All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 15 (ต่อ)


ธานีเดินขึ้นมาชั้นบน แล้วเคาะประตูห้องแนนนี่

“แนนนี่!…นี่พี่เอง”
ธานีรอครู่หนึ่งประตูเปิดออก เห็นแนนนี่อยู่ในสภาพซึมเซา ธานีหุบยิ้มทันที
“อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะ ไม่สบายหรือเปล่า”
แนนนี่ส่ายหน้า
“แล้วทำไมทำหน้าเหี่ยวยังงั้น”
“แนนนี่กลุ้มใจ”
“เรื่อง...”
“พี่ธานีไม่เข้าใจหรอก”
“ก็ถ้าไม่เล่า พี่จะเข้าใจได้ยังไง”
“มันเป็นเรื่องที่แนนนี่จะต้องปกป้องโลก” แนนนี่พูดสีหน้ามุ่งมั่นและน้ำเสียงจริงจัง
ธานีขำเอานิ้วจิ้มหน้าผากน้องสาว
“ก่อนที่จะปกป้องโลก ไปช่วยพี่เกล้ากับพี่ดาเขาทำกับข้าวก่อน !”
แนนนี่ทำตาขวางเมื่อได้ยินชื่อานีเอ่ยชื่อ “พี่ดา”
“พอท้องอิ่มแล้วค่อยวางแผนกัน ไป!”
“ไม่” แนนนี่เสียงแข็ง
ธานีกอดคอน้องสาวดึงไป “เย็นนี้เราจะกินเลี้ยงกับข้าวฝีมือกันเอง ใครท้องเสียก็ส่งหมอภวัตเลย !”
ได้ยินชื่อภวัตแนนนี่เนื้อเต้นทันที “พี่ภวัตมาด้วยหรือคะ!”
“แน่น้อน”
คราวนี้แนนนี่เดินไปแต่โดยดี

ในครัวเวลานั้น ผักต่างๆ เนื้อสัตว์ ถูกล้างทำความสะอาดเรียบร้อยวางอย่างเป็นระเบียบ โดยมีดารกาและรัดเกล้า แบ่งหน้าที่กันทำ ระหว่างนั้นธานีเดินกอดคอแนนนี่เข้ามา
“พี่พาลูกมือมาให้อีกคนนึงแล้ว!”
สองสาวมองมาแล้วยิ้มให้
“ยินดีต้อนรับจ้ะ พี่กำลังต้องการคนช่วยหั่นผักสลัดพอดี” ดารกายิ้มอ่อนโยนตามสไตล์
“แนนนี่ทำไม่เป็น กินเป็นอย่างเดียว”
“หั่นผักไม่ยากหรอกแนนนี่” รัดเกล้าเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวน้องดาปรุงน้ำสลัดเสร็จแล้ว จะหั่นเอง”
รัดเกล้าไม่พอใจ หันมามองแนนนี่เหมือนจะตำหนิเล็กๆ
“พี่ธานีพาแนนนี่ออกไปเถอะค่ะ พี่ดาจะทำสลัดกุ้งทอดให้แนนนี่นะจ๊ะ” ดารกาว่า
“ไม่ต้องค่ะ กลัวยาพิษ”
พูดจบแนนนี่ก็เดินตัวปลิวออกไป
“แนนนี่ ! น้องดาอย่าไปถือน้องเลยนะ” ธานีว่า
“ค่ะ น้องดาชินแล้ว” สีหน้าดารกาดูเศร้าเล็กๆ
ธานีเดินตามแนนนี่ออกไป
“วันนี้แนนนี่ไม่น่ารักเลย” รัดเกล้าบ่นออกมา
ดารกาก้มหน้าก้มตาทำน้ำสลัด ทำเป็นไม่อยากได้ยิน
“น้องดา พี่ถามจริงๆ ว่า น้องดาเคยทำอะไรให้แนนนี่โกรธหรือเปล่า” รัดเกล้าถามด้วยความสงสัย
“น้องดาไม่ทราบค่ะ น้องดาก็อยู่ของน้องดาอย่างนี้ พี่เกล้าก็รู้จักน้องดามานาน” ดารกาพูดเสียงอ่อนโยน
เกล้ารัดพยักหน้าช้าๆอย่างเห็นด้วย “นั่นซีนะ...หรือว่าแนนนี่จะอิจฉาที่น้องดาเรียนเก่งกว่า”
“คงไม่ใช่หรอกค่ะ...แนนนี่น่ะหัวดีจะตาย เสียแต่ขี้เกียจเท่านั้น” ดารกาว่า
“แปลกจริงๆ พี่ก็เห็นน้องดาแสนจะรักแล้วก็เอาใจแนนนี่” รัดเกล้าบ่นต่อ เพราะยังแปลกใจไม่หาย
ดารกาก้มหน้าก้มตา ทำงานไปเหมือนไม่อยากนินทาน้องสาว

ธานีเดินตามแนนนี่มาที่ห้องรับแขก
“เหลวไหลใหญ่แล้วนะ แนนนี่”
“ก็แนนนี่บอกแล้วว่า แนนนี่ไม่อยากลงมา พี่ธานีบังคับให้ลงมา”
จังหวะนั้น ภวัตเดินเข้ามาพอดี
“หมอมาพอดี...ช่วยดูหน่อยซิว่าคนไข้เกเรอย่างนี้จะรักษายังไง”
ภวัตมองจ้องหน้าแนนนี่ แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา แนนนี่หน้างอหนักเข้าไปอีก
“แนนนี่เกลียดพี่ธานีแล้ว” แนนนี่เดินออกไปข้างนอก
ธานีทิ้งตัวลงนั่ง อย่างเซ็งๆ “เหนื่อยว่ะ แกช่วยตามออกไปดูหน่อย”
ภวัตเดินตามแนนนี่ออกไป

ดอกไม้สวยๆ ในสวน ไม่ได้ทำให้อารมณ์แนนนี่ดีขึ้นเลย เพราะแนนนี่ยังเดินกระฟัดกระเฟียดหน้าหงิกงอเข้ามายืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
ภวัตตามเข้ามาแนนนี่หันมาเห็นจ้องหน้าจะเอาเรื่อง
“ตามมาทำไม ! ทำไมไม่ไปช่วยคุณดารกาคนดีทำกับข้าวล่ะ”
“เป็นอะไรน่ะ แนนนี่ ....” ภวัตมองอย่างตำหนิ
“เป็นอสูร!” แนนนี่ประชดส่ง
ภวัตถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างระอา
“รำคาญก็ไปซิ ! ไม่ได้บอกให้ตามมาซักหน่อย”
“นั่งคุยกันดีๆ หน่อยได้มั้ย”
แนนนี่ยังยืนหน้างออยู่อย่างนั้น
ภวัตคว้าข้อมือ แล้วดึงให้แนนนี่เดินมานั่งที่ม้านั่งในสวน ภวัตลงนั่งข้างๆ
“ทำไมแนนนี่ถึงคอยคิดแต่ว่าตัวเองเป็นอสูร แล้วก็อาละวาดแบบอสูร!”
แนนนี่นิ่ง
“ตัวอย่างดีๆ ก็มีให้เห็น” ภวัตบอก
“อย่าบอกนะว่า ตัวอย่างคือดารกา” แนนนี่ประชดประชัน
“พี่หมายถึงคุณอาปัทมน...คุณแม่ของแนนนี่นั่นแหละ!...ท่านแสนจะสุขุม อ่อนโยน อ่อนหวาน ใครอยู่ใกล้ก็มีแต่สบายใจ”
“แนนนี่รู้...แต่แนนนี่เป็นอสูร” แนนนี่ตะแบงใส่
“เราจะไม่พูดถึงอสูรหรือแม่มด! เพราะแนนนี่อยู่ในโลกมนุษย์...พี่ถือว่าแนนนี่เป็นมนุษย์”
แนนนี่หันขวับมาตั้งใจจะพูดแย้งอีก “แนนนี่...”
แต่แล้วแนนนี่ต้องชะงัก เพราะเป็นจังหวะที่ภวัตโน้มหน้ามาจะหยิบใบไม้ออกจากไหล่แนนนี่
ใบหน้าของคนทั้ง 2 อยู่ใกล้กันมาก
ภวัตมองหน้าแนนนี่เหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกด ใบหน้าแนนนี่เองก็มองภวัตเหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกดเช่นกัน
ทั้งคู่อยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง จนภวัตรู้สึกตัวแล้วลุกขึ้น แนนนี่ขยับนั่งมองตรง ทั้งสองต่างยังพูดอะไรไม่ออก

ผักสลัดถูกจัดอยู่ในชามแก้วอย่างเรียบร้อยและสวยงาม รวมทั้งน้ำสลัด
รัดเกล้าก้มดม “อึ้ม ..ม....หอมจัง”
“พี่เกล้าจะทานก่อนมั้ยคะ เกล้าจะทอดกุ้งให้” ดารกาว่า
“ยังจ้ะ เอาไว้กินพร้อมกันดีกว่า”
จังหวะนั้นธานีเดินยิ้มเข้ามาเอ่ยขึ้น
“พี่เดินตามกลิ่นมานะเนี่ย”
“แนนนี่ล่ะคะ”
ธานีหยิบอาหารอย่างหนึ่งเข้าปาก “ภวัตกำลังอบรมอยู่”
ดารกาชะงัก สีหน้าเศร้า ธานีและรัดเกล้าสบตากัน รัดเกล้าถลึงตาใส่ธานีว่าไม่ควรพูด ธานีทำหน้าเหวอนึกขึ้นได้

ภวัตซึ่งยังดูเก้อๆ อยู่ขณะ หันมาทางแนนนี่ “พี่”
แนนนี่ลุกขึ้น แล้วพูดออกมาพร้อมกันพอดี “แนนนี่”
ทั้ง สองทำหน้าเก้อๆ เขินๆ อยู่อย่างนั้น
“แนนนี่พูดก่อน”
“พี่ภวัตเป็นพี่ พี่ภวัตพูดก่อน” แนนนี่บอก
“พี่ลืมไปแล้ว”
“แนนนี่จำได้ว่าเราทะเลาะกัน”
ระหว่างนั้นพรเดินเข้ามา
“มาอยู่ที่นี่เอง คุณธานีให้มาตามค่ะ คุณปัทโทร.มาว่ากำลังจะถึงบ้านแล้ว เดี๋ยวได้ทานข้าวพร้อมๆ กัน”
“ไป...แนนนี่” ภวัตชวน
แนนนี่เดินไป ตามด้วยภวัตและพร

ตอนค่ำวันนั้นทุกคนรวมตัวทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า อย่างเอร็ดอร่อยโดยมีพรคอยเสิร์ฟ
“เสียดายนะคะ ที่คุณอิงไม่อยู่” ปัทมนเอ่ยขึ้น
“อ๋อ...ไม่เสียดายเลยครับ ผัดเปรี้ยวหวานนี่อร่อยจัง รสกลมกล่อมกำลังดีเลย”
“ขอบคุณค่ะ” ดารกายิ้มหน้าบาน
“สลัดกุ้งกรอบก็สุดยอด ขอซูฮกน้องดา” รัดเกล้าออกมาปากชม
“แหม...พี่เกล้าก็ช่วยน้องดาทำ” ดารกาว่า

ขณะที่ทุกคนพากันสรรเสริญดารกาอยู่ แนนนี่กลับทำหน้าหงิก
ธานี “แกงจืดลูกรอก ก็หาทานยากเหมือนกันนะครับ แต่น้องดาเราเหมาหมด” ธานีอวยน้องสาว
“พี่ภวัตล่ะคะ ชอบทานอะไร” ดารกาถาม
“ชอบทุกอย่างเลยค่ะ ... อร่อยมาก” ภวัตยิ้มให้
จู่ๆ แนนนี่วางช้อนส้อม ทำท่าผะอืดผะอมจริงๆ
“อ้าว ! แนนนี่เป็นอะไรล่ะลูก”
“ไม่ทราบว่าแนนนี่ทานอะไรเข้าไป รู้สึกว่าจะอ้วกน่ะค่ะ”
“จะอ้วกก็ลุกไปเร้ว ! แม่ไปด้วย” ปัทมนบอก
“ไม่ต้องค่ะ แนนนี่ไปคนเดียวได้”
แนนนี่ลุกเดินแกมวิ่งไป ทุกคนมองตาม
“น้องดาไปดูแนนนี่ดีกว่า” ดารกาผู้แสนดีอาสา
“อย่าเลย! เดี๋ยวจะไปกันใหญ่” ภวัตห้ามไว้
“พี่ไปดูเอง” ธานีเดินออกไป

แนนนี่อยู่ในห้องน้ำ กำลังอาเจียนออกมา ขณะที่ด้านนอกธานีเดินมาเคาะประตูเรียกอย่างเป็นห่วง
“แนนนี่ ! เป็นยังไงบ้าง”
แนนนี่อ้วกออกมาอีก
“แนนนี่ เปิดประตูให้พี่เข้าไปดูหน่อย”
แนนนี่บ้วนปาก ขย้อนออกมาอีกที แล้วอ้วกเอาเส้นด้ายกลุ่มหนึ่งออกมา
“พี่ดา! พี่ดาต้องแกล้งฉันแน่ๆ”

