็นเขากลับมา ข้าพเจ้าจะรีบกลับไปบ้าน เพราะฉะนั้นจึงจะขอโดยสารท่านไปด้วย....."

ล่อจิ๊นเหียนได้ฟังดังนั้น ก็เสียอ้อนวอนไม่ได้ ต้องยอมให้อาศัยร่มเดินมาด้วยกัน แต่พอถึงสี่แยกตำบลน่ำเกียว ชายผู้นี้ก็แย่งเอาร่มจากมือของตนไป ตนมีความโกรธจึงว่า

"....เจ้ามาขออาศัยร่มของเราแล้ว บัดนี้กลับมาชิงเอาร่มของเราไปฉะนี้หาควรไม่ จงคืนร่มมาให้แก่เรา....."

ชายผู้นี้ก็หัวเราะแล้วว่า

".....พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะคืนท่าน อย่าวุ่นวายไปเลย....."

แต่ล่อจิ๊นเหียนไม่เชื่อ จึงเดินตากฝนตามมาทวงเอาร่มคืน ชายผู้นี้ก็ไม่ยอมให้ จนท่านเปาบุ้นจิ้นให้คนออกไปตามตัวมานี้

เปาบุ้นจิ้นจึงได้ถามชายผู้ถูกกล่าวหา ว่าเรื่องที่ล่อจิ๊นเหียนเล่ามานี้เป็นความจริงหรือไม่ ชายนั้นชื่อ คิ่วอิดฌ้อ ก็ให้การว่า

"....ร่มของข้าพเจ้าถือกางมาจากบ้านข้าพเจ้า หาใช่ร่มของผู้นี้ดุจที่กล่าวหาไม่..."

แล้วทั้งสองก็เถียงกัน ต่อหน้าเปาบุ้นจิ้นอีก เปาบุ้นจิ้นจึงถามทั้งสองฝ่ายว่า ร่มคันนี้ซื้อมาจากผู้ใด บ้านใด ตำบลใด ราคาเท่าใด มียี่ห้ออะไร มีสิ่งใดในร่มเป็นเครื่องหมายสำคัญ พอจะเป็นพยานได้ว่าของผู้ใด

ล่อจิ๊นเหียนก็ว่า

".....ร่มคันนี้ข้าพเจ้าซื้อมาราคาห้าหุนเท่านั้น กับเห็นว่าราคาเล็กน้อย จึงมิได้เขียนยี่ห้อไว้ในร่มเป็นสำคัญ....."

เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

".....ร่มคันเดียวเท่านี้ราคาก็ไม่มากอะไรนัก จะสืบสวนเอาสักขีพยานก็ไม่มีหลักฐานที่อ้าง ป่วยการเสียเวลาเราจะตัดสินแบ่งร่มนี้ให้แก่เจ้า คนละครึ่ง....."

ว่าแล้วก็ให้นักการผ่าร่มนั้นออกเป็นสองซีกให้แก่ล่อจิ๊นเหียนซีกหนึ่ง ให้คิ่วอิดฌ้อซีกหนึ่ง แล้วทั้งสองก็ออกจากบ้านเปาบุ้นจิ้นไป

เปาบุ้นจิ้นจึงให้คนสนิทเดินสะกดรอยตามไปดูว่าทั้งสองพูดจาว่ากระไรบ้าง ถ้าผู้ใดบ่นว่าติฉินนินทาให้จับต้วกลับมาไต่สวนอีก เจ้าหน้าที่ก็เดินติดตามชายทั้งคู่ไป

ปรากฏว่าล่อจิ๊นเหียนเดินพลางก็บ่นไปว่า

"....ราษฎรเลื่องลือกันว่าเปาเล่งถูผู้นี้ มีสติปัญญาลึกซึ้ง สามารถจะตัดสินคดีของราษฎรที่ลี้ลับ ไม่มีเงื่อนสายให้ได้ความจริงโดยยุติธรรมได้ทุกเรื่องทุกราย ร่มของเราแท้ ๆ โดยความสัตย์จริงของเรา ท่านเปาเล่งถูกลับตัดสินแบ่งร่มของเรา ให้แก่คนพาลเสียซีกหนึ่งดังนี้ เราเห็นว่าเปาเล่งถูไม่มีสติปัญญา และความยุติธรรมจริง ดุจคำคนเล่าลือ จึงได้ตัดสินอย่างห้วน ๆ ง่าย ๆ ไม่พิเคราะห์ใคร่ครวญโดยละเอียด ถ้าแต่เช่นนี้แล้วเราก็ตัดสินได้เหมือนกัน ใครทะเลาะทุ่มเถียงกันด้วยทรัพย์สมบัติ วัตถุสิ่งของ ก็แบ่งให้โจทก์จำเลยเสียคนละครึ่ง ก็แล้วกันได้โดยเร็วทุกเรื่องไป จะชมว่ามีสติปัญญาอย่างไรได้....."

ฝ่ายคิ่วอิดฌ้อก็เดินไปหัวเราะไปว่า

"....สมน้ำหน้าร่มของตัวก็ไม่ทำ เครื่องหมายสำคัญและยี่ห้อ จดจำว่าซื้อมาแต่แห่งหนตำบลใดไว้ เคราะห์เราดีชะรอย เวลานี้เปาเล่งถูจะลมเสีย จึงได้ตัดสินเอาง่าย ๆ เช่นนี้ นึก ๆ ก็น่าหัวเราะ...."

ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ของเปาบุ้นจิ้น ซึ่งตามไปข้างหลัง ได้ยินคนทั้งสองพูดนินทาและหมิ่นประมาทเปาบุ้นจิ้นดังนั้น จึงจับตัวทั้งสองคนกลับมาส่งให้เปาบุ้นจิ้นอีก ท่านเปาบุ้นจิ้นจึง ถามว่าผู้ใดหมิ่นประมาทเราว่าอย่างไร จงให้การไปตามความจริง

คิ่วอิดฌ้อจึงแย่งฟ้องเปาบุ้นจิ้นว่า ล่อจิ๊นเหียนติเตียนนินทาและหมิ่นประมาทท่านเปาบุ้นจิ้น ว่าตัดสินไม่ยุติธรรม ไม่ถูกต้อง และไม่มีสติปัญญา ปราศจากวิจารณญาณ ตัดสินความโดยโมหาคติ แต่ตนเองหาได้บ่นนินทาแต่ประการใดไม่

เปาบุ้นจิ้นจึงถามล่อจิ๊นเหียนว่า ได้บ่นนินทาจริงหรือไม่ ล่อจิ๊นเหียนก็รับว่าได้บ่นนินทาจริง เพราะเหตุว่าร่มเป็นของข้าพเจ้าแท้ ๆ ท่านมาตัดสินให้ผ่าร่มของข้าพเจ้าเสีย จึงมีความเสียดายและโทมนัสน้อยใจ

เปาบุ้นจิ้นจึงหัวเราะ แล้วเอาเบี้ยให้ค่าร่มแก่ล่อจิ๊นเหียนร้อยเบี้ยแล้วตัดสินใหม่ว่า

".....คิ่วอิดฌ้อนี้เป็นคนทุจริต อาศัยร่มของล่อจิ๊นเหียนแล้ว กลับคิดเอาร่มของเขา ไปเป็นของตัว เราลองดูว่าจะเป็นของผู้ใดจริง ด้วยเป็นธรรมดาอยู่ว่า ถ้าผู้ใดเป็นเจ้าของจริงแล้ว ผู้เจ้าของจริงย่อมมีความอาลัยรักใคร่เสียดาย และมีความโทมนัสน้อยใจ จึงได้บ่นว่าเราไม่เป็นยุติธรรม และไม่มีสติปัญญาที่จะล่วงรู้ความจริง ในส่วนตัวเจ้ามีความรื่นเริง กลับพูดว่าสมน้ำหน้า จึงส่อให้เรามีทางเห็นได้ว่า เพราะมิใช่ของตัวจึงได้พูดดังนั้น เราพิจารณาเห็นว่าเจ้าเป็นคนทุจริต....."

