Group Blog
 
All Blogs
 
นางใจซื่อ

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

นางใจซื่อ

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อกล่าวถึง เปาบุ้นจิ้น หรือ เปาเล่งถู นั้น ปรากฎว่าในสมัยแผ่นดินซ้อง ชื่อของท่านเป็นที่เชื่อถือว่า เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความยุติธรรมเที่ยงตรง เป็นที่นับถือกันทั่วไปทั้งแผ่นดิน

ในประเทศไทยนั้นได้มีการแปลเกร็ดพงศาวดารจีนเรื่อง เปาเล่งถู เป็นภาษาไทย ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ จนกระทั่งปัจจุบันก็ได้มีภาพยนต์ทางโทรทัศน์มาฉายให้ชมกันเป็นที่แพร่หลายตลอดมา ตัวอย่างความปรีชาสามารถของท่านนั้น มีอยู่มากมาย

แต่การพิจารณาคดีของ เปาบุ้นจิ้น ตามเรื่องโบราณเมื่อร้อยปีก่อนนั้น ความจริงท่านก็ไม่ได้ใช้การสืบสวนเท่าใดนัก ส่วนใหญ่ใช้แต่การสอบสวน เพียงแต่ท่านมีบุญที่สามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้แม่นยำ ทำให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยถูกต้อง มิใช่แพะผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น และความที่ท่านเป็นคนดีมีคุณธรรม คดีบางเรื่องจึงมีเทพยดามาเข้าฝันชี้ช่องให้ก็ได้ ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

เมื่อครั้งที่เปาบุ้นจิ้นเป็นตำแหน่งที่เอ๋ซุนอ้าน ผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ถือรับสั่งพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เป็นข้าหลวงใหญ่ ไปเที่ยวตรวจบรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยในพระราชอาณาเขต ครั้นไปถึงเมืองกุ้ยจิวเข้าแล้ว เจ้าเมืองกับกรมการเมืองก็นำไปพักยังตึกก๋งก๊วน อันเป็นที่ต้อนรับแขกเมือง และเลี้ยงดูตามธรรมเนียมเป็นอย่างดี

คืนนั้นหลังการเลี้ยงแล้วเปาบุ้นจิ้นก็หลับสนิท แล้วก็ฝันว่าพระกวนอิมมาพาท่านไปเที่ยวที่วัดอันฮกยี่ และฝันซ้ำอ่างนี้อยู่ถึงสามวัน เมื่อตริตรองดูแล้วเห็นเป็นการประหลาดอัศจรรย์อยู่ จึงสั่งให้บ่าวไพร่จัดเกี้ยวให้นั่ง แล้วหามไปยังวัดที่เห็นในฝัน โดยมีผู้ติดตามไปด้วยหลายคน เมื่อถึงวัดแล้วก็ลงจากเกี้ยว เข้าไปในที่พักของหลวงจีนแซ่ฮุยเจ้าอาวาส ท่านก็ยกน้ำชามาเลี้ยงเปาบุ้นจิ้นตามธรรมเนียม

เมื่อพักพอสบายใจแล้วเปาบุ้นจิ้นก็ออกไปเดินตรวจตราภายนอกที่พักนั้น จนถึงหลังวัด ก็พบระฆังใหญ่ใบหนึ่งตั้งคว่ำอยู่บนดิน มีความสงสัยว่าระฆังทำไมไม่แขวนอยู่บนหอ จึงให้บ่าวไพร่ช่วยกันหงายระฆังนั้นขึ้นมา ก็เห็นชายคนหนึ่งนอนหายใจระรวยอยู่ ใกล้จะสิ้นใจอยู่แล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ให้คนรีบไปตามซินแสหมอยา มาแก้ไขรักษาพยาบาลจนชายผู้นั้นค่อยฟื้น ได้สติและค่อยมีเรี่ยวแรงขึ้น จึงหยอดข้าวหยอดน้ำจนมีกำลังเป็นปกติ เปาบุ้นจิ้นก็ซักถามถึงเหตุที่ต้องมาถูกระฆังครอบอยู่เช่นนี้