แนนนี่เดินฉับๆ มาที่โต๊ะอาหาร ติดตามด้วยธานี แนนนี่ขว้างกลุ่มด้ายลงตรงหน้าดารกาทันที ดารกาทำหน้าตกใจ
“พี่ดาเอานี่ให้แนนนี่กินใช่มั้ย”
“พี่ไม่รู้เรื่อง...นี่มันด้ายนี่...แนนนี่ไปเอามาจากไหน”
“ก็จากไอ้ผัดเปรี้ยวหวานแสนอร่อยของทุกคนไง”
“พี่ดาจะใส่เข้าไปได้ยังไง”
ปัทมนตกใจ พยายามไกล่เกลี่ย
“แนนนี่ ใจเย็นๆ ก่อนลูก ถ้าพี่ดาใส่ด้ายในผัดเปรี้ยวหวาน ทำไมไม่มีใครกินเข้าไปล่ะลูก”
“ลุงกินมากที่สุดเลย ของเขาอร่อยจริงๆ” จักรวาลว่ายิ้มๆ
“แนนนี่เข้าใจผิดมั้ง” รัดเกล้าบอก
“อ้อ! นี่ทุกคนหาว่าแนนนี่ใส่ร้ายพี่ดา หาว่าแนนนี่โกหกใช่มั้ยคะ”
“เธอก็รู้อยู่แก่ใจ” ภวัตว่า
“พี่ดา” แนนี่อ้อมมาดึงดาให้ลุกขึ้น “หยุดเสแสร้งได้แล้ว”
ดารกาน้ำตาคลอ “แนนนี่เข้าใจผิด พี่ดาไม่ได้เสแสร้ง”
“พี่ดานั่นแหละเสแสร้งตัวแม่” แนนนี่จับตัวดารกาเขย่า “เสแสร้งๆๆๆๆๆ”
“โอ๊ย! พี่ดากลัวแล้ว พี่ดากลัว” ดารกาหน้าซีดตัวสั่น
ปัทมนดุแนนนี่ “หยุดเดี๋ยวนี้นะแนนนี่”
ภวัตลุกขึ้นดึงดารกามาโอบไว้
“คุณแม่อย่าดุแนนนี่ค่ะ แนนนี่ยิ่งเข้าใจน้องดาผิด” ดารการีบออกตัว
แนนนี่กรี๊ดลั่น “โอ๊ย! เกิดมาไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเท่าพี่ดาเล้ย”
“แม่บอกให้หยุด” ปัทมนเสียงเขียว
แนนนี่เสียใจ ร้องไห้พร้อมกับฟาดงวงฟาดงาออกมา
“คุณแม่ดุแนนนี่! คุณแม่เกลียดแนนนี่”
แนนนี่วิ่งร้องไห้ขึ้นข้างบน
“แนนนี่ คุณแม่ขา แนนนี่คงไม่ได้ตั้งใจนะคะ” ดารการีบขอโทษขอโพยแทนตามเคย
ปัทมนน้ำตาคลอ “ต้องขอโทษทุกคนด้วย ธานี น้องดา ดูแลแขกแทนแม่ด้วยนะ”
ปัทมนเดินออกไป จักรวาลเรียกไว้
“คุณปัทครับ”
“คุณแม่ไปสวดมนต์น่ะครับ”
ดารกาไหว้จักรวาล รัดเกล้า และภวัต
“น้องดาต้องขอโทษคุณลุง พี่ภวัต แล้วก็พี่เกล้าด้วยนะคะ ที่เกิดเหตุไม่คาดฝันแบบนี้ น้องดาไม่ควรเลย”
“น้องดาทำดีที่สุดแล้ว อาหารอร่อย ทุกอย่างดีหมด เสียที่คนๆ เดียวเท่านั้น” ภวัตหมายถึงแนนนี่นั่นเอง
“น้องดาคงเครียดมาก พี่ภวัตพาน้องดาไปนั่งรถให้สบายใจก่อนดีไหมคะ” รัดเกล้าบอกพี่ชาย
“ขอบคุณค่ะ แต่น้องดาต้องไปปรับความเข้าใจกับแนนนี่”
“อย่าเพิ่ง” ภวัตกับธานีพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“แนนนี่กำลังโกรธ ไปปรับความเข้าใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” ภวัตรู้จักแนนนี่เป็นอย่างดี
“พี่ว่าน้องดาไปอยู่กับคุณแม่ดีกว่า” ธานีเสริม
“ค่ะ” ดารการับคำอย่างว่าง่ายแล้วเดินไป
เกล้ามองตาม “น่าสงสารน้องดานะคะ”
“พ่อว่าเรากลับก่อนดีกว่ามั้ง”
“คุณพ่อกับพี่ภวัตกลับก่อนเถอะค่ะ เกล้าจะช่วยเก็บโต๊ะ”
“โฮ้ย ไม่ต้อง เดี๋ยวน้าผาดกับพี่พรเค้าจัดการเอง” ธานีบอก
“งั้นก็กลับ ขอบใจนะ ธานี” จักรวาลว่า
“ครับ! ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”
ธานีเดินออกไปส่งทั้ง 3 คน

“ยายจ๋า ยายอยู่ไหน แนนนี่อยากพบยาย อยากกอดยาย ยายมาหาแนนนี่หน่อยซิจ๊ะ”
แนนนี่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในห้อง

เสียงนั้นดังแว่วมา จนทาฮิร่าสะดุ้งตกใจตื่น
“แนนนี่เรียกยายหรือ”ทาฮิร่าหันไปทางชิกเก้น “...อ้าว! ไอ้ชิกเก้น”
ชิกเก้นยังยืนตัวแข็งกลอกตาไปมา
ทาฮิร่าว่าคาถา “โอม...แคทโต...ฟรีโอ”
ชิกเก้นเป็นอิสระ
“คุณย้าย ! ทำไมทำกับชิกเก้นยังงี้”
“อย่าเพิ่งพูดมาก ! ฉันจะไปหาแนนนี่”
ทาฮิร่าหายไป ชิกเก้นกระโดดตาม
พริบตานั้นทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้นในห้องแนนนี่ ตามด้วยชิกเก้น
“แนนนี่ ... เป็นอะไรหรือลูก”
แนนนี่ลุกขึ้นโผไปกอดยาย “ยายจ๋า แนนนี่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ยายพาแนนนี่ไปอยู่ที่อื่นเถอะนะจ๊ะ”
“ทำไมล่ะลูก ...ไหนเล่าให้ยายฟังซิว่า มันเรื่องอะไรกัน”
แนนนี่สะอึกสะอื้นเหมือนใจจะขาด

ดารกายืนนิ่งฟังที่หน้าห้องด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ จากนั้นก็เดินไปที่ห้องตัวเอง
พอเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู เดินมาทรุดตัวลงนั่ง นิ่งครู่หนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปที่โต๊ะหัวเตียง เผยให้เห็นกลุ่มด้ายบริเวณนั้น ดารกาหยิบด้ายกลุ่มนั้นมาถือไว้ สีหน้าแววตาดูเยือกเย็น และน่ากลัว

ส่วนในห้องแนนนี่ ทาฮิร่าลูบผมหลานสาวอย่างเมตตา
“ถ้ายายพูดแล้วแนนนี่จะฟังยายหรือเปล่า”
“ฟังซิคะ...ถ้าแนนนี่ไม่ฟังยาย แล้วจะฟังใคร”
“ฟังก็ต้องฟังให้จบ! ห้ามโต้แย้งหรือขัดเวลายายพูด” ทาฮิร่าเอ็ด
แนนนี่ทำจมูกย่น “งั้นแนนนี่ก็พอจะรู้แล้วว่ายายไม่เข้าข้างแนนนี่”
“ไม่ใช่เรื่องเข้าข้างหรือไม่เข้าข้าง แต่ยายพูดอย่างเป็นกลางที่สุด” ทาฮิร่าว่า
ชิกเบือนหน้ามาป้องปากเมาท์นายหญิง “นางก็มีพาร์ทที่เป็นสาระเหมือนกัน”
“ว่าไง จะฟังหรือไม่ฟัง”
“ฟังค่ะ”
“ข้อแรก .. คุณแม่ปัทมนรักแนนนี่มาก และรักไม่น้อยไปกว่าน้องดา”
แนนนี่ปากยื่นไปมา

“นี่คุณแม่โกรธ ก็เพราะแนนนี่ไม่ยอมฟังท่าน ยายเองก็คิดเหมือนคุณแม่ว่าน้องดาไม่ได้แกล้งหนู” ทาฮิร่าว่า
“แล้วด้ายนั่นมาจากไหนล่ะคะ” แนนนี่คาใจไม่หาย
“ยายก็ไม่รู้ มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะถ้าน้องดาใส่ด้ายนั่นเข้าไปในกับข้าว ทำไมไม่มีใครเห็น หรือว่าแนนนี่เห็น”
แนนนี่นิ่งอึ้ง
“ว่าไง...แนนนี่เห็นหรือเปล่า”
แนนนี่ส่ายหน้าจ๋อยๆ
“นั่นไง”
“แล้วด้ายนั่นมาจากไหนล่ะจ๊ะยาย”
ทาฮร่านิ่งคิด “อาจจะเป็นอสูร เพราะพวกนี้ทำได้สารพัด หรือไม่ก็บาบาร่า!”
แนนนี่นิ่งไป ท่าทางมีพิรุธเล็กน้อย
“ทำไมนิ่งไปล่ะ”
แนนนี่ถอนใจเฮือกใหญ่
“ถอนใจอีกแล้ว”
“แนนนี่เบื่อตัวเอง ... ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่”
“เป็นอะไรก็ได้ ขอแต่ให้เป็นคนดีละกัน” ชิกเก้นพูดแทรกขึ้น
แนนนี่ถอนใจอีก
“แนนนี่จะยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อให้ได้พบพ่อกับแม่ที่แท้จริงแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็ยังดี แนนนี่อยากจะถามว่าตกลงแนนนี่เป็นใคร แล้วแนนนี่ทำผิดอะไรถึงได้ทอดทิ้งแนนนี่”
ชิกเก้นอินจัด ถึงขนาดน้ำตาหยดแหมะ
“ไม่เคยเศร้าอย่างนี้มาก่อนเลย”
ทาฮิร่าดึงแนนนี่มากอดไว้อย่างแสนสงสาร
“โถ...แนนนี่ ยายบอกแล้วไง หนูก็เป็นหลานยายทาฮิร่า แล้วก็ลูกสาวของคุณแม่ปัทมนไง”
แนนนี่ถอนใจอีก
“อย่าถอนใจอีกได้ไหม ยายขอร้อง...เป็นเด็กเป็นเล็ก”
แนนนี่นิ่งไป
“ถ้าสบายใจแล้ว ก็ควรไปกราบขอโทษคุณแม่ปัทมน”
“แนนนี่ทำผิด...จะสบายใจหรือไม่สบายใจก็ตาม แนนนี่ควรไปขอโทษคุณแม่เดี๋ยวนี้” แนนนี่ตัดสินใจได้
“แนนนี่คิดถูกแล้ว ถึงคุณแม่ปัทมนจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหลาน แต่ท่านก็เลี้ยงหลานมา ให้ความรักและความเมตตาเหมือนเป็นลูกแท้ๆของท่าน”
แนนนี่เดินไปที่ประตู เปิดออกไป ทาฮิร่ามองตามด้วยความเวทนา

ครู่ต่อมาแนนนี่เดินมาที่หน้าห้องปัท เอื้อมมือจะเคาะประตู แนนนี่ชะงักฉุกคิด แล้วว่าคาถา
“อัม...ฟลอรา...จัสมีนา”
มีพวงมาลัยดอกมะลิปรากฏในมือของแนนนี่ จากนั้นแนนนี่ยกมือขึ้นเคาะประตู
“คุณแม่ขา...คุณแม่...ให้แนนนี่เข้าไปได้มั้ยคะ”
มีเสียงลูกบิดดัง และประตูเปิดออก แนนนี่เดินเข้าไปในห้อง

ขณะที่ปัทมนซึ่งเปิดประตูให้ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง แนนนี่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วก้มลงกราบแทบเท้า แล้วส่งพวงมาลัยให้ปัท
“แนนนี่กราบขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณแม่ไม่สบายใจ”
ปัทมนวางมือบนศรีษะแนนนี่อย่างรักใคร่ แนนนี่น้ำตาคลอ
“คุณแม่พูดอะไรบ้างซิคะ จะดุจะว่าอะไรแนนนี่ก็ได้”
“แม่รักแนนนี่”
แนนนี่ร้องไห้โฮ โผเข้าไปกอดปัทมน
“คุณแม่ขา...แนนนี่ก็รักคุณแม่ รักมากที่สุดในโลกเลย”
“แม่จะไม่ขอร้องให้แนนนี่รักหรือญาติดีกับพี่ดา แต่แม่อยากให้แนนนี่ใช้เหตุผลก่อนที่โกรธพี่เขา แนนนี่พอจะทำให้แม่ได้ไหมลูก” ปัทมนพร่ำสอน
“แนนนี่ก็จะไม่โกหกคุณแม่เหมือนกัน ว่าแนนนี่จะรักใคร่กลมเกลียวกับพี่ดา เพราะแนนนี่คงทำไม่ได้ แต่แนนนี่สัญญาว่า ต่อไปแนนนี่จะพยายามอดทน อดกลั้นและใช้เหตุผลก่อนที่จะทะเลาะกับพี่ดา ถ้าห้ามใจไม่ไหวจริงๆ แนนนี่จะหนีไปให้ไกลๆ จะได้ไม่ต้องปะทะกันให้คุณแม่กลุ้มใจ” แนนนี่ให้คำมั่น
ปัทมนยิ้มอ่อนโยนพลางว่า “แค่แนนนี่พยายาม แม่ก็ดีใจแล้วลูก”
สองแม่ลูกกอดกัน สีหน้าแววตาผ่อนคลาย

ค่ำคืนนั้นดวงจันทร์ส่องแสงกระจ่างฟ้า บ้านปัทมนตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึกทุกคนในบ้านหลับสนิท ยกเว้นบางคนในตะเกียงแก้ว
แนนนี่พลิกตัวกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ในที่สุดแนนนี่ผุดลุกขึ้น เดินกลับไปกลับมา แล้วมานั่งลง แต่แล้วแนนนี่ผุดลุกผุดนั่ง แล้วถอนใจเฮือกๆ ตะเกียงแก้วเริ่มหงุดหงิด
“โอ๊ย! เป็นอะไรน่ะแนนนี่ เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งเดี๋ยวยืน เดี๋ยวเดินถอนใจเฮือกๆ จนฉันนอนไม่หลับเลย” ตะเกียงแก้วโวย
“ก็แนนนี่นอนไม่หลับ”
“ตัวเองนอนไม่หลับแล้วมาทำให้คนอื่นนอนไม่หลับไปด้วย! น่าเบื่อ!”
“งั้นแนนนี่ออกไปข้างนอกก็ได้ ไม่เห็นจะง้อ!”
แนนนี่กลายเป็นควันลอยออกไป

