Group Blog
 
All blogs
 

The Innkeepers (2011): โรงแรมผีหลอน


The Innkeepers (2011) :
โรงแรมเก่าแก่อย่าง Yankee Pedlar Inn กำลังจะปิดตัวลงอยู่รอมร่อ แขกเหรื่อที่มาพักก็มีเพียงไม่กี่คน สองพนักงานของโรงแรมอย่าง Claire (Sara Paxton จาก The Last House on the Left [2009]) และ Luke (Pat Healy) ที่ต้องผลัดกันอยู่โยงก็เลยว่างจัด หาอะไรทำไปเรื่อย โดยเฉพาะการหาข้อพิสูจน์ว่าในโรงแรมที่พวกเขาทำงานอยู่นั้นมีวิญญาณเฮี้ยนสิงสถิตอยู่จริง จนเจอดีผีจัดเต็มเข้าในที่สุดชนิดที่ว่าพวกเขาจะลืมประสบการณ์ขนหัวลุกครั้งนี้ไม่ลงไปตลอดกาลเลยทีเดียว


โรงแรมเก่าๆ มักจะมีเรื่องเล่าผีเฮี้ยน
ผกก.Ti West จาก Cabin Fever 2: Spring Fever (2009) กลับมาอีกครั้งพร้อมหนังโรงแรมผีที่มาในอารมณ์หนังผีสมัยก่อนที่ค่อยๆ บิ้วท์อารมณ์สยองขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดพีคในช่วงท้ายเรื่อง ไม่โฉ่งฉ่างหลอกกระจายเหมือนหนังผีสมัยนี้ ซึ่งเขาก็สามารถสร้างบรรยากาศหลอนได้ดี ฉากผีโผล่ก็ทำได้น่ากลัวทีเดียว ในขณะที่นักแสดงหลักๆ ที่มีเพียงไม่กี่คนก็ล้วนทำหน้าที่ของตนได้ดี โดยเฉพาะนางเอก Paxton ที่น่ารักน่าชังหลาย จนแทบอยากจะอาสาไปโดนผีหลอกกับเธอเลยทีเดียว อิอิ

นางเอก Top Gun ของป๋าครูสก็เล่นด้วยนะ
เสียแต่ว่าเราดันถูกหนังผีสมัยนี้ฝึกให้คุ้นชินกับหนังผีที่โฉ่งฉ่างหลอกกันนันสต็อปจนอาจมองว่า หนังผีที่ค่อยๆ บิ้วท์อารมณ์เป็นเรื่องที่น่าเบื่อไปซะฉิบ ดังนั้นกว่าผีจะโผล่ คนดูส่วนใหญ่คงจะบ่นแล้วบ่นอีกว่า"เมื่อไหร่ผีจะมาซะทีวะ"ไปหลายตลบแล้ว แถมผียังโผล่มาแค่นิดๆ ชนิดที่ว่าพอมาดูเทรลเลอร์หนังก็แทบจะเห็นทุกฉากที่ผีโผล่เลย (ป๊าด!) เรียกได้ว่าไม่ต้องดูหนังทั้งเรื่อง แต่แค่ดูเทรลเล่อร์แทนก็ยังได้ (ซะงั้น) ถึงอย่างไรหนังโดยรวมก็ยังถือว่าเป็นหนังผีหลอนๆ โดดเด่นตรงบรรยากาศหลอนที่ดูเข้าท่าอยู่ดี


ทั้งเรื่องเล่นกันอยู่ไม่กี่คน
และอีกครั้งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ยังคงสนับสนุนแนวคิดที่ว่าหากเราไม่พยายามไปสุงสิงหรือแกว่งเท้าหาเสี้ยนกับเหล่าวิญญาณชั่วก่อน พวกมันก็คงไม่สามารถมาทำอะไรเราได้ก่อนหรอก อย่าลืมว่าพวกมันวนเวียนอยู่รอบๆ เราดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ หากเราพร้อมที่จะกลัว พร้อมที่จะเชื่อ พวกมันก็จะสบช่องจัดเต็มให้ทันที แต่ในยุคที่คนเรายังคงพร้อมใจกันกลัวผีกลัวสางเช่นทุกวันนี้ เราจึงไม่ขาดแคลนเรื่องเล่าขานตำนานผีเฮี้ยนจากทุกหัวระแหงของโลกซะทียังไงล่ะ
  • + หนังเด่นตรงบรรยากาศหลอน ฉากผีโผล่ทำได้น่ากลัวดี นางเอกน่ารักอีกต่างหาก
  • - เน้นสร้างอารมณ์หลอนทีละนิดจนอาจมองว่าหนังน่าเบื่อและไม่น่ากลัวเอาได้ ตัวละครก็มีกันแค่สี่ห้าคนเอง





*รีวิวหนังของ ผกก.Ti West และหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*





 

Create Date : 06 มกราคม 2555    
Last Update : 6 มกราคม 2555 17:07:11 น.
Counter : 6015 Pageviews.  

