Group Blog
 
All blogs
 

Win Win (2011): เมื่อชีวิตนี้มันห่วยเข้าวิน


Win Win (2011) :
เฮีย Paul Giamatti เป็นนักแสดงในกลุ่ม 'หน้าไม่หล่อแต่เร้าใจ' (ตรงไหน?) มือวางอันดับต้นๆ ของวงการหนังฮอลลีวู้ดยุคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยลีลาการแสดงอันอร่อยเหาะแซ่บหลายของแก เลยมีคอหนังคอยชื่นชมซูฮกอยู่มากมาย ซึ่งหลายปีมานี้เฮียแกก็มีผลงานเด็ดๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าส่วนใหญ่แกจะมาในฐานะนักแสดงสมทบก็ตามที แต่ขอโทษ ถึงจะเป็นตัวประกอบแต่ก็เป็นตัวประกอบไฮโซนะขอบอก (อ่ะจร้า พ่อคุ๊ณณ)

กี่เรื่องๆ ก็ยังมาด้วยผมทรงนี้
มาถึงหนังดราม่า/ตลก/กีฬาเรื่องนี้นั้น ก็ว่าด้วยเรื่องราวของ Mike (Giamatti) ทนายหน้ากลมตัวกลม ที่เปิดสำนักงานให้คำปรึกษาทางกฏหมายเล็กๆ ใน New Jersey และยังรับจ๊อบเป็นโค้ชทีมมวยปล้ำให้กับโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งชีวิตส่วนตัวของเขาและผลงานของทีมนั้นก็อยู่ในภาวะห่วยเข้าวิน จนเล่นเอาเฮียหน้ามืดวิงเวียนศรีษะคล้ายจะเป็นลมทาถูๆ อยู่บ่อยๆ ดีนะที่ฟ้ายังเห็นใจ ประทานไอ้หนุ่มหัวทองผู้มีฝีปล้ำระดับพระกาฬนาม Kyle (Alex Shaffer) มาให้ อะไรๆ เลยเริ่มสดใสซาบซ่าขึ้นมาบ้าง แต่ก็เชื่อเถอะว่านี่แค่จุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นๆ ที่กำลังจะตามมาอีกเป็นคันรถ


หนุ่มน้อยหัวทองคนนี้ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว
ถึงนี่จะเป็นหนังเล็กๆ ทุนน้อยนิดชนิดที่เรียกว่าหนังอินดี้ แต่คุณภาพกลับไม่น้อยนิดเอาซะเลย ซึ่งพอเหลือบไปเห็นชื่อ ผกก.ว่าเป็น นักแสดง/ผกก.Thomas McCarthy (The Visitor [2007]) ก็เลยถึงบางอ้อ เพราะว่าทั่นผู้นี้ทำหนังออกมาทีไรเป็นได้รับการซูฮกอย่างสูงไปซะทุกเรื่อง และหนังเรื่องนี้ก็มาด้วยอารมณ์ยิ้มๆ ขำๆ เพลินๆ กำลังดีตลอดงาน กับเรื่องราวดราม่าให้แง่คิดที่ไม่ซีเรียสจนเกินไป พร้อมด้วยบรรดานักแสดงที่เปี่ยมเสน่ห์และเต็มไปด้วยสีสันชวนฮาอีกเพียบ

