Group Blog
 
All blogs
 

Project X (2012): ก๊วนเกรียนเห่ย ชวนเมากลิ้ง


Project X (2012) :
Todd Phillips เจ้าพ่อหนังตลกเรทอาร์เจ้าของผลงานอย่าง The Hangover ทั้งสองภาค กลับมาอีกครั้งพร้อมหนังแนวถนัดของเขา ที่แม้ว่าจะมาแค่ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง แล้วโยนลูกให้ Nima Nourizadeh ผกก.มิวสิกวีดีโอ/โฆษณา มารับหน้าที่เปิดซิงกำกับเป็นเรื่องแรกก็ตามที แต่รับประกันว่างานนี้ต้องห่ามถึงใจพระเดชพระคุณไม่แพ้ท่าน Phillips แกมาเองเลยล่ะ

สามเห่ยขอจัดปาร์ตี้ให้สุดฮิพ
หนังเสนอเรื่องราวของสามวัยรุ่น ม.ปลายสุดเห่ยแถมสาวเมิน ที่อาศัยจังหวะที่ผู้ปกครองไม่อยู่ ริจะจัดปาร์ตี้สุดมันส์ในตำนานขึ้นมา (โดยใช้วาระดิถีวันเกิดตนเป็นข้ออ้าง) เพื่อหวังว่าจะทำให้พวกตนป็อปขึ้นมาบ้างแถมเผื่อจะได้แอ้มสาวอีกต่างหาก ซึ่งด้วยความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีการสื่อสารของยุคนี้ ทำให้ข่าวการจัดปาร์ตี้ครั้งนี้กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง คลื่นมหาชนคนมันส์ (และอยากจะมันส์) แห่แหนกันมาเพียบ จนความสนุกชักเลยเถิดขึ้นไปเรื่อยๆ ซะแทบจะเกิดจลาจลขึ้นมาแทน งานเข้าเลยสิครั่บนั่น

สาวๆ โชว์เต้าเพียบเลยงานนี้
ฟังพล็อตดูก็น่าจะพอเดาได้ว่างานนี้คงจะห่ามกันเต็มเหนี่ยว เพราะเป็นเรื่องของการจัดปาร์ตี้ล้วนๆ หนังเสนอวิธีการจัดปาร์ตี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และใช้วิธีถ่ายทำแบบแบกกล้องถ่ายโฮมวีดีโอตามถ่ายตลอดงาน สลับด้วยภาพจาก กล้องมือถือ กล้องถ่ายรูป หรือภาพจากแหล่งต่างๆ ตามแบบหนังแนวเรื่องจริงผ่านจอกำมะลอที่นิยมทำกันในยุคนี้ ภาพที่เห็นในหนังจึงให้อารมณ์เหมือนเข้าไปอยู่ในปาร์ตี้จริงๆ ก็มิปาน ถูกใจวัยมันส์นักเชียว

นี่คือปาร์ตี้ที่เละเทะที่สุดในสามโลก
แต่นอกนั้นหนังก็ไม่มีอะไรนอกจากภาพของวัยรุ่นที่พากันมั่วสุมเมาปลิ้น ทำเรื่องบ้าบอ พยายามมีเซ็กส์กับสาวๆ ทำข้าวของเสียหาย หลายคนจึงต้องมองว่าหนังช่างไร้สาระเสี่ยนี่กระไรได้เช่นกัน แต่ถ้าจะมองอีกแง่ว่าหากเราหวังดูวิธีคิด ดูรูปแบบการใช้ชีวิตของวัยรุ่นอเมริกันยุคนี้ มันก็ยังพอจะสะท้อนอะไรให้ได้เห็นอยู่บ้าง อีกทั้งถึงแม้หนังจะบอกว่าปาร์ตี้เกิดจากแรงขับที่ว่าเพราะต้องการเป็นที่ยอมรับ ต้องการแอ้มสาว ซึ่งเราอาจจะเห็นว่าเป็นความคิดโง่ๆ ของวัยรุ่น แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่วัยรุ่นเท่านั้นที่เข้าใจ และครั้งหนึ่งเราก็อาจจะเคยคิดแบบนั้นเช่นกัน (มีใครไม่เคยเป็นวัยรุ่นบ้างเนี่ย? อิอิ)