พอแนนนี่ลอยออกมาพ้นตะเกียงแก้ว แล้วเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง ชิกเก้นซึ่งนอนหลับอยู่ปรือตาขึ้นมองแว่บหนึ่ง แล้วหลับต่อ
แนนนี่พลิกตัวนอนหงายหลังนิ่งๆ ครู่หนึ่ง แล้วเบือนหน้ามาทางชิกเก้น
“ชิกเก้น”
ไม่มีการตอบรับ ชิกเก้นยังหลับต่อ
“ชิกเก้น” แนนนี่เสียงดังขึ้น
ชิกเก้นหงุดหงิด
“โอ๊ย จะเรียกอะไรกันนักกันหนานะ เวรก๊ำ...เวรกรรม!”
“ก็แนนนี่นอนไม่หลับนี่”
“มันเรื่องของแนนนี่! ชิกเก้นจะนอน” ชิกเก้นไม่สนทำท่าจะนอนต่อ
“ชิกเก้น” แนนนี่โมโหที่ชิกเก้นไม่ใส่ใจ
ชิกเก้นลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด “นี่! ที่แนนนี่นอนไม่หลับก็เพราะยังมีอะไรค้างคาในใจใช่ไหม”
“มั้ง!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำเสียให้เสร็จ! จะได้ไม่ต้องมากวนคนอื่นเค้า!”
ชิกเก้นพูดจบ แล้วนอนหลับต่อ แนนนี่ครุ่นคิด

ในขณะที่ภวัตนอนหลับสนิทอยู่ในห้องนอน ระหว่างนั้นแนนนี่ปรากฏตัวขึ้น แล้วเดินมาที่ข้างเตียง
แนนนี่ยืนมองครู่หนึ่ง ทรุดตัวลงนั่ง แล้วเขย่าตัวภวัต “พี่ภวัต! พี่ภวัต!”
ภวัตงัวเงียครู่หนึ่ง แล้วลืมตาตื่นขึ้น พอเห็นอะเป็นอะไร ใครที่มาเยือน ภวัตตกใจแล้วลุกนั่งถอยหลังกรูดไปเล็กน้อย
“แนนนี่”
“ใช่แล้วค่ะ”
“นี่มันดึกแล้วนะ” ภวัตท้วง
“แนนนี่คงนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน ถ้าไม่ได้เคลียร์กับพี่ภวัต”
“เอาไว้ไปเคลียร์ตอนเช้าโน่น พรุ่งนี้พี่ไม่ไปทำงาน” ภวัตบอก
“ไม่ได้! ต้องเคลียร์เดี๋ยวนี้”
ภวัตชักจะหงุดหงิด เริ่มทนไม่ไหว
“เมื่อตอนหัวค่ำ เราทำเรื่องวุ่นวาย แล้วนี่ยังจะตามมารังควานไม่ให้คนอื่นเขาได้หลับได้นอนกันอีกเรอะ!”
“แนนนี่ข้องใจเรื่องการ์ด! แนนนี่ให้พี่ภวัตไปแล้ว ทำไมมาอยู่ที่ห้องแนนนี่อีก”
“แล้วพี่จะรู้มั้ย” ภวัตฉุน
“ต้องรู้ เพราะมันอยู่ในห้องนี้ ในห้องของพี่ภวัต”
“แนนนี่! กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!” ภวัตเสียงเขียว
“แนน...”
“พี่บอกให้กลับไป” ภวัตเสียงดังขึ้นอีก
แนนนี่ตาขวางใส่
“มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนบ้าง ที่เข้ามาอยู่ในห้องผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ”
“ก็แนนนี่นี่ไง”
ภวัตล้มตัวลงนอนหันหลังให้ แล้วดึงผ้าห่มคลุมอย่างไม่สนใจอีกต่อไป
แนนนี่มองภวัต แล้วกัดปากอย่างหงุดหงิดครู่หนึ่ง
“ถ้าพี่ภวัตไม่ยอมคุยกับแนนนี่ดีๆ แนนนี่ก็จะอยู่ในห้องนี้ไปจนเช้า” แนนนี่ยื่นคำขาด
ภวัตสะดุ้ง “ไม่ได้”
“แนนนี่ทำได้”
“แล้วคนอื่นจะคิดยังไง โดยเฉพาะคุณอาปัทมน”
คราวนี้ได้ผล แนนนี่ชะงักไป ภวัตได้โอกาสบิวท์ต่อเพราะรู้ว่าแนนนี่แคร์ปัทมนที่สุด
“แต่ถ้าแนนนี่ไม่แคร์ก็ตามใจ”
แนนนี่กลายเป็นกลุ่มควันหายไป ภวัตถอนใจเฮือก

แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นในตะเกียง แล้วเดินมาทิ้งตัวลงนอน
“ห้ามพูด ห้ามถอนใจ ห้ามลุกเดิน ห้ามกระสับกระส่าย ห้ามทำอะไร ที่จะเป็นสาเหตุให้คนอื่นนอนไม่หลับ เข้าใจไหม!” ตะเกียงแก้วสั่งเป็นชุด
“พี่ตะเกียงนั่นแหละเงียบ! แนนนี่จะนอนแล้ว”
ตะเกียงแก้วอ้าปากค้าง เบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อ “นั่นแน่”

แนนนี่ขดตัวนอนหลับไป
พอแนนนี่หายตัวไป กลับเป็นภวัตที่เป็นฝ่ายนอนไม่หลับ ในที่สุดก็ลุกเดินไปที่หน้าต่าง มองข้ามไปที่ห้องนอนแนนนี่ฝั่งบ้านปัทมน เห็นไฟในห้องมืดสนิท

ภวัตยืนมองพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ ระหว่างตัวเองกับแนนนี่ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวทะเลาะ รวมทั้งเหตุการณ์แนนนี่จูบเขา และทั้งคู่มองจ้องตากันในสวน
ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเลือนหายไปแล้ว แต่ภวัตยังคงยืนอยู่เช่นนั้น

ไชยกับบุษาบาไปทำงานที่โรงพยาบาลแต่เช้า เวลานั้นทั้งคู่อยู่ในห้องไชย โดยมีสาวใช้เสิร์ฟกาแฟให้ไชย และน้ำผลไม้ให้บุษบา
จังหวะนั้นบุษบาเอื้อมมือไปดึงหนังสือพิมพ์ออกจากมือไชยที่กำลังอ่านอยู่
“เฮ้ย! ยัยบุษ” ไชยดึงกลับมา
“บุษมีเรื่องสำคัญจะปรึกษา”
“ก็ว่าไปซิ ! พี่อ่านไปฟังไปก็ได้”
บุษบาดึงกลับมา “ไม่ได้! เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับบุษ” บุษบาเว้นไปนิดหนึ่ง “บุษจะแต่งงาน”
ไชยจับหัวบุษโยกอย่างเอ็นดู
“ภวัตเขาขอเราแต่งงานแล้วเรอะ! ขอแสดงความยินดี”
“เปล่าค่ะ! เขายังไม่ได้พูดอะไร”
“อ้าว” ไชยอึ้ง งง
“แต่บุษจะให้พี่ไชยพูดกับเขา! บอกตรงๆ ว่าบุษไม่ไว้ใจทั้งแม่ทั้งน้องดาแล้วก็แม่แนนนี่ นังเด็ก สองคนนั่นคอยจ้องจะเขมือบเขาตลอด”
“เราก็เหมือนกันละว้า” ไชยเย้าน้องสาวเล่น
“ไม่แปลก! เพราะเราคบกันมาตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้ว” บุษบาโต้
“แล้วจะให้พี่ทำยังไง”
“ก็พูดกับเขาเป็นทำนองว่า เขาควรจะแต่งงานกับบุษเสียที แล้วก็อ้างเหตุผลต่างๆ ตามแต่พี่ไชยจะนึกได้”
“แล้วถ้าเขาปฏิเสธ”
“ไม่มีทาง เขาเกรงใจพี่ไชยจะตาย...ถ้าพี่ช่วยบุษ บุษก็จะช่วยพี่เรื่องน้องดา แถมน้องแนนนี่อีกคนก็ได้”
บุษบาพยายามเอาใจ ยกเอาดารกากับแนนนี่มาล่อหมอจอมหื่น ไชยยิ้มอย่างพอใจ

ตอนเย็นวันเดียวกันนั้นจักรวาลกำลังจุลีกุจอเชื้อเชิญไชยและบุษ ที่มาเป็นแขกพิเศษ หลังจากไหว้ทักทายกันเรียบร้อย
“เชิญครับ หมอไชย หนูบุษบา เชิญนั่ง โป่ง โป่งเอ๊ยยกน้ำยกท่า มาเลี้ยงเพื่อนคุณหมอหน่อย” จักรวาลตะโกนเรียกโป่ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมกับน้องบุษทานทั้งข้าวทั้งน้ำมาเรียบร้อยแล้ว”
บาบาร่าในร่างบานเย็นเดินออกมา พร้อมถาดน้ำหวานสีม่วงอ่อนหวาน
“อ้าว! บานเย็น แล้วเจ้าโป่งล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
บานเย็นบาบาร่าวางน้ำหวานสีสวยแปลกลงตรงหน้าไชย และบุษ แล้วตวัดสายตาผ่านหน้าคนทั้ง 2 แว่บหนึ่ง
“น้ำอะไรน่ะ สีสวยเชียว” บุษบาถาม
“น้ำไอริสค่ะ”
“ไม่เคยได้ยิน” สองพี่น้องประสานเสียงกัน
“บานเย็นเขามีอาหารคาวหวาน แล้วก็น้ำแปลกๆ แต่อร่อยมาให้ทานเป็นประจำน่ะครับ”
“ดิฉันจะไปเรียนเชิญคุณหมอภวัตลงมาพบ” บาบาร่าบอก
“ขอบใจมาก” ไชยยิ้มให้
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ!”
บานเย็นเดินไป โดยไชยและบุษมองตามอย่างสนใจ
“ดูแกจะรู้ไปเสียทุกเรื่องเลยนะคะ” บุษบาเม้าท์ขึ้น
“ค่ะ” เสียงบานเย็นดังข้างๆ หูบุษบา ทั้งๆที่ตัวไปแล้ว
“อุ๊ย” บุษบาสะดุ้งเฮือก หน้าตาเลิ่กลั่ก
“อะไรหรือหนูบุษ” จักรวาลสงสัย
“เอ้อ ... เปล่าค่ะ”
บุษบายิ้มแห้งๆ กับไชยและจักร สีหน้าท่าทางหวาดๆ เหลียวหน้าและหลัง

บานเย็นบาบาร่าเคาะประตูห้องภวัต สักครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก
“มีอะไรหรือ บานเย็น”
“มีแขกมาพบคุณหมอค่ะ”
ภวัตพยักหน้ารับรู้ “เดี๋ยวฉันลงไป”
บานเย็นหันหลังกลับ ภวัตนึกบางอย่างออก เรียกไว้
“ตอนเข้ามาทำความสะอาดห้อง เห็นการ์ดที่วางไว้บนโต๊ะไหม”
“ไม่เห็นค่ะ...เห็นแต่ดอกกุหลาบ”
ภวัตพยักหน้า บานเย็นเดินไป
“งั้นจะมีใครนอกจากแนนนี่เองนั่นแหละ” ภวัตพึมพำสีหน้าครุ่นคิด

ภายในห้องรับแขก ไชย จักรวาลและบุษบา กำลังคุยกัน ขณะที่ภวัตเดินเข้ามา
“ภวัตมาแล้ว” จักรวาลขยับตัว
ภวัตไหว้ทักทายไชย ไชยรับไหว้ประหลาดใจที่เห็นสองพี่น้องแวะมาหาในวันหยุดงาน
“มาธุระแถวนี้หรือครับ”
“เปล่าค่ะ...ตรงมาที่นี่เลย” บุษบาตอบเอง
ไชยมองบุษบาแว่บหนึ่งเป็นเชิงตำหนิ บุษบานิ่งไป
จักรวาลขยับขอตัวไปทำธุระ “ภวัตมาแล้ว ผมไปละนะ จะไปเตรียมการสอน”
“เชิญครับ”
จักรวาลเดินย้อนกลับไปข้างบน
“ตั้งแต่รับเป็นอาจารย์พิเศษนี่ คุณพ่อดูกระฉับกระเฉงขึ้นเยอะ...นี่ก็ร่ำๆ จะเป็นอาจารย์ประจำ แต่ผมห้ามไว้ ... กลัวท่านจะเหนื่อยมากไป” ภวัตพูดถึงพ่ออย่างอารมณ์ดี
“ให้ท่านทำงานบ้างน่ะดีแล้ว...จะได้ไม่เหงา” ไชยว่า
ระหว่างที่ไชย และภวัตคุยกัน บุษบาพยายามสะกิด แล้วขยิบตาเตือนไชยเป็นระยะ
ไชยกระแอมเล็กๆ ก่อนเข้าเรื่อง
“ที่ผมมาวันนี้ เพราะมีธุระนิดหน่อย”
“เอ้อ...บุษขอไปเยี่ยมน้องดา น้องแนนนี่ก่อนนะคะ...คิดถึงพวกแกค่ะ” บุษบาขอตัว
“เชิญครับ”
บุษบาสบตาพี่ชายเป็นสัญญาณ แล้วเดินออกไป
ภวัตมองสองพี่น้อง ด้วยสีหน้าเหมือนจะระแวงนิดๆ