ว่าแล้วก็สั่งให้เฆี่ยนคิ่วอิดฌ้อเสียสิบที แล้วให้ใช้ค่าร่มแก่ล่อจิ๊นเหียนอีกด้วย

คดีนี้เป็นเรื่องง่าย แต่จะเป็นคติสอนใจอย่างใดนั้น ท่านผู้อ่านซึ่งต่างก็มีวิจารณญาณอันดีทุกท่าน ย่อมจะมองเห็นด้วยปัญญาของท่านเองแล้ว.

##########






 

Create Date : 24 ตุลาคม 2554    
Last Update : 24 ตุลาคม 2554 10:20:33 น.
Counter : 417 Pageviews.  

โจทก์เป็นใบ้

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

โจทก์เป็นใบ้

"เล่าเซี่ยงชุน”

วันหนึ่ง เปาบุ้นจิ้น หรือเปาเล่งถูอยู่ที่เมืองคัยฮงหู ได้ออกว่าราชการ ตามปกติ ขณะนั้นก็มีชายคนหนึ่งถือไม้เหลี่ยมจะเข้ามาหา เปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการถามว่ามีเรื่องเดือดร้อนสิ่งใด แต่ชายผู้นั้นพูดไม่ได้เพราะเป็นใบ้ได้แต่ชี้ไม้ชี้มือโว้เว้ทำท่าทำทาง ตามกิริยาอาการของคนใบ้ จึงไม่มีผู้ใดรู้หรือเข้าใจกิริยาอาการนั้น นักการก็เข้ามาแจ้ง แก่เปาบุ้นจิ้นว่า ชายคนที่เป็นใบ้จะเข้ามาแจ้งเรื่องอะไร ก็ไม่ได้ความชัดเจน

เปาบุ้นจิ้นใคร่ครวญพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่า ชายใบ้ผู้นี้ต้องมีความเดือดร้อนด้วยเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเป็นแน่ แต่จนใจเป็นใบ้พูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงสั่งนักการให้ตีชายใบ้นั้นยี่สิบที โทษฐานถือไม้เข้ามาจะทำร้าย แล้วก็ให้เอาขื่อคามาสวมคอ กับให้เอาเลือดสุกรมาเขียนเป็นตัวอักษร กล่าวโทษไว้ที่แขนทั้งสองข้าง จากนั้นก็ให้ผู้คุมเอาตัวชายใบ้เที่ยวเดินตระเวนไปรอบเมือง และให้คอยสังเกตุว่า มีผู้ใดพูดจาว่ากล่าวด้วยประการใดบ้าง ก็ให้จับตัวผู้นั้นมาสอบสวน

พอผู้คุมพาชายใบ้ตระเวนไปถึงตลาดแห่งหนึ่ง ก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งถอนใจใหญ่แล้วพูดว่า

".....เป็นใบ้แล้วมิหนำซ้ำมีโทษเป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก เหตุที่พูดไม่ออก บอกไม่ได้นี่แหละ เขาย่อมว่า ถึงมีปากเสียเปล่าเหมือนเต่าหอย....."

นักการที่เดินตามผู้คุมไปได้ยินดังนั้น จึงจับตัวชายชราผู้นั้นพากันกลับมา หาเปาบุ้นจิ้นที่ศาล เปาบุ้นจิ้นจึงถามผู้เฒ่านั้นว่า ได้รู้เรื่องชายใบ้ผู้นี้แต่เดิม ประการใดบ้าง จงเล่ามาให้ฟัง

ผู้เฒ่าก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง มีใจความว่า ชายใบ้ผู้นี้ชื่อ เจียะอาจื๊อ เป็นน้องชายของ เจียะช้วน ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลถวนหนำ เดิมบิดามารดาของพี่น้องทั้งสองนี้ มีเงินถึงหมื่นตำลึง ครั้นบิดามารดาหาบุญไม่แล้วเจียะช้วนก็ปกครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดไว้แต่ผู้เดียว มิได้แบ่งปันให้เจียะอาจื๊อผู้น้อง และขับไล่เจียะอาจื๊อออกจากบ้านไม่นับว่าเป็นน้อง เจียะอาจื๊อเป็นใบ้มาแต่กำเนิด จะไปฟ้องร้องเอาทรัพย์มรดกก็ไม่ได้ เพราะไม่สามารถพูดให้ใครเข้าใจได้ จนปัญญาแล้วจึงมาหาเปาบุ้นจิ้นเพื่อขอเป็นที่พึ่งแต่กลับถูกเฆี่ยนตี แล้วใส่ขื่อคาตระเวนไปทั่วเมืองเสียอีก ตนเองนั้นมีจิตคิดสงสารยิ่งนักจึงพูดจาดังนั้น

เปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการไปตามตัวเจียะช้วน มาซักถามว่า

".....ชายใบ้ผู้นี้เป็นอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่..."

เจียะช้วนก็บอกว่า

"....เจียะอาจื๊อเป็นใบ้เดิมอาศัยเลี้ยงสุกรอยู่ในโรงเตี๊ยมของข้าพเจ้า หาได้เป็นพี่น้องวงศ์ญาติของข้าพเจ้าไม่.."

เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

".....เราอยากรู้ เราจึงถามเจ้าเท่านั้น ไม่มีคดีสิ่งใดดอกเจ้าจงกลับไปบ้านเถิด....."เจียะช้วนก็คำนับลาเปาบุ้นจิ้นกลับบ้านไป

ครั้นเจียะช้วนไปแล้ว เปาบุ้นจิ้นจึงพูดกับเจียะอาจื๊อและทำมือประกอบภาษาใบ้ด้วยว่า

".....เจียะช้วนมันไม่นับถือว่าเป็นน้องแล้ว เจ้าจงกลับไปทุบตีมันอย่า มีความกลัวเลย....."

เจียะอาจื๊อก็เข้าใจและคำนับลากลับไปบ้าน

อยู่ต่อมาอีกวันหนึ่ง เจียะช้วนก็มาหาเปาบุ้นจิ้น กล่าวโทษฟ้องร้องว่า ขณะที่ตนเดินออกไป นอกประตูเมืองข้างทิศตะวันตก ก็พบเจียะอาจื๊อน้องชายคอยดักอยู่ แล้วก็ตรงเข้าทุบตีจนศีรษะแตกมีบาดแผลโลหิตไหล ขอให้ชำระความที่น้องชายทำร้ายแก่พี่ชายดังนี้

เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตามตัวเจียะอาจื๊อมาชำระความ แล้วก็ตัดสินว่า

"เดิมเราถามเจ้าไม่รับว่าเจียะอาจื๊อเป็นพี่น้อง มาบัดนี้เจ้ามาฟ้องว่าเจียะอาจื๊อเป็นน้อง ก็ถ้าเจียะอาจื๊อเป็นน้องแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่แบ่งทรัพย์มรดกของบิดา ให้แก่เจียะอาจื๊อผู้น้องตามบิดาสั่งเล่า เจ้ามาปกครองหวงกันไว้เสียแต่ผู้เดียวดังนี้ หาควรไม่ ในส่วนตัว เจียะอาจื๊อได้ทุบตีเจ้าผู้พี่ให้เสียขนบธรรมเนียม ต้องทำโทษให้....."