ชายผู้นั้นก็คุกเข่าคำนับเปาบุ้นจิ้น แล้วก็เล่าความว่า ตนเองชื่อ เต็งยิดตง เคยเป็นนักเรียนสอบไล่ได้ประโยคชั้นสิวจ๋าย แต่ยังมิได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง ตนมีภรรยาคนหนึ่งชื่อ นางเต็งสี ตั้งบ้านเรือนอยู่ไม่ไกลจากวัดนี้เท่าใดนัก ตนจึงมักไปมาหาสู่นอนค้างอ้างแรมอยู่ที่วัด เพื่อจะได้พักผ่อนอ่านหนังสือ เตรียมเข้าสอบขั้นต่อไป ภรรยาก็ไม่ว่าประการใด

อยู่มาคราวหนึ่งเต็งยิดตงไปพักผ่อนที่วัดอันฮกยี่ ด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจ จนเวลาล่วงไปเดือนเศษ ก็มีชาวบ้านมาบอกว่า นางเต็งสีภรรยาของตนนั้นได้หายไปจากบ้านหลายวันแล้ว เต็งยิดตงก็ตกใจมีความวิตกห่วงใยภรรยา จึงไปยังที่พักของหลวงจีนแซ่ฮุย เพื่อจะลากลับบ้าน ขณะที่กำลังร่ำลาเจ้าอาวาสนั้น นางเต็งสีผู้ภรรยาซึ่งโกนหัวและอยู่ในเครื่องนุ่งห่มของสามเณร ก็วิ่งออกมาจากข้างใน ร้องไห้รำพันว่า

“……ท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้หรือ หลวงจีนแซ่ฮุยลวงข้าพเจ้าว่าท่านป่วย ข้าพเจ้าสำคัญว่าจริงจึงได้มา หลวงจีนกระทำการหยาบช้าข่มขืนข้าพเจ้า จะเล็ดลอดหลีกหนีไปทางใดก็ไม่พ้น จึงจำใจตกอยู่ในอำนาจหลวงจีน ฉะนี้…..”

เต็งยิดตงได้เห็นภรรยาและได้ฟังนางบอกเล่าเช่นนั้น ก็บันดาลโทโสตรงเข้าชกต่อยหลวงจีนเป็นอุตลุด หลวงจีนก็ร้องเรียกบรรดาศิษย์วัดให้เข้ากลุ้มรุม จับตัวเต็งยิดตงเอาโซ่มาล่ามไว้ แล้วหลวงจีนเจ้าอาวาสก็หยิบอาวุธออกมาจะฆ่าเต็งยิดตงเสีย แต่นางเต็งสีเข้าแย่งชิงเอาอาวุธจากมือหลวงจีนไปได้ เต็งยิดตงเห็นว่าไม่มีทางรอด จึงร้องว่า

“…….ท่านจะฆ่าเราแล้ว จงฆ่าภรรยาเราเสียด้วย เราผัวเมียจะได้ไปพร้อมกันที่เมืองผี…….”

หลวงจีนแซ่ฮุยกลับตอบว่า ถ้าเจ้าตายแล้วภรรยาของเจ้า ก็ต้องตกเป็นภรรยาของเรา ว่าดังนั้นแล้วก็สั่งให้พวกลูกศิษย์คุมตัวเต็งยิดตงออกไปข้างหลังวัด ซึ่งมีระฆังใบใหญ่วาง คว่ำอยู่ จึงให้เอาระฆังนั้นครอบตัวเต็งยิดตงไว้ หวังจะให้ตายอยู่ในนั้นโดยไม่มีผู้ใดรู้ จนกระทั่งท่านเปาบุ้นจิ้นได้มาพบ และช่วยชีวิตไว้ในวันนี้

เปาบุ้นจิ้นจึงให้ทหารไปจับตัวหลวงจีนเจ้าอาวาสมา แล้วให้หลวงจีนนำทหารไปเอาตัวนางเต็งสีมาสอบสวน หลวงจีนก็นำทหารเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งในวัด มีบันไดลงไปถึงข้างล่างและมีโคมจุดส่องแสงสว่าง ทหารได้พบนางเต็งสีในสภาพที่แปลงเพศเป็นสามเณร จึงพาตัวมาให้เปาบุ้นจิ้นพร้อมด้วยหลวงจีนเจ้าอาวาส