บุษบาก้าวออกจากประตูรั้วบ้าน แล้วยกมือขึ้นพนม เป็นเวลาเดียวกับที่แนนนี่ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง ท้าวคางมองมาอย่างสนใจ
“เจ้าประคู้ณ...ขอให้สำเร็จที่เท้อะ...ลูกช้างจะถวายหัวหมู 7 หัว ไข่ต้ม 7 โหล แล้วก็เครื่องบูชาทุกอย่าง”
“วู้! วู้! วู้!” แนนนี่ร้องเหมือนจะให้กำลังใจ
บุษบาซึ่งกำลังยกมือไหว้ท่วมหัว สะดุ้งเฮือก หันไปมอง เห็นแนนนี่โบกมือให้
“ไหว้สัมภเวสีหรือคะ” แนนนี่แซวแกมเย้ย
“นังเด็กบ้า” บุษบาพึมพำเบาๆ

ไชยเริ่มเข้าเรื่องแบบอ้อมๆ
“หมอกับยัยบุษน้องสาวผม ก็ควงกันมานานแล้ว ตั้งแต่อยู่อเมริกาแน่ะ”
ภวัตมีสีหน้าอึดอัดแว่บหนึ่ง
“เพื่อนๆ ญาติพี่น้องทั้ง 2 ฝ่ายก็รู้กันหมด อีกทั้งอายุอานามทั้ง 2 คนก็พอสมควร ผมเลยเห็นว่าน่าจะลงเอยกันเสียทีดีมั้ย”
ภวัตขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง เริ่มรับรู้ว่าจะเจออะไร
“ถ้าจะพูดถึงหลักฐานบ้านช่อง ก็พร้อมยิ่งกว่าพร้อม...”
“เอ้อ” ภวัตอ้าปากจะพูด
“ความจริง เรื่องอย่างนี้ฝ่ายชายควรจะเป็นฝ่ายพูด ไม่ใช่ฝ่ายหญิง แต่ผมเห็นว่าเราสนิทกันจนเหมือนญาติ หมออาจจะมัวสนุกอยู่กับงานจนลืมคิดไปว่า ผู้หญิงน่ะอายุมากขึ้นทุกวัน เขาก็อยากจะให้เป็นครอบครัวกันเสียที กลัวแก่ว่างั้นเถอะ! เดี๋ยวจะมีลูกยาก” ไชยพูดเองหัวเราะเอง
“ผมยังไม่พร้อมจะมีใครครับ” ภวัตพูดเสียงเรียบ
ไชยหน้าบึ้งทันใด
“เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่” ภวัตว่าต่อ
“หมายความว่า หมอจะไม่แต่งงานกับน้องสาวผม”
“คือ .... ผม ...ไม่เคยคิดกับคุณบุษบามากเกินกว่าความเป็นเพื่อนเลยครับ”
“อ้อ! งั้นหมอก็หาว่ายัยบุษคิดไปเอง”
“ผมไม่ทราบครับ...แต่เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้คุณบุษบาเข้าใจผิด” ภวัตยืนยัน
“ไม่จริงมั้ง! เพราะผมเองยังรู้สึกว่าหมอจีบน้องสาวผม” ไชยบอก
ภวัตถอนหายใจอย่างอึดอัด ขณะที่ไชยจ้องหน้าเขม็ง

เวลาเดียวกันดารกากำลังรับฟังบุษบาด้วยสีหน้านิ่งๆ มีหนังสือเรียนอยู่บนตัก
“หมอภวัตเขากำลังสารภาพกับพี่ชายของพี่บุษอย่างลูกผู้ชาย” ...
“พี่ภวัตไปทำอะไรผิดมาหรือคะ” ดารกาถามหน้าใสซื่อ
บุษบาหัวเราะคิกคัก “อุ๊ย ไม่ผิดจ้ะ หมอภวัตทำถูกที่สุดเลย เขาจะบอกกับไชยว่า เขารักพี่บุษและพร้อมจะแต่งงานกับพี่บุษแล้ว ส่วนหมอภวัตก็ไม่ยอมแพ้ สนับสนุนให้พี่ไชยหมั้นกับน้องดาก่อน พอเรียนจบก็จะได้แต่งงานกันเลย” . “น้องดาคงจะหมั้นและแต่งงานกับใครไม่ได้หรอกค่ะ” ดารกาไม่ออกอาการโวยวาย พูดน้ำเสียงเรียบเหมือนเคย
“อ้าว! ทำไมล่ะ ถือพรหมจรรย์เหรอ” บุษบาคิดไปโน่น
“เพราะน้องดาจะหมั้นกับพี่ภวัตทันทีที่เรียนจบ” ดารกาบอก
บุษบาฉุน สีหน้าเคร่งขึ้นทันใด “งั้นเธอก็คงยังไม่ได้เปิดดูของขวัญที่พี่ไชยให้ละซีพี่ว่าก่อนที่จะพูดอะไร น้องดาควรไปดูของขวัญนั่นเสียก่อน” บุษบาเย้ยอยู่ในที
ดารกามองบุษบาเขม็ง บุษบายิ้มเยาะในหน้า

ดารการีบเดินแกมวิ่งเข้ามาในห้อง...ปิดประตู ในขณะที่แนนนี่ แง้มประตูออกมาแอบมอง แล้วค่อยๆ ก้าวออกมา
แนนนี่เดินโหย่งๆ ผ่านหน้าห้องดารกาไปที่บันได แล้วลงไป

บุษบาลุกขึ้นยืน ขยับจะเดินออกไป
“จะกลับแล้วหรือคะ คุณพี่บุษบา! ยังไม่ทันมีเรื่องกันเลย”
บุษบาหันกลับมา แล้วยิ้มเย้ย
“คุณน้องแนนนี่นั่นเอง งั้นคุณพี่จะอยู่คุยให้มีเรื่องก่อนก็ได้”
แนนนี่เดินมานั่งไขว่ห้าง แล้วมองหน้าบุษบาครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะขำกลิ้ง
บุษบาค่อยๆ หุบยิ้มลง แล้วนิ่วหน้า
“หัวเราะอะไรน่ะ หรือว่าญาติเสีย”
แนนนี่ส่ายหน้าแล้วหัวเราะขณะพูด
“ขำที่เจ๊ไหว้สัมภเวสีเมื่อกี้นี้น่ะซิ เสียดายถ่ายรูปไม่ทัน”
บุษบาทำหน้าเหมือนอยากจะร้องกรี๊ดๆ

ทางด้านดารกาหยิบกล่องออกมาจากถุง มาวางไว้ แล้วหยิบซองๆ หนึ่งออกมา ค่อยๆ เปิดออก ในนั้นมีการ์ดสวยๆ ใบหนึ่ง
ดารกาหลับตาลงด้วยความหวั่นหวาด แล้วเปิดออกอ่าน
“ได้ข่าวว่าน้องดาคนเก่งสอบได้เกรด 4 พี่เลยฝากของขวัญมาให้ แล้วก็อยากจะเลี้ยงข้าวสักมื้อ หวังว่า น้องดาคงจะไม่ทำให้พี่โกรธ”
ดารกาเม้มปากแน่น นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความโกรธ

เหตุการณ์ในห้องรับแขกบุษบาลุกขึ้นยืน หน้ายังบึ้งจัด
“อ้าว! จะกลับแล้วเหรอ เจ๊” แนนนี่เรียกไว้
“นี่อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะยะ”
“แหม ก็เจ๊แก่แล้วนี่ เออ...ถ้าเด็กก็ไปอย่าง จะได้เรียกหมวย”
“นังเด็กบ้า!” บุษบาหลุกปากด่า
“จุ๊! จุ๊!...พูดจาหยาบคายเดี๋ยวได้ปากเน่าปากหนอนหรอก” แนนนี่เน้นคำว่าหนอน พร้อมกับลอยหน้า ลอยตา
“แนนนี่! วันนั้นแกเล่นคุณไสยใช่มั้ย แกเป็นคนเอาหนอนให้ฉันกินแทนสปาเก็ตตี้” บุษบาปรี๊ดแตก
“เอ๊า! พูดจาลอยๆ ไม่มีหลักฐาน ฉันจะไปเสกหนอนมาจากไหนได้ นอกจากมันจะอยู่ที่ตัวเจ๊”
แนนนี่พูดพลางชี้ไปที่ตักบุษ
บุษบาก้มลงมอง แล้วกรี๊ด เห็นหนอนอยู่เต็มตัก บุษบาลุกขึ้น สะบัดหนอนลง แล้วยังร้องกรี๊ดๆ แนนนี่ยกมืออุดหูทำหน้าล้อเลียน
ผาดและพร วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อะไรกันคะ อะไรกั๊น” ผาดถาม
บุษบาหลับหู หลับตาชี้ที่พื้น “หนอน! หนอน!”
ผาดและพร ก้มมองตาม บริเวณนั้นว่างเปล่า
“ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ” พรบอก
“ทำไมจะไม่มี เมื่อกี้มันอยู่บนตักฉัน แล้วฉันสะบัดมันลงพื้น” บุษบาโวยวายต่อ
“ไม่มีจริงๆค่ะ...ไม่เชื่อคุณก็ลืมตาดูซิคะ” พรว่า
“ผาดเป็นพยานค่ะ” ผาดพูดสำทับ
ในช่วงชุลมุนนั้น แนนนี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
บุษบาค่อยๆ ลืมตามอง สีหน้าขยะแขยงเปลี่ยนเป็นงงงวย บนพื้นว่างเปล่า
แนนนี่ผิวปากอย่างอารมณ์ดี ส่วนบุษบามองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

ไชยคุยกับภวัตในห้องรับแขก บรรยากาศมาคุ
“เป็นอันว่าคุณปฏิเสธน้องสาวผม” ไชยถามคาดคั้น
“ผมชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าเราเป็นเพื่อนกัน” ภวัตตอบเสียงเรียบ
เสียงบุษบาดังขัดจังหวะขึ้นมา
“พี่ไชยคะ! ภวัต”
ทั้งสองคนมองไปทางประตู เห็นบุษบาหน้าตาบูดบึ้ง เดินปรี่เข้ามา
“ภวัต! คุณต้องจัดการให้บุษ ไม่งั้นบุษไม่ยอม”
“มันเรื่องอะไรกัน” ภวัตประหลาดใจ
“ก็แม่น้องสาวร่วมโลกของคุณน่ะซีคะ...มันเล่นคุณไสยกับบุษอีกแล้วมันเสกหนอนเต็มตักบุษไปหมดเลย!” บุษบาฟ้อง
“แนนนี่” ภวัตพึมพำ
บุษบาได้ยิน ชะงัก มองจ้องภวัตเขม็ง “แสดงว่าคุณก็รู้”
“เปล่า! ก็น้องสาวร่วมโลกของผมมีอยู่ 2 คนคือ น้องดากับแนนนี่ น้องดาน่ะเรียบร้อย...แต่แนนนี่คือทะโมน” ภวัตว่า
“ยัยบุษ...สมัยนี้ไม่มีคุณสงคุณไสยอะไรแล้วละ” ไชยติงน้องสาว
“บุษไม่ได้โกหก”
“แล้วผมจะตามแนนนี่ให้” ภวัตบอก
บุษบาชะงักอีก “แสดงว่า คุณก็รู้ใช่มั้ยคะ”
“ผมจะถามแกว่า...ทำไมคุณถึงต้องเห็นหนอน ขณะที่คนอื่นไม่เห็น” ภวัตอธิบาย
“นั่นหมอว่าน้องผมบ้าเรอะ” ไชยพูดอย่างมีอารมณ์
ภวัตถอนหายใจ
“ไป ยัยบุษ กลับบ้านเราเดี๋ยวนี้ แล้วไม่ต้องเหยียบมาที่นี่อีก”
ไชยโกรธมาก จับแขนบุษบาลากออกไป ภวัตเอนตัวพิงพนัก อยู่ในอาการเซ็งๆ
จักรวาลเดินเข้ามาพอดี
“เอะอะกันเรื่องอะไร” จักรวาลถามอย่างร้อนใจ
“หมอไชยโกรธผมครับ สงสัยต้องย้ายโรงพยาบาลแล้ว” ภวัตบอก
“ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเลยหรือลูก” จักรวาลมีสีหน้าไม่สบายใจ