แล้วก็สั่งลงโทษเฆี่ยนเจียะอาจื๊อยี่สิบที และบังคับให้เจียะช้วนแบ่งเงินมรดกให้เจียะาจื๊อครึ่งหนึ่ง เจียะช้วนจึงต้องยอมแบ่งทรัพย์สมบัติ ให้แก่น้องชายผู้เป็นใบ้ ตามคำตัดสินของเปาบุ้นจิ้นหรือเปาเล่งถู แต่โดยดี เรื่องจึงเรียบร้อยไป

ความจริงเรื่องนี้ เจียะอาจื๊อผู้เป็นโจทก์ ต้องเสียค่าฟ้องร้องหลายหนกว่าจะได้สมบัติซึ่งตนมีสิทธิกลับคืนมา เหตุก็เพราะเป็นใบ้พูดไม่ได้

แต่ท่านเปาบุ้นจิ้นก็ไม่ได้สิ้นความพยายามที่จะตัดสินให้ยุติธรรม จำเป็นต้องลงทุนให้โจทก์เจ็บตัว และทรมานสังขารตระเวนไปรอบเมือง จึงได้ความที่จะฟ้องร้องมา และลงทุนยุให้ไปทำร้ายพี่ชาย เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็จะไม่ได้ความจริงจากปากพี่ชาย และในสุดท้ายก็ต้องเจ็บตัวอีก ฐานทำร้ายร่างกาย เพราะธรรมเนียมจีนและกฎหมายมีว่า ไม่ให้น้องก้ำเกินหยาบช้าต่อพี่ แต่เมื่อได้รับมรดกครึ่งหนึ่งคืนมาแล้ว โจทก์ผู้เป็นใบ้ก็คงจะหายเจ็บ และนึกขอบคุณต่อท่านเปาบุ้นจิ้น ที่หาอุบายชำระความด้วยความเที่ยงธรรม โดยโจทก์ไม่ได้พูดเลยสักคำเดียว

คนจีนทั้งประเทศ จึงยกย่องเปาบุ้นจิ้น ให้เป็นที่เคารพอย่างสูง มาจนถึงทุกวันนี้ แม้คนไทยที่ได้ทราบเรื่องราวตั้งแต่ร้อยปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ก็นับถือและอยากจะให้มีบุคคลเช่นนี้ อยู่ในกระบวนการยุติธรรมทุกระดับ ด้วยเช่นกัน.

############







 

Create Date : 24 ตุลาคม 2554    
Last Update : 24 ตุลาคม 2554 10:18:51 น.
Counter : 420 Pageviews.  

รองเท้าข้างเดียว

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

รองเท้าข้างเดียว

" เล่าเซี่ยงชุน "


ที่เมืองคัยฮงหูเมื่อครั้ง เปาบุ้นจิ้น ไปว่าราชการอยู่นั้น วันหนึ่ง อ๋องซำ ได้คุมตัวญาติของ นางจูก๊วน ภรรยาของตนชื่อ เนียมลัก มาฟ้องร้องที่ศาลในข้อหาว่าฆ่านางจูก๊วนตาย แล้วลักเอารองเท้าของภรรยาไปข้างหนึ่ง โดยให้การกับเปาบุ้นจิ้นว่า

อ๋องซำซึ่งเป็นพ่อค้าเร่ ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ ห่างจากเมืองคัยฮงหูประมาณ สี่สิบลี้ ปกติต้องเดินทางไปค้าขายต่างตำบลอยู่เสมอ ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ครั้งนี้อ๋องซำเข้ามาค้าขายในเมืองมิได้ค้างคืน เมื่อกลับไปถึงบ้านก็พบภรรยานอนตาย เลือดนองอยู่ในห้อง เมื่ออุ้มศพขึ้นดู ก็เห็นมีบาดแผลถูกฟันแทงหลายแห่ง

เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง ที่ได้ยินเสียงอ๋องซำร้องไห้อื้ออึง ต่างก็วิ่งมาดูเห็นรอยโลหิตหยดย้อยเรี่ยรายเป็นทางออกประตูไปนอกบ้าน จึงบอกกับอ๋องซำว่า

".....ภรรยาของท่าน อ้ายผู้ร้ายฆ่าตายอยู่ในห้อง เหตุใดจึงมีโลหิตหยดเรี่ยราดออกไปฉะนี้ เป็นที่น่าสงสัยนัก ท่านจงตามรอยโลหิตนี้ไปดู จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงใด....."

อ๋องซำก็เห็นด้วยจึงเดินตรวจดูในครัว เห็นรองเท้าของภรรยาข้างหนึ่งวางอยู่บนเตาไฟ แต่อีกข้างหนึ่งหายไป อ๋องซำจึงเดินตามรอยโลหิตไปจนถึงท่าน้ำ รอยนั้นก็หายไป ที่ท่านั้นมีเรือจอดอยู่ลำหนึ่ง เจ้าของเรือคือเนียมลัก ซึ่งเป็นญาติของนางจูก๊วย อ๋องซำก็ไม่ได้ถามไถ่ตรงเข้าไปทุบตีเนียมลัก แล้วว่า

"....มืงกับกูไม่มีข้อสาเหตุสิ่งใดกัน เหตุใดมืงจึง
สามารถมาฆ่าภรรยาของกูตาย แล้วเก็บเอารองเท้าไปเสียข้างหนึ่ง....."

ว่าแล้วก็คุมตัวเนียมลัก มาฟ้องต่อเปาบุ้นจิ้น ให้ช่วยชำระความด้วย

เปาบุ้นจิ้นก็ถามเนียมลักว่า ได้ฆ่าภรรยาของอ๋องซำจริงตามคำกล่าวหาหรือไม่ เนียมลักก็ให้การว่า ภรรยาของอ๋องซำกับตนเป็นญาติกัน ตนเองมีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ ลงเรือค้าขายทางน้ำเลี้ยงชีวิต คืนวานนี้ผ่านมาทางเมืองคัยฮงหู คิดถึงนางจูก๊วนจึงแวะจอดเรือไว้ที่ท่าน้ำแล้วก็เดินขึ้นไปบนบ้าน หวังใจจะถามข่าวคราวทุกข์สุขของญาติ แต่เรียกอยู่หลายคำก็หามีผู้คนขานรับไม่ เนียมลักจึงเดินเข้าไปในบ้าน ก็หาเห็นผู้คนไม่ จึงเดินเข้าไปในครัวไฟ เห็นรองเท้าวางอยู่บนเตาไฟข้างเดียว เมื่อไม่พบใครก็ไม่ได้เข้าไปในห้องข้างใน เพราะคิดว่าไม่มีใครอยู่บ้าน จึงกลับมานอนที่เรือ แล้วอ๋องซำก็ลงมาทุบตีและจับตัวมาโดยไม่รู้เรื่องอะไร และสุดท้ายก็ย้ำว่า

"....ข้าพเจ้ามิได้ฆ่านางจูก๊วน และเก็บเอารองเท้าข้างหนึ่งไป เป็นความสัตย์ความจริงของข้าพเจ้า ขอท่านได้กรุณา....."