นักแสดงแต่ละคนเต็มไปด้วยสีสัน
จริงอยู่ที่นี่เป็นเพียงหนังเล็กๆ กับเรื่องราวของฝรั่งบ้านๆ ที่ไม่หวือหวา แปลกใหม่ สุดยอด เด็ดสะระตี่ แต่ก็เป็นหนังที่ ดูเพลิน มีสาระ ดูแล้วฟีลกู้ดเอามากๆ เรื่องหนึ่งเลยล่ะ เอาแค่ที่หนังเริ่มต้นด้วยการให้หนูน้อยลูกสาวพระเอกอุทานแบบหัวเสียว่า 'Shit!' ได้อย่างน่ารักน่าชัง ก็เล่นเอาอดที่จะยิ้มแก้มตุ่ยและรู้สึกดีกับหนังได้ตั้งแต่วินาทีนั้นแล้วล่ะ อิอิ
  • + เป็นหนังดราม่า/ตลก ที่ดูเพลิน ฟีลกู้ด มีสาระ แฟนๆ หนังของ ผกก.Thomas McCarthy ไม่มีผิดหวังแน่จ้า
  • - ด้วยความที่เป็นหนังเล็กๆ เรื่องราวก็บ้านๆ เลยอาจไม่ค่อยดึงดูดคอหนังให้สนใจสักเท่าไหร่





*ช่วงเพลงในหนัง
*

The National
และเพราะเป็นหนังอินดี้ ก็เลยต้องมีเพลงประกอบเป็นเพลงอินดี้กับเขาด้วยถึงจะเข้าคอนเซปท์ ว่าแล้วหนังก็ได้เพลงเพราะๆ ของ The National วงอินดี้จากบรู้คลิน นิวยอร์ค ที่ชื่อ 'Think You Can Wait' ซึ่งทางวงบรรจงแต่งเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะซะด้วย แจ่มไปโลด และอีกเพลงคือเพลงของ Bon Jovi ที่ถึงจะไม่อินดี้แต่ก็ถูกนำมาใช้ในหนังได้อย่างมีเสน่ห์ ในฉากคุณเมียพระเอกประกาศตนอย่างภาคภูมิใจว่าตนเป็นสาวกวง Bon Jovi ตัวจริงเสียงจริง เพราะเป็นคนเจอร์ซี่ด้วยกัน อิอิ น่ารักจริงนะหนังเรื่องนี้

*รีวิวหนังของเฮีย Paul Giamatti เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก *
เพิ่มรูปภาพ




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 16:44:25 น.
Counter : 2813 Pageviews.  

The Whistleblower (2010): เจ๊จะแฉ ใครอย่าจุ้น

The Whistleblower (2010) :
เจ๊ Rachel Weisz เป็นนักแสดงคุณภาพระดับรางวัลออสก้าร์ (สมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก The Constant Gardener [2005]) ที่ถึงแม้อายุอานามจะย่างเข้าวัย 41 ขวบแล้ว แต่เจ๊ก็ยังมีผลงานแจ่มๆ ออกมาให้แฟนๆ ได้ชื่นชมอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเอาแค่ปีนี้ปีเดียว เจ๊ก็มีหนังออกมาถึง 4 เรื่องด้วยกัน แถมยังจะได้ร่วมแสดงในหนัง เจสัน บอร์น ตอนใหม่ The Bourne Legacy ที่จะออกมาในปี 2012 อีกด้วยนะขอบอก


ดูหน้าแต่ละคนก็รู้ว่างานนี้มีเครียด
และนี่คือหนังดราม่าทริลเลอร์ออกแนวสอบสวนที่สร้างจากเรื่องจริงของ ตำรวจสาวชาวมะกันคนหนึ่ง (Wiesz) ที่สมัครไปเป็น จนท.รักษาสันติภาพ ของ UN ที่บอสเนีย เพราะเห็นว่ามีค่าตอบแทนก้อนงาม แต่พออยู่ๆ ไปเธอก็พบกับความไม่ชอบมาพากลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้าเนื้อสดข้ามชาติ จึงมีภาระใจขอเคลียร์ปัญหาเรื่องนี้เอง แต่พอสืบไปสืบมาสาวไปสาวมากลับยิ่งพบการสมรู้ร่วมคิดพัวพันโยงใยกันมั่วไปถึงระดับหน่วยงานรัฐแทบจะทุกหน่วย แม้กระทั่งพวก UN เองก็ยังมีเอี่ยว (ป๊าด!) จนเจ๊เธอแทบไม่ไหวจะเคลียร์เลยทีเดียว