Real Steel (2011): สังเวียนกำปั้นเหล็ก


Real Steel (2011) :
ดูหนังคนต่อยกันมาก็เยอะแล้ว คราวนี้ถึงทีของหนังหุ่นต่อยกันบ้างล่ะ ซึ่งเรื่องราวแบบนี้ก็ไม่ใช่ไอเดียแปลกใหม่ไฉไลมาจากไหน แต่มาจากเรื่องสั้นชื่อ 'Steel' ของ Richard Matheson นักเขียนชื่อก้องชาวมะกัน (ผู้แต่ง I Am Legend) ที่แต่งไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1956 เลยโน่น


ในอนาคตเราจะได้เห็นการเล่นพนันมวยหุ่น
ในอนาคตอันใกล้ (ค.ศ.2020) กีฬามวยหุ่นได้รับความนิยมในวงกว้าง อดีตนักมวยตกอับอย่าง Charlie (Hugh Jackman) ก็เลยต้องหันไปเอาดีในการบังคับหุ่นขึ้นชกแทนซะเลย แต่ดูเหมือนเขาก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ ซำเหมาไปวันๆ อยู่เช่นเดิม จนกระทั่งการมาถึงของ Max (Dakota Goyo) ลูกชายของเขาผู้ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน และหุ่นกระป๋องตกรุ่นจอมอึดอย่าง Atom ที่พร้อมใจกันตบเท้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ชายเกรียนๆ อย่างเขาให้เปลี่ยนไปตลอดกาล


นึกถึงหุ่นยนต์ต้องนึกถึงอะไรๆ ที่มันญี่ปุ่น
พระเอก Hugh Jackman แท็กทีมมากับ ผกก.Shawn Levy (Night at the Museum [2006]) โดยมี Steven Spielberg คอยเป็นป๋าดันอยู่เบื้องหลัง ขอเชิญท่านพบกับเรื่องราวสไตล์ 'Rocky เวอร์ชั่นหุ่นเหล็ก' ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวหมัดๆ มวยๆ ของคนประเภท ขี้แพ้ หมารองบ่อน แล้วเปลี่ยนจากการชกมวยของคนเป็นหุ่น แซมด้วยเรื่องราวมิตรภาพชวนประทับจิตระหว่างพ่อลูก นั่นแหล่ะคือภาพรวมของหนังเรื่องนี้

หนุ่มน้อยคนนี้คือพระเอกตัวจริงของเรื่อง
อันตัวผกก.Levy แกนั้นก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดี หนังดูลื่นไหล ดูเพลิน แม้หนังจะยาวซะตั้งสอง ชม.ก็ตาม ส่วนงานทางด้านเทคนิคนั้นก็ดูดี แจ่มแจ๋วตามมาตรฐานของฮอลลีวู้ดเขาอยู่แล้ว ในขณะที่ทางด้านนักแสดงก็เด่นกันอยู่สองคนคือเฮีย Jackman และหนุ่มน้อย Goyo ก็ทำหน้าที่กันได้เข้าขากันดี (จะว่าไปแล้วในหนังอันตัวหนู Goyo แกดูจะมีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าผู้พ่อแทบจะตลอดทั้งเรื่องเลยนะ อิอิ) แต่น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถทำให้อินในส่วนของความผูกพันของสองพ่อลูกคู่นี้ได้เท่าที่ควร