เปาบุ้นจิ้นฟังคำให้การของจำเลยแล้ว พิเคราะห์ใคร่ครวญดู เห็นว่าการที่เนียมลักจะฆ่านางจูก๊วยเสีย และเก็บเอารองเท้าข้างหนึ่งไปนั้น จะมีประโยชน์อันใด ดูเป็นการไม่ควร แต่โจทก์มากล่าวหาเพราะเป็นการสบเหมาะอยู่อย่างหนึ่ง ที่เฉพาะโลหิตไหลหยด มาหยุดอยู่ที่ฝั่งน้ำตรงที่เรือจำเลยมาจอดอยู่ แต่ดูสีหน้าและถ้อยคำของจำเลย ซึ่งเป็นญาติกับผู้ตาย ก็น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงให้ผู้คุมเอาตัวเนียมลักไปขังไว้ก่อน แล้วให้เจ้าหน้าที่ออกหมายประกาศว่า ในคดีที่เนียมลักฆ่านางจูก๊วยตาย และได้เก็บเอารองเท้าไปข้างหนึ่ง ไม่แจ้งว่ารองเท้านั้นตกอยู่แห่งใด ถ้าผู้ใดเก็บรองเท้านั้นได้มา และเป็นของนางจูก๊วยแน่แล้ว จะให้เงินรางวัลแก่ผู้นั้นสามตำลึง

ต่อมาอีกประมาณเดือนหนึ่งก็มีชายผู้หนึ่งชื่อ ซุนจ้าน ได้นำรองเท้าข้างหนึ่ง กับมีด เล่มหนึ่งมาให้เปาบุ้นจิ้นที่ศาล เปาบุ้นจิ้นก็ยินดี เมื่อได้ตรวจดูว่าเป็นรองเท้าคู่เดียวกัน กับรองเท้าอีกข้างหนึ่งของนางจูก๊วยที่เหลืออยู่จริง ก็ซักถามซุนจ้านว่า

"....รองเท้านี้เจ้าได้มาแต่ไหน ได้โดยตนเองหรือมีผู้ใดแนะนำบอกให้..."

ซุนจ้านก็บอกตามตรงว่า นางเอี้ยวสี ภรรยาของตนได้รับคำแนะนำจาก หลีปินคนรู้จักกันให้ไปหาที่ท่าน้ำหน้าบ้านอ๋องซำ

เปาบุ้นจิ้นจึงให้รางวัลไปสามตำลึงตามสัญญา เมื่อซุนจ้านคำนับลากลับไปบ้านแล้ว เปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการสะกดรอยตามไปดูถึงบ้าน ก็พบว่าซุนจ้านจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูภรรยา และหลีปินผู้นำลาภมาให้ และได้แบ่งเงินให้หลีปินด้วย ขณะที่ทั้งสามคนกำลังกินเลี้ยงกันอยู่ นักการของเปาบุ้นจิ้น ก็เข้าไปคุมตัวนางเอี้ยวสีกับหลีปินเอามาส่งให้เปาบุ้นจิ้นที่ศาล

เปาบุ้นจิ้นจึงซักถามนางเอี้ยวสีว่า รองเท้าซึ่งสามีของเจ้านำมาให้นั้น เจ้ารู้มาได้อย่างไร นางเอี้ยวสีก็ตกใจกลัวยิ่งนัก จึงบอกไปตามความจริงว่า หลีปิงเป็นผู้บอกที่ซ่อนรองเท้า ตนอยากได้สินบน จึงบอกสามีให้ไปขุดดู และได้มีดมาอีกเล่มหนึ่งด้วย

เปาบุ้นจิ้นก็หันไปคาดคั้นหลีปิงว่า ตัวเจ้าไปฆ่าภรรยาของอ๋องซำ แล้วเก็บเอารองเท้าไปข้างหนึ่ง เพื่อประโยชน์สิ่งใดด้วย จริงหรือหาไม่จงรับเสียโดยดี แต่หลีปิงไม่ยอมรับ ปาบุ้นจิ้นเห็นว่ามีความพิรุธ โดยรูปความก็เห็นชัดอยู่แล้ว ว่าจะรู้แห่งที่ฝังรองเท้ากับมีดที่ใช้ฆ่านางจูก๊วนได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ผู้ลงมือกระทำ จึงสั่งให้ผูกเข้าเครื่องเฆี่ยนตี จนหลีปินทนเจ็บปวดไม่ไหว ต้องยอมรับสารภาพ มีความโดยละเอียดว่า

หลีปินได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับบ้านอ๋องซำ เดิมเคยเป็นขุนนาง แต่ถูกกล่าวหาว่าทุจริต จึงถูกถอดออกจากตำแหน่งกลับมาอยู่บ้าน เมื่อเห็นอ๋องซำไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ปล่อยให้นาง จูก๊วยภรรยาซึ่งมีลักษณะรูปโฉมงดงาม อยู่ตามลำพัง ก็มีความพอใจจะพูดจาแทะโลมนางจูก๊วน จึงแกล้งเข้าไปถามหาอ๋องซำ นางจูก๊วนก็บอกว่า

".....สามีข้าพเจ้าไม่อยู่ไปขายของที่ร้าน เวลานี้ก็มืดค่ำอยู่แล้ว แม้ว่าท่านจะมีกิจธุระอย่างใด ต่อรุ่งขึ้นพรุ่งนี้จึงค่อยมา....."

แต่หลีปินมีใจมืดมัวลุ่มหลงไปทางกามกำหนัด จึงผลักบานประตูเข้าไปในเรือน แล้วว่า

"....วันนี้ข้าพเจ้ามีธุระ ขอเชิญท่านมานั่งใกล้ข้าพเจ้าจะชี้แจงความทุกข์ร้อนในใจของข้าพเจ้าให้ท่านฟัง....."

นางจูก๊วนเห็นกิริยาอาการของหลีปินไม่เป็นผู้สุจริต จึงว่า

"...ท่านก็เคยเป็นขุนนางมาแต่ก่อนการขนบธรรมเนียมดีชั่วประการใด ๆ ท่านก็ย่อมทราบอยู่ทั้งสิ้นแล้ว และบัดนี้ท่านจะมาคิดกระทำการหยาบช้าต่อข้าพเจ้าฉะนี้ หาสมควรแก่ตัวท่านไม่.."

ว่าแล้วนางก็เข้าห้องไปเสีย ไม่อยู่พูดด้วยต่อไป

ฝ่ายหลีปินได้ความอายอดสูใจดังนั้น ก็กลับมาบ้านแล้วตรึกตรองว่า ถ้าซำอ๋อง กลับมาบ้าน นางจูก๊วยคงจะบอกเล่าให้สามีฟังทุกประการเป็นแน่แท้ จำจะต้องฆ่านางจูก๊วยเสียให้ตาย จะได้ตัดความเสีย ตนเองจะได้ไม่มีราคีเมือกคาวในความชั่ว คิดได้ดังนั้นแล้วก็ถือมีดออกจากบ้านไปหานางจูก๊วนอีก แล้วถามว่าจำหน้าหลีปินได้หรือไม่

นางจูก๊วยเห็นหลีปินกลับมาอีกจึงว่า

"....ท่านนี้เป็นคนทุจริต เห็นว่าสามีเราไม่อยู่จะมาข่มขืนทำหยาบช้าต่อเรา....."