น้องหมาก็เลยได้ปาร์ตี้กับเขาด้วย
แม้หนังจะพยายามแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำไปมันไม่ดี ส่งผลให้ต้องได้รับโทษกันถ้วนหน้า ไม่ได้เดินตัวปลิวลอยนวลจากสถานการณ์ที่พวกตนก่อไว้แต่อย่างใด แต่มันก็ได้กลายเป็นอิทธิพลแบบอย่างแก่วัยรุ่นให้เกิดความพยายามจะจัดปาร์ตี้ในตำนานอย่างในนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว แม้ว่าสุดท้ายจะโดนสะกัดดาวรุ่งหมดเสียก่อนก็ตามที ที่น่าสนใจคือการสื่อสารสมัยนี้ ทั้งทางอินเตอร์เนท เฟสบุ้ค ทวีตเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ทำให้ข่าวสารแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเกณฑ์คนมาปาร์ตี้กันได้เยอะอย่างที่เห็นในหนัง ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ถ้าเรารู้จักนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็คงจะดีไม่น้อยเนอะ
  • + หนังตลกวัยรุ่นห่ามๆ ปาร์ตี้ๆ ดูเพลินๆ ถูกใจวัยรุ่น และผู้ที่อยากเรียนรู้วัฒนธรรมการปาร์ตี้ของฝรั่งเขาล่ะ
  • - หนังออกแนวไร้สาระ คนที่ชอบน่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น ส่วนบรรดาผู้ใหญ่และผู้ปกครองทั้งหลายคงจะดูไปส่ายหัวไปด้วยความเอือมระอาเป็นแน่




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2555 6:03:34 น.
Counter : 7343 Pageviews.  

Safe House (2012): สองระห่ำล่าเกินพิกัด


Safe House (2012) :
ถ้าช่วงปี ค.ศ.1995 - 2005 คือยุคทองของบรรดานักแสดง/ผกก.ชาวเอเซีย (โดยเฉพาะจากฮ่องกง) ที่ได้โกฮอลลีวู้ดกันเป็นว่าเล่นแล้วล่ะก็ (รวมทั้งบรรดาหนังผีเอเซียที่ถูกคว้าไปรีเมคอีกเพียบด้วยนะ) ยุคนี้ก็คือยุคทองของบรรดานักแสดง/ผกก.ชาวยุโรปบ้างล่ะ โดยเฉพาะจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวียนที่นอกจากบรรดาหนังเด็ดๆ จะถูกนำไปรีเมคกันให้รึ่มแล้ว เหล่านักแสดง/ผกก.ยังถูกดึงตัวไปทำงานยังฮอลลีวู้ดกันเป็นที่เอิกเกริกอีกด้วย และหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้ก็คือผลงานโกฮอลลีวู้ดเรื่องแรกของ Daniel Espinosa ผกก.หนุ่มไฟแรงจากสวีเดน เจ้าของผลงานหนังอาชญากรรมที่กำลังจะโดนฮอลลีวู้ดนำมารีเมคเหมือนกันอย่าง Easy Money (2010) นั่นเอง

จารชนต้องมีความสามารถในการตัดผมตัวเองให้ออกมาดูดีด้วย
หนังว่าด้วยเรื่องราวสุดบู๊ของพ่อหนุ่ม Matt Weston (Ryan Reynolds) จนท.ซีไอเอชั้นผู้น้อยที่ประจำการแบบเบื่อๆ เซ็งๆ อยู่ที่เซฟเฮ้าส์ของซีไอเอ ใน เคฟทาวน์ แอฟริกาใต้ ซึ่งอยู่ๆ วันหนึ่งก็งานเข้าเมื่อมีการควบคุมตัวอดีตซีไอเอตัวเก๋าอย่าง Tobin Frost (Denzel Washington) เข้ามาสอบสวน เท่านั้นไม่พอยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ามายิงดะหวังชิงตัว Frost ไปอีก จน Weston เองต้องเหวอกินว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดีวะเนี่ย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันบู๊สุดระห่ำไม่หวั่นแม้วันมามากของหนังเรื่องนี้นั่นเองจ้า