เจ๊ Monica Bellucci ยังสวยเซ็กซ์แม้จะอายุปาไป 47 ขวบแล้ว
คงต้องบอกว่าหนังสไตล์นี้เข้าทางเจ๊แกอย่างแรง เพราะด้วยมาดลูกผู้หญิงใจเด็ด ผู้ที่พร้อมจะยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง มีออร่าของคนเป็นแม่ แต่ก็ไม่ได้สวยเก่งเว่อร์จนเกินคนแบบนี้นั้น เจ๊แกฉายเดี่ยวได้ใจคนดูไปเต็มๆ เลย ยิ่งหนังขึ้นชื่อว่าสร้างโดยได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงสุดฉาวด้วยแล้ว งานนี้เลยจับความสนใจได้อยู่หมัด โดยได้นักแสดงคุ้นๆ หน้ามาร่วมสร้างความขึงขังให้กับหนังมาอีกหลายคน

เรื่องนี้เจ๊แกเด่นอยู่คนเดียว
แต่ก็ต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่หนังที่ดูกะเอามันส์ เพราะเรื่องราวที่เกี่ยวกับการค้าสาวๆ ไปเป็นทาสทางเพศที่เต็มไปด้วยฉากทารุณกรรมแบบนี้ ดูแล้วออกแนวสลดจิตซะมากกว่า ยิ่งการที่นางเอกเรามีแนวร่วมสู้เพื่อเพศแม่อยู่เพียงน้อยนิดก็เลยทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้มากนัก ประมาณว่าเหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปงัดท่อนซุง ดูแล้วอึดอัดหัวใจพิลึก ยิ่งฉากแอ็คชั่นลุ้นๆ ล่ะก็ลืมไปได้เลยว่าจะมีให้ดู


เปรียบเทียบตัวปลอมกับตัวจริงว่าใครสวยกว่ากัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่หนังเอาความจริงเหล่านี้มาแฉให้โลกได้รับรู้ก็เป็นสิ่งดี ที่มีคนมาย้ำเตือนให้ตระหนักว่ายังมีสิ่งเลวร้ายเช่นนี้อยู่ในโลก ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของขบวนค้าเนื้อสดระหว่างชาติเท่านั้น หนังทิ้้งท้ายว่ามียังขบวนการแบบนี้ดำเนินธุรกิจอยู่ทั่วโลก กับแฟรนไชส์ที่สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่าพันๆ ล้าน (เหรียญ) กับจำนวนผู้หญิงที่ถูกหลอกไปขายกว่า 2.5 ล้านคนเลยทีเดียว มูลนิธิปวีณา ทราบแล้วเปลี่ยน!!
  • + เป็นหนังดราม่าทริลเลอร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของขบวนการค้าเนื้อสดข้ามชาติที่ทำได้ดี น่าติดตาม เจ๊ Weisz เรารับมือหนังทั้งเรื่องได้อยู่หมัดไม่เสียชื่อดาราระดับออสก้าร์
  • - ออกแนวสลดหดหู่ ดูแล้วอึดอัดหัวใจ เพราะถึงจะเป็นหนังแต่ก็ไม่ได้ออกมาสวยหรูสุดแฮปปี้อย่างกับหนังหรอกนะ (เอ๊ะ ยังไง?)



*รีวิวหนังของเจ๊ Rachel Weisz เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2554    
Last Update : 18 สิงหาคม 2554 21:54:36 น.
Counter : 3714 Pageviews.  