ในอนาคตเราจะได้เห็นหุ่นตะบันหน้ากันบนสังเวียน
โดยรวมแล้วก็นับว่าเป็นหนังดีน่าดู ดูกันได้เพลินๆ ทั้งครอบครัว ไม่เสียเซลฟ์ เสียดายเวลา นี่ถ้าในอนาคตจะมีการเอาหุ่นมาชกกันแบบนี้จริงๆ ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะจะได้ไม่ต้องเห็นมนุษย์เราขึ้นไปตะบันหน้ากันให้ฟกช้ำดำเขียวกันอีก ซึ่งทั้งนี้คงต้องซูฮกผู้แต่งเรื่องนี้เขาล่ะที่มองอนาคตล่วงหน้าไว้ตั้งแต่กว่าห้าสิบปีมาแล้วนะเนี่ย ข้าน้อยขอคาวะ

ปล.มีข่าวเตรียมงานสร้างภาคต่อออกมาบ้างแล้วเน้อ ใครชอบเรื่องนี้ก็เตรียมรอดูไว้ได้เลย (แต่ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีนะ อิอิ)


ในอนาคตเราจะได้เห็นการซ้อมมวยกับหุ่น
  • + หนังมวยหุ่นที่ดูดีดูเพลิน ดูเป็นครอบครัวก็ได้ งานสร้างดูดีอีกต่างหาก
  • - ก็แค่เปลี่ยนจากคนชกมวยเป็นหุ่นยนต์แค่นั้น นอกนั้นก็เดิมๆ ดูแล้วก็แล้วกันไป





*รีวิวหนังของ ผกก.Levy และพระเอก Jackman เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 05 มกราคม 2555    
Last Update : 6 มกราคม 2555 7:08:36 น.
Counter : 3408 Pageviews.  

A Lonely Place to Die (2011): อำมหิตล่า ป่ากระเจิง


A Lonely Place to Die (2011) :
นางเอก Melissa George (35 ขวบ) เป็นนักแสดงสาวสวยบวกฝีมือดีอีกคนหนึ่งที่ไม่ดังกับเขาเสียที เพราะส่วนใหญ่เธอเลือกเล่นแต่หนังระทึกขวัญสยองขวัญ และเป็นที่ชื่นชมขึ้นมาจากผลงานหนังระทึกสุดเหวออย่าง Triangle (2009) จนเธอแทบจะขึ้นแท่นกลายเป็นนางพญาหนังสยองขวัญเกรดบี (บวก) ไปอีกคนหนึ่งแล้วในทุกวันนี้

สาว Melissa George กลับมาสวยอีกครั้ง
และนี่คืออีกหนึ่งผลงานหนังระทึกขวัญของเธอ ที่เกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่งที่ไปพักผ่อนปีนเขายังแถบภูเขาสูงไกลปืนเที่ยงในสก๊อตแลนด์ แล้วก็ดันไปเจอะหนูน้อยคนหนึ่งถูกขังฝังไว้ใต้ดินในป่า พอช่วยออกมาได้นางเอกเราและพรรคพวก (สุดซวย) ก็โดนมือมืดที่เป็นคนจับตัวหนูน้อยมาออกตามล่าสิครับ งานนี้ก็เลยเกิดการไล่ฆ่ากันชนิดสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกป่ากระเจิงน้ำกระจายเลยทีเดียว


ขุดอะไรกันอยู่น่ะ
ผกก.Julian Gilbey ที่สร้างชื่อจากหนังอาชญากรรม Rise of the Footsoldier (2007) กลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยหนังทริลเล่อร์ไล่ล่ากันเรื่องนี้ ซึ่งนอกจากจะได้สาว George ที่กำลังดังท็อปฟอร์มมาเรียกแขกแล้ว หนังก็เปิดเรื่องขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ ด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงาม และเรื่องราวบรรยากาศชวนสงสัย จนพอจะสร้างความหวังให้แก่คนดูว่าคงเป็นหนังที่เข้าท่าแน่ๆ

นางเอกเราลงทุนปีนเขาตกน้ำจริงอะไรจริง
แต่น่าเสียดาย จากเริ่มต้นที่ทำท่าว่าจะเป็นหนังแนวเชือดระทึกบนเขา แต่ไปๆ มาๆ ก็ลงเขาเข้าเมืองกลายเป็นหนังอาชญากรรมไล่ล่าดาดๆ ไปซะงั้น ซึ่งตัวโกงนั้นก็ไม่มีความน่ากลัวซะเลย แถม ผกก.ก็ใช้ภาพสโลว์ซะจนล้นเกินหน้าหนังของ จอห์น วู ซะอีก (อิอิ) ยังดีนะที่ยังมีฉากสตั้นท์ที่เข้าท่า และนางเอกที่พาหน้าสวยๆ มาลงทุนตกระกำลำบากชวนให้เอาใจช่วยได้อยู่บ้าง ไม่งั้นหนังคงต้องโดนบ่นไปมากกว่านี้แน่ แต่สำหรับแฟนหนังของสาว George แล้ว แค่เห็นหน้าเธอก็ชื่นใจแล้วล่ะเนอะ? หุหุ
  • + วิวสวย นางเอกก็สวย สตั้นท์ก็เข้าที
  • - ยิ่งฉายหนังยิ่งออกจากป่า (ไม่ใช่เข้าป่านะ) จนกลายเป็นหนังไล่ล่าที่พื้นๆ ไปนิด




