Group Blog
 
All blogs
 

Detachment (2011): หัวอกคนเป็นครู



Detachment (2011) :
มีคนเคยเปรียบครูเอาไว้ว่าเป็นดั่งเรือจ้าง ที่ออกแรงแจวเรืออย่างแข็งขันดึ๋งดั๋งเพื่อไปส่งผู้โดยสาร (นักเรียน) ยังที่หมาย ซึ่งพอถึงฝั่งแล้วก็ต้องโดนถีบหัวเรือส่งอยู่ร่ำไป ครูจึงนับว่าเป็นอาชีพที่เสียสละและน่ายกย่องไม่น้อยเลยทีเดียว (แม้ว่าทุกวันนี้ครูแย่ๆ จะมีอยู่เยอะก็ตามทีเถอะ) หนังที่เกี่ยวกับคุณครู/นักเรียนจึงมีออกมาให้ดูกันอยู่ทุกบ่อย ซึ่งส่วนใหญ่จะออกมาแนวยกย่องเชิดชูคุณครูหรือเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ทั้งนักเรียนทั้งคุณครูลุกขึ้นมาสู้เพื่อฝัน ส่วนจะไปถึงฝันได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่งเน้อ หุหุ

บทบาทการแสดงที่ดีที่สุดอีกเรื่องของเฮีย Brody
และนี่คือหนังครู/นักเรียนอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการประสานพลังของเฮีย Adrien Brody (The Pianist [2002]) และ ผกก.Tony Kaye (American History X [1998]) อันว่าด้วยเรื่องราวของ Henry (Brody) ครูสอนแทนที่ต้องไปสอนเด็ก ม.ปลาย ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะต้องรับมือกับเด็กๆ ในชั้นเรียนที่ได้ชื่อว่าเกรียนที่สุดแล้ว เขายังได้รู้จักกับผู้หญิงสามคนสามสไตล์ที่จะเข้ามาทำให้ชีวิตของเขาต้องพบกับความดราม่าสิ้นดีไปเลยเชียวงานนี้

สาวคนนี้น่ารักสุดๆ ในเรื่องนี้
อ่านพล็อตและดูเทรลเลอร์แล้วก็อย่าเพิ่งคิดว่านี่คือหนังครู/นักเรียน กะเรียกความประทับใจทั่วๆ ไปซะก่อนล่ะ เพราะอันที่จริงแล้วหนังไม่ได้เน้นไปที่ชีวิตของนักเรียนหรือเรื่องราวในชั้นเรียนเป็นหลัก หากแต่เน้นไปที่สภาพจิตใจบรรดาคุณครูทั้งหลาย ให้เห็นว่าไม่ใช่มีแต่นักเรียนเท่านั้นที่มีปัญหา คุณครูก็มีปัญหาหนักอกได้เหมือนกันนะเฟ้ย และก็พูดถึงการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของคนเราซึ่งการกระทำของคนหนึ่งก็ย่อมต้องส่งผลกระทบแก่อีกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ดังนั้นจึงอยู่ที่เราแล้วว่าจะเลือกมีท่าทียังไงต่อผู้อื่น เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันก็จะย้อนกลับมาที่เราเช่นเดิม

นักเรียนปิ๊งครูนั้นที่ไหนก็มี
หนังโดดเด่นตรงที่มีบรรดานักแสดงคุ้นหน้าคุ้นตาระดับคุณภาพตบเท้ากันเข้ามาร่วมประชันบทบาทเพียบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบารมีของตัว ผกก.ได้เป็นอย่างดีว่าแกมีองค์ ส่วนคนที่โดดเด่นที่สุดก็คือเฮีย Brody ซึ่งนานๆ ทีจะเห็นเฮียแกเล่นดีสมกับฐานะเจ้าของรางวัลออสก้าร์นำชายแบบนี้บ้าง จนแทบจะเรียกได้ว่านี่เป็นบทบาทที่เยี่ยมที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในเครดิตของเฮียเลยทีเดียว และอีกคนที่ทำหน้าที่ได้ดีและน่ารักเจิดจรัสได้ใจไปไม่น้อยเลยคือคุณน้อง Sami Gayle ในบทวัยรุ่นสาวชีวิตบัดซบที่ได้เข้ามาพัวพันกับชีวิตพระเอกเขา

