Group Blog
 
All Blogs
 
ร่มเจ้ากรรม

เปาบุ้นจิ้นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม

ร่มเจ้ากรรม

" เล่าเซี่ยงชุน "

ครั้งนั้น เปาบุ้นจิ้น ในตำแหน่งเปาเล่งถู รับราชการอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวง เป็นวันขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนสี่ฤดูฝน ขณะที่ฝนกำลังตกอย่างหนัก ก็มีชายสองคนเดินโต้เถียงทะเลาะกันมาถึงหน้าบ้าน โดยเปียกฝนด้วยกันทั้งคู่ เปาบุ้นจิ้นได้ยินเสียงจึงให้คนใช้ออกไปพาตัวชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน และถามว่าทุ่มเถียงอะไรกันอื้ออึงอยู่กลางถนน

ชายคนหนึ่งชื่อ ล่อจิ๊นเหียน ก็เล่าว่า ตนกางร่มเดินไปหาเพื่อนที่ตำบลก๊วนเต๊ง แล้วมีชายผู้นี้เดินตามมาขออาศัยร่มไปด้วย ล่อจิ๊นเหียนไม่ยอมให้อาศัย บอกว่า

".....ข้าพเจ้ามีร่มมาแต่คันเดียวเท่านี้ ท่านจะมาขออาศัยกระไรได้....."

ชายผู้นี้ก็บอกว่า

".....ร่มของข้าพเจ้าก็มีอยู่คันหนึ่ง เพื่อนกันเขามาขอยืมเอาไปกาง ข้าพเจ้าคอยอยู่เป็นเวลาช้านานยังไม่เห็นเขากลับมา ข้าพเจ้าจะรีบกลับไปบ้าน เพราะฉะนั้นจึงจะขอโดยสารท่านไปด้วย....."

ล่อจิ๊นเหียนได้ฟังดังนั้น ก็เสียอ้อนวอนไม่ได้ ต้องยอมให้อาศัยร่มเดินมาด้วยกัน แต่พอถึงสี่แยกตำบลน่ำเกียว ชายผู้นี้ก็แย่งเอาร่มจากมือของตนไป ตนมีความโกรธจึงว่า

"....เจ้ามาขออาศัยร่มของเราแล้ว บัดนี้กลับมาชิงเอาร่มของเราไปฉะนี้หาควรไม่ จงคืนร่มมาให้แก่เรา....."

ชายผู้นี้ก็หัวเราะแล้วว่า

".....พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะคืนท่าน อย่าวุ่นวายไปเลย....."

แต่ล่อจิ๊นเหียนไม่เชื่อ จึงเดินตากฝนตามมาทวงเอาร่มคืน ชายผู้นี้ก็ไม่ยอมให้ จนท่านเปาบุ้นจิ้นให้คนออกไปตามตัวมานี้

เปาบุ้นจิ้นจึงได้ถามชายผู้ถูกกล่าวหา ว่าเรื่องที่ล่อจิ๊นเหียนเล่ามานี้เป็นความจริงหรือไม่ ชายนั้นชื่อ คิ่วอิดฌ้อ ก็ให้การว่า

"....ร่มของข้าพเจ้าถือกางมาจากบ้านข้าพเจ้า หาใช่ร่มของผู้นี้ดุจที่กล่าวหาไม่..."

แล้วทั้งสองก็เถียงกัน ต่อหน้าเปาบุ้นจิ้นอีก เปาบุ้นจิ้นจึงถามทั้งสองฝ่ายว่า ร่มคันนี้ซื้อมาจากผู้ใด บ้านใด ตำบลใด ราคาเท่าใด มียี่ห้ออะไร มีสิ่งใดในร่มเป็นเครื่องหมายสำคัญ พอจะเป็นพยานได้ว่าของผู้ใด

ล่อจิ๊นเหียนก็ว่า

".....ร่มคันนี้ข้าพเจ้าซื้อมาราคาห้าหุนเท่านั้น กับเห็นว่าราคาเล็กน้อย จึงมิได้เขียนยี่ห้อไว้ในร่มเป็นสำคัญ....."

เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

".....ร่มคันเดียวเท่านี้ราคาก็ไม่มากอะไรนัก จะสืบสวนเอาสักขีพยานก็ไม่มีหลักฐานที่อ้าง ป่วยการเสียเวลาเราจะตัดสินแบ่งร่มนี้ให้แก่เจ้า คนละครึ่ง....."

ว่าแล้วก็ให้นักการผ่าร่มนั้นออกเป็นสองซีกให้แก่ล่อจิ๊นเหียนซีกหนึ่ง ให้คิ่วอิดฌ้อซีกหนึ่ง แล้วทั้งสองก็ออกจากบ้านเปาบุ้นจิ้นไป

เปาบุ้นจิ้นจึงให้คนสนิทเดินสะกดรอยตามไปดูว่าทั้งสองพูดจาว่ากระไรบ้าง ถ้าผู้ใดบ่นว่าติฉินนินทาให้จับต้วกลับมาไต่สวนอีก เจ้าหน้าที่ก็เดินติดตามชายทั้งคู่ไป