เต็มไปด้วยนักแสดงฝีมือหน้าคุ้นๆ
หนังมาด้วยพล็อตพิมพ์นิยมที่คอหนังแนวนี้น่าจะคุ้นเคยและคาดเดากันได้เป็นอย่างดี เช่นตัวโกงผู้อยู่เบื้องหลังที่แค่เห็นหน้าแต่แรกก็รู้แล้วว่าไอ้หมอนี่มันเป็นตัวการแน่เลย ทั้งยังมีอะไรที่ในความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครเขาทำกันตอนแอบตามไล่จับโจรอย่างการตะโกนเรียกชื่อให้หยุด (แล้วใครจะไปอยู่ให้จับล่ะวุ้ย) แต่ยังดีที่หนังมีหน้าหนังที่แข็งแรง (ไม่ใช่หนังหน้าที่แข็งแรงนะครั่บ) เพราะมีนักแสดงดังๆ เด็ดๆ มาร่วมประชันบทบาทกันหลายคน ฉากไล่ล่า ฉากบู๊ ที่ดูเด็ดขาด จริงจัง ชวนลุ้นระทึกไม่ใช่เล่น (ในบางฉากบางอารมณ์แล้วช่างชวนให้นึกถึงหนัง เจสัน บอร์น ขึ้นมาเลย)

สองหน่อนี้ล่ากันทั้งเรื่อง
อีกอย่างที่น่าสนใจคือการที่หนังไปปักหลักบู๊กันที่แอฟริกาใต้ ทำให้ได้บรรยากาศแปลกหูแปลกตาเข้าท่าดีไปอีกแบบ โดยรวมแล้วหนังเลยกลายเป็นความบันเทิงที่ดูกันได้เพลินๆ มันส์ๆ ถูกใจคอหนังแอ็คชั่นไล่ล่าดีแท้ การโกฮอลลีวู้ดของ ผกก.Espinosa ครั้งนี้จึงถือว่าค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจทีเดียว นี่เห็นว่าหนังกวาดเงินไปได้กว่า 200 ล้านทั่วโลกแบบนี้ด้วยแล้วเนี่ย ชะรอยว่าเราคงจะได้เห็น ผกก.Espinosa ปักหลักหากินอยู่ฮอลลีวู้ดอีกสักพักแหล่ะนะ ขอบอก

  • + ดารามากมี แอ็คชั่นเร้าใจ เปลี่ยนบรรยากาศไปแอฟริกาใต้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ
  • - พล็อตเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ แบบที่ว่าเดาออกแต่แรกเลยว่าใครคือตัวการใหญ่ และจะจบยังไง




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2555 2:55:00 น.
Counter : 3414 Pageviews.  

John Carter (2012): มหาสงครามเจ๊งสนั่นดาวอังคาร


John Carter (2012) :
จากนิยายชุดแนวไซไฟ-แฟนตาซีสุดคลาสสิคของ Edgar Rice Burroughs นักประพันธ์ชาวมะกัน ที่ออกตีพิมพ์ระหว่างปี ค.ศ.1912-1943 ซึ่งฮอลลีวู้ดเขาเล็งว่าจะเอาไปสร้างเป็นหนังตลอด 79 ปีที่ผ่านมา (ป๊าด!) แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครที่สามารถทำได้สำเร็จเสียที จนเมื่อหนังตกมาอยู่ในมือของ Walt Disney Pictures นั่นแหล่ะถึงได้ทำสำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมายเข็นหนังออกมาฉายในที่สุด เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมานี่เอง

มาดเขายังกับ Prince of Persia ก็มิปาน
และไหนๆ ก็สร้างออกมาทั้งทีแล้ว จึงได้รับการวางโครงการให้เป็นหนังมหากาพย์ไตรภาคฟอร์มซูเปอร์ยักษ์กันเลยทีเดียว โดยในภาคแรกนี้ได้ Andrew Stanton กุนซือด้านอนิเมชั่นจาก Pixar เจ้าของผลงานอนิเมชั่นสุดแจ่มอย่าง Finding Nemo (2003) และ WALL·E (2008) มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งนี่ก็เป็นหนังคนแสดงเรื่องแรกของเขาเสียด้วยสิ และยังได้พ่อหนุ่ม Taylor Kitsch (Battleship [2012]) ที่กำลังมาแรง ณ ชม.นี้มารับบทพระเอกผมยาวประจำเรื่องอีกด้วย