สาว Christina Hendricks ยังคงสวยอวบได้ใจหนุ่มๆ เช่นเดิม
หนังเล่าเรื่องอย่างเน้นสมจริงสมจัง ไม่เน้นสดใสดูเพลินหรือฟีลกู้ดเพื่อเรียกความประทับใจอย่างหนังครูส่วนใหญ่เขา แถมออกจะเศร้าซึมลึกบาดอารมณ์ถึงขั้นอาจทำเอาบ่อน้ำตาแตกซะด้วยซ้ำไป และด้วยสไตล์การเล่าเรื่องและงานด้านภาพที่ออกแนวอาร์ตเฮ้าส์เล็กๆ (ที่ไม่อาร์ตจ๋าจนเกินไป) แบบที่มีการตัดสลับฉากสัมภาษณ์พระเอกหรือตัวละครอื่นๆ เพื่อให้อารมณ์คล้ายหนังสารคดี ก็ทำให้หนังกลายเป็นหนังอินดี้เล็กๆ เนื้อหาบ้านๆ ที่เต็มไปด้วยนักแสดงเกรดเออย่างเต็มภาคภูมิไปในที่สุด

หนังดีโดนใจอีกเรื่องของปีที่แล้ว
จริงๆ แล้วหนังยังขาดตกบกพร่องในบางส่วนและมาพร้อมกับเรื่องราวเดิมๆ ไม่เกินเดาไปบ้าง แต่ออกมากระทบใจได้ปานนี้ก็ต้องขอซูฮกแล้วล่ะ แม้จะไม่ได้มีรางวัลใหญ่ใดๆ มาการันตีความดีงามของหนังอย่างใครเขา ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว รวมทั้งในบรรดาหนังของเฮีย Brody เองด้วย อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง คอหนังคุณภาพทั้งหลายไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงจ้า
  • + หนังดีมีคุณภาพ นักแสดงเพียบ เล่าเรื่องได้กระทบใจ เศร้าบาดทรวง ไม่สร้างภาพ จนนับเป็นหนังดราม่าครูๆ ที่แจ่มที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง
  • - มาด้วยพล็อตเดิมๆ ไม่เกินคาดเดา และบางส่วนของหนังดูโดดๆ ข้ามๆ ไม่ลงตัวไปบ้าง


*ช่วงเพลงในหนัง*
Ray Lamontagne
ด้วยความที่หนังออกแนวเศร้าๆ ดราม่าบาดใจซะปานนี้ เพลงที่เขาเลือกมาใช้ในหนังก็ต้องเลือกมาแบบเศร้าซึมได้ใจพอๆ กัน ซึ่งก็คือเพลง Empty ของ Ray Lamontagne ศิลปินโฟล์ควัย 38 ขวบชาวมะกัน ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ที่ปล่อยให้ตนเองติดอยู่ในความโศกเศร้า ระทมทุกข์ มาเนิ่นนาน จนถึงกับตัดพ้อกับตนเองว่าไม่เห็นมีสิ่งใดในโลกที่จะสามารถชูใจเขาขึ้นมาได้เลย แม้แต่แสงอรุณยามเช้า โอ้ว! ช่างเหมาะเหม็งลงตัวกับตัวหนังสุดๆ ไปโลด!

MP3: Ray LaMontagne - Empty



*หนังเกี่ยวกับครู/นักเรียนเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2555    
Last Update : 15 มิถุนายน 2555 6:26:16 น.
Counter : 8657 Pageviews.  

God Bless America (2011): คู่แสบล้างโคตรเกรียน


God Bless America (2011) :
คงต้องบอกว่าหนังตลกร้ายเล็กๆ ของ ผกก.Bobcat Goldthwait (World's Greatest Dad [2009]) เรื่องนี้ หน้าหนังไม่ได้มีความดึงดูดใจให้อยากดูเอาซะเลย แถมการที่หนังเล่นออกฉายแต่ตามเทศกาลหนัง ฉายแบบจำกัดโรง ให้เช่าดูทางอินเตอร์เน็ต ก็ยิ่งแล้วกันใหญ่ไปเลย แต่ทว่าพอได้ดูแล้วจึงพบว่า ป๊าด! นี่มันเป็นหนังที่จิกกัดความไร้สาระของสังคมอเมริกาทุกวันนี้ได้ชนิดแสบสันต์ที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลยครั่บท่าน!