The Bang Bang Club (2010): ก๊วนช็อตเด็ดไม่เข็ดมัจจุราช

The Bang Bang Club (2010) :
'The Bang Bang Club' คือสมญานามของสี่หนุ่มช่างภาพข่าวสุดเทพในตำนาน ที่โลดแล่นบอยแบนด์ในประเทศแอฟริกาใต้ระหว่างปี ค.ศ.1990-1994 ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งความขัดแย้ง เกิดสงครามกลางเมือง การแบ่งแย่งสีผิวก๊กเหล่า การฆ่าฟันกันอย่างไร้ขื่อแป ก่อนที่ทั่น Nelson Mandela จะได้รับเลือกตั้งขึ้นมาและสร้างสันติภาพคืนรอยยิ้มสู่ชาติในเวลาต่อมานั่นเอง


พี่ Phillippe ขอเครียดให้หายแบ๊ว
Steven Silver ผู้กำกับสารคดีมือฉมวก (ที่ยิ่งกว่าฉมัง) คว้าเอาหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติของสี่หนุ่มที่ชื่อ 'The Bang-Bang Club: Snapshots from a Hidden War' มาทำหนัง โดยได้หนุ่มหน้าแบ๊ว Ryan Phillippe มารับบทนำในมาดช่างภาพตาแป๋วน้องใหม่ใจเด็ดของคลับ (แถมเฮียเขายังมาด้วยสำเนียงแอฟริกาใต้ที่ฟังดูแปร่งๆ ด้วยนะ ขอบอก) พร้อมด้วยเหล่านักแสดงหนุ่มสาวหน้าตาดีหล่อสวยไม่เกรงใจตัวจริงมาคอยสร้างสีสันกันตลอดงานบุญผ้าป่าสามัคคีครั้งนี้ด้วย


มาดของสี่หนุ่มตัวละครหลักของเรื่อง
หนังถ่ายทอดเรื่องราววีรกรรมสุดห้าวของสี่หนุ่มช่างภาพข่าวที่กล้าเสี่ยงตายเพื่อให้ได้ช็อตเด็ดๆ มาลงสื่อให้โลกได้รับรู้ โดยเน้นไปที่สองหน่อ Greg Marinovich (Phillippe) และ Kevin Carter (Taylor Kitsch) พร้อมนำเสนอทั้งความรุ่งเรืองและล่มสลายของชีวิตพวกเขาที่ทำให้กลายเป็นตำนานมาจนทุกวันนี้ แถมหนังยังหยอดคำถามชวนคิดฟิตสมองเรื่องจรรยาบรรณนักข่าว ที่ควรมีหน้าที่แค่ถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์ความเป็นไปของโลกเท่านั้น หรือควรจะแทรกแซง ส. ใส่เกือก เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรมด้วยกันแน่?


หนังเต็มไปด้วยหนุ่มสาวหน้าตาดี
หนังทำออกมาได้ดูเพลินน่าติดตามดี ทั้งให้ความรู้แง่มุมทางประวัติศาสตร์ของแอฟริกาใต้ ส่วนสไตล์ถ่ายภาพแบบสารคดีทำให้หนังออกมาดูน่าเชื่อถือ จริงจัง ไม่ง๊องแง๊ง และสำหรับคนที่รักการถ่ายรูปก็น่าจะถูกใจหนังได้ไม่ยากเลย :D แต่ว่าก็ว่าเหอะ อาชีพช่างภาพข่าว (สงคราม) นี่เป็นอาชีพที่เสี่ยงตายมากที่สุดอาชีพหนึ่งบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้เลยทีเดียวนะเนี่ย มิน่าเราถึงได้ยินข่าวว่ามีช่างภาพโดนลูกหลงตายระหว่างทำหน้าที่อยู่บ่อยๆ เนอะ
  • + เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริง ที่ทำออกมาได้ดูดี น่าเชื่อถือ ให้ความรู้ความบันเทิงครบครัน
  • - ไม่ค่อยมีอะไรเจริญหูเจริญตาให้ดู และช่วงท้ายๆ ของหนังดูห้วนๆ ไปบ้าง เลยลดทอนอารมณ์ร่วมลงไปแยะ