แต่นางจูก๊วยพูดไม่ทันจบ หลีปินก็ตรงเข้าแทงฟันนางจูก๊วย ถูกคอและแขนล้มลง โลหิตไหลอาบทั้งตัวขาดใจตายไป หลีปินก็ถอดรองเท้านางจูก๊วย เอาข้างหนึ่งวางไว้ในครัว แล้วกอบเอาโลหิตใส่รองเท้าอีกข้างหนึ่ง ถือเดินออกไป ฝังไว้ที่ท่าน้ำ พร้อมกับมีดที่ใช้ฆ่านางจูก๊วย แล้วก็กลับบ้านไป

ต่อมาหลีปินก็ได้เป็นชู้กับนางเอียวสี วันหนึ่งเมื่อมีหมายประกาศออกมาแล้ว หลีปินเมาสุราอยู่กับนางเอี้ยวสี ก็เผลอบอกว่าวันนี้เราจะให้ลาภแก่เจ้า นางเอี้ยวสีก็หัวเราะแล้วพูดว่า

"...ตั้งแต่ท่านมารักใคร่กับข้าพเจ้า ยังไม่ปรากฎว่าท่านจะเอาสิ่งใดมาให้แก่ข้าพเจ้าเลย วันนี้ท่านจะให้ลาภสิ่งใดแก่ข้าพเจ้า เชิญท่านบอกแก่ข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้สมปรารถนาดังท่านแนะนำแล้ว ข้าพเจ้าจะซื้อสุรามาเลี้ยงท่าน..."

หลีปินก็เล่าว่า คดีที่อ๋องซำกล่าวหาเนียมลักฆ่าภรรยาตายนั้น บัดนี้รับเป็นสัตย์แล้ว แต่รองเท้าข้างหนึ่งยังหาไม่พบ ตนเองรู้ว่ารองเท้านั้นหมกโคลนอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้านอ๋องซำ จงไปบอกสามีให้ไปขุดแล้วนำไปให้เปาบุ้นจิ้น ก็จะได้เงินรางวัลตามประกาศเป็นแน่ นางเอี้ยวสีจึงไปบอกซุนจ้านให้ไปขุด จึงพบของกลางทั้งสองอย่างเอามาให้เป็นพยานในศาล

เปาบุ้นจิ้นได้ความกระจ่างแจ้ง จากคำสารภาพของคนร้ายตัวจริงแล้ว จึงสั่งให้ปล่อยตัวเนียมลักผู้เคราะห์ร้าย แล้วให้เอาหลีปินไปประหารชีวิตเสียตามข้อกฏหมาย ส่วนนางเอี้ยวสีนั้นให้สามีไปจัดการกันเอง

หลีปินผู้ทุจริตคิดมิชอบ จึงต้องตายตกไปตามกรรมอันซับซ้อน ด้วยปากของตนเอง ดังนี้.

##########

วารสารสุรสิงหนาท
พฤศจิกายน ๒๕๓๙






 

Create Date : 23 ตุลาคม 2554    
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 18:57:41 น.
Counter : 1369 Pageviews.  

เคราะห์กรรมซ้ำสอง

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

เคราะห์กรรมซ้ำสอง

" เล่าเซี่ยงชุน "

ครั้งหนึ่งท่าน เปาบุ้นจิ้น ได้เดินทางไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อมาถึงเมือง ไซเกีย บรรดานายแขวงนายอำเภอและตุลาการ ก็ได้นำสารบบบัญชีคดีความทั้งเก่าใหม่มาให้ เปาบุ้นจิ้นตรวจดู เปาบุ้นจิ้นได้เห็นสำนวนคดีเรื่องหนึ่ง มีหญิงสองคนแม่ลูกเป็นจำเลย แต่ไม่ยอม รับเป็นสัตย์ ยังค้างคาอยู่หาได้ตัดสินไม่ เรื่องราวในนั้นมีอยู่ว่า

ชายผู้หนึ่งชื่อ กังม้อ อยู่บ้านตำบลย่งอันติ้น ห่างจากเมืองไซเกียไปประมาณห้าลี้ ได้เป็นโจทก์ฟ้อง นางเอี๋ยงสี ผู้เป็นมารดา กับ นางเตียวหนึง บุตรสาว ว่าทั้งสองคบหาชายชู้ หลายคน รวมทั้ง ย้งบั๊ก คนใช้ในบ้านด้วย และได้หึงหวงกันจนเกิดฆ่าฟันย้งบั๊ก ถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ผู้เป็นโจทก์มิได้มีส่วนได้เสียในคดีนี้แต่อย่างใด เพียงแต่เคยเป็นคนรู้จักกับ เตียสุยเก สามี ของนางเอี๋ยงสี ซึ่งได้ตายไปแล้วเท่านั้น

ในคดีนี้ อั๋งจายกุ้ย นายอำเภอได้รับแจ้งความตามฟ้องแล้ว ก็ให้นักการไปเกาะตัว นางเอี๋ยงสี กับนางเตียวหนึง มาซักถาม ทั้งสองแม่ลูกก็ให้การสอดคล้องต้องกันเป็นความว่า

เดิมนางเอี๋ยงสีได้อยู่กินเป็นภรรยาเตียสุยเก ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลย่งอันติ้น ได้ทำมา หากิน จนมีเงินทองทรัพย์สินมากมาย เกิดบุตรหญิงคนหนึ่งคือนางเตียวหนึง มีลักษณะงามยิ่งนัก และนางเตียวหนึงนั้นก็มีฝีมือปักและเย็บเสื้อผ้าได้สวยงาม ทั้งมีความขยันหมดจดรอบคอบ ใน การงานเหย้าเรือน เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดายิ่งนัก ครั้นเติบโตเป็นสาว เตียสุยเกจึงบอกกับ ภรรยาว่า

"......บุตรของเราบัดนี้อายุได้สิบห้าปีแล้ว ถ้าชายผู้ใดมีฝีมือคุณวุฒิดีจริง แล้ว เราจะยกให้แก่ผู้นั้น....."

ในขณะนั้นเตียสุยเกมีลูกจ้างไว้ใช้สองคนคือย้งบั๊กกับ อ้วนเจียง ย้งบั๊กนั้นเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย ขยันเอาใจใส่หมั่นดูแลการงานบ้านเรือน ต่อมาเตียสุยเกป่วยลง หาซินแสหมอยามารักษา เท่าใด โรคนั้นก็ไม่บรรเทามีแต่ทรุดลงไปทุกวัน อยู่มาได้ถึงสิบวัน เตียสุยเกเห็นว่าอาการหนัก ชีวิต จะไม่รอด จึงปรับทุกข์กับนางอ๋องสีผู้ภรรยาว่า

".....เรามีบุตรแต่ผู้เดียวเป็นหญิง บุตรของเราเจริญวัยเป็นสาวขึ้นแล้วแม้ข้าตาย ไปแล้วเจ้าอยู่ข้างหลัง จะยกบุตรของเราให้มีเหย้าเรือนไป บุตรของเราก็จะต้องจากเจ้าไปไกล ไม่มี ผู้ใดจะอยู่ปฏิบัติเจ้า เจ้าก็จะได้ความว้าเหว่เปลี่ยวใจ เราเห็นว่าย้งบั๊กคนใช้ของเราผู้นี้เป็นผู้หมั่น การงาน รอบคอบ ควรจะยกให้แก่ย้งบั๊ก จะได้ช่วยทำมาหากิน และดูแลในการเหย้าเรือน จึงจะชอบ....."