ส่วนที่บ้านปัทมน ผาดกับพรคุยเรื่องที่บุษบาเห็นหนอน
“สงสัยคุณบุษแกดวงสมพงษ์กับหนอนนะพี่ผาด แกถึงได้ตาฝาดเห็นหนอนบ่อยๆ” พรว่า
“บ้าเรอะ! คนอะไรดวงสมพงษ์กับหนอน!” ผาดแย้ง
“คนบ้าไง้” แนนนี่โผล่เข้ามาในครัว
ทั้งสองคนหันมามองแนนนี่
“อ้าว! ก็ไม่จริงเหรอ ! ตัวเองเห็นอยู่คนเดียวในขณะที่คนอื่นไม่เห็น” แนนนี่ย้ำ
“ไม่แรงไปหรือคะ คุณแนนนี่”
พูดจบพรและผาดต่างก็ชะงัก เมื่อเห็นภวัตเดินเข้ามา ด้วยหน้าตาที่เคร่งขรึม แนนนี่ค่อยๆ หันไปมองตาม
“พี่มีเรื่องจะพูดด้วย” ภวัตเสียงซีเรียส
แนนนี่หันกลับมา ทำหน้าตาย
“แก่จะตายแล้วยังขี้ฟ้องอีก”
“แนนนี่” ภวัตเอ็ดเสียงเข้ม
พร และผาด พยักหน้าให้กัน แล้วออกไป
“ไม่เอาเปรียบมนุษย์ไปหน่อยหรือไง ที่ไม่พอใจอะไรก็ใช้เวทมนตร์” ภวัตประชดแกมหยัน
“แนนนี่ไม่เคยทำร้ายใครก่อน” แนนนี่เสียงแข็ง
“ไหน! คุณบุษเขาทำอะไรเธอ!”
แนนนี่ลุกขึ้นด้วยความฉุนเฉียว
“พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพี่ภวัตต้องเข้าข้างเขาอยู่แล้ว”
พูดจบแนนนี่จะเดินกลับขึ้นข้างบน ภวัตคว้าแขนไว้แล้วบีบแน่น แนนนี่ก้มมองแวบหนึ่ง แล้วเงยขึ้นมองภวัตชาสีหน้าเย็นชา
“ปล่อย” แนนนี่ร้อง
“ไม่!…จะเสกไฟเผามือพี่ก็เชิญซิ” ภวัตประชดส่ง
แนนนี่เม้มปาก จ้องหน้าภวัต
ดารกาเดินออกมาจากห้อง ยืนมองจากชั้นบน
สีหน้าและแววตาของดารกาเวลานี้ดูน่ากลัว ดวงตาแข็งกร้าว ขณะจ้องลงมา และจู่ๆ ก็เหมือนมีเปลวไฟจางๆ ขึ้นที่แขนแนนนี่ตรงบริเวณภวัตจับ
ภวัตสะดุ้งเฮือกจนต้องปล่อย สะบัดมือเร่าๆ “โอ๊ย!”
ภวัตและแนนนี่ต่างคนต่างมองที่มือตัวเอง มือภวัตเป็นสีแดงราวกับถูกไฟลวก
แนนนี่ตกใจมาก “แนนนี่ไม่ได้ทำนะคะ พี่ภวัต”
ดารกาดูถึงตอนนี้ก็เดินกลับเข้าไป
“เธอไม่ได้ทำแล้วใครจะทำ ในเมื่อที่นี่มีแต่เธอกับพี่ 2 คน”
แนนนี่มองไปโดยรอบ
ภวัตมองตาม “มีใครหรือเปล่าล่ะ
“แนนนี่ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ได้ทำ” แนนนี่เสียงแข็ง
ภาพรอยไหม้ที่มือภวัตค่อยๆ เลือนหายไปจนเป็นปกติ
ภวัตมองแนนนี่ด้วยสีหน้าผิดหวัง แล้วเดินจากไป
แนนนี่วิ่งตาม “พี่ภวัตคะ!”
แนนนี่วิ่งตามมาจนทัน แล้วจับแขนภวัตไว้
“พี่ภวัต”
ภวัตก้มลงมองที่แขนแล้วมองหน้าแนนนี่เย็นชา “ปล่อย!”
แนนนี่น้ำตาคลอ ขณะค่อยๆ ปล่อยแขนภวัต
“แนนนี่ไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ”
“ก็ได้ พี่ทำเอง”
ภวัตเดินออกไปจากบ้าน แนนนี่มองตาม น้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยใจ

แนนนี่เดินแกมวิ่งเช็ดน้ำตาขึ้นมาบนบ้าน ดารกาเปิดประตูออกมาเจอทำสีหน้าตกใจ
“แนนนี่...ร้องไห้ทำไมจ๊ะ”
“ไม่ต้องมาจ๊ะมาจ๋า” แนนนี่ไม่ใส่ใจ
“ใครทำอะไร...บอกพี่ดามาเถอะ”
“แล้วไง พี่ดาจะได้สมน้ำหน้าแนนนี่ใช่มั้ยล่ะ”
“โธ่” ดารกาถอนหายใจ
“หยุด! ไม่ต้องมาทำเป็นถอนอกถอนใจตีหน้าเศร้าเลย จะบอกให้ก็ได้ว่าแนนนี่ไม่เคยซาบซึ้งซักนิด...ยัยเฟค!”

พูดจบแนนนี่เดินเข้าห้องไป ดารกามองตามด้วยสีหน้าดูไร้ความรู้สึก









Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2555 11:53:39 น.
Counter : 397 Pageviews.

0 comment
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 15


แนนนี่หนีเข้ามานอนขดตัวอยู่บนเตียงนอนในตะเกียงแก้ว ใบหน้าแนนนี่ดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นอะไรไปล่ะ .... แนนนี่” ตะเกียงแก้วถาม
แนนนี่พลิกตัวหันหลังให้ เหมือนไม่อยากตอบคำถาม
“ถ้าไม่พูดออกมาซะบ้าง ระวังจะอึดอัดตายนะ” ตะเกียงแก้วชวนคุยต่อ
“ดี! ตายเสียก็ดี ทุกวันนี้ก็มีแต่คนอยากให้แนนนี่ตายอยู่แล้วนี่ ทั้งอสูรทั้งแม่มดต่างช่วยกันรุมฆ่า พวกมนุษย์ก็ไปรุมรักรุมโอ๋ ยัยพี่ดาแอ๊บดีกันหมด ชีวิตเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย...นี่ก็เพิ่งรอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าสิบ” แนนนี่บ่นออกมา
“แล้วคุณยายทาฮิร่าล่ะ แกรักแนนนี่จะตายไป” ตะเกียงแก้วว่า
แนนนี่ผุดลุกขึ้นนั่งทันที
“ก็มีแค่นั้นแหละ อ้อ คุณแม่ปัทมนอีกคน”
“เค้าถึงมีคำพังเพยว่า...คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ”
“เงียบได้มั้ย แนนนี่อยากอยู่เงียบๆ ขืนพูดมาก แนนนี่จะเอาเทปกาวปิดปาก”
“หงุดหงิดทั้งปี” ตะเกียงแก้วบ่นพึมพำ

เวลาเดียวกันที่บริเวณหน้าบ้านปัทมน ภวัตและบุษบาเดินมาด้วยกันกำลังจะไปขึ้นรถ ดารกาเดินแกมวิ่งตามมา ร้องเรียกไว้

“พี่ภวัตคะ”
ภวัต และบุษบาหันมามอง บุษบามองด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เย็นนี้พี่ภวัตมีธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ” ดารกาถามขึ้น
“น้องดาจะทำไมหรือ” ภวัตถามกล้บ
“น้องดาอยากให้พี่ภวัตติวให้หน่อยค่ะ...มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ 2-3 เรื่อง”
“ไหนว่าเรียนเก่งนักเก่งหนาไง” สีหน้าแววตาบุษบายิ้มๆ เหมือนพูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” ดารกาออกตัว
“ให้พี่ไชยติวให้เอามั้ย...ดูเหมือนพี่ไชยจะว่างมากกว่าภวัต” บุษบาเยาะ
ดารกาไม่สนใจคำพูดบุษบา ผินหน้ามามองภวัตราวกับจะให้ช่วย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะติวให้แกเอง ...บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้” ภวัตบอก
“แต่ว่าพี่ไชยเขาเต็มใจติวให้น้องดาจริงๆ นะคะ” บุษบายังไม่ยอมง่ายๆ พยายามจะอวยพี่ชายตัวเอง
“อย่าเลย รบกวนหมอไชยเปล่าๆ”
“ขอบคุณค่ะ พี่ภวัต งั้นเย็นนี้น้องดาไปรอที่บ้านพี่ภวัตนะคะ แล้วจะทำขนมไปให้ทานด้วย !” ดารกายิ้มระรื่น
“นั่นแน่ มีขนมมาล่ออีกแล้ว” ภวัตยิ้มล้อ
ดารกาหัวเราะออกมาอย่างดีใจ “อร่อยมากด้วยละค่ะ...เชิญพี่ภวัตเถอะค่ะ...” ดารกาหันไปไหว้ลาบุษอย่างอ่อนหวาน “สวัสดีค่ะ พี่บุษ”
บุษบารับไหว้แค่อก ดารกาหันหลังเดินแกมวิ่งกลับเข้าบ้านไป
ภวัตและบุษบามองตาม แล้วหันมาเดินต่อ
“ภวัตคะ...บุษว่า....”
บุษบาพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ ส้นรองเท้าส้นสูงก็เกิดพลิกหักทั้ง 2 ข้าง บุษบาเสียหลักถลาล้ม
“ว้าย! ภวัตคะ...ช่วยด้วยค่ะ”
สัญชาติญาณ ทำให้ภวัตหันขวับไปที่หน้าต่างห้องชั้นบนทันทีทันใด และมองเห็นม่านหน้าต่างไหวเล็กน้อยเหมือนเพิ่งมีคนจับก่อนผละตัวไป
ภวัตชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงหันกลับมาทรุดตัวลงดูเท้าบุษบา

สมาชิกสองครอบครัวยังรวมตัวนั่งคุยกันอยู่ ทุกคนเห็นดารกาเดินเข้ามา
“เอาของขวัญให้พี่ภวัตเขาแล้วหรือลูก” ปัทมนถามเสียงอ่อนโยน
“ค่ะ...น้องดาขอตัวขึ้นไปดูหนังสือต่อนะคะ”
“จะขยันไปถึงไหนจ๊ะ น้องดา” รัดเกล้าแซวยิ้มๆ
“น้องดาจะต้องเรียนให้ดีที่สุด คุณแม่จะได้ไม่ผิดหวังที่เลี้ยงน้องดามา”
ทุกคนมองดารกาอย่างชื่นชม
“แม่คุณ” ปัทมนเป็นปลื้มกว่าใคร
ดารดาเดินค้อมตัวผ่านไปขึ้นบันไดอย่างเรียบร้อย
“มีลูกอย่างน้องดานี่ นอนตายตาหลับเลยนะครับ” จักรวาลเอ่ยขึ้น
“แล้วมีลูกอย่างเกล้าล่ะคะ” รัดเกล้าหน้าง้ำ หันไปทางผู้เป็นพ่อ
“ก็ไม่กล้าตายเลยน่ะซิ กลัวว่าต้องตาเบิกโพลงตลอด !” ธานีตอบแทนซะเอง
รัดเกล้าลืมตัว ทุบตีธานียกใหญ่ “นี่แน่ะ! ตาเบิกโพลง”
“โอ๊ย” ธานีร้องลั่น
แทนที่จะเอ็ดหรือดุ จักรวาลและปัทมน มองภาพคู่กัดคู่นั้น แล้วเบือนหน้ามาสบตากันอย่างพึงพอใจ

บุษบากลับมาถึงโรงพยาบาล เดินกระแทกนิดๆ ที่เท้าพันผ้าแบบคนขาแผลงเดินหน้างอเข้ามาในห้องไชย
“อ้าว! นั่นเท้าเป็นอะไรล่ะ” ไชยถาม
“เท้าแพลงค่ะ...เดินอยู่ดีๆ ส้นสูงหัก” บุษบาบอก
“เฮ้ย ! รองเท้าเราแต่ละคู่แพงๆ ทั้งนั้น ทำไมหักง่ายนักล่ะ”
“ก็นั่นน่ะซิคะ ไม่รู้ซิ อารมณ์เหมือนๆ วันที่บุษกินสปาเก็ตตี้แล้วกลายเป็นหนอนนั่นแหละค่ะ” บุษบาตั้งข้อสังเกต
“ยัยบุษเอ๊ย”
บุษบารีบยกมือผาย...ขัดขึ้นเหมือนรู้ว่าพี่ชายจะพูดอะไรต่อ
“เอาละค่ะ...บุษรู้ว่าพี่ไชยจะพูดยังไง แล้วที่มานี่บุษจะมาปรึกษาพี่ไชยเรื่องอื่น!
ไชยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“นังเด็กดารกามันแสดงความสนิทสนมกับภวัตต่อหน้าบุษ แล้วภวัตก็เอ็นดูมันมากเสียด้วย!”
ไชยหัวเราะร่วน “เด็กคนนี้มันเป็นลูกไก่ในกำมือพี่อยู่แล้ว!”
“งั้นก็รีบจัดการมันเสียทีซิคะ จะได้พ้นทางของบุษเสียที” บุษบาเร่งเร้าพี่ชาย
“ตกลง! พี่ก็ชักจะไม่ไว้ใจภวัตเหมือนกัน” ไชยว่า
“งั้นก็ลงมือเลยค่ะ”

ส่วนที่บ้านจักรวาล เวลานั้นโป่งหิ้วถุงมะม่วงดิบเข้ามาวางบนโต๊ะ แล้วหันหลังกลับจะเดินออกไป
โป่งสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นบาบาร่าในคราบแม่บ้านบานเย็นมายืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
“คุณแม่บ้าน...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...โฮ้ย ใจหายใจคว่ำนึกว่าผี” โป่งว่า
“ฉันเหนือกว่าผี ! บ้านนั้นเขาไปไหนกันมา” บาบาร่าคุยโว แล้วถาม
“ได้ยินแว่วๆ ว่าคุณแนนนี่ อาจารย์ของโป่งถูกลักพาตัวไปครับ...แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด ว่าจะไปถามจารย์ดูเหมือนกัน ว่าแต่คุณแม่บ้านขึ้นไปทำความสะอาดห้องข้างบนหรือยังครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
บาบาร่าชักสีหน้าใส่โป่ง แล้วเดินออกไป ด้วยฝีเท้าเงียบเชียบ
“คนอะไร เดินไม่มีเสียงเลย”
“ฉันได้ยินนะ เจ้าโป่ง” บานเย็นบาบาร่าส่งเสียงแหวมา
“แน่ะ! หูก็ดีอีก”

บาบาร่าเดินขึ้นชั้นบนมา พลางว่าคาถาไปพร้อมๆ กัน ชี้ข้ามไปข้างหลัง จู่ๆ ก็มี ไม้กวาด ที่ตักผง และม็อบถูพื้นปรากฏขึ้นตามหลังมา
บาบาร่าเปิดประตูห้องภวัตเข้าไป พร้อมเครื่องมือ แล้วเริ่มทำความสะอาด
บาบาร่ายืนกอดอกมองโดยรอบ แล้วชะงัก เมื่อเห็นดอกกุหลาบ 2 ดอกที่ปักอยู่ในแจกัน บาบาร่าขยับมุมปากเหมือนจะเยาะๆ แล้วเดินมาใกล้
“เรื่องรักๆ ใคร่ๆ จุดอ่อนของพวกมนุษย์”
บาบาร่าหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
“กุหลาบแดงแจ้งรักประจักษ์ว่า ชั่วดินฟ้ารักเธอเสนอสนอง...ทุเรศ
กุหลาบขาวคือหัวใจที่ไฝ่ปอง รักของน้องอสูรน้อยคอยเรื่อยมา... อสูรน้อย! แนนนี่! ยิ่งตอกย้ำ ว่าไม่ผิดตัวแน่”
บาบาร่าเงยหน้าขึ้น สีหน้ามุ่งมั่นและมาดหมาย