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

รูปของ Kevin Carter ตัวเป็นๆ
สำหรับคนที่อยากรู้เรื่องของ The Bang Bang Club (ขอเรียกย่อๆ ว่า The BBC) เพิ่มเติมเราก็มีมาให้อ่านดังนี้จ้า... The BBC คือสมญานามที่สื่อแอฟริกาใต้มอบให้สี่หนุ่มช่างภาพข่าวชื่อก้อง ที่โลดแล่นในยุทธจักรแอฟริกาใต้ระหว่างปี 1990-1994 ซึ่งพวกเขาประกอบด้วย Kevin Carter, Greg Marinovich, Ken Oosterbroek, และ João Silva (ความจริงมีเยอะกว่านี้แต่สี่คนนี้ดังสุด)


ภาพที่ทำให้ Greg Marinovich คว้ารางวัลพูลิตเซอร์ไปครอง
สิ่งที่ทำให้พวกเขาโด่งดัง ฮ็อตฮิตติดชาร์ทคือ ความบ้าบิ่นไม่กลัวตายในการทำหน้าที่ท่ามกลางไฟสงครามกลางเมือง เลยทำให้ได้ภาพเด็ดๆ มาอวดชาวโลกมากมายหลายคันรถ และทำให้สองหน่ออย่าง Kevin Carter และ Greg Marinovich คว้ารางวัลพูลิตเซอร์มานอนกอดได้สำเร็จ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือความเครียด ความกดดันต่างๆ นาๆ ที่ประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน และชีวิตที่ต้องแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกๆ วันไม่เว้นวันหยุดราชการ


ภาพ'อีแร้งรอเปิบ'อันลือลั่นของ Kevin Carter
และแล้ววันหนึ่ง Greg Marinovich และ Ken Oosterbroek ก็โดนลูกหลงส่งผลให้คนหลังเสียชีวิตคาที่ไปด้วยวัยเพียง 31 ขวบ ส่วน Kevin Carter ก็เครียดจัดปนจิตตกจนต้องหันไปพึ่งยา และตัดสินใจฆ่าตัวตายไปด้วยวัย 33 ขวบ โดยทิ้งโน้ตที่เราขอถอดความไว้คร่าวๆ ว่า "ผมสิ้นหวัง... ไม่มีโทรศัพท์... ไม่มีเงินค่าเช่าบ้าน... ไม่มีเงินเลี้ยงดูลูก... ไม่มีเงินใช้หนี้... เงิน!!! ผมถูกหลอกหลอนโดยภาพความทรงจำอันชัดเจนของการฆ่าฟัน ศพ ความโกรธเกรี้ยวและความเจ็บปวด... ความหิวโหย หรือเด็กๆ ที่บาดเจ็บ, หรือคนที่สนุกกับการฆ่าฟัน ผมจะไปพบกับ Ken (เพื่อนซี้ที่ถูกยิงตายไปก่อนหน้าสามเดือน) ถ้าหากว่าผมโชคดีนะ..."


Ken Oosterbroek สมัยยังอยู่ดีมีสุข
หลังจากการเสียชีวิตของสองในสี่ช่างภาพชาวคลับ และการมีสันติภาพเกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ สองสมาชิกที่เหลืออย่าง Greg Marinovich และ João Silva ต่างจำต้องแยกย้ายสลายโต๋ไปทำมาหากินทางใครทางมันยังประเทศต่างๆ แล้วในปี ค.ศ.2000 พวกเขาก็ตัดสินใจร่วมกันเขียนหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติเรื่องราวของ The BBC ขึ้นมาเพื่ออุทิศแด่เพื่อนผู้ล่วงลับทั้งสอง ซึ่งในนั้นก็มีผลงานรูปเด็ดๆ ของพวกเขาบรรจุอยู่เพียบ จนหนังสือถูกนำไปสร้างเป็นสารคดีและหนังเรื่องนี้ในเวลาต่อมา