เตรียมขึ้นหิ้งหนังคัลต์ได้เลย
หนังเล่าเรื่องของ Frank และ Roxy คู่หูต่างวัยที่ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วออกเดินสายกระเตงกันไปฆ่าๆๆ ทุกคนที่พวกเขาเห็นว่าทำตัวไร้สาระหนักแผ่นดินอเมริกา อาทิ พวกบ้าศาสนา นักการเมืองปากร้าย สาววัยทีนสุดติ่งในการการเรียลลิตี้โชว์ พวกชอบคุยโทรศัพท์ในโรงหนัง และที่เด็ดสุดคือบรรดากรรมการของรายการแข่งขันร้องเพลงชื่อดังสไตล์ American Idol อีกด้วย (ฮา)

รายการแนว American Idol ทั้งหลายเตรียมตัวโดนถล่มได้เลย
แค่เปิดเรื่องมาหนังขึ้นโลโก้ Darko Entertainment (เจ้ากระต่ายผีจาก Donni Darko [2001]) ก็สะกิดใจให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้คงไม่ใช่ธรรมดาซะแล้ว และตลอดเรื่องหนังก็วิพากษ์วิจารณ์แทบจะทุกเรื่องในอเมริกา ตั้งแต่ ค่านิยมของวัยรุ่น หนัง เพลง การแพทย์ อินเตอร์เน็ต การเมือง สังคม รายการทีวี วัฒนธรรมป็อป ฯลฯ ราวกับว่าคนเขียนบทมันอัดอั้นตันใจมานานแล้วพอได้ระบายก็ใส่ซะเต็มตีนไปเลยเชียว จนดูๆ ไปมันก็ออกจะเป็นการมองโลกในแง่ร้ายแง่ลบไปบ้าง (แต่ก็จริงของเขานะ) ยังดีที่หนังมาด้วยแนวตลกร้าย เลยไม่ได้ซีเครียดจริงจังจนต้องดูไปคิ้วขมวดไปแต่อย่างใด

ดูมาดพระเอกซะก่อน
ดูหนังจะต่อต้านรายการประเภทเรียลลิตี้โชว์และรายการประกวดความสามารถทางทีวีเอามากๆ โดยเฉพาะการที่เอาคนที่ไร้ความสามารถมาโชว์ห่วยออกรายการให้เป็นหัวเราะขบขันของคนดู ซึ่งหนังมีแนวคิดที่น่าสนใจว่ารายการประเภทนี้เปรียบเสมือนการต่อสู้ Gladiator ที่มีไว้เอาใจประชาชนในยุคเสื่อมของอาณาจักรโรมันเมื่อครั้งอดีต และการที่คนมะกันยุคนี้นิยมรายการประเภทนี้ก็แสดงให้เห็นว่าสังคมอเมริกากำลังจะล่มสลายเหมือนครั้งที่โรมันกำลังจะล่มสลายด้วยนั่นแหล่ะ (โห คิดได้ไงเนี่ย) และยังมีแง่คิดด่าสังคมอีกมากมายมานำเสนอ ชนิดที่ว่าต้องถูกใจหลายๆ คนเป็นแน่ แต่อีกหลายคนก็อาจจะไม่เห็นด้วยและคิดว่าหนังไม่เข้าท่าเลยได้เช่นกัน

นี่คือ Bonnie and Clyde ยุคอินเตอร์เน็ต
นี่จึงเป็นหนังที่กล้าและโดดเด่นที่สุดในยุคนี้เรื่องหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าตัวหนังจะเล็กๆ จนแทบไม่เป็นที่รู้จัก แถมหน้าหนังก็ไม่มีความดึงดูดใจ แต่เชื่อเถอะว่าในอนาคตหนังต้องขึ้นหิ้งหนังคัลต์ที่สามารถสะท้อนยุคสมัยนี้ได้อย่างครบถ้วนชัดเจนที่สุดเรื่องหนึ่ง (แม้พูดถึงอเมริกาแต่ก็ตรงกับสภาพสังคมไทยยุคนี้ในหลายจุดอยู่เหมือนกันนะ ขอบอก) นานๆ เราจะเจอหนังแหล่มๆ ชนิดเพชรในตมอย่างนี้ก็ต้องขออวยกันแบบสุดๆ ซะหน่อยล่ะจ้า อิอิ :D
  • + หนังตลกร้ายด่าสังคมอเมริกาที่แหล่มที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูมา มีอะไรชวนคิดเพียบ
  • - หลายคนอาจเห็นว่าหนังต่อต้านสังคมและมองโลกในแง่ร้ายเกินไป (แต่ยอมรับเหอะว่ามันก็จริง) หน้าหนังไม่น่าสนใจ จึงใช่ว่าจะถูกจริตกันได้ทุกคนเน้อ