เจอหล่อล่ำอย่างนี้นางเอกก็ต้องเหล่เป็นธรรมดา
แต่อนิจาพอหนังออกฉายกลับทำเงินไม่ตูมตามอย่างที่คาดคิด คือ ณ เวลานี้หนังยังทำเงินในอเมริกาไปได้เพียง 71 ล้านเหรียญเท่านั้น (จากทุนสร้างกว่า 250 ล้านเหรียญ รวมงบโฆษณาอีก 100 ล้านเหรียญ) ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพากันเหวอแดกและควานหาแพะกันให้ควั่ก นี่ยังดีที่ตลาดนอกอเมริกาหนังยังไปได้ฉิวอยู่ เพราะทำเงินไปได้กว่า 200 ล้านเหรียญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังถือว่านี่เป็นหนังยักษ์ล้มตึงของฮอลลีวู้ดเรื่องล่าสุดไปจนได้ แถมยังสร้างความร้าวฉานดราม่าระหว่าง Disney และ Pixar ขึ้นมาอีกต่างหาก

แต่งตัวออกแนวลิเกอวกาศ
จะโทษว่าหนังเจ๊งเพราะการตลาดที่ผิดพลาดหรืออะไรก็แล้วตามแต่ ถ้าจะว่ากันถึงตัวหนังโดยรวมแล้ว มันก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรนักนะ เพราะนอกจากหนังจะอลังการงานสร้าง เอฟเฟกต์ตระการตาแล้ว ยังเล่าเรื่องออกมาได้ค่อนข้างดูเพลินในระดับหนึ่งเลยทีเดียวล่ะ แม้ว่าหนังอาจจะดูยาวไปหน่อย เลยมีช่วงชวนน่าเบื่อบ้างเป็นระยะ และไอเดียในฉากต่างๆ ของหนังที่ชวนให้นึกถึงหนังดังๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นหนังชุด Star Wars หรือแม้แต่กระทั่ง Avatar (2009) ก็ตามที

นางเอกเราสวยแบบแปลกๆ
เราคิดว่าความผิดพลาดใหญ่อีกข้อหนึ่งที่ทำให้หนังเจ๊งก็คือการที่ 'หนังมาช้าไปหลายปี' ไอเดียจุดขายต่างๆ จากตัวนิยายต้นฉบับ (ที่เล่มแรกตีพิมพ์มา 100 ปีพอดี) เลยถูกคนอื่นๆ หนังอื่นๆ หยิบยืมแรงบันดาลใจไปใช้จนหมดแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา เลยไม่เหลือแง่มุมอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ ให้คนดูหนังสมัยนี้ได้ฮือฮา หรือดึงดูดให้คนอยากเข้าไปดู แถมยังถูกอาจถูกเขาหาว่าลอกไอเดียเรื่องอื่นๆ มาใช้อีกต่างหาก ทั้งที่จริงๆ แล้วนี่แหล่ะต้นฉบับตัวพ่อเลยครับทั่น

เจ้า Woola หมาปนกิ้งก่า ขวัญใจประจำหนัง
ครั่บ หนังเจ๊งก็ใช่ว่าจะเป็นหนังห่วย และหนังห่วยก็ใช่ว่าจะเจ๊งเสมอไป นี่เป็นสัจธรรมอีกข้อของฮอลลีวู้ด ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็แค่มาผิดที่ผิดเวลาไป (ไม่) นิดหน่อย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วหนังก็โอเคเลยทีเดียวนะ คอหนังผจญภัยแฟนตาซีคงจะยังดูกันได้เพลินๆ อยู่หรอก นี่เห็นว่าผู้สร้างเตรียมสร้างภาคสองเอาไว้ แต่พอหนังเจ๊งเลยต้องเบรคโครงการไว้ก่อนจนหัวทิ่มตัวตำ ก็น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าจะได้ดูการผจญภัยของยอดชายนาย John Carter กันอีกเมื่อไหร่สิครั่บ พ่อแม่พี่น้องที่รัก
  • + อลังการงานสร้าง ดูกันได้เพลินๆ คอหนังผจญภัย/แฟนตาซี คงจะถูกใจกัน
  • - หนังมีช่วงน่าเบื่อเป็นพักๆ และไม่มีไอเดียหรือแง่มุมแปลกใหม่มาฝาก (เพราะเรื่องอื่นเขายืมไปใช้หมดแล้ว)



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2555 5:59:20 น.
Counter : 6804 Pageviews.  

