The Tree of Life (2011): นี่แหล่ะชีวิต
The Tree of Life (2011) : Terrence Malick ผกก.หนังในตำนานกลับมาพร้อมผลงานเรื่องที่ห้าของเขา ซึ่งบรรดานักวิจารณ์และแฟนานุแฟนต่างก็พากันให้การต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่นม่วนซื่นโฮแซว จนหนังคว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งล่าสุดมาครองได้สำเร็จ และเตรียมตัวเดินสายกวาดรางวัลจากเวทีแจกรางวัลต่างๆ ซึ่งนั่นก็น่าจะรวมถึงออสก้าร์ด้วยนะ ขอบอก
Brad Pitt ในหนังอาร์ต (โอ้ว!?)
คนที่เคยผ่านสายตาผลงานของ ผกก.Malick มาก่อนคงจะรู้กันดีว่าหนังของเขาก็คือหนังอาร์ตภาพสวยแฝงปรัชญาชวนตีความที่เต็มไปด้วยดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง (ในเรื่องนี้คือ Brad Pitt และ Sean Penn) และคราวนี้ก็เช่นกันที่ขอกล่าวถึงปรัชญาเกี่ยวกับ พระเจ้า ชีวิต ครอบครัว ไปยันจุดเริ่มต้นของจักรวาลเลยทีเดียว (บางช่วงให้ความรู้สึกว่ากำลังนั่งดูสารคดีกำเนิดโลกอยู่ก็มิปาน) ป๊าด! อะไรจะขนาดนั้นครับลุง
เข้าใจเลือกเด็กมาซะหน้าเหมือนกันเชียวหนังโดดเด่นที่งานด้านภาพ ที่เข้าใจถ่ายทอดมุมมองอันงดงามน่าอเมซิ่งของธรรมชาติ ยิ่งมีการบรรเลงเพลงคลาสสิคคลอไปด้วยยิ่งสร้างอารมณ์บรรเจิดกันไปใหญ่เลยล่ะงานนี้ ส่วนเรื่องราวของหนังนั้นเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่ ผกก.เขาเก่งในการนำเสนอให้ซับซ้อน (อิอิ) คือเล่าเรื่องไม่เรียงตามลำดับ ตัดภาพสลับไปมา ใช้การรำพึงในใจของตัวละคร และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แฝงปรัชญาให้ตีความกันสนุกสนาน (สำหรับบางคนนะ)
หนังเล่นกันอยู่ไม่กี่คนนี่แหล่ะ
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องพระเจ้าเนี่ยหนังค่อนข้างจะเน้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งฝรั่งหรือคริสเตียนที่คุ้นเคยกับไบเบิ้ลก็คงจะเก็ทกับหนังได้มากกว่าขาจรทั่วๆ ไปอยู่บ้าง การเริ่มต้นด้วยข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจากหนังสือโยบนั้นก็พอจะบอกเลาๆ ได้ว่าตัวหนังกำลังจะประยุกต์เรื่องราวของโยบมาไว้ในหนังแบบอ้อมๆ โดยเฉพาะในส่วนของการรับมือกับการสูญเสียที่เกินทำใจของคนเรา หลายครั้งเราจึงจะได้เห็นตัวละครรำพึงในใจตั้งคำถามยังพระเจ้าถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่
เฮียแบรดเล่นดีจนมีลุ้นไปถึงเวทีออสก้าร์นอกจะหนังจะชวนงงแล้ว ยังเรื่อยๆ นิ่งๆ ชวนเบื่อ ชวนหลับอีกด้วย ดังนั้นโปรดพึงเตรียมการพักผ่อนกายใจให้พร้อมก่อนที่จะดูหนังเรื่องนี้ (ไม่งั้นอาจมีหลับหงายเงิบ) แต่ถ้าหากท่านดูหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยเข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคงมีแต่ตัว ผกก.เองที่เข้าใจทุกอย่างในนั้น (แน่ล่ะสิ อิอิ) เอาเป็นว่าสำหรับคอหนังบ้านๆ อย่างเราๆ ท่านๆ นั้นการแค่ได้ดูงานด้านภาพสวยงามสุดอเมซิ่งของหนัง การแสดงแจ่มๆ ของนักแสดง และแง่คิดเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่อง ก็คุ้มค่าต่อการสละเวลารับชมแล้วล่ะเนอะ