ส่วนล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว Silva เหยียบกับระเบิดขาด้วนทั้งสองข้างระหว่างไปทำข่าวที่อัฟกานิสถาน ส่วน Marinovich ที่เคยถูกยิงมาแล้วถึงสามครั้ง ก็ขอเลิกทำข่าวเสี่ยงๆ และอาศัยอยู่กับครอบครัวในแอฟกาใต้อย่างมีความสุข ทิ้งให้ชื่อของ The BBC เป็นตำนานในแวดวงช่างภาพและคนข่าวต่อไปชั่วกาลปาวสานเอย


*คัดข้อมูลคร่าวๆ มาจาก wikipedia*


*ของแถม*

ในหนังไม่มีเพลงๆ นี้ของ Manic Street Prechers หรอกนะ แต่ที่เรานำมาฝาก เพราะเพลงๆ นี้ชื่อ Kevin Carter จากอัลบั้มสุดฮิต Everything Must Go (1996) ซึ่งเป็นเพลงที่ The Manics แต่งโดยพูดถึงนาย Kevin Carter ผู้ล่วงลับแห่ง The Bang Bang Club นั่นแหล่ะ ว่าแล้วเราก็มีมาให้ดูให้ฟังกันจ้า



*รีวิวหนังของพ่อหนุ่ม Ryan Phillippe เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*



ลิงก์




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 16:55:00 น.
Counter : 4978 Pageviews.  

Hesher (2010): เฮฟวี่ที่รัก

Hesher (2010) :
หนูน้อย T.J. (Devin Brochu) เพิ่งจะเสียคุณแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองเดือนก่อน เขาและคุณพ่อ (Rainn Wilson จาก Super [2010]) ต่างก็ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนั้น ซึ่งในรายของคุณพ่อถึงกับจิตตกหดหู่จนต้องพึ่งยาและเอาแต่นอนซมทั้งวันไม่หือไม่อือกับอะไรทั้งสิ้น


ดูก็รู้ว่าเรื่องนี้เขาซีเรียส
ในขณะที่ชีวิตของสองพ่อลูกกำลังย่ำแย่ได้ที่ อยู่ๆ ไอ้หนุ่มผมยาวสุดเฮฟวี่แถมซกมกได้ใจนาม Hesher (Joseph Gordon-Levitt) ก็โผล่เข้ามาป่วนชีวิตของทั้งคู่โดยมาอาศัยอยู่กินที่บ้านด้วยหน้าตาเฉยแบบที่เจ้าของบ้านยังงงว่ามันมาได้ไงฟะ ซึ่งแทนที่การมาของเขานั้นจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกลับยิ่งวุ่นวายหนักข้อกว่าเดิมไปซะงั้น


สองคนนี้มาเป็นตัวเรียกแขก
ฟังพล็อตเผินๆ แล้ว หนังดราม่าปนตลกร้ายสุดอินดี้เรื่องนี้ดูคล้ายกับ Visitor Q (2001) ของทั่น ทาคาชิ มิอิเกะ ชอบกล แต่หนังไม่ได้ออกมาบ้าบอหรือแร๊งส์ขนาดนั้น เพราะจะว่ากันจริงๆ แล้วนี่มันหนังดราม่าเคว้งๆ ที่ดูแล้วปวดหน่วงๆ ที่หัวใจต่างหาก หนังมีดีตรงที่ได้นักแสดงขวัญใจมหาชนคนดูหนังอย่างนาย Gordon-Levitt หรือสาว Natalie Portman มาเป็นตัวเรียกแขก ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้น่าชื่นชมทุกตัวคนไม่ว่าจะรายแรกที่ถึงรับบทเป็นคนที่ดูเหมือนจะ ซกมก สถุล กักขฬะ แต่เขาก็มีเสน่ห์พอที่จะทำให้คนดูเกลียดไม่ลงแน่ ในขณะที่นาย Wilson ก็พลิกบทบาทมาเล่นบทซีเรียส จิตตกได้อย่างแจ่มแจ๋ว