เวลาเดียวกัน ทาฮิร่านอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จังหวะนั้นบาบาร่าก็ปรากฏตัวขึ้น เรียกออกมา
“ทาฮิร่า”
ทาฮิร่าพลิกหันกลับมา
“บาบาร่า!”
“เพลียละซี”
ทาฮิร่าลากเสียงปฏิเสธทันควัน “เปล๊า..า ... แค่นอนพัก เธอก็รู้ว่าระยะหลังๆ มานี่ ฉันค่อนข้างออดแอด ...อ่อนแอ”
“ไม่ใช่ ตามไปช่วยแนนนี่หรอกเรอะ” บาบาร่าพูดดักคอ
ทาฮิร่าลุกพรวดขึ้นมาทันที “เธอใช่มั้ย ที่พยายามทำร้ายแนนนี่”
บาบาร่าส่งการ์ดให้ทาฮิร่า
“เอ้า! อ่านซะ”
ทาฮิร่าอ่านแล้วตกใจ แต่รีบปรับสีหน้าเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วไง!”
“แล้วไง...ช่างพูดออกมาได้ แนนนี่เป็นอสูร แล้วเธอก็กำลังปกป้องมัน”
“ถ้าแนนนี่เป็นอสูรแล้วทำไมถูกอสูรตามล่า”
“เพราะมันต้องการตบตาเรา”
ทาฮิร่าหาทางชิ่ง เพราะไม่อยากต่อความยาว ร่ายคาถาแล้วหายตัวไป
“ทาฮิร่า” บาบาร่าโกรธ

ครู่ต่อมาบาบาร่าในร่างบานเย็นเดินกลับเข้ามาในบ้านภวัต สีหน้าเหมือนประหลาดใจแว่บหนึ่ง เมื่อเห็นดารกากำลังนั่งอ่านหนังสือเรียน...บนโต๊ะข้างหน้ามีถ้วยแก้วใส่สละลอยแก้ววางอยู่
บาบาร่ากระแอมนิดๆ “อะ แฮ้ม”
ดารกาเงยหน้าละสายตาจากหนังสือ แล้วหันมามอง ยิ้มสดใสให้บาบาร่า
“น้องดามารอพี่ภวัตค่ะ...พี่ภวัตบอกว่าอีกประมาณ 15 นาทีจะถึงบ้านแล้ว”
“เชิญตามสบายค่ะ”
พูดจบบาบาร่าขยับตัวจะเดินออกไป ดารกาเรียกไว้
“ป้าบานเย็นคะ”
บาบาร่าหันกลับมา
“เห็นพี่เกล้าชมว่าป้า ทำกับข้าวอร่อยมาก”
บานเย็นบาบาร่ายิ้มนิดๆ แล้วเดินกลับเข้าไป
ดารกายังคงมองตาม แล้วหันหน้ากลับมา สีหน้าแววตาลึกซึ้งจับความรู้สึกไม่ออก

บาบาร่าเดินกลับเข้ามาในครัว แล้วหยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน บาบาร่าหลับตาว่าคาถา
“อัย ...ยะ...การ์โด...เซ็นโต”
การ์ดใบนั้นปลิวออกไปทางหน้าต่าง บาบาร่ามองตาม แล้วยิ้มเยาะด้วยความพอใจและสะใจ
การ์ดใบนั้นปลิวตาแรงลมของคาถา มาวางแหมะอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแนนนี่ โดยที่ชิกเก้นนอนหมอบอยู่ไม่ทันเห็น

ครู่ต่อมาบานเย็นบาบาร่าก็ยกถาดแก้วน้ำหวานมาวางให้ดารกา
“ขอบคุณค่ะ” ดารกาพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมและสุภาพ
บาบาร่ายกชามสละลอยแก้วขึ้นมา “ป้าจะเอาไปแช่ตู้เย็น เดี๋ยวคุณภวัตกลับมาจะได้ทานชื่นใจ”
“ดีจัง!” ดารกายิ้มขอบคุณ
บาบาร่าเดินกลับเข้าไป พร้อมกับมีเสียงแตรรถดังขึ้น บาบาร่าเดินออกมาใหม่
“ไม่ทันแล้ว...คงต้องใส่น้ำแข็งเอา” บาบาร่าว่า
“ค่ะ” ดารการับคำ
บานเย็นเดินกลับเข้าไปอีกที ในขณะที่ดารกาลุกขึ้น แล้วเดินออกไปรับภวัต

ภวัตเปิดประตูรถลงมาพอดี ขณะที่ดารการีบเดินไปรับ
“มาคอยพี่นานหรือยัง”
“ไม่นานค่ะ”
ขณะที่ทั้งคู่เดินเข้าบ้าน...ภวัตหยุดเดินเหมือนเพิ่งนึกได้
“อ้อ! ลืมไป! คุณบุษเขาฝากมาขอโทษเรืองเมื่อตอนบ่าย แล้วก็มีของเล็กๆ น้อยมาให้” ภวัตว่า
“พี่บุษใจดีจังค่ะ” ดารกายิ้มสดใส
ภวัตพาดารกาเดินกลับไปที่รถ แล้วเปิดประตูหยิบถุงเล็กๆ ดูประณีตออกมาส่งให้ ดารการับมา
“ฝากบอกพี่บุษด้วยนะคะว่า น้องดาขอบพระคุณมาก”
ทั้งสองคุยกันมาขณะเดินเข้าบ้าน

เวลานั้น มีกลุ่มควันสีชมพูลอยออกมาจากตะเกียงแล้วพอควันจาง ก็กลายเป็นแนนนี่ที่ดูสดใสขึ้น
แนนนี่บิดตัวไปมา
“ไม่เจอหน้ามนุษย์ซัก 2-3 ชั่วโมงแล้วค่อยยังชั่ว...หิวจังต้องไปหาอะไรกินหน่อย!” แนนนี่เอ่ยขึ้นมา
“อย่าลืมบอกพี่พรให้ซื้อปลาทูแม่กลองให้ชิกเก้นด้วย เอาแบบคอหักน่ะ...เวิร์คดี” ชิกเก้นซึ่งตื่นเช่นกัน ฝากสั่งแบบจัดเต็ม
“น้ำพริกล่ะ”
“ขอน้ำพริกแมงดา...อย่าเผ็ดมาก...ให้น้าผาดแกตำนะ!”
“อื่อฮึ!”
แนนนี่รับฝากครบถ้วน กำลังจะเดินไปที่ประตู จังหวะนั้นการ์ดที่หัวเตียงก็ปลิวมาตกตรงหน้า แนนนี่ก้มลงหยิบขึ้นมาดู...เบิกตากว้างอย่างโกรธจัด
“นี่มันการ์ดของแนนที่ให้พี่ภวัต ! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้...ชิกเก้น” แนนนี่ถามเสียงดัง
“ชิกเก้นไม่รู้เรื่อง” ชิกเก้นว่า
“ชิกเก้นอยู่ในห้องตลอดเวลา ต้องเห็นซิว่า การ์ดกลับมาได้ยังไง” แนนนี่ซักไซ้
“ก็ชิกเก้นหลับมั่ง...ตื่นมั่ง” ชิกเก้นสารภาพ
“พึ่งอะไรไม่ได้เลย ! แนนนี่ไปถามพี่ภวัตเองก็ได้”
พูดจบแนนนี่เปิดประตูเดินออกไป มือกำการ์ดแน่น
“อาละวาดอีกแล้ว เวรก๊ำ...เวรกรรม”

ภวัตกำลังติววิชาให้ดารกาอยู่ที่ห้องรับแขก
“วิชาพื้นฐานพวกนี้ บางทีน้องดาก็เบื่อเหมือนกันนะคะ...น้องดาอยากเรียน อะนาโตมี เร็วๆ เพราะรู้สึก ว่าใกล้ความเป็นหมอเข้าไปอีกหน่อย” ดารกาว่า
“เดี๋ยวปี 2 ก็ได้เรียนแล้ว”
“พี่ภวัตอย่าเบื่อนะคะ ถ้าหากน้องดามีอะไรไม่เข้าใจ แล้วมาถาม”
“พี่ยินดีและเต็มใจด้วยซ้ำ”
เสียงกระแอมของแนนดังขึ้น “อะ แฮ้ม”
ภวัตและดารกาหันไปมองพร้อมกัน เห็นแนนนี่ยืนหน้าหงิกงออยู่ ภวัตนิ่วหน้าขณะที่ดารกายิ้มหวานตามเดิม
“แนนนี่...มาให้พี่ภวัตติวเหมือนกันเหรอ”
แนนนี่กอดอก เหลือกตามองเพดาน เหมือนจะระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านสุดขีด
“ไม่จำเป็น แนนนี่ไม่อ้อล้อเหมือนพี่ดาหร้อก นิดก็พี่ภวัตคะ...หน่อยก็ พี่ภวัตขา...สงสัยเว่อร์”
ดารกาทำหน้าเสียใจ แล้วก็ตกใจ มองแนนนี่แล้วหันมามองภวัต
“มากไปแล้วแนนนี่”
ระหว่างนั้นบาบาร่าเดินมาแอบฟัง
“น้องดาขยัน เขาถึงได้เรียนดี ไม่เหมือนเราที่นอกจากไม่เรียนแล้วยังอิจฉาคอยตามแขวะพี่เขาอีก” ภวัตใส่แนนนี่อย่างเหลืออด
“พี่ภวัต...น้องดาขอร้องเถอะค่ะ” ดารกาขอร้องไม่ให้ภวัตดุแนนนี่ตามประสาพี่สาวแสนดี
แนนนี่ทำหน้าและเสียงล้อดารกา “น้องดาขอร้อง...ง”
ดารกากระพริบตาถี่ๆ เหมือนจะร้องไห้
“แนนนี่! ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ ! พี่ภวัตนั่นแหละ ต้องขอโทษแนนนี่” แนนนี่ขึ้นเสียงสูง พลางชูการ์ดในมือขึ้น “แนนนี่อุตส่าห์
ทำการ์ดให้พี่ภวัตด้วยมือของแนนนี่เอง แต่พี่ภวัตกลับทิ้งมัน”
ภวัต อึ้งนิดๆ รู้สึกแปลกใจ “พี่ไม่ได้ทิ้ง”
“แล้วมันมาอยู่กับแนนนี่ได้ยังไง พี่ภวัตก็ตี 2 หน้าเหมือนยัยพี่ดานั่นแหละ แนนนี่เกลียดทั้ง 2 คนเลย”
พูดจบแนนนี่ก็ฉีกการ์ดเป็นชิ้นๆ เขวี้ยงทิ้ง แล้ววิ่งออกไป
ดารกาผวาจะตาม “แนนนี่”
“ไม่ต้องตามไป เด็กดื้อเกเรไม่ฟังเหตุผลอย่างนั้น ต้องปล่อยให้โดดเดี่ยวเสียบ้าง !” ภวัตทั้งโมโหทั้งฉุน
“แต่น้องดาสงสารแนนนี่”
“พี่รู้...แต่เราต้องดัดนิสัยเขา ไม่อย่างนั้นแนนนี่ก็จะไม่รู้สึกตัว”
ภวัตไม่รู้ว่าบาบาร่าแอบดูอยู่ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ด้วยสีหน้ายิ้มนิดๆ อย่างพอใจ

แนนนี่เดินแกมวิ่งมาที่ประตูใหญ่ กำลังจะออกไปจากบ้านภวัต บาบาร่าปรากฏร่างขึ้นทางด้านหลัง เรียกไว้
“แนนนี่”
แนนนี่หันไปมอง “อาจารย์”
บาบาร่าอยู่ในชุดดูเป็นเลดี้เมืองผู้ดี แนนนี่โผเข้าหาพลางร้องไห้ นัยน์ตาบาบาร่าเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“ใครทำให้เจ็บช้ำน้ำใจหรือศิษย์รักของครู”
แนนนี่เอาแต่สะอื้นพูดอะไรไม่ออก “แนนนี่....แนนนี่”
“ไปคุยกันในห้องแนนนี่ดีกว่า”
บาบาร่า และแนนนี่หายตัวไป โป่งกำลังเดินมา ชะงัก ไม่เห็นหน้าบาบาร่า เห็นแต่เพียงด้านหลัง
“สงสัยว่าจะเป็นอาจารย์ ของ’จารย์อีกที...อีกหน่อยหายตัวกันได้ทั้งโลกก็ดีรถจะได้ไม่ติด แถมไม่ต้องเปลืองเงินซื้อรถ... ป่งต้องพยายามทำให้ได้”
โป่งบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น และจริงจัง

ทั้งสองแม่มดปรากฏตัวขึ้นในห้องแนนนี่
“คุณยายบาบาร่า” ชิกเก้นอึ้ง ขณะร้องทัก
“สบายดีหรือชิกเก้น” บาบาร่าทักกลับ
“ก็สบายดีตามอัตภาพของแมวครับ คุณยายบา”
“ดูเหมือนทาฮิร่าจะไม่ค่อยสบาย...ไม่ไปดูแลนายของแกหน่อยเรอะ!” บาบาร่าหาเหตุให้ชิกเก้นออกไปจากห้อง
แนนนี่รู้สึกตกใจ “เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอก ... แต่ชิกเก้นควรจะไปอยู่เป็นเพื่อน” บาบาร่าสำทับ
“ไปซิ! ชิกเก้น เดี๋ยวแนนนี่จะตามไป” แนนนี่บอก
“อย่าหูเบานะแนนนี่” ชิกเก้นเตือนแนนนี่
บาบาร่าหันมาจ้องขู่ด้วยสายตาพิฆาต ชิกเก้นกระโดดแผล็วหายตัวไป บาบาร่าหันกลับมายิ้มเยื้อนอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“ทาฮิร่ากับฉันเคยมีเรื่องไม่ถูกกัน ชิกเก้นก็เลยพลอยเขม่นฉันไปด้วย เอาละไหนเล่ามาซิ”
แนนนี่น้ำตาไหลออกมาอีก ด้วยความคับแค้นใจ