Coriolanus (2011): โคตรขุนพลเหวี่ยงสะท้านแผ่นดิน


Coriolanus (2011) :
เมื่อเอ่ยถึง Ralph Fiennes ขึ้นมา คอหนังทั้งหลายคงจะรู้จักมักจี่น้าเขา (ข้างเดียว) กันเป็นอย่างดี เพราะแกคือนักแสดงคุณภาพที่แจ้งเกิดเจิดจรัสขึ้นมาตั้งแต่ต้นยุค 90 จากหนังสุดคลาสสิคในใจใครหลายคนอย่าง Schindler's List (1993) ครั้นพอมาถึงยุคหลังๆ แม้จะไม่ค่อยได้เป็นพระเอกกับเขาแล้ว น้าแกก็ยังผันตัวกลายเป็นตัวประกอบและตัวโกงระดับ มอก.รับประกันคุณภาพได้อยู่

Coriolanus ฉบับร่วมสมัย
และก็ถึงเวลาที่น้าจะเป็นที่รู้จักในฐานะ ผกก.บ้างล่ะ โดยขอประเดิมผลงานกำกับเรื่องแรกนี้ด้วยเรื่องราวที่หยิบเอาบทละครแนวโศกนาฏกรรมของ William Shakespeare เรื่อง Coriolanus อันเกี่ยวกับ Caius Martius Coriolanus (Fiennes) ยอดขุนพลเลือดร้อนแห่งโรมันที่โดนพิษการเมืองเล่นงานจนต้องถูกขับไล่ออกจากประเทศตน จนเขาต้องหันไปจูบปากแปรพักตร์กับ Tullus Aufidius (Gerard Butler) ศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาลของตน เพื่ออาสาขอนำทัพกลับมาถล่มแผ่นดินเกิดให้มันหายแค้นหายเหวี่ยงรู้แล้วรู้แรดไปเลยโลด

เต็มไปด้วยนักแสดงระดับฝีมือล้นจอ
หนังมาในบรรยากาศสมัยใหม่ไม่ได้ย้อนยุค โดยอุปโลกน์ประเทศโรมขึ้นมา ซึ่งบรรยากาศเหมือนประเทศในแถบยุโรปตะวันออกสักประเทศ แต่การพูดจายังใช้ศัพท์แสงโบราณถอดแบบมาจากบทละครเป๊ะ (รูปแบบเดียวกับ Romeo + Juliet [1996] ของ ผกก.Baz Luhrmann) มันเลยอาจดูลิเกๆ สำหรับคนที่ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แถมศัพท์ก็ค่อนข้างยากชวนมึนสำหรับคนทั่วไปอีกด้วย ในขณะที่ตัวหนังเองก็เน้นไปที่ฉากสนทนาอันยาวเหยียด การแสดงที่อย่างกับหลุดมาจากละครเวที และไม่ได้มีฉากรบพุ่งกันเยอะอย่างที่หน้าหนังชวนให้เข้าใจหรอกเน้อ

ดูจากรูปแล้วนึกว่าหนังอย่างซึ้ง
บรรดานักแสดงในหนังล้วนมีแต่ระดับคุณภาพทั้งนั้นไม่ว่าจะ Brian Cox, Vanessa Redgrave หรือรุ่นใหม่หน่อยก็ Jessica Chastain, Gerard Butler แต่คนที่เด่นกว่าเพื่อนหน่อยก็คงจะเป็นป้า Redgrave และตัว ผกก.Fiennes ที่ควบหน้าที่กำกับ/แสดงนำเองนั่นแหละ ส่วนคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ของตนไปตามเรื่องไม่มีอะไรพิเศษให้พูดถึงถึงนัก (แต่ก็เล่นดีกันหมดนะจ้ะ)

ดูจากรูปแล้วนึกว่าหนังอย่างมันส์
สำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับบทละครของเชคสเปียร์หรือหนังสไตล์นี้ก็คงจะมึนตึ๊บและพาลจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ แต่สำหรับคนที่พอมีพื้นฐานอยู่แล้วหรือชอบภาษากวีก็คงจะดูกันแบบดื่มด่ำได้อยู่ ถึงหนังจะห่างไกลจากคำว่าดูสนุก ดูเพลินสำหรับคอหนังทั่วๆ ไป แต่ก็ถือว่าผลงานกำกับเรื่องแรกของน้า Fiennes นี้ถือว่ามีคุณภาพสมราคา งานนี้ Lord Voldemort เขารับประกันคุณภาพเลยครั่บท่าน :D
  • + เต็มไปด้วยนักแสดงคุณภาพ ผลงานการกำกับเรื่องแรกของน้า Fiennes เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบหรือสนใจในบทละครของเชคสเปียร์เป็นทุกเดิมอย่างยิ่ง
  • - เต็มไปด้วยบทสนทนาศัพท์แสงโบราณอันยาวเหยียด หลายฉากอย่างกับดูละครเวที ฉากบู๊มีนิดเดียว ดูแล้วเบื่อเอาได้ง่ายๆ ไม่เหมาะสำหรับดูเอามันส์อย่างสิ้นเชิง



*รีวิวหนังของ Ralph Fiennes เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2555 21:44:16 น.
Counter : 4388 Pageviews.  