เจอแบบนี้เป็นใครก็ต้องเหวอ
นอกจากจะมีการแสดงสุดแจ่มมาฝากแล้วหนังยังมีแง่คิดดีๆ มาฝากมากมาย ไม่ว่าจะการเปรียบเปรยชีวิตคนเราดั่งการเดินท่ามกลางสายฝน ที่บางคนก็เลือกที่จะหลบฝนตามทางเพราะกลัวเปียก ในขณะที่อีกหลายคนเลือกที่จะเดินลุยฝนเอา แบบไม่แคร์สื่อ หรือการที่เราสูญเสียบางสิ่งที่แสนรักไปนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง เพราะถ้าหันไปดูรอบตัวดีๆ แล้วจะพบว่ายังมีสิ่งดีๆ อีกมากมายหลงเหลืออยู่ในชีวิต เอาเป็นว่านี่คือหนังดราม่าน้ำดีมีคุณภาพอีกเรื่องครับทั่น!
  • + เป็นหนังดราม่าเล็กๆ ที่ทำออกมาได้เข้าท่า การแสดงแจ่ม มีแง่คิดให้คิดต่างหาก
  • - ไม่ใช่หนังที่ดูแล้วเฮฮา ปาร์ตี้ แถมดูแล้วค่อนข้างจะหมองๆ หม่นๆ เสียด้วยซ้ำ



*ช่วงเพลงในหนัง*
Metallica
ดูเหมือนว่ายอดชายนาย Hesher จะเป็นแฟนเพลงตัวยงของวงแธรชเมทัลระดับเจ้าพ่ออย่าง Metallica เพราะในหนังเราจะเห็นแต่เขาเปิดเพลงของวงนี้ตลอด (มีวงอื่นประปราย) แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของวงนี้ในหนัง (แม้แต่ฟ้อนท์ชื่อเรื่องยังได้รับอิทธิพลมาแบบจะๆ เลย) ทางวงจึงสมนาคุณความจงรักภักดีครั้งนี้ด้วยการมอบเพลง The Shortest Straw จากอัลบั้ม ...And Justice for All (1988) ให้เป็นซาวน์แทร็คอย่างเป็นทางการของหนังซะเลย ว่าแล้วก็มาให้ฟังกันซะหน่อยจ้า

MP3: Metallica - The Shortest Straw


*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของนาย Joseph Gordon-Levitt ภายในบล็อก*





 

Create Date : 11 สิงหาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 16:57:49 น.
Counter : 5086 Pageviews.  

Captain America: The First Avenger (2011): ซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์สุภาพบุรุษ


Captain America: The First Avenger (2011) :
มาถึงคิวของหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องที่ห้า (แต่เป็นฮีโร่รายที่สี่) จาก Marvel Studio ซึ่งก็ถือเป็นซูเปอร์ฮีโร่รายแรกๆ ของ Marvel Comic เลยทีเดียว เพราะมีหนังสือการ์ตูนออกตีพิมพ์มาตั้งแต่ช่วงยุค '40 แล้ว ส่วนในเวอร์ชั่นหนังโรงก็พยายามจะสร้างกันมาสิบกว่าปีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็เพิ่งจะมาทำสำเร็จออกฉายดูดเงินชาวประชาก็ในซัมเมอร์นี้นี่เอง


สุภาพบุรุษฮีโร่มาแล้วจ้า
และกว่าจะได้ตัวนักแสดงมารับบท Captain America ได้เนี่ยก็มีนักแสดงชายสุดฮ็อตอยู่หลายคนที่ทางผู้สร้างเล็งๆ ไว้อาทิ Sam Worthington, Channing Tatum,Ryan Phillippe, Alexander Skarsgård หรือแม้แต่ Will Smith (ป๊าด!?) แต่สุดท้ายพ่อหนุ่มผู้นิยมเล่นหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนอย่าง Chris Evans ก็คว้าบทนี้มาครองได้ในที่สุด แม้ว่าตอนแรกๆ เขาจะไม่ค่อยอยากจะเล่นหนังสไตล์นี้อีกสักเท่าไหร่นักก็ตามที