ด้านชิกเก้นกระโดดแผล็วลง แลนดิ้ง ผิดจังหวะมาอยู่บนตัวทาฮิร่าซึ่งนอนหลับอยู่ ทาฮิร่าสะดุ้งโหยง
“ว้าย!”
ชิกเก้นตกใจเช่นกัน “เมี้ยว!” แล้วจึงกระโดดลงมา “ซ้อรี่..ซ้อรี ขอโทษครับ คุณยาย”
ทาฮิร่าค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น “ไอ้ชิกเก้น ไอ้แมวซุ่มซ่าม”
“ชิกเก้นกะระยะผิดไปหน่อย ...ซ้อรี่ !”
“อัม....แคทกัม...” ทาฮิร่าพึมพำ
ชิกเก้นผินหน้ามาเมาท์มอยนายหญิง “ฟังเหมือนกรรมของแคทยังไงก็ไม่รู้”
“ครีสซึม ! เพี้ยง!”
ทาฮิร่าร่ายคาถาชี้ออกไป ชิกเก้นตัวแข็งทื่อ
“เป็นไง อยากซ้อรี่ดีนัก”
ทาฮิร่าอ้าปากหาวแล้วล้มตัวลงนอนต่อ
“คุณย้าย! ถอนคำสาป...เดี๋ยวจะไปขัดขวางคุณยายบาร์ไม่ทัน”
ชิกเก้นส่งเสียงบอก ทว่าทาฮิร่าหลับผล็อยอย่างสบาย

แนนนี่เล่าเรื่องที่บาบาร่ารู้อยู่แล้วให้บาบาร่าฟังจนจบเรื่อง
“พวกมนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละไว้ใจไม่ได้” บาบาร่าเว้นไปนิดหนึ่ง นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ “แล้วคุณภวัตคนนั้นเขารู้หรือเปล่าว่าหนูเป็นอะไร”
“ตอนแรกเขารู้ว่าแนนนี่เป็นแม่มดค่ะ แต่....ที่จริงแล้วแนนนี่ไม่ใช่...แนนนี่ก็พยายามจะบอกความจริงกับเขา...”
“หนูเป็นอสูรใช่มั้ย!” บาบาร่าต่อประโยคให้
แนนนี่อ้ำอึ้ง
“บอกมาเถอะ...ครูไม่มีทางเป็นอันตรายกับเธอหรอก” บาบาร่าผู้แสนดีบอกเสียงอ่อนโยน
“แนนนี่...แนนนี่คิดว่าตัวเองเป็นอสูร...แต่คุณยายทาฮิร่ายืนยันว่าไม่ใช่”
“แล้วอะไรทำให้คิดอย่างนั้น”
“หลายอย่างค่ะ...แนนนี่ก็บอกไม่ถูก”
“ไม่เป็นไร...แต่ครูขอเตือนว่า อย่าบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด เพราะหนูจะมีอันตราย...มีแค่ 2 คน เท่านั้นที่ไว้ใจได้ คือ ทาฮิร่ากับครู”
แนนนี่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “ถึงจะเป็นอสูรจริง แต่แนนนี่ก็ไม่เคยคิดร้ายหรือคิดทำลายใครเลยนะคะ”
“มันยังไม่ถึงเวลาน่ะซิ!” บาบาร่าโพล่งขึ้น
“หมายความว่ายังไงคะ”
“เคยได้ยินเรื่องหมาป่ากลายร่างเป็นมนุษย์ เมื่อพระจันทร์เต็มดวงหรือเปล่า”
“เคยค่ะ”
“ฉันใดก็ฉันนั้น...เมื่อถึงวันเกิดครบรอบ 22 ปีของหนู หนูจะกลายเป็นอสูรโดยอัตโนมัติ และจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือ” บาบาร่าพูดเสียงจริงจัง
“จริงหรือคะ” แนนนี่รู้สึกตกใจ
“จริงแท้แน่นอน ....นี่เหลืออีกกี่ปีล่ะ”
“แนนนี่อายุ 19 เหลืออีก 3 ปี...” สีหน้าแววตาแนนนี่ดูหวาดหวั่น “หนูจะทำยังไงดีคะ”
บาบาร่าส่ายหน้า “ครูบอกไม่ได้”
“ได้โปรดบอกหนูมาเถอะค่ะ...หนูจะได้พยายามหาทางแก้ไข”
“มัน...มันทรมานเกินไป แล้วครูก็รักเธอมากกว่าจะปล่อยให้...” บาบาร่าทำท่าว่าอัดอั้นตันใจเต็มประดา
“อะไรคะ...บอกมาเถอะค่ะ!” แนนนี่คาดคั้นเพราะอยากรู้วิธี
“เธอ...เธอต้อง...ไม่...ครูไปละ”
พูดจบร่างบาบาร่าก็เลือนหายไป
“อาจารย์คะ! อาจารย์บาบาร่า อย่าเพิ่งไปค่ะ”
แนนนี่ถอนหายใจยาว “แนนนี่จะต้องรู้ให้ได้”
เสียงบาบาร่าดังลอดเข้ามา
“เธอต้องฆ่าตัวตายในวันที่อายุครบ 22”
แนนนี่ได้ยินเต็มสองหู อยู่ในอาการตกตะลึง

“โห! อุบายร้ายกาจจัง!” ไทเกอร์พอรู้เรื่องจากนายหญิงก็ออกปากชม
บาบาร่าผุดสีหน้าแววตาหมายมั่น และเจ้าเล่ห์ออกมา
“นั่นเป็นหนทางสุดท้ายที่จะกำจัดอสูรโดยละม่อม เอ๊ย! โดยบาบาร่า!”
“แล้วทำไมไม่ให้ฆ่าตัวตายไปซะวันนี้พรุ่งนี้เลยล่ะ”
“การฆ่าตัวตายจะสำเร็จก็ต่อเมื่อฆ่าในวันเกิดครบรอบ 22 ปี เท่านั้น...ถ้าก่อนหรือหลังจะฟื้นขึ้นมาอีก! แต่ถ้าคนอื่นฆ่าก็ตายปกติ! ระหว่างนี้นังอสูรแนนนี่จะต้องไว้ใจฉันแต่เพียงผู้เดียว”
“เยี่ยม!” ไทเกอร์อวยนายหญิงอีกหนึ่งดอก

แนนนี่เดินกลับไปกลับมาด้วยสีหน้าสับสนแกมกังวล เสียงบาบาร่าลอยเข้าในความคิดคำนึง
“เมื่อถึงวันเกิดครบ 22 ปีของหนู หนูจะกลายเป็นอสูรโดยอัตโนมัติและจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่เหลืออะไร”
และ “เธอต้องฆ่าตัวตายในวันที่อายุครบ 22!”
แนนนี่เดินมาทรุดตัวลงนั่ง ระหว่างนั้นคำพูดของปัทมนก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดอีก
“การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป ผิดศีลข้อแรกเลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่หรือแม้กระทั่งฆ่าตัวเอง”
ภาพปัทมนเลือนหายไป แนนนี่พูดกับตัวเองอย่างสับสน
“แต่แนนนี่เป็นอสูรร้าย ถ้าหากไม่ทำลายชีวิตตัวเอง แนนนี่จะทำลายชีวิตคนอื่นอีกมากมายหลายชีวิต นั่นยิ่งไม่เป็นบาปหนักหนาสาหัสหรือคะ...แนนนี่จะทำยังไงดี”
แนนนี่นอนฟุบหน้ากับที่นอนอย่างกลัดกลุ้ม

ทางด้านบาบาร่าว่าคาถาเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับเป็นบานเย็นตามเดิม แล้วเดินไปเปิดประตู บาบาร่านึกได้หันกลับมาใหม่
“เกือบลืม ! แกไปคอยสืบดูด้วยว่าทาฮิร่าหรือเจ้าชิกเก้นจะไปเมืองเวทมนตร์เมื่อไหร่ แล้วให้รีบมาบอกฉัน” บาบาร่าสั่งไทเกอร์
“ทำไม...จะตามเขาไปรึไง”
“เออ ! เพราะฉันดันมุสายัยทาฮิร่า ว่าฉันไปรายงานท่านผู้นำเรื่องที่นางช่วยอสูรน้อยไว้”
“แล้วรายงานจริงหรือเปล่า”
“ก็บอกแล้วว่ามุสา เพราฉะนั้นตอนนี้จะให้ทาฮิร่ากับแมวของมันไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด”
“ทราบแล้วเปลี่ยน!” เจ้าแมวลายเสือรับคำ
บาบาร่าเดินออกไป แล้วปิดประตู ไทเกอร์กระโดดแผล็ว หายออกไปทางหน้าต่าง

ในเวลาเดียวกัน ดารกาไหว้ขอบคุณภวัตสีหน้ายิ้มแย้มปลื้มปิติ
“ขอบคุณมากค่ะ พี่ภวัต น้องดาเข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ”
“มีแค่นี้หรือ” ภวัตถามอย่างเอ็นดู
“ค่ะ”
จังหวะนั้นรัดเกล้าเดินเข้ามาพอดี ดารกาหันไปเห็น
“พี่เกล้ามาแล้ว ... สวัสดีค่ะพี่เกล้า”
“สวัสดีจ้ะ...มาให้พี่ภวัตติวให้เหรอจ้ะ” รัดเกล้ารู้เรื่องทันที
“ค่ะ พี่ภวัตติวเก่ง น้องดาจะขอเลี้ยงข้าวเย็นนี้ เลี้ยงทุกคนเลย คุณลุง พี่เกล้า” ดารกายิ้มแย้มเสียงระรื่น
“หลายตังค์นะ” ภวัตพูดล้อด้วยความเอ็นดู
“น้องดาเลี้ยงที่บ้านค่ะ ไม่ใช่ที่ร้าน”
ทั้งสามคนหัวเราะกัน
“น้องดาจะกลับไปทำกับข้าวก่อนนะคะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“เกล้าไปช่วยน้องซิ” ภวัตบอก
“อุ๊บ ! ไม่ต้องค่ะ” ดารการีบบอก
“ดีเหมือนกัน! ขี้เกียจอยู่เลย แต่พี่เกล้าขอเป็นแค่ลูกมือนะ”
“โอเค ค่ะ”
“ปะ” รัดเกล้าชวนดารกาเดินออกไป
“อย่าลืมล้างมือกันก่อนนะ” ภวัตตะโกนไล่หลัง สองสาว
รัดเกล้าโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธพลางหัวเราะคิกคัก โดยไม่หันหลังมา ภวัตมองตามอย่างเอ็นดู

ธานีเพิ่งกลับจากที่ทำงาน และกำลังยืนดื่มน้ำอยู่ที่หน้าต่าง ขณะที่ทั้งสองสาวเดินเข้ามา
“อ้าว พี่ธานีกลับมาแล้ว” ดารกายิ้มทัก
ธานีหันกลับมาหาเรื่องรัดเกล้าทันควัน
“ยัยเกล้า พาน้องออกไปเถลไถลที่ไหนมา”
ดารกาหัวเราะขำ หันมามองเกล้าซึ่งมองตาเขียวใส่ธานีอยู่
“หน็อยแน่ะ ไอ้เราอุตส่าห์มาช่วยน้องดาทำกับข้าวให้กิน กลับหาว่าเถลไถล เดี๋ยวถ้าเกล้าทำอะไร จะไม่ให้พี่ธานีกินเลย”
“ยังกับอยากกินนักนี่ เหม็นขี้มือ”
“อีตาธานี”
“จะทำไม ยัยรัดจุก”
รัดเกล้าร้องกรี๊ด ธานีรีบเอามืออุดหู
“โอ๊ย ! หนวกหู”
“ทะเลาะกันไปก่อนนะคะ น้องดาจะเข้าครัวแล้ว” ดารกาว่ายิ้มๆ
“พี่ไปด้วย เหม็นขี้หน้าอีตาธานี” รัดเกล้าเดินตามดารกาไป
“เคยดมแล้วเรอะไง”
“บ้า ! อีตาธานีบ้า” รัดเกล้าหันมาด่าอีก
ดารการีบลากตัวไป “ไปกันเถอะค่ะ”

ธานีหัวเราะไล่หลังทั้งสองสาว









Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2555 9:38:36 น.
Counter : 357 Pageviews.