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2555    
Last Update : 13 มิถุนายน 2555 1:01:37 น.
Counter : 5687 Pageviews.  

Prometheus (2012): มหันตภัยไหต่างดาว


Prometheus (2012) :
จากเดิมที่ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะทำเป็นหนังปฐมบทของหนังชุด Alien (ภาค 5) แต่ไปๆ มาๆ ผกก.Ridley Scott (Gladiator [2000]) เกิดเปลี่ยนใจขอทำเป็นอีกเรื่องแต่อยู่ในจักรวาลเดียวกันแทนดีกว่า (ประมาณว่าเป็นญาติห่างๆ) จนออกมาเป็นหนังไซไฟฟอร์มยักษ์แห่งปีที่มหาชนคนดูหนังหลายคนตั้งตารอคอยเรื่องนี้

หนังไซไฟที่เป็นเหมือนญาติห่างๆ ของ Alien
หนังว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอนาคต (ค.ศ.2093) เมื่อเหล่านักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้เดินทางไปยังดาว LV-223 อันไกลโพ้นเพื่อหวังจะพบสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่เกี่ยวพันดูแลมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล (พระเจ้า?) ซึ่งผู้นำทีมค้นคว้าอย่าง Elizabeth Shaw (Noomi Rapace จาก The Girl with the Dragon Tattoo [2009]) นั้นเชื่อว่างานนี้มีเจอชัวร์ ซึ่งพอไปถึงก็ได้จ๊ะเอ๋เจอจริงอะไรจริง แต่ทว่ามันไม่สวยสดงดงามลั้นลาอย่างที่เธอคิดเสียแล้ว เมื่อพบว่าดาวดวงนี้มีอันตรายอัดแน่นชนิดล้นไห (ต่างดาว) จนไม่รู้ว่าชะตากรรมของพวกเธอจะจบลงที่ใดกันแน่

หน้าตาของไหอวกาศ
ครั่บ (ขณะอ่านรีวิวนี้โปรดนึกถึงน้ำเสียงของท่านสุทธิชัย หยุ่น) หนังระดับป๋า Scott นั้นแล้วไซร้ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่ แม้พล็อตจะเดิมๆ ไม่เกินคาดเดาไปบ้างก็ตามที แต่หนังมีความแข็งแรงในด้านอื่นมาชูโรงแทน ไม่ว่าจะเรื่องความอลังการงานสร้างยิ่งใหญ่ตระการตา งานเอฟเฟกต์สุดยอดในใต้หล้า พลังเหล่าดารายิ่งยงสะท้านจอ การเล่าเรื่องเข้มข้นหวานมันไร้แคลอรี่ แต่ที่เก๋าไปกว่านั้นคือหนังมีคำถาม ประเด็นชวนคิดอย่าง "ใครสร้างเรา? เรามาจากไหน? ไข่ทำไมเดี๋ยวนี้แพงจัง?" (อันหลังคงไม่ใช่) มาให้ขบกันตลอดเรื่อง ซึ่งทำให้หนังดูไฮโซมีสาระไม่เบาหวิวเหมือนก้นบุหรี่ที่ล่องลอยในอวกาศแต่อย่างใด