เมื่อได้สั่งเสียภรรยาถี่ถ้วนทุกประการแล้ว ต่อมาโรคกำเริบขึ้นเตียสุยเกก็ถึงแก่ความ ตายไป นางเอี๋ยวสีกับนางเตียวหนึงก็ร้องไห้เศร้าโศก อาลัยเตียสุยเกยิ่งนัก ครั้นค่อยคลายความโศก จึงพากันเอาศพไปฝังและเซ่นไหว้ทำกงเต๊กตามประเพณี

ต่อมานางเอี๋ยงสีปรารภกับบุตรสาวว่า จะจัดการแต่งงานให้กับย้งบั๊ก เป็นสามีภรรยา กัน นางเตียวหนึงก็กอดมารดาเข้าแล้วก็ร้องไห้อ้อนวอนว่า

".....บิดาข้าพเจ้าพึ่งตายลงยังไม่ทันจะข้ามปี มาบัดนี้มารดาจะแต่งให้ข้าพเจ้า มีเหย้าเรือนไปนั้นหาควรไม่ ถ้ากระไรขอให้มารดางดรอไปให้ได้สักปีหนึ่ง หรือสองปีก่อนเถิด....."

นางเอี๋ยงสีได้ฟังบุตรสาวทัดทานดังนั้นก็เชื่อฟังคำ จึงให้รอการแต่งงานไว้ก่อน เมื่อ ย้งบั๊กทราบเรื่องที่นางเอี๋ยงสี มีความเมตตารักใคร่จะยกนางเตียวหนึงบุตรสาวให้เป็นภรรยา ก็ยิ่งมีความอุตสาหะจงรักภักดี หมั่นเพียรดูแลการงานเอาใจใส่ มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน การงานสิ่งใดในเรือนก็เป็นที่ไว้วางใจแก่ย้งบั๊กทั้งสิ้น

อยู่มาวันหนึ่งถึงกำหนดที่จะต้องเสียเงินค่านา นางเอี๋ยงสีก็ได้มอบเงินจำนวนมาก ให้ ย้งบั๊กไปเสียค่านาแทน เพราะในวันนั้นญาติในเมืองไซเกีย ได้เอาเทียบมาเชิญนางเอี๋ยงสีกับบุตรสาวไปกินเลี้ยง เมื่อเสร็จงานกินเลี้ยงแล้วกลับมาบ้าน ก็พบว่าย้งบั๊กนอนตายอยู่ มีบาดแผลถูกฟันโลหิตไหลอาบไปทั้งตัว สองแม่ลูกไม่แจ้งว่าผู้ใดมาทำร้ายแก่ย้งบั๊ก ต่างพากันร้องไห้เศร้าโศก ในเคราะห์กรรมของย้งบั๊กยิ่งนัก นางเอี๋ยงสีก็รำพันกับบุตรสาวว่า เหตุทั้งนี้ด้วยวาสนาของเราไม่ใช่คู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันกับย้งบั๊ก ส่วนนางเตียวหนึงนั้นก็ร้องไห้อาลัยรักคู่มั่นหมายของตน กลิ้งเกลือกไปมาจนสิ้นสติสมปฤดีไป

แต่อั๋งจายกุ้ยนายอำเภอ ไม่เชื่อคำให้การของสองแม่ลูก จึงให้ผูกนางเอี๋ยงสีและนางเตียวหนึงเข้าเฆี่ยนตีถึงสาหัส จะให้ทั้งสองรับเป็นสัตย์ แต่สองแม่ลูกก็ไม่ยอมรับ นางเตียวหนึงนั้นร้องไห้บอกแก่มารดาว่า

"....โดยความสุจริตของเรา เทพยดารักษาฟ้าแลดินก็คงจะสอดส่องทิพยเนตร เล็งเห็นความจริง แม้ว่ามารดาจะถึงแก่ความตาย เพราะด้วยอาญาตุลาการผู้ปราศจากแก้วตาปัญญาใจเช่นนี้ ก็ควรอยู่แล้วที่จะต้องจำใจตาย แต่มารดาอย่ารับเลย ชื่อของเราจะเสียอยู่ชั่วฟ้าและดิน แต่ส่วนตัวของข้าพเจ้านั้น จะขอลามารดาตายไปพบกับสามีของข้าพเจ้า ณ เมืองผี....."

เมื่อนายอำเภอเห็นว่า จำเลยสองแม่ลูกไม่ยอมรับ จึงให้ผู้คุมเอาตัวไปจำขังไว้ในคุก ในวันนั้นเองนางเตียวหนึงก็กลั้นใจ กัดลิ้นตนเองถึงแก่ความตายไปดังคำพูด นางเอี๋ยงสีเห็นบุตรสาวตาย ก็ร้องไห้เศร้าโศกจนคิดจะฆ่าตัวตายตามไปด้วย แต่บรรดาพวกนักโทษที่อยู่ใกล้เคียง ได้ชวนกันพูดจาชี้แจงให้นางเอี๋ยงสีฟังว่า

".....ท่านจงยับยั้งใจไว้ก่อน ด้วยเวลานี้เป็นคราวเคราะห์ร้าย เวรกรรมตามสนอง จะทำอย่างไรได้ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เปาเล่งถูชำระแล้ว ก็คงจะได้ตัวผู้ร้าย ซึ่งกระทำแก่บุตรเขยท่านเป็นแน่ จงอุตส่าห์สู้ทนทุกข์ทรกรรมไปก่อนเถิด....."

นางเอี๋ยงสีได้ฟังเพื่อนนักโทษด้วยกันปลอบใจ ก็เห็นจริงด้วย ความคิดโทมนัสน้อยใจ ก็ค่อยคลายลง จึงมิได้ทำอันตรายแก่ตัวเองให้ถึงแก่ความตาย สู้อดทนรออยู่จนถึงบัดนี้

เปาบุ้นจิ้น ได้อ่านสำนวนและพิจารณาความอย่างละเอียดแล้ว จึงให้หาตัวบรรดาราษฎรซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกับนางเอี๋ยงสี มาซักถามเอาความจริงให้กระจ่าง ราษฎรที่อยู่ในตำบลนั้น ต่างก็ให้การเบิกความ ตามที่ตนรู้เห็นว่า เวลาเกิดเหตุนั้น นางเอี๋ยงสีกับนางเตียวหนึง ได้รับเชิญไปกินเลี้ยงที่บ้านญาติ พอกลับมาจึงได้เห็นย้งบั๊กตาย พวกตนทั้งหลายก็มิได้แจ้งว่าผู้ใดมาทำร้ายย้งบั๊ก เห็นแต่สองแม่ลูกร้องไห้เศร้าโศกอยู่เป็นอันมาก

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้น ก็ใคร่ครวญด้วยวิจารณญาณปัญญาจักษุ เห็นว่าคดีนี้คงจะมีตัวผู้ร้ายที่มีความบาดหมางกัน ด้วยเรื่องในบ้านเรือนนั้นเป็นต้นเหตุ จึงให้ผู้คุมนำตัวนางเอี๋ยงสีมาถามว่า มีคนใช้อยู่ในเรือนกี่คน

นางเอี๋ยงสีจึงบอกว่า

"....เดิมคนใช้ของข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่งแซ่อ้วน แต่ข้าพเจ้าได้ไล่ออกจากบ้านข้าพเจ้าไป นานประมาณสักสองปีแล้ว...."

เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ ไปตามหาตัวชายผู้แซ่อ้วนมาให้ได้ เจ้าหน้าที่ก็สืบหาตัว อ้วนเจียง จนได้แล้วพาตัวมาซักถาม อ้วนเจียงก็ให้การปฏิเสธไม่ยอมรับ เปาบุ้นจิ้นลงเนื้อเห็นแน่แก่ใจว่าต้องเป็นผู้ร้ายแน่ จึงให้นักการไปที่บ้านอ้วนเจียง ค้นได้ของกลางคือหีบใบหนึ่งเอามาให้ เปาบุ้นจิ้นเปิดออกดูเห็นมีเบี้ยแปะกับเงินอยู่ในหีบ จึงให้นางเอี๋ยงสีมาดู ว่าหีบนี้เป็นของตนหรือมิใช่

นางเอี๋ยงสีแลเห็นหีบก็จำได้แม่นยำว่าเป็นหีบของนาง ที่ใส่เงินกับเบี้ยมอบให้ย้งบั๊กไว้เพื่อจะเอาไปเสียค่านา จึงยืนยันด้วยความแน่ใจ เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้นักการนำอ้วนเจียง เข้าขื่อคาล่ามโซ่ลั่นกุญแจคอเข้าไว้เต็มที่ แล้วจะผูกตี ตามจารีตนครบาล อ้วนเจียงมีความกลัวยิ่งนักยังมิทันจะได้ผูกถือและโบยตี ก็ยอมให้การรับสารภาพ ได้ความว่า

ตนเองได้เป็นลูกจ้างของเตียสุยเก คู่กันกับย้งบั๊ก แต่นายมีความโกรธเกลียดชัง หาว่าเป็นคนเกียจคร้านบิดพริ้วสับปลับในการงาน จึงขับไล่ออกไปเสียจากบ้าน ตนมีความอาฆาตว่า ย้งบั๊กเป็นผู้ยุยงเตียสุยเกให้ขับไล่ตนเสีย วันหนึ่งจึงได้พกอาวุธมาจะแก้แค้นย้งบั๊ก พอดีเห็นย้งบั๊กกำลังนั่งตรวจนับเงินจำนวนมากอยู่แต่ผู้เดียว จึงเข้าไปใกล้แล้วชี้หน้าด่าว่า

"....มืงหรือเป็นคนสนิทของเศรษฐี...."

แล้วก็ชักอาวุธออกฟันย้งบั๊กถึงแก่ความตาย แล้วก็ยกเอาหีบใส่เงินนั้นหนีไป โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว

เปาบุ้นจิ้นได้ความจริงครบถ้วนแล้ว จึงตัดสินให้ปล่อยตัวนาง เอี๋ยงสีพ้นจากการจองจำ และให้เอาอ้วนเจียงไปประหารเสีย ส่วนกังม้อหมอความผู้เป็นโจทก์ เอาเท็จมาฟ้องจนเจ้าทุกข์ ต้องถูกจองจำและตายไปคนหนึ่งนั้น ให้เนรเทศไปอยู่เมืองไกลอันกันดาร อย่าให้คนทั้งหลายดูเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป.

เปาบุ้นจิ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรัตน์ อันเป็นประโยชน์ใหญ่แก่บ้านเมือง และพระมหากษัตริย์ รวมถึงอาณาประชาราษฎร มาตลอดชั่วชีวิตของท่าน และยังเป็นแบบแผนของผู้ซื่อตรงตงฉิน และข้าราชการผู้เป็นเสวกามาตย์ราชปรินายก ต่อ ๆ มาในภายหลังอีก ด้วย

ซึ่งคงจะไม่มีผู้ใดคัดค้านเป็นแน่นอน.

##########

วารสารสุรสิงหนาท
ตุลาคม ๒๕๔๑






 

Create Date : 23 ตุลาคม 2554    
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 18:55:01 น.
Counter : 403 Pageviews.  

หญิงผู้สัตย์ซื่อ

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

หญิงผู้สัตย์ซื่อ

" เล่าเซี่ยงชุน "


ณ เมืองหลินอันหู ขณะที่ เปาบุ้นจิ้น ได้ตรวจราชการอยู่นั้น วันหนึ่งก็มีชายผู้หนึ่งชื่อ หองโต มาแจ้งความฟ้องร้องกล่าวโทษเพื่อนของตนเองที่ชื่อ หยีมักกือ หาว่ากระทำการข่มขืน นางเกงเจงโก ผู้เป็นภรรยาของตน แต่นางไม่ยินยอมพร้อมใจด้วย จึงฆ่าตัวตายเสีย โดยมี ฮูหมอเอ้ง เป็นพยาน

เปาบุ้นจิ้นรับคำฟ้องแล้วจึงให้นักการในศาล ไปจับตัวจำเลยและเรียกพยาน มาศาลในทันที แล้วซักฮูหมอเอ้งซึ่งเป็นพยานก่อน ว่าตามที่หองโตผู้เป็นโจทก์กล่าวฟ้องหยีมักกือ ว่า ข่มขืนนางเกงเจงโกนั้น ตัวได้รู้เห็นเป็นประการใด จงเบิกความไปตามจริง

ฮูหมอเอ้งก็ให้การว่า

"....เดิมข้าพเจ้ายืนอยู่นอกห้อง หยีมักกือเข้าไปอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงนาง เกงเจงโกร้อง ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า หยีมักกือเข้าไปกระทำข่มขืนนางเกงเจงโก...."

เปาบุ้นจิ้นจึงหันไปถามจำเลยว่าเป็นความจริงหรือไม่ หยีมักกือก็ให้การว่า

".....เมื่อข้าพเจ้ากับฮูหมอเอ้งเข้าไป นางเกงเจงโกกล่าวถ้อยคำหยาบช้าแล้ว จับอาวุธไล่ฟันข้าพเจ้ากับฮูหมอเอ้ง ข้าพเจ้ากับฮูหมอเอ้งวิ่งหนีจากที่นั้นไป หาได้ทันกระทำการ ข่มขืนล่วงประเวณีไม่....."

เปาบุ้นจิ้นก็กล่าวว่า

"....เมื่อเราได้รู้ความตามฟ้องแล้ว เราได้ให้นักการไปชันสูตรดูศพนางเกงเจงโก ไม่มีเสื้อผ้าและกางเกงเปลือยกายนอนตายอยู่ข้างเตียง เจ้าทั้งสองคนสมรู้ร่วมคิดกัน กระทำการ หยาบช้าแก่นางเกงเจงโก นางมีความอายจึงได้ฆ่าตนตายเสียดังนี้ ก็เพราะได้ความอับอายและ โทมนัสน้อยใจ เจ้าทั้งสองให้การพัวพัน เราเห็นไม่พ้นผิดพิรุธเป็นรอยราคีมีมลทินอยู่แล้ว จง ให้การไปโดยสัตย์จริงเถิด อย่าให้ต้องผูกถือเฆี่ยนตีเลย....."