*รีวิวหนังของนางเอก Melissa George เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2554    
Last Update : 20 มกราคม 2555 12:45:23 น.
Counter : 7309 Pageviews.  

The Ides of March (2011): เกมเฉือนคม คนการเมือง


The Ides of March (2011) :
นอกจากป๋า George Clooney จะเป็นดาราหนุ่มใหญ่เจ้าเสน่ห์ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วโลกแล้ว เขายังเป็น ผกก.หนังฝีมือดีอีกด้วย ผลงานของเขาไม่ว่าจะเป็น Confessions of a Dangerous Mind (2002), Good Night, and Good Luck. (2005) และ Leatherheads (2008) ล้วนได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ คนดู (และแม่ยก) แทบจะทั้งนั้น


ป๋า George Clooney ขอเล่นเองกำกับเองอีกครั้ง
และผลงานหนังใหญ่ลำดับที่สี่ของเขานี้ก็คือหนังดราม่าการเมืองที่ดัดแปลงมาจากละครเวทีเรื่อง 'Farragut North' อันว่าด้วยการเรื่องราวของหนุ่มผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงผู้มากความสามารถอย่าง Stephen Meyers (Ryan Gosling) ที่ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อดันให้ Mike Morris (Clooney) ผู้ว่าการรัฐหนุ่มใหญ่ผู้น่าเลื่อมใสศรัทธา ชนะเลือกตั้งในรัฐโอไฮโอและกลายเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่ง ปธน.สมัยต่อไปให้จงได้ แม้ว่านั่นจะทำให้เขาต้องตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของเกมการเมืองที่ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร และทุกคนก็พร้อมที่จะแทงข้างหลังกันได้ทุกเมื่อ แม้แต่ระหว่างผู้ที่ขึ้นชื่อว่าอยู่ฝ่ายเดียวกันก็ตามที

สองหนุ่มสองรุ่นขวัญใจสาวๆ มาประชันบทบาทกันเป็นครั้งแรก
คอหนังการเมืองคงจะได้ตีปีกกันแน่ เพราะหนังนำเสนอเรื่องราวการหักเหลี่ยมเฉือนคม แสดงธาตุแท้ของคนที่อยู่ในวงการการเมืองได้อย่างเข้าท่า ที่สำคัญคือหนังเต็มไปด้วยนักแสดงคุณภาพดังๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะในรายของหนุ่ม Gosling ที่ทำหน้าที่อย่างน่าชื่นชม (อีกแล้ว) ในบทคนหนุ่มไฟแรงสุดทะเยอทะยาน ที่ทำงานด้วยความศรัทธา ก่อนที่เกมการเมืองสกปรกจะค่อยๆ เปลี่ยนให้เขาต้องกลายเป็นนักเล่นเกมการเมืองเต็มขั้น ที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายและชัยชนะของตนเอง ในขณะที่ป๋า Clooney นั้นก็ช่างดูเหมาะเหม็งกับบทนักการเมืองยิ่งนัก

เต็มไปด้วยนักแสดงคุ้นหน้า
แต่หนังการเมืองที่เต็มไปด้วยบทสนทนา ไม่ค่อยมีอะไรให้หือให้อือแบบนี้ ต้องไม่ใช่หนังที่จะดูแล้วปลื้มกันได้ทุกคนแน่ เผลอๆ อาจจะดูไปเบื่อไปโลด ซึ่งนี่ถ้าไม่มีดาราดังๆ มาประชันบทบาทกันเนี่ย คงกลายเป็นหนังทีวีดีๆ สักเรื่องได้เลยนะ ดังนั้นคงต้องยกเครดิตให้บรรดานักแสดงเป็นหลักแล้วล่ะ ในขณะที่เรื่องราวต่างๆ ก็น่าติดตามพอสมควร ซึ่งถ้าชอบดูหนังแนวนี้ หรือมีความสนใจและเข้าใจเกี่ยวกับการเมือง (มะกัน) อยู่บ้างล่ะก็ คงจะสนุกกับหนังได้ไม่น้อย