เปาบุ้นจิ้นเห็นดังนั้นจึงสอบถามเรื่องราวของนางเต็งสี ต่อหน้าเต็งยิดตง นางก็ร้องไห้เล่าความว่า ขณะเมื่อสามีไปอยู่ที่วัด หลวงจีนแซ่ฮุยได้ไปที่บ้าน นางก็จัดอาหารเพลมาเลี้ยงตามธรรมเนียม ต่อมาหลวงจีนก็ให้คนมาบอกว่า ที่สามีหายไปนานนั้น แท้จริงป่วยเป็นลมอยู่ที่วัด มีอาการหนักจะเป็นตายเท่ากัน และสั่งมาให้บอกนางไปปฏิบัติสามีที่วัด

นางเต็งสี สำคัญว่าเป็นความจริงก็ตกใจ รีบขึ้นนั่งเกี้ยวให้คนหาบหามไปยังวัด อันฮกยี่ ซึ่งมีระยะทางห่างถึงสิบลี้ ต้องเดินเท้าถึงหกชั่วโมง เมื่อถึงกุฏิของเจ้าอาวาสก็แลเห็นหลวงจีนตั้งโต๊ะและสุราอาหารรออยู่ นางจึงถามว่าสามีของตนป่วยอยู่ที่ไหน หลวงจีนบอกว่า

“……สามีของท่านหมอเขาช่วยรักษาพยาบาลแก้ไข หายเป็นปกติแล้ว พวกเพื่อนเขาชวนให้ไปเที่ยวดูวัดที่สร้างใหม่ ท่านก็ได้มาถึงที่วัดของข้าพเจ้าแล้ว เชิญนั่งโต๊ะ รับประทานสุราด้วยกันก่อน ให้เป็นที่สบายใจ ค้างอยู่กุฎีข้าพเจ้าสักคืนหนึ่ง จะได้สนทนากันเล่นให้เป็นที่ผาสุขใจ รุ่งเช้าจึงค่อยกลับไปบ้าน…..”

นางเต็งสีได้ฟังหลวงจีนพูดจาดังนั้น ก็เข้าใจแน่ว่าตนเสียอุบายของหลวงจีน เสียแล้ว ไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใด ขัดไม่ได้ก็เสพสุราด้วยประมาณสองถ้วย แล้วก็ลุกจะออกไปเรียกคนหามเกี้ยวให้พาไปส่งที่บ้าน หลวงจีนก็ห้ามว่า

“……ป่านฉะนี้ก็เป็นเวลามืดอยู่แล้ว พวกรับจ้างหามเกี้ยวเขาก็กลับไปบ้านเขาเสียหมดแล้ว ท่านจะกลับไปก็เป็นการยากลำบาก ด้วยเป็นเวลากลางคืน นอนค้างอยู่เสียที่นี่เถิด..”

นางเต็งสีเห็นเป็นที่จนใจจำต้องอยู่ หลวงจีนก็จัดห้องให้นางหลับนอน นางจึงเข้าห้องปิดประตูลั่นดาน แต่ก็นอนไม่ใคร่จะหลับ เพราะไม่ไว้ใจหลวงจีน ครั้นเวลาดึกประมาณสองยาม หลวงจีนก็งัดดานเข้าไปหานางเต็งสี นางจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง หลวงจีนก็ขู่ว่า

“ แม้ว่าเจ้าจะร้องจนคอแตก ก็จะไม่มีผู้ใดรู้เห็นหรือช่วยเจ้าได้ แม้เจ้าไม่ยอมเป็นภรรยาเราโดยดี เราจะฆ่าเจ้าเสียในทันใดนี้ ด้วยเราตั้งใจมุ่งหมายนึกรักเจ้ามาช้านานแล้ว พึ่งจะสมความปรารถนาในครั้งนี้ เจ้าอย่าดิ้นรนเดือดร้อนไปเลย จงประนีประนอมยอมเสียโดยดีเถิด “

นางเต็งสีตกอยู่ในอำนาจของหลวงจีน สุดที่จะคิดแก้ไขก็จำใจจำเป็น ต้องยอมเสียตัวแก่หลวงจีนในคืนนั้น แล้วหลวงจีนก็โกนผมนางเสีย ให้นุ่งห่มแปลงเพศเป็นสามเณร และขังไว้ให้อยู่แต่ในห้องชั้นใน มิให้ผู้ใดรู้เห็นเป็นอันขาด แม้แต่บิดามารดาของนางเต็งสีมาสืบถามหา หลวงจีนก็ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งได้ออกมาพบสามี เมื่อวันก่อนนี้