เต็มไปด้วยนักแสดงคุณภาพ
และคงต้องบอกว่านี่เป็นหนังดีที่ไม่ใช่มีไว้เพื่อการดูเอาเพลินเอามันส์ชิวๆ ก็แล้วกัน เพราะเต็มไปด้วยบทสนทนา ฉากพูดคุย (แต่บทจะถึงกาลตื่นเต้นก็มีลุ้นไม่ใช่น้อยเลยล่ะ เช่นฉากผ่า...ลุ้นหวาดเสียวมาก) คนที่จะดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกสุดๆ ก็คือคนที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังไซไฟคลาสสิกอย่าง Alien (1979) ดี เพราะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกันเห็นๆ ทั้งยังมีรายละเอียดยิบย่อยให้สังเกตมากมายอีกด้วย ในขณะเดียวกันบรรดาคนที่ดูเรื่องนี้ไปแล้วก็จะทำให้การกลับไปหยิบ Alien มาดูนั้นได้อรรถรสมากขึ้นเยอะด้วยเช่นกัน

งานเอฟเฟกต์ตระการตา
ประเด็นที่แฝงมาอย่าง 'ศาสนาและความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า' 'การตั้งตัวเป็นพระเจ้าของคนเรา' ซึ่งไปๆ มาๆ ดูเหมือนหนังจะไม่ได้ต่อต้านพระเจ้า แต่กำลังบอกว่าไม่ว่าเราจะเก่งก้าวล้ำจนทำตัวเป็นผู้สร้างเยี่ยงพระเจ้าได้แค่ไหน (มนุษย์สร้างแอนดรอยด์ เอเลี่ยนสร้างมนุษย์) แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็ไม่สามารถเอาชนะความตายได้อยู่ดี และก็อย่าลืมประโยคหนึ่งที่นางเอกเราเอ่ยไว้อย่างน่าคิดว่า "ถ้าเอเลี่ยนสร้างเรา แล้วใครล่ะสร้างเอเลี่ยน?" ข้อนี้หนังทิ้งไว้ให้เราหาคำตอบเอาเองตามความเชื่อของเราแต่ละคนแล้วจ้า :)

*ปล.นี่คือหนัง 3D เรื่องแรกที่เราพบว่าภาพบนจอดูแล้วรู้สึกสบายตา สว่างดี ไม่มืดหมอง มีมิติ ถูกใจจริงๆ*

อนาคตเราคงได้นอนในตู้แช่เป็นปลาทูแน่
  • + หนังไซไฟที่น่าดูที่สุดในรอบปี ระดับป๋า Scott แล้วทำหนังธรรมดาๆ ไม่เป็นเน้อ คอหนังไซไฟ หรือผู้ที่ชอบดูหนังที่ต้องคิด พ่วงความสนุกเข้ามากำลังเหมาะ และบรรดาแฟนหนัง Alien คงถูกใจเป็นหนักหนาแน่ๆ
  • - แต่สำหรับขาจรทั่วไปจะพบว่า หนังไม่สนุกตูมตามอย่างที่คิด ไม่เหมาะจะดูเอามันส์ และพูดจาอะไรกันไม่เห็นจะเข้าใจ และมองเป็นหนังจินตนาการที่งั้นๆ ไปจนได้

หนังดีน่าดูอีกเรื่องของปีนี้



*รีวิวหนังของ ผกก.Ridley Scott เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2555    
Last Update : 8 มิถุนายน 2555 0:03:14 น.
Counter : 3603 Pageviews.  

The Pact (2012): บ้านหลอนซ่อนตาย



The Pact (2012) :
หลังจากการเสียชีวิตกระทันหันของคุณแม่ ทำให้สองศรีพี่น้องต้องกลับไปยังบ้านหลังที่พวกเธอเคยอยู่สมัยยังเด็กๆ เพื่อจัดการพิธีศพ แต่แล้วผู้พี่ก็ดันหายตัวไปอย่างลึกลับ ส่งผลให้ Annie (Caity Lotz) น้องสาวต้องออกตามล่าหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งยิ่งเธอสืบสาวลงไปลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งค้นพบสิ่งไม่ชอบมาพาลอันแสนน่าสะพรึงกลัวซุกซ่อนอยู่ในบ้านหลังนั้น