Perfect Sense (2011): เชื้อมิอาจกั้น


Perfect Sense (2011) :
เมื่อ Michael (Ewan McGregor) กุ๊กหนุ่มหล่อผู้ไม่ยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครเสียที และ Susan (Eva Green) สาวสวยนักระบาดวิทยาที่เพิ่งอกหักรักคุดมาหยกๆ ได้มารู้จักมักจี่และเริ่มรักกันในช่วงเวลาที่โรคระบาดลึกลับได้เริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลกพอดี ซึ่งมันทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมีอาการเริ่มแรกคืออยู่ๆ ก็ร้องไห้ฟูมฟายอย่างไร้สาเหตุ และค่อยๆ เริ่มสูญเสียประสาทสัมผัสของตนลงทีละอย่าง ตั้งแต่การดมกลิ่น การรับรู้รสชาดอาหาร การได้ยิน และการมองเห็น ซึ่งชะตากรรมของสองพระนางเราจะเป็นเช่นไรต่อไปนั้นก็ต้องลุ้นกันตามยถากรรมบ้านใครบ้านมันล่ะเน้อ

คู่พระนางหล่อสวยเห็นแล้วชื่นจิต
ดูเหมือนว่าปีที่แล้ว (ค.ศ.2011) ผกก.David Mackenzie จะขยันขันแข็งดึ๋งดั๋งเป็นพิเศษเพราะเฮียแกเล่นเข็นหนังออกมาสองเรื่องติดปานได้รับพลังคอสโม่จากยาไวอะกร้าก็มิปาน นั่นคือหนังรักกลางเทศกาลดนตรี T in the Park อย่าง You Instead กับหนังรักท่ามกลางวิกฤตการณ์โรคระบาดลึกลับเรื่องนี้ ซึ่งเขาได้กลับมาร่วมงานกับพระเอก McGregor อีกหนหลังจากที่เคยป๊ะกันมาแล้วครั้งหนึ่งใน Young Adam (2003) นั่นเองจ้า

กุ๊กกับนักระบาดวิทยาจะมาปิ๊งรักกันยังไงหนอ?
แหม่ ฟังพล็อตแล้วชวนให้นึกว่าเป็น Contagion (2011) เวอร์ชั่นโรแมนติกเสียจริง ซึ่งก็ต้องขอชมแหล่ะว่าคนคิดเรื่องเข้าใจผสมไอเดียจัง เพราะหนังออกมากลายเป็นหนังรักท่ามกลางวิกฤตโรคร้ายที่เข้าท่า โดนใจ จี๊ดมากๆ และแม้จะเกี่ยวกับเชื้อโรคร้าย แต่ก็เป็นเชื้อร้ายที่ไม่ซ้ำทางใครเพราะไม่ได้ออกแนวสยองทำให้ผู้ติดเชื้อร่างกายเน่าเฟะตายอนาถ แต่เป็นแบบที่ทำให้คนสูญเสียการรับรู้ประสาทสัมผัสของตนไป ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ทำให้ชีวิตคนเราวุ่นวายมหาศาลแล้วล่ะนะ (โอเค อาจจะเหมือน Blindness (2008) อยู่นิดนึง อิอิ)

เชื้อโรคร้ายระบาดก็ยังสวีทกันได้อยู่
นอกจากไอเดียจะเข้าท่า คู่พระนางจะฝีมือวางใจได้ แถมเข้าขาเคมีลงตัวได้ใจคนดูแล้ว ผกก.Mackenzie ยังนำสไตล์การเล่าเรื่องที่ดูกึ่งอาร์ต (แต่ไม่ใช่แบบปีนบันไดดูเน้อ) ด้วยการใช้เสียงบรรยาย การตัดต่อภาพต่างๆ แทรกเข้ามาในเรื่องราวได้อย่างเกิดผล งานด้านภาพก็สวยดูดีมีองก์ และที่โดดเด่นเกื้อหนุนความดีงามและความจี๊ดให้แก่หนังชนิดสุดๆ ก็คือดนตรีประกอบโคตรเพราะของ Max Richter ที่เพราะพริ้งสุดบรรเจิดถึงขั้นทำเอาน้ำหูน้ำตาน้ำมูกไหลได้ไม่ยากเลยล่ะ (แต่อย่าน้ำลายไหลละกัน)