ปรากฏว่าล่อจิ๊นเหียนเดินพลางก็บ่นไปว่า

"....ราษฎรเลื่องลือกันว่าเปาเล่งถูผู้นี้ มีสติปัญญาลึกซึ้ง สามารถจะตัดสินคดีของราษฎรที่ลี้ลับ ไม่มีเงื่อนสายให้ได้ความจริงโดยยุติธรรมได้ทุกเรื่องทุกราย ร่มของเราแท้ ๆ โดยความสัตย์จริงของเรา ท่านเปาเล่งถูกลับตัดสินแบ่งร่มของเรา ให้แก่คนพาลเสียซีกหนึ่งดังนี้ เราเห็นว่าเปาเล่งถูไม่มีสติปัญญา และความยุติธรรมจริง ดุจคำคนเล่าลือ จึงได้ตัดสินอย่างห้วน ๆ ง่าย ๆ ไม่พิเคราะห์ใคร่ครวญโดยละเอียด ถ้าแต่เช่นนี้แล้วเราก็ตัดสินได้เหมือนกัน ใครทะเลาะทุ่มเถียงกันด้วยทรัพย์สมบัติ วัตถุสิ่งของ ก็แบ่งให้โจทก์จำเลยเสียคนละครึ่ง ก็แล้วกันได้โดยเร็วทุกเรื่องไป จะชมว่ามีสติปัญญาอย่างไรได้....."

ฝ่ายคิ่วอิดฌ้อก็เดินไปหัวเราะไปว่า

"....สมน้ำหน้าร่มของตัวก็ไม่ทำ เครื่องหมายสำคัญและยี่ห้อ จดจำว่าซื้อมาแต่แห่งหนตำบลใดไว้ เคราะห์เราดีชะรอย เวลานี้เปาเล่งถูจะลมเสีย จึงได้ตัดสินเอาง่าย ๆ เช่นนี้ นึก ๆ ก็น่าหัวเราะ...."

ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ของเปาบุ้นจิ้น ซึ่งตามไปข้างหลัง ได้ยินคนทั้งสองพูดนินทาและหมิ่นประมาทเปาบุ้นจิ้นดังนั้น จึงจับตัวทั้งสองคนกลับมาส่งให้เปาบุ้นจิ้นอีก ท่านเปาบุ้นจิ้นจึง ถามว่าผู้ใดหมิ่นประมาทเราว่าอย่างไร จงให้การไปตามความจริง

คิ่วอิดฌ้อจึงแย่งฟ้องเปาบุ้นจิ้นว่า ล่อจิ๊นเหียนติเตียนนินทาและหมิ่นประมาทท่านเปาบุ้นจิ้น ว่าตัดสินไม่ยุติธรรม ไม่ถูกต้อง และไม่มีสติปัญญา ปราศจากวิจารณญาณ ตัดสินความโดยโมหาคติ แต่ตนเองหาได้บ่นนินทาแต่ประการใดไม่

เปาบุ้นจิ้นจึงถามล่อจิ๊นเหียนว่า ได้บ่นนินทาจริงหรือไม่ ล่อจิ๊นเหียนก็รับว่าได้บ่นนินทาจริง เพราะเหตุว่าร่มเป็นของข้าพเจ้าแท้ ๆ ท่านมาตัดสินให้ผ่าร่มของข้าพเจ้าเสีย จึงมีความเสียดายและโทมนัสน้อยใจ

เปาบุ้นจิ้นจึงหัวเราะ แล้วเอาเบี้ยให้ค่าร่มแก่ล่อจิ๊นเหียนร้อยเบี้ยแล้วตัดสินใหม่ว่า

".....คิ่วอิดฌ้อนี้เป็นคนทุจริต อาศัยร่มของล่อจิ๊นเหียนแล้ว กลับคิดเอาร่มของเขา ไปเป็นของตัว เราลองดูว่าจะเป็นของผู้ใดจริง ด้วยเป็นธรรมดาอยู่ว่า ถ้าผู้ใดเป็นเจ้าของจริงแล้ว ผู้เจ้าของจริงย่อมมีความอาลัยรักใคร่เสียดาย และมีความโทมนัสน้อยใจ จึงได้บ่นว่าเราไม่เป็นยุติธรรม และไม่มีสติปัญญาที่จะล่วงรู้ความจริง ในส่วนตัวเจ้ามีความรื่นเริง กลับพูดว่าสมน้ำหน้า จึงส่อให้เรามีทางเห็นได้ว่า เพราะมิใช่ของตัวจึงได้พูดดังนั้น เราพิจารณาเห็นว่าเจ้าเป็นคนทุจริต....."

ว่าแล้วก็สั่งให้เฆี่ยนคิ่วอิดฌ้อเสียสิบที แล้วให้ใช้ค่าร่มแก่ล่อจิ๊นเหียนอีกด้วย

คดีนี้เป็นเรื่องง่าย แต่จะเป็นคติสอนใจอย่างใดนั้น ท่านผู้อ่านซึ่งต่างก็มีวิจารณญาณอันดีทุกท่าน ย่อมจะมองเห็นด้วยปัญญาของท่านเองแล้ว.

##########






Create Date : 24 ตุลาคม 2554
Last Update : 24 ตุลาคม 2554 10:20:33 น. 0 comments
Counter : 419 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.