ดูหน้าชีก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้หลอน
หนังสยองขวัญเล็กๆ เรื่องนี้เคยเป็นหนังสั้นที่เคยไปลั้นลาในเทศกาลหนัง Sundance เมื่อต้นปีที่แล้ว (ค.ศ.2011) ก่อนที่จะได้รับการอัพเกรดเป็นหนังยาวโดยฝีมือของ ผกก.Nicholas McCarthy ชายผู้พยายามกระเสือกกระสนหาทางทำหนังในฮอลลีวู้ดมาหลายปีแล้ว ก่อนที่ฝันจะกลายเป็นจริงก็คราวนี้ และคงต้องบอกว่าผลงานประเดิมเรื่องแรกของเขานี้นั้นออกมาเข้าท่าไม่เลวเลยทีเดียวล่ะ

Casper Van Dien ยังมีชีวิตอยู่นะครับ
ถึงหนังจะมาแบบหนังเกรดบี ที่ไม่ได้มาพร้อมกับอะไรแปลกใหม่ แถมยังดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ตัว ผกก.McCarthy ก็มีทักษะในการสร้างความสยองแก่คนดู ด้วยบทที่ไม่ตื้นเขิน ด้วยบรรยากาศ ด้วยมุมกล้อง ด้วยจังหวะตัดต่อ เอฟเฟกต์ที่ดูเข้าท่าไม่กิ๊กก๊อก (แม้ฉากแหว่ะจะดูปลอมๆ ไปบ้างตามทุนสร้างก็เหอะ) และการแสดงนำอันน่าชื่นชมของนางเอก Lotz ซึ่งล้วนมีส่วนทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาดูดีเหนือกว่าหนังเกรดบีทั่วไปอยู่หลายขุมเลยทีเดียว

หนังผีฝรั่งย่อมคู่กับการเล่นผีถ้วยแก้ว
อีกอย่างที่ได้ใจไปเต็มๆ คือ พฤติกรรมของตัวละครที่ไม่ออกแนวงี่เง่าเหมือนหนังสยองฝรั่งทั่วๆ ไป ซึ่งพวกเขาตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างน่าเชื่อถือ ในแบบที่ถ้าเป็นเราๆ ท่านๆ ก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกันแน่ๆ (อย่างเช่นตอนเจอผีแล้วขอวิ่งหน้าตั้งไปตั้งหลักนอกบ้านก่อนล่ะวะ) แม้หนังจะไม่ถึงกับดีโดดเด่น แต่ได้เท่านี้ก็ทำให้ชื่อของ ผกก.McCarthy นั้นเป็นที่น่าจับตามองจากเราต่อไปแล้วล่ะนะ ขอให้รุ่งๆ นะจ้ะ พ่อคุ๊ณณ

ของแถม: รูปเซ็กซี่ๆ ของนางเอก Caity Lotz
  • + หนังสยองเล็กๆ แต่หลอนใช่เล่น บทเข้าที พฤติกรรมตัวละครไม่งี่เง่า นางเอกก็ได้ใจซะ
  • - ก็ยังไม่ถึงกับโดดเด่นอะไรมากมายนัก และด้วยความทุนต่ำกับเดินเรื่องเรื่อยๆ ไปบ้าง เลยทำให้ไม่ค่อยดึงดูดใจนัก




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2555    
Last Update : 5 มิถุนายน 2555 19:31:49 น.
Counter : 11323 Pageviews.  

Piranha 3DD (2012): มหกรรมห่วยทะลุจอ



Piranha 3DD (2012) :
ก็เพราะภาคแรกเมื่อปี ค.ศ.2010 ออกมาฮิตโดนใจบรรดาคอหนังจอมซาดิสม์ทั้งหลายซะขนาดนั้น ก็ต้องมีภาคต่อออกมาหากินกันยาวๆ อีกเป็นธรรมดา (ภาคแรกเขาทิ้งเชื้อไว้โต้งๆ ซะปานนั้นแล้วด้วย) ซึ่งหากท่านย้อนไปดูรีวิวภาคแรกในบล็อกนี้จะพบว่า เราได้ติงว่าไม่เห็นมีหนังเรื่องไหนที่มีฉากเด็กตายสยองเหมือนใน Feast (2005) หนังสัตว์ประหลาดแหกกฏสยองบ้างเลย และพับเผื่อยเถอะ มาภาคนี้หนังดันจัดเต็มฉากเด็กตายสยองมาจนได้ซะงั้น แถมที่สำคัญ ผกก.ก็คือยอดชายนาย John Gulager จาก Feast เสียด้วยสิ ป๊าด!! อะไรมันจะบังเอิญปานนั้น?!