หนังดีถ่ายภาพสวยดนตรีเพราะอีกต่างหาก
แต่ถึงกระนั้นหนังแบบนี้ก็ใช่ว่าจะดูแล้วชอบกันได้ทุกคน โดยเฉพาะท่านที่หวังจะดูหนังแนวโรคระบาดชวนระทึกตื่นเต้น หรือที่อยากดูอะไรแหว่ะๆ คงได้ผิดหวังกัน ส่วนคนที่หวังจะดูหนังรักหวานย้วยก็คงจะผิดหวังอีกนั่นแหล่ะ เพราะในภาวการณ์อันวุ่นวายเช่นนี้ใครเขาจะไปโรแมนติกกันออกล่ะเนอะ (แต่ในหนังโรแมนติกออกนะ อิอิ) รวมทั้งหนังไม่ได้อธิบายถึงที่มาของเชื้อร้ายเยี่ยงหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ ซึ่งของแบบนี้แล้วแต่รสนิยมและแนวคิดของแต่ละท่านแล้วจริงๆ ครั่บ ไม่มีผิดมีถูกหรอก

หนังถ่ายทำที่สก็อตแลนด์ทั้งเรื่อง
ส่วนอีกอย่างที่จี๊ดโดนใจเราสุดๆ ก็คือในหนัง แม้ประชากรโลกเกือบทั้งหมดจะได้รับเชื้อและเริ่มสูญเสียประสาทสัมผัสลงทีละอย่าง แต่พวกเขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตอย่างเดิมต่อไป ซึ่งถึงจะไม่เหมือนเดิมเต็มร้อยแต่พวกเขาก็พยายามปรับตัวให้ดีที่สุด ราวกับหนังกำลังบอกเราว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำให้คนเรายังคงยืนหยัดอยู่ต่อไปได้นั้น ก็คือ 'ความหวัง' และสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ'ความรัก' เพราะถ้าหากไม่มีความรักแล้ว ความหวังก็จะไม่คงทน ทุกอย่างก็คงจะสูญเปล่าและไร้ความหมายไปในที่สุด ใครมีหูจงฟังเถิด
  • + หนังรักท่ามกลางหายนะเชื้อร้ายไอเดียเข้าท่า หนังออกมาได้จี๊ดโดนใจมากๆ แถมดนตรีประกอบเพราะที่สุดในสามโลกอีกต่างหาก จึงขอชาบูๆ อูราๆ เอาใจเราไปเต็มๆ เลยจ้า
  • - หน้าหนังชวนมองข้าม และหลายคนอาจเห็นว่าจะรักก็ไม่สุด จะโรคก็ไม่สุด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยเรื่องนี้



*ช่วงเพลงในหนัง*
Max Richter
สิ่งที่ทำให้หนังออกมาชวนซาบซึ้งประทับใจอย่างสุดๆ ก็คงจะไม่พ้นดนตรีประกอบโคตรเพราะของ Max Richter คอมโพเซอร์ชาวอังกฤษ ที่มีผลงานเพลงประกอบหนังฝั่งยุโรปมาหลายเรื่องแล้ว ซึ่งในหนังเขาใช้เครื่องดนตรีอย่าง เปียโน และเครื่องสายเป็นหลัก ทำให้ได้อารมณ์โรแมนติก หวานซึ้ง เศร้าซึม โหยหา แก่ตัวหนังแบบสุดๆ ชนิดที่ว่าพอหนังจบอาจทำเอาคอหนังหลายคนบ่อน้ำตาแตกเอาได้ง่ายๆ เราจึงขอประกาศถึงความดีงามของตัวอัลบั้มมา ณ ที่นี้ และก็มีมาให้ลองฟังลองโหลดกันตามฟอร์มด้วยจ้า จงกดฟังโดยพลัน!

*ท่านสามารถโหลดอัลบั้มซาวน์แทร็คหนังเรื่องนี้ไปฟังได้โดยการคลิกที่รูปอัลบั้มข้างบนจ้า*

*รีวิวหนังของ ผกก.David Mackenzie และหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2555 13:39:48 น.
Counter : 12438 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.