ฮูหมอเอ้งกับหยีมักกือ จึงต้องยอมสารภาพออกมาอีกว่า ทั้งสองได้เข้าไปในห้องนอน ของนางเกงเจงโก ต่างก็จับข้อมือนางไว้ข้างละคน ฮูหมอเอ้งนั้นมือหนึ่งก็จับข้อมือนาง เกงเจงโกไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็เปลื้องเอาเสื้อและกางเกง ออกจากกายนางเกงเจงโกเป็นพัลวัน เมื่อหยีมักกือเห็นดังนั้น มีความกลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ จึงวางมือจากนางเสียแล้วก็ออกไปจาก ห้องนั้น นางเกงเจงโกจึงเอามือที่ว่างคว้ามีดเล่มหนึ่งขึ้นมาจะฟันฮูหมอเอ้งที่อยู่ใกล้ ฮูหมอเอ้งจึง ต้องปล่อยมือแล้ววิ่งหนีออกจากห้องตามเพื่อนไป นางจึงใช้มีดในมือเชือดคอตนเองถึงแก่ความ ตาย ด้วยความแค้นและอัปยศน้อยใจ

แต่ที่สำคัญคือทั้งสองคนให้การต้องกันในตอนท้ายว่า

".....ทั้งนี้ใช่ว่าข้าพเจ้าจะกระทำ แต่โดยลำพังอำเภอใจของข้าพเจ้าก็หามิได้ คือเดิมหองโตโจทก์ผู้สามีของนางเกงเจงโกผู้ตาย บอกแก่ข้าพเจ้าทั้งสองคนว่า นางเกงเจงโก เป็นหญิงซื่อตรงต่อสามียิ่งนัก หองโตจึงได้อนุญาตยอมให้ข้าพเจ้าทดลองดูว่า จะจริงเหมือน กล่าวหรือไม่ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าทั้งสองคนจึงได้เข้าไปหานางเกงเจงโก แต่ยังหาได้ทัน กระทำการ ประเวณี ล่วงถึงชำเราไม่...."

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังจำเลยทั้งคู่อ้างดังนั้น ก็หัวเราะแล้วดักคอเอาว่า

".....ไม่ได้ข่มขืนถึงชำเรา เหตุใดจึงเปลื้องเสื้อกางเกงเขาด้วยเล่า ด้วยเหตุว่าธรรมดาถ้าหญิงไม่ยินยอมแก่ชายแล้ว ชายนั้นจะมาปลดเปลื้องเครื่องนุ่งห่มของหญิงนั้น ไม่ได้ เราเห็นว่าเจ้าทั้งสองคนนี้ คงจะช่วยกันยึดถือทำการข่มขืน โดยเต็มกำลังของเจ้าเป็นแน่ จึงได้เป็นไป ถึงเพียงนี้ ถ้าเจ้าไม่รับจะต้องผูกตีให้ถึงสาหัส....."

ทั้งสองจึงต้องยอมรับสารภาพว่าตั้งใจข่มขืนจริง

ส่วนโจทก์นั้นเปาบุ้นจิ้นก็ถามว่า เหตุใดจึงได้คิดวิปลาส กับภรรยาของตนเช่นนั้น หองโตก็เล่าความจริงให้ฟังโดยละเอียด ได้ความว่า ตนเองนั้นคิดจะลองใจนางเกงเจงโกผู้ภรรยา ว่าจะเป็นคนสุจริตซื่อตรงต่อสามีจริงหรือไม่ จึงถามภรรยาว่า

"....เจ้าเป็นภรรยาของข้า แม้มีผู้มาพูดจาเกี้ยวพานแทะโลม เจ้าจะสมัครรักใคร่ เขาหรือไม่....."

นางเกงเจงโกก็ตอบว่า

".....แม้ผู้ใดมาพูดจายั่วเย้าเกี้ยวพานแทะโลมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่พูดด้วย จะมาทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้....."

หองโตก็ถามต่อไปอีกว่า

“.....แม้มีผู้ชายมาปล้ำปลุกข่มขืนเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร....."

ภรรยาก็ตอบว่า

".....ถ้าแม้ชายใดมาปล้ำปลุก ข่มขืนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต่อสู้ชายนั้น ด้วยคมอาวุธ ฆ่าฟันมันให้ถึงแก่ความตาย นอกจากท่านแล้ว ข้าพเจ้าไม่เสียตัวแก่ชายอื่น ต่อไปเป็นอันขาด....."

หองโตก็ยังไม่ยอมเชื่อถามต่อไปอีกว่า

“.....แม้ชายหลายคนช่วยกันกระทำการข่มขืนเจ้า เจ้าจะทำประการใด...."

ฝ่ายภรรยาก็ยืนยันว่า

"......ถ้ามีชายมาช่วยกันกระทำข่มขืนข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะฆ่าตัวข้าพเจ้า ให้ตายเสียก่อน มิทันเสียตัวแก่ชายนั้น ผู้ซึ่งมิใช่สามีข้าพเจ้า....."

หองโตจึงคิดใคร่จะลองดูให้เห็นจริง อีกสองสามวันต่อมา จึงวานเพื่อนคนหนึ่ง ให้มา พูดจาสัพยอกแทะโลมเกี้ยวพานางเกงเจงโก นางก็โกรธกล่าวคำหยาบช้า ต่อชายผู้นั้นให้ได้ความ อายอดสู จนต้องหลบหน้าไป แล้วนางก็นำเรื่องนี่มาเล่าให้สามีฟังทุกประการ แต่ยังไม่เป็นที่พอใจ อีกเดือนเศษต่อมาหองโตจึงไปชวนฮูหมอเอ้งกับยีมักกือ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท มาช่วยกันปลุกปล้ำ ลองใจนางเกงเจงโกจนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น และเมื่อภรรยาตายแล้ว ตนเองเกรงว่าบิดามารดา ของ ภรรยาจะเอาเรื่อง ความผิดก็จะพลอยมาถึงตัวด้วย จึงได้นำความมาฟ้องต่อท่านเปาบุ้นจิ้น เป็นการ กลบเกลื่อน

เมื่เปาบุ้นจิ้นได้ทราบเหตุ โดยกระจ่างแจ้งทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงตัดสินพิพากษาว่า หองโตสามีเป็นผู้ก่อเหตุอันมิชอบ เป็นความทุจริตผิดประเพณี ภรรยาของตัวดี ๆ ไม่ควรจะให้ชาย ไปทำหยาบช้า จนเป็นเหตุถึงอันตรายแก่ชีวิต ให้เอาตัวหองโตไปประหารเสีย

ส่วนฮูหมอเอ้งกับยีมักกือ สองจำเลยนั้น ให้เนรเทศไปอยู่หัวเมืองไกล เป็นเวลาสามปี จึงให้กลับมาอยู่บ้านเดิมได้

และเปาบุ้นจิ้นก็ได้สั่งให้เจ้าเมืองหลินอันหู สร้างศาลาจารึกชื่อนางเกงเจงโก ไว้ด้วย อักษรทองคำ เพื่อประกาศเกียรติคุณของนางว่า เป็นหญิงที่ซื่อตรงต่อสามีไว้ ให้ปรากฎเป็นตัวอย่าง อันดี ต่อไปในภายหน้าด้วย

อันเรื่องวิปริตผิดประเพณีแบบนี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเป็นสมัย ปัจจุบัน อาจจะไม่เป็นคดีขึ้นศาล ให้ท่านเปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม ต้องปวดเศียรเวียนเกล้า เช่นนี้เลยก็ได้.

##########

จาก วารสาร สยามอารยะ
พฤศจิกายน ๒๕๓๙




 

Create Date : 23 กันยายน 2554    
Last Update : 23 กันยายน 2554 5:59:28 น.
Counter : 355 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.