ภาคนี้มากัดกันในสระแทน
ภาคแรกผู้สร้างแถให้ฝูงปลาปิรันย่าจอมกระหายเลือดไปโผล่ในทะเลสาบกลางอเมริกาได้อย่างสวยสดงดงอม มาคราวนี้ก็พยายามแถให้มันไปไล่กัดตูดคนในสวนน้ำแทน โดยหนังมีคำโปรยบนโปสเตอร์ไว้เรียกลูกค้าว่างานนี้ "แอ็คชั่นเป็นสองเท่า สยองเป็นสองเท่า และเต้า (ใหญ่) เยอะเป็นสองเท่า" ตามประสาภาคต่อหนังฮิตที่อะไรๆ ก็ต้องทวีคูณเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อไม่ให้น้อยหน้าภาคแรก

สาวสวยเซ็กซ์ภาคนี้มีมานิดเดียว
แต่ทว่าผลที่ออกมากลับกลายเป็นว่าหนังดันทำไม่ได้อย่างที่คุยเลยซะฉิบคือจะสนุกก็ไม่สนุก สยองก็ไม่สยอง ลุ้นก็ไม่ลุ้น อารมณ์ขันก็ฝืดสนิท ครั้นจะดูสาวๆ โชว์เต้าก็ไม่ได้มีเยอะหรือเด็ดกว่าภาคแรกเลย (ดูๆ แล้วทุนสร้างก็น่าจะน้อยกว่าด้วยนะ) การที่ได้ ผกก.Gulager ที่เคยทำหน้าที่โชว์เจ๋งแหกกฏสยองจากหนังไตรภาค Feast ก็ไม่ได้ช่วยทำให้หนังดูดีขึ้นมาเลยสักนิด จนเรียกได้ว่าหนังภาคนี้เข้าขั้นห่วยแบบเต็มปากเต็มคำเลยก็ว่าได้

ลุง Ving Rhames จากภาคแรกก็มากับเขาด้วย
ปกติทางบล็อกเราไม่ค่อยจะด่าหนังเรื่องไหนว่าห่วยหรอกครั่บพี่น้อง แต่สำหรับเรื่องนี้ก็ขอหน่อยเหอะนะ เพราะในภาคแรกถึงจะไม่ใช่หนังที่ดีเลิศอะไรแต่ก็สามารถมอบความบันเทิงแก่คนดูได้ในแนวทางของมันเอง ทว่าภาคนี้อะไรๆ ก็ดูประดักประเดิดไปซะหมด ทั้งไอเดียสยองและมุกตลก ชนิดที่ว่าดูไปก็ต้องส่ายหัวไปด้วยตลอด (บทลุง Ving Rhames จะใส่เข้ามาอีกทำไม๊?) หนังเป็นความน่าเบื่อ ทั้งๆ ที่ตัวหนังนั้นสั้นเพียงแค่ 70 กว่านาทีเท่านั้น (ไม่รวมเอนด์เครดิต) แต่ดูเหมือนกับว่าหมดมุกจะเล่นไปตั้งนานแล้ว (แถมตอนจบก็ยังอุตส่าห์ยัดเบื้องหลังฉากหลุดใส่เข้ามาอีกต่างหาก)

มุกเด็ดปิรันย่ามุด...
เพราะหนังแย่กว่าภาคแรกในทุกกรณีแบบนี้จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่อเมริกาเองยังฉายแบบจำกัดโรง ดังนั้นจึงเห็นทีว่าแฟรนไชส์นี้อนาคตคงจะค่อยไม่สวยงามซะแล้วล่ะ แต่ว่าในตลาดหนังแผ่นก็คงยังจะไปได้อยู่ แบบที่ว่าถ้ามีภาคสามออกมาอีก ก็คงจะส่งตรงลงตลาดหนังแผ่นเลยทันทีนั่นแหล่ะครั่บ ฟันธง!

  • + อืม..คิดไม่ออก
  • - ห่วยกว่าภาคแรกในทุกกรณี ดูแล้วเสียเซลฟ์จริงๆ



*รีวิวหนังของ ผกก.Gulager และหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง*




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2555    
Last Update : 6 มิถุนายน 2555 23:17:24 น.
Counter : 7344 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.