ไหงทำหน้าเซ็งเป็ดแบบนั้นล่ะพ่อคุ๊ณณ
นักการเมืองก็คือนักการเมือง ไม่ว่าจะที่ไหนในโลกก็คล้ายๆ กัน คือไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี มีความตั้งใจทำเพื่อชาติมากแค่ไหน แต่พอเข้ามาแวดวงการเมือง ต้องเจอกับเกมการเมืองสกปรกจากบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดมากมาย หากคุณต้องการจะชนะพวกนี้ก็ต้องเท่าทันเกม รับมือให้ได้ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า คุณอาจต้องพร้อมจะทำเรื่องที่ไม่ใสสะอาดด้วย เพราะเกมการเมืองไม่มีที่สำหรับคนที่ใสซื่อ (คนดีๆ ถึงไม่ค่อยรุ่งในเวทีการเมือง) ดังนั้นจึงไม่ต้องคาดหวังหานักการเมืองที่ใสซื่อมือสะอาด 100% เลย เอาแค่ว่าจะหาคนที่เลวน้อยที่สุดก็ยังพอจะมีลุ้นได้หน่อยนะ พี่น้องที่รัก
  • + หนังการเมืองเนื้อหาดีๆ ตีแผ่เกมการเมืองได้อย่างเข้าท่า นักแสดงมากฝีมือเพียบ หนุ่ม Gosling เล่นดีอีกแล้ว คอหนังการเมืองอย่างพลาดเลยครั่บท่าน
  • - เนื้อหาการเมือง มีแต่บทสนทนา ถ้าไม่มีนักแสดงดังๆ ก็คือหนังทีวีดีๆ นี่เอง




*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของพ่อหนุ่ม Ryan Gosling ภายในบล็อก*




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2554    
Last Update : 22 ธันวาคม 2554 3:08:26 น.
Counter : 2620 Pageviews.  

Moneyball (2011): ห่วยขอเทพ


Moneyball (2011) :
ในปีนี้นอกจากเฮีย Brad Pitt จะมีผลงานหนังสุดมึนอย่าง Tree of Life แล้ว แกก็ยังมีหนังดราม่าเกี่ยวกับแวดวงกีฬาเบสบอลเรื่องนี้ด้วย ซึ่งตัวหนังก็เป็นที่ต้อนรับจากคนดูและนักวิจารณ์อย่างดีจนทำเงินไปกว่าร้อยล้านเหรียญแล้ว (จากทุนสร้างห้าสิบล้านเหรียญ) แถมยังได้เดินสายชิงรางวัลหนังจากเวทีต่างๆ ซะเป็นที่หนุกหนาน ซึ่งนั่นก็คงต้องรวมถึงเวทีลูกโลกทองคำและออสก้าร์ด้วยเป็นแน่เชียว


เฮีย Brad กำลังนั่งเหงาในสนามเบสบอล
หนังสร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Michael Lewis ที่เขียนขึ้นจากเรื่องจริงอีกทีของ Billy Beane (เฮีย Pitt) อดีตนักเบสบอลอาชีพผู้ล้มเหลวซึ่งปัจจุบันเป็นผู้จัดการใหญ่ของทีม Oakland Athletics ที่ลุกขึ้นมาริเริ่มใช้สถิติวิเคราะห์เกมเบสบอลที่เรียกว่า 'Sabermetric' เพื่อกอบกู้สภาวะตกต่ำสุดขีดของทีม ซึ่งในชม.นั้นใครๆ ก็ตราหน้าเขาว่าบ้าหรือเปล่า แต่แล้วมันก็ทำให้ทีมประสบชัยชนะติดๆ กันอย่างงดงาม จนวิธีการของเขากลายเป็นต้นแบบให้วงการเบสบอลนำมาใช้จนทุกวันนี้