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังเรื่องราวโดยตลอดแล้ว ก็สอบถามหลวงจีนแซ่ฮุยเจ้าอาวาสวัด อันฮกยี่บ้าง หลวงจีนจำนนต่อคำกล่าวหาของสองสามีภรรยา จึงยอมสารภาพรับเป็นสัตย์ ท่านเปาบุ้นจิ้นจึงตัดสิน ให้ทหารเอาตัวหลวงจีนไปประหารชีวิต ส่วนบรรดาลูกวัดที่รู้เห็นเป็นใจด้วย ให้สึกจากเพศหลวงจีนแล้วส่งไปเป็นทหารเลวในกองทัพ

เสร็จแล้วเปาบุ้นจิ้นก็ถามนางเต็งสีว่า

“ เมื่อหลวงจีนแซ่ฮุยหลอกลวงเจ้ามาข่มขืนนั้น ถ้าเจ้าไม่ยินยอมหลวงจีนก็คงจะฆ่าเจ้าเสียแต่ในเวลานั้นเป็นแน่ ชื่อเสียงของเจ้าย่อมปรากฎว่า เป็นหญิงซื่อสัตย์ต่อสามี เมื่อหลวงจีนขังผัวของเจ้าไว้ในระฆังนั้น หากเทพเจ้าบันดาลให้เราฝันเห็น เราจึงมาช่วยชีวิตไว้ได้ หาไม่ก็คงจะถึงความตายอยู่ในระฆังเป็นแน่ “

นางเต็งสีได้ฟังดังนั้น ให้นึกอัปยศอดสูมีความละอายแก่ใจเป็นที่สุด จึงว่า

“ ข้อที่ข้าพเจ้าได้เสียตัวแก่หลวงจีนนั้น เพราะข้าพเจ้ายังมิได้แก้แค้นหลวงจีน ก็บัดนี้ท่านมาช่วยชีวิตสามีของข้าพเจ้า พ้นจากความตายแล้ว พระเดชพระคุณของท่านมีแก่ข้าพเจ้า และสามีข้าพเจ้าเป็นที่ยิ่ง โทษของหลวงจีนแซ่ฮุยถึงประหารชีวิต หลวงจีนก็ตายไปตามโทษแล้ว ข้าพเจ้าก็หายแค้นสมความประสงค์แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอลาตาย ต่อหน้าท่านและสามีของข้าพเจ้า เพื่อให้เห็นความสัตย์สุจริตของข้าพเจ้า “

ว่าแล้วนางเต็งสีก็เอาศรีษะฟาดเข้ากับเสาหิน จนศรีษะแตกโลหิตไหล เปาบุ้นจิ้นจึงเข้าไปห้ามมิให้ทำต่อไป แล้วให้ซินแสหมอยาประกอบยารักษาแผลนางเต็งสี และบอกกับ เต็งยิดตงว่า

“ ภรรยาของท่านก็นับว่า เป็นหญิงสุจริตซื่อตรงต่อสามีได้ผู้หนึ่ง ท่านจงรับเอาไปเลี้ยงเป็นภรรยาตามเดิมเถิด “

เต็งยิดตงก็ไม่ขัดข้อง คำนับลาเปาบุ้นจิ้น พาภรรยากลับมาบ้านเรือน แล้วจ้างช่างมาแกะรูปเปาบุ้นจิ้นไว้บูชา กราบไว้ขอบคุณทุกเช้าค่ำ สองสามีภรรยาก็อยู่เป็นสุข ต่อมาภายหลัง เต็งยิดตงไปสอบไล่หนังสือได้ประโยคสูงขึ้น จึงได้เข้ารับราชการเป็นขุนนางมีชื่อเสียงปรากฎ ในแผ่นดิน

ทั้งนี้ก็ด้วยบารมีของเปาบุ้นจิ้น ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นที่ เปาเล่งถู นั้นเอง.

###########






Create Date : 22 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2554 7:26:43 น. 0 comments
Counter : 583 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.