ดูหุ่นล่ำๆ โดนใจเก้งกวางของพระเอกเราซะก่อน
ผกก.Joe Johnston ได้รับความไว้วางใจให้มากำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว เพราะเล่าเรื่องออกมาได้ดูเพลินๆ ไม่น่าเบื่อ ฉากแอ็คชั่นไม่หน่อมแน้ม ส่วนงานด้านต่างๆ ล้วนอยู่ในระดับดีหนึ่งประเภทหนึ่งตามมาตรฐานอันดีงามของหนังทุนหนาจากฮอลลีวู้ดยุคนี้ และที่โดดเด่นคือพ่อหนุ่ม Evans ที่ทิ้งมาดกวนๆ จากเรื่องก่อนๆ มารับบทสุภาพบุรุษฮีโร่รายนี้ได้อย่างได้ใจคนดูจริงๆ และยังล่ำได้ใจสาวแท้สาวเทียมซะ


ดูหน้าก็รู้ว่าใครร้ายใครดี
แต่การที่ Captain America เป็นซูเปอร์ฮีโร่ในอุดมคติ ซึ่งเป็นสุภาพบุรุษแท้ที่ดีพร้อมไร้มลทิน ข้อตำหนิใดๆ ตามสไตล์อนุรักษ์นิยม เพราะเป็นดั่งตัวแทนของประเทศอเมริกา ทำให้เขาไม่มีด้านมืด นิสัยเสีย (อย่างน้อยก็ในภาคแรกนี้) แบบที่หนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่นิยมมีกัน เรื่องราวของเขาเลยดูเรียบๆ ไร้ความขัดแย้ง สว่างไสว ขาดความเข้มข้นจนดูไม่ค่อยท้าทาย ไม่ดึงดูดใจไปบ้าง ดั่งเช่นที่สาวๆ นิยมบอกกับหนุ่มๆ ว่า "เธอดีเกินไป" นั่นแหล่ะ อิอิ

ดูมาดบู๊ของนางเอกเราซะก่อน
ถ้าจะมองกันเผินๆ นี่ก็คงจะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูเอาความบันเทิงแถมได้แง่คิดติดปลายนวมมาบ้าง แต่ถ้าจะมองกันลึกๆ แล้วนี่คือหนังที่ประกาศความเป็นอเมริกาในอุดมคติแก่ชาวโลก โดยให้กัปตันอเมริกาเป็นผู้ที่ยืนหยัดเพื่ออิสรภาพ ความหวัง ประชาธิปไตย เพื่อคนทั้งโลก ดั่งที่ในฉากหนึ่งที่มีคนถามพระเอกเราว่า "ทำไมถึงอยากไปรบ อยากฆ่านาซีนักหรือไง?" ซึ่งพระเอกเราก็ตอบอย่างมาดมั่นไปว่า "ผมไม่อยากฆ่าใคร แต่ก็ไม่ชอบพวกอันธพาล ไม่ว่าจะที่เป็นไหนก็ตาม"
ซึ่งก็ฟังแล้วดูดีเนอะ แต่ว่าอเมริกาในความเป็นจริงจะเป็นยังไงมันก็อีกเรื่องหนึ่งเน้อ เหอๆ
  • + เป็นอีกหนึ่งของหนังซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel ที่ทำออกมาไม่เสียของ แฟนการ์ตูนยิ่งดูยิ่งปลื้ม ดูได้ดูดีดูเพลิน มีแง่คิดติดปลายนวมด้วยนะ
  • - ถ้าเทียบกับหนังซูเปอร์ฮีโร่รายอื่นๆ จะพบว่าหนังยังสะอาดสดใส เรื่องราวยังไม่เข้มข้นเท่านัก เลยอาจดูคล้ายกับว่าหนังจะไม่ค่อยมันส์เท่าไหร่






*รีวิวหนังซูเปอร์ฮีโร่จากจักรวาล Marvel เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 16:59:38 น.
Counter : 4373 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.