งานด้านภาพสวยงามอเมซิ่งยิ่งนัก
- + นานๆ ผกก.Malick จะทำหนังมาสักเรื่อง หนังแบบนี้ไม่มีให้ดูบ่อยๆ นะ ใครชอบดูหนังที่ต้องตีความ คิดตาม ชอบงานด้านภาพอันงดงามน่าทึ่ง ก็ไม่ควรพลาดจ้า
- - หนังชวนงง ชวนง่วง และนิ่งเรื่อยตามสไตล์ ผกก.Malick นี่จึงเป็นหนังดีที่ใช่ว่าจะชอบกันได้ทุกคนหรอกเน้อ
*อันเนื่องมาจากหนัง*
ภาพวาดของโยบ (คนที่สองจากซ้าย) ตามจิตนาการของศิลปินหนังชวนให้นึกถึงโยบในไบเบิ้ล ซึ่งเราขอสรุปย่อๆ ถึงเรื่องราวของโยบ สำหรับผู้ที่กำลังงงว่าเขาคือใครกันหนอดังนี้ โยบ คือชายชาวยิวผู้มั่งคั่ง เป็นคนดี เที่ยงธรรมและเคารพเชื่อฟังพระเจ้าแบบสุดๆ ต่อมาซาตานได้ท้าทายต่อพระเจ้าว่า ลองให้โยบเจอการสูญเสียต่างๆ ดูสิ ขี้คร้านเขาจะด่าทอพระเจ้าที่ปล่อยให้เขาเจอเรื่องแบบนี้เข้า
ซึ่งพระเจ้าก็เลยอนุญาตให้ซาตานทำให้โยบเจอการสูญเสียต่างๆ นาๆ ชนิดเกินรับไหว แต่เขาก็ยังไม่ด่าพระเจ้าสักคำ และเอาแต่ตำหนิตนเอง ซึ่งสุดท้ายพระองค์ก็ทรงตรัสกับโยบว่า ทรงเป็นพระเจ้าผู้สร้างจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง ทรงให้และทรงเอาคืน ทรงรู้จักเราแต่ละคนดี และทรงรู้อยู่แล้วว่าโยบทนได้แค่ไหน และสุดท้ายก็ทรงอวยพรให้โยบได้ทุกสิ่งทุกอย่างคืนมาสองเท่า
ซึ่งเรื่องราวของโยบกำลังบอกเราว่า ในชีวิตคนเรานั้นบางครั้งต้องได้เจอเรื่องร้ายๆ การสูญเสีย ที่บางครั้งเราไม่อาจรับได้และไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าให้มันเกิดขึ้นกับเราได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์จะมานั่งตอบเราว่าทำไม (หรือแม้แต่ตัวเราเองด้วยที่จะตอบคำถามนี้) แต่ขอให้เราเข้าใจว่า 'นี่แหล่ะชีวิต' ที่ต้องมีทั้งเรื่องดีและร้ายผ่านเข้ามา อยู่แต่ว่าเราจะรับมือกับมันด้วยท่าทีอย่างไรเท่านั้นแหล่ะ ขอพลังจงอยู่กับทั่นเน้อ พี่น้องทั้งหลาย :)
Create Date : 30 กันยายน 2554 |
Last Update : 30 กันยายน 2554 8:23:20 น. |
|
9 comments
|
Counter : 3110 Pageviews. |
|
|
กระแสจากคนดูเองก็แตกออกเป็นสองเสียชัดเจน คือชอบและเกลียด(ผมเคยเห็นคห.หนึ่งใน YouTube เขียนว่าแทนที่จะเสียตังค์ไปดูหนังเรื่องนี้ ให้นั่งดูหน้าต่างรอของ Windows พร้อมๆกับให้คนพูดอะไรที่เป็นปรัชญากรอกหูไปสักสองชั่วโมงก็จะได้ประสบการณ์คล้ายๆกับการดูหนังเรื่องนี้แล้ว )
แต่สำหรับตัวผมเองนั้น ผมก็ชอบพอประมาณนะครับ(ในบรรดาหนังของลุง Malick แล้ว ผมชอบเรื่องนี้มากกว่า The Thin Red Line แต่ยังไม่ชอบเท่า Days of Heaven ที่เป็นหนังของลุงแกที่ผมชอบมากที่สุด) เครดิตส่วนใหญ่ยกให้การแสดงของนักแสดงเด็กคนที่เล่นเป็นตัวละครของ Sean Penn ตอนเด็กและ Brad Pitt ที่เวลาเฮียแกโผล่มาทีไรอดเสียวสันหลังแทนเหล่าตัวละครลูกๆไปไม่ได้ทุกที
แม้ในบางช่วงผมจะรู้สึกว่าลุง Malick แกตั้งคำถามกับพระเจ้าเยอะไปบ้าง ซึ่งคำถามบางข้อมันก็เป็นอจินไตยเกินไปเสียจนชาตินี้ทั้งชาติมนุษย์เราก็คงจะไม่มีทางรู้คำตอบ แต่สุดท้ายแล้วลุงแกก็หาข้อสรุปให้คำถามเหล่านั้นได้แบบสมกับเป็นคนคริสต์มากๆคือพระเจ้ามีเหตุผลเสมอ(ว่าแล้วก็อยากให้ลุงแกลองมาศึกษาปรัชญาพุทธดูบ้างจัง)