หนุ่มตุ้ย Jonah Hill กับบทที่จริงจังที่สุดของเขาแล้ว
ผกก.Bennett Miller (Capote [2005]) ทำหนังที่มีเนื้อหาหลักๆ เกี่ยวกับการจัดการทีมเบสบอลเรื่องนี้ออกมาได้อย่างน่าดู แม้หนังจะเต็มไปด้วยบทสนทนาและศัพท์แสงเกี่ยวกับกีฬาเบสบอลซึ่งคนที่ไม่ใช่แฟนกีฬานี้คงจะไม่ค่อยเก็ตอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย เพราะโดยรวมแล้วนี่ก็ยังเป็นหนังที่น่าติดตาม ดูเพลิน ให้ความรู้ ความบันเทิง แง่คิดในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้หนังยังเปิดหูเปิดตาทำให้ได้รู้เรื่องราวเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องลึกของธุรกิจกีฬาชนิดนี้แก่ผู้ที่สนใจอีกด้วยอีกต่างหาก

หนังเบสบอลแบบนี้ไม่ใช่แฟนดูแล้วงง
ส่วนการได้ Brad Pitt กับนักแสดงคุ้นหน้าทั้งหลายผลัดกันโผล่มาประชันบทบาทกัน ก็ทำให้หนังดูดีมีเสน่ห์ดึงดูดขึ้นมาเยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะในรายของหนุ่มตุ้ย Jonah Hill (Superbad [2007]) ที่พลิกบทบาทมาเล่นบทที่ไม่ตลกบริโภคบ้าง ในบทสมทบที่โดดเด่นระดับรองพระเอก ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี จนถ้าเขาจะถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสก้าร์สาขาประกอบชายบ้างก็คงแลดูไม่น่าเกลียดแต่ประการใด

เฮียแกเกี่ยวก้อยสัญญิงสัญญากับใครอยู่น่ะ
นอกจากหนังจะหนุนใจให้กล้าที่จะคิดต่าง รู้จักปรับเปลี่ยนพัฒนาตนเอง และยอมรับสิ่งใหม่ๆ ยังมีสิ่งที่น่าประทับใจหลายคือการที่หนังใช้เบสบอลเปรียบเปรยให้เห็นว่าหลายครั้งที่คนเรามักจะก้มหน้าก้มตาพะวักพะวงอยู่กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ตรงหน้า จนลืมเงยหน้าดูว่าชีวิตของเรายังมีเรื่องดีๆ อยู่อีกมากมายนัก อย่ามัวแต่ห่วงเบสจนลืมแหง่ะมองไปว่าเราอาจจะตีโฮมรันแล้วก็ได้นะจ้ะ :)


โฉมหน้า Billy Beane ตัวจริง
  • + หนังดราม่าเบสบอลที่สร้างจากเรื่องจริง ดูดี ดูเพลิน ดาราเยอะ ให้แง่คิด แจ่มไปโลด
  • - เต็มไปด้วยบทสนทนาและศัพท์แสงเกี่ยวกับกีฬาเบสบอลที่ถ้าไม่ใช่แฟนกีฬาชนิดนี้ก็คงจะไม่ค่อยเก็ตกันเท่าไหร่




*ช่วงเพลงในหนัง*

Lenka
โอเค สกอร์ของ Mychael Danna นั้นไพเราะน่าฟัง ส่งเสริมอารมณ์ให้กับหนังหลาย แต่ที่เราจะเอ่ยถึงคือบรรดาเพลงร้องในหนัง ซึ่งการที่หนังพาย้อนไปในช่วงปี ค.ศ.2001-2002 ดังนั้นคงไม่มีเพลงใหม่ๆ ให้ได้ยินกันแน่ แต่ทว่าดันมีฉากหนึ่งที่ลูกสาวของพระเอกจับกีต้าร์โปร่งขึ้นมาร้องเพลง 'The Show' ของสาว Lenka ให้พระเอกฟังซะนี่ ซึ่งเพลงนี้ออกมาเมื่อปี 2009 นะนั่น ดังนั้นจึงเป็นการใช้เพลงที่ลักไก่อย่างประเจิดประเจ้อยิ่งนัก แต่ถ้ามองในแง่ความส่งเสริมอารมณ์หนังแล้วจะพบว่าน่าฟังมิใช่น้อย ดังนั้นไม่ต้องจับผิดมากน่า หยวนๆ ฟังๆ ไปเห๊อะ อิอิ

MP3: Lenka - The Show



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวของภายในบล็อก*





 

Create Date : 18 ธันวาคม 2554    
Last Update : 18 ธันวาคม 2554 15:58:20 น.
Counter : 3665 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.