0 comment
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 14 (ต่อ)


บทโทรทัศน์ อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ในตอนที่ 14 มีการแก้ไขใหม่ ตามบทที่ทีมงานบริษัทดีด้า ส่งมาให้ ตัวหนังสือ สีแดง คือบทที่มีการแก้ไข จึงแจ้งมายังแฟนอสูรน้อยฯ และ แฟนละครออนไลน์ ทุกท่าน
ทีมงานละครออนไลน์


อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 14 (ต่อ)

แนนนี่หายตัวจากห้องภวัต มาปรากฏตัวขึ้นในห้อง พอชิกเก้นเห็นก็รีบถามขึ้นทันทีด้วยความห่วงใย

“หายไปไหนมา ชิคเก้นเป็นห่วงแทบตาย”
“ห้องพี่ภวัต”
“Oh ! No!” ชิกเก้นร้อง
“Oh! Yes!”
แนนนี่ว่าคาถาลอยหายเข้าไปในตะเกียง
“คุณยายทาฮีร่ารู้เข้าจะว่ายังไงเนี่ย ....โอ๊ย แคทตี้จะบ้าตาย”

ส่วนเหตุการณ์ที่ห้องภวัต
“หาอะไรฮึ ..... ยัยเกล้า”
“เมื่อกี้พี่ภวัตพูดกับใคร”
“เปล่า!” ภวัตเดินไปนั่ง
“แต่เกล้าได้ยิน เสียงคล้ายๆ กับแนนนี่ด้วย”
“ไปกันใหญ่ เกล้าก็เห็นแล้วนี่ว่าไม่มีใคร”
รัดเกล้าถอนใจเฮือกใหญ๋ แล้วเดินมาที่โต๊ะ เห็นดอกกุหลาบในแจกัน มีการ์ดห้อยอยู่ รัดเกล้ารีบหยิบมาอ่าน
“กุหลาบแดงแจ้งรักประจักษ์ว่า ชั่วดินฟ้ารักเธอเสนอสนอง
กุหลาบขาวคือหัวใจที่ไฝ่ปอง รักของน้องอสูรน้อยคอยเรื่อยมา”
สีหน้าภวัตกระอักกระอ่วน
รัดเกล้าขำกลิ้ง “ใครคะ น้องอสูรน้อยของพี่ภวัต”
“คือ .... เพื่อนมันล้อพี่เล่นน่ะ”
“เพื่อนหญิงหรือเพื่อนชายเอ่ย”
“ไปได้แล้ว พี่จะทำงาน”
“ต๊าย พี่ภวัตเขิน เกล้าไม่เคยเห็นพี่ภวัตเขินเลย ชักอยากจะเห็นน้องอสูรน้อยเสียแล้ว”
ภวัตจับตัวรัดเกล้าดันไปที่ประตู ขณะที่รัดเกล้าชอบอกชอบใจ
“บอกให้ไปได้แล้ว”
ภวัตปิดประตู แล้วถอนใจเฮือก ยืนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่โต๊ะ
ภวัตหยิบการ์ดอ่าน สีหน้าแววตาดูลึกซึ้ง

ทางด้านดารกาทอดสายตามองไปที่หน้าต่างห้องภวัต สีหน้าดารกานิ่งสนิท อ่านความรู้สึกไม่ออก

บรรยากาศตอนเช้าอันแจ่มใส สมาชิกครอบครัวปัทมนรวมตัวภายในห้องทานข้าว ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากัน
พรเก็บจานอาหารที่กินเรียบร้อยแล้วออกไป แล้ววางกาแฟให้ปัทและธานี ขณะที่ 2 สาวแนนนี่ และดารกา รับเป็นน้ำส้ม
“ตายจริง! น้องดาลืมเอาเกรดให้คุณแม่กับพี่ธานีดู”
แนนนี่สำลักน้ำส้มที่กำลังดื่ม
“เกลียด ....เกลียดน้ำนางเอก พี่พร ! พรุ่งนี้แนนนี่ไม่เอาน้ำส้มแล้วนะ”
ทุกคนไม่ได้สนใจฟังแนนนี่ ด้วยดารกากำลังหยิบซองใส่ใบประกาศผลสอบส่งให้ปัท
“นี่ค่ะ ...”
ปัทมนเปิดซองหยิบออกมาดู
“เก่งมากลูก ...... น้องดาของแม่เก่งที่สุด”
แนนนี่หน้างอ
“พี่น่ะไม่ตื่นเต้นเลย”
แนนนี่สีหน้ากระตือรือร้นขึ้นทันที
“เพราะน้องดาไม่เคยทำให้คุณแม่กับพี่ผิดหวัง...ดูผลสอบทีไรก็เห็นแต่เกรด 4...สู้ยัยแนนนี่ไม่ได้...ต้องลุ้นกันทุกเทอม”
คราวนี้แนนนี่หน้าหงิกยิ่งไปกว่าเก่า
“แนนนี่ล่ะลูก ... ผลสอบออกหรือยัง”
“น้องดาเชื่อว่าเทอมนี้แนนนี่ต้องได้เกรดดีแน่ๆ ค่ะ”
“ไม่ต้องมากระทบกระแทกแดกดัน” แนนนี่สวนออกมา
ทุกคนสะดุ้ง
“เชิญได้ 4 ไปคนเดียวเหอะ ! ....แนนนี่ไม่สนร้อก” แนนนี่ลุกเดินไป
“เอาอีกแล้ว ลูกคนนี้” ปัทมนบ่น
“เป็นความผิดของน้องดาเองค่ะ ... น้องดาจะไปง้อแนนนี่”
“ไม่ต้อง น้องดาไม่ผิด”
“ถึงยังงั้นก็เถอะค่ะ ...” ดารการีบลุกตามไป
“แม่ไปด้วยดีกว่า”
“อย่าเลยครับ ...เดี๋ยวคุณแม่จะไม่สบายใจ ... ผมไปเอง”
ธานีลุกเดินไป ปัทมนสีหน้าหนักใจ

แนนนี่เดินจะไปที่รถ ซึ่งคนรถเตรียมพร้อมอยู่ ประตูใหญ่เปิดกว้างรออยู่แล้ว ดารกาเดินแกมวิ่งตามออกมา
“แนนนี่ ... รอพี่ดาก่อนจ้ะ”
แนนนี่หันขวับมาทันที “จะมาแสดงบทนางเอกผู้แสนดีอีกหรือคะ”
“ไม่ใช่จ้ะ”
ธานีเดินเข้ามาสมทบ
“พี่ดาคิดว่าได้เกรดเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะเสียหาย เพราะเราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว” ดารกาบอก
แนนนี่พูดเสียงสูง “อ๊อ ....อ นี่จะบอกว่าแนนนี่โง่ใช่มั้ย”
ธานีเริ่มรำคา “ไปกันใหญ่แล้วแนนนี่”
ระหว่างนั้นบาบาร่าในร่างบานเย็นยืนอยู่ที่รั้วมองตรงมา
“พี่ดาแค่จะบอกว่า ให้แนนนี่ขยันกว่านี้ ...แล้วพี่ดาจะติวให้เอง ...ให้ปีเตอร์ติวไม่มีประโยชน์ เพราะแนนนี่ชอบข่มเค้า ... ต่อไปนี้พี่ดาจะติวให้แนนนี่จริงๆจังๆ เสียที”
“พี่เห็นด้วยกับน้องดา” ธานีเห็นด้วย
“โอ๊ย ! คอหอยกับลูกกระเดือก”
“ตายจริง! แนนนี่ขอโทษพี่ธานีซิจ้ะ ... พี่น่ะช่างเถอะ” ดารกาทำตัวแสนดีต่อ
แนนนี่สุดจะทนแล้ว จึงแกล้งส่งเสียงดังประชด “พี่ด๊า ....พี่ดา ...พี่ดา จะสวยงามและแสนดีไปถึงไหน้ .... แนนนี่เกลียดพี่ดา”
แนนนี่เดินออกไป
“แนนนี่จะไปไหน”
“จะไปไหนก็ช่าง ! ไม่ต้องมาสนใจ”
ดารกามองตาม...น้ำตาคลอ
“ไม่ต้องร้องไห้จ้ะ น้องดา ... พี่เข้าใจทุกอย่าง” ธานีปลอบ
“น้องดาเสียใจค่ะ น้องดายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้แนนนี่เข้าใจ แล้วนี่เขาจะไปมหา’ลัยยังไง”
“ช่างเถอะ”
ธานีโอบไหล่จะเดินกลับเข้าไป

แนนนี่เดินน้ำตาร่วงมาตามซอยด้วยความแค้นใจและเสียใจ แนนหันหน้ากลับไปมองข้างหลัง ไม่มีแม้แต่เงาของคนในบ้านสักคนตามมาง้อเหมือนเคย แนนนี่เม้มปากหันกลับมา
“ไปแท็กซี่เองก็ได้!” แนนนี่ก้าวเดินไป
จังหวะนั้นมีรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเทียบมา โดยที่คนขับสวมหมวกและใส่แว่นดำ แนนนี่รีบโบกมือเรียกทันทีที่เห็น กำลังจะเลยไป
“แท็กซี่!”
แท็กซี่จอด...แนนนี่รีบเดินไปเปิดประตูขึ้นไป
คนขับซึ่งเห็นเพียงจมูกนิดและปากหน่อย เหลือบตามองกระจกแว่บหนึ่ง แล้วขับออกไป

ที่แท้เป็นบาบาร่าแปลงเป็นคนขับรถแท๊กซี่ และกำลังมาเรื่อยๆ พร้อมกับเหลือบมองทางกระจก เห็นแนนนี่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา บาบาร่าขับไปเรื่อยๆ พักหนึ่งโดยแนนนี่ไม่ได้สนใจอะไร
“ร้องไห้อย่างนี้แล้วจะไปเรียนหนังสือรู้เรื่องเรอะ!” อดไม่ได้บาบาร่าถามขึ้นในที่สุด
แนนนี่เงยหน้ามองแล้วชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าคนขับดูลึกลับด้วยแว่นดำ แนนนี่ผินหน้าไปมองข้างทาง
“มหาวิทยาลัยหนูไม่ได้อยู่ทางนี้นี่!”
“ฉันไปทางลัด!”
“จอด! ฉันจะลง!”
บาบาร่าทำหูทวนลมขับไปเรื่อยๆ
“บอกให้จอด!”
ภาพจากภายนอก รถแล่นด้วยความเร็วสูงขึ้น แนนนี่ขยับจะเปิดประตู แต่ประตูล็อคทันที แนนนี่ว่าคาถาให้รถจอด แต่คาถาไม่ได้มีผล
มองจากภายนอก รถแล่นด้วยความเร็วสูงมากขึ้นๆ
“แกเป็นใคร!”
บาบาร่าไม่ตอบ ยังคงขับไป แนนนี่พยายามใช้คาเต็มที่ แต่ไม่มีผล
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว!”
แนนนี่เขย่าประตู “จอด! บอกให้จอด!”
จังหวะนั้นเองก็มีรถตู้คันหนึ่งแล่นตัดหน้ามาขวางแท็กซี่ไว้ บาบาร่าเตรียมจะบังคับรถให้ลอยขึ้น
จู่ๆ ก็เหมือนมีแสงบางอย่างพุ่งออกมาล็อคล้อรถไว้...รถจอดสนิท
แนนนี่รีบเปิดประตูรถลงไปทันที บาบาร่าขยับจะเปิดประตูรถลงมา แล้วชะงัก เห็นสดับเปิดประตูรถลงมา แนนนี่เองก็ชะงัก
“ขึ้นรถ” สดับสั่ง
แนนนี่ลังเล
“นั้นมันพวกนักล่าอสูร! ขึ้นรถเร็วเข้า!”
แนนนี่ละล้าละลัง ขณะนั้นประตูรถเปิดออก มาลียื่นหน้าออกมา
“ขึ้นรถเร็วเข้าลูก...แนนนี่”
แนนนี่จึงตัดสินใจรีบขึ้นรถในทันที สดับขึ้นรถขับออกไป
บาบาร่ามองตามด้วยสีหน้าแววตากราดเกรี้ยว

ปัทมนมาถึงบริษัท ก็พยายามโทรศัพท์เข้าเครื่องแนนนี่ ปัทมนสีหน้ากังวลด้วยโทรศัพท์เงียบ...แล้วกดใหม่
“ธานี มาที่ห้องแม่หน่อย ....แม่เป็นห่วงแนนนี่”
ปัทมนวางโทรศัพท์ลง สักพักหนึ่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วธานีเปิดเดินเข้ามา
“โทรศัพท์แนนนี่เงียบไปเลยลูก ! แม่โทร. เท่าไหร่ก็เงียบ”
“ผมก็เหมือนกันครับ ! นี่กำลังจะโทร.หาน้องดา ขอเบอร์โทร. ปีเตอร์”
“งั้นรีบโทร. เลย”
“ครับ”
ธานีกดโทรศัพท์หาดารกา ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวที่มุมหนึ่งในมหาลัย ดารกาหยิบขึ้นมารับ
“ค่ะ .... พี่ธานี”
“น้องดารู้เบอร์โทรศัพท์ปีเตอร์หรือเปล่า” ธานีถามขึ้น
“อ๋อ ! ทราบค่ะ ... ทำไมหรือคะ”
“พี่จะโทร.ถามว่าแนนนี่อยู่ที่มหา’ลัยหรือเปล่า .... คุณแม่กับพี่ติดต่อไม่ได้เลย”
“ตายจริง ... ให้น้องดาโทร.ให้มั้ยคะ”
“ไม่ต้องค่ะ ... พี่โทร.เอง.. เบอร์อะไรนะ”

ปีเตอร์คุยโทรศัพท์กับธานีอยู่
“วันนี้แนนนี่ไม่ได้มาเรียนครับ ...ปีเตอร์ยังคิดว่าแนนนี่ไม่สบายเลย”
“แน่ใจนะปีเตอร์” เสียงธานีถามกลับ
“แน่ครับ...หรือว่าไปวีนอยู่คณะอื่น เดี๋ยวปีเตอร์จะให้เพื่อนๆ ช่วยกันตามหา...สวัสดีนะครับ
ปีเตอร์หันมา แล้วเรียกเพื่อนๆ
“เอ้ย! เด็กๆ”
เพื่อนๆ หันมามอง
“ปีเตอร์จะให้คนละพันนึงไปช่วยกันตามหาแนนนี่ ! ....แล้วถ้าใครพบเอาไปเลยหมื่นนึง”
บรรดาผองเพื่อนรีบกระจายตัวกันค้นหาทันที ปีเตอร์กดโทรศัพท์หาแนนนี่
“เงียบสนิทจริงๆ ด้วย”

ภายในรถที่สดับขับแล่นมาเรื่อยๆ ตามทาง ในขณะที่มาลีกำลังร้องห่มร้องไห้
“ข้าน่ะไม่ได้คิดอยากจะทิ้งแนนนี่เลยสักนิด แค่อยากให้เอ็งสุขสบาย ก็เลยเอาไปบรรจงวางไว้หน้าบ้านคุณปัทมน” มาลีโกหก
“แต่คุณยายบอกว่า แม่ไม่ใช่แม่แนนนี่”
“นังนั่นมันจะไปรู้อะไร” สดับพูดด้วยน้ำเสียงตะคอก
“แนนนี่...ข้าเป็นคนอุ้มท้อง...เป็นคนเบ่งเอ็งออกมาด้วยความเจ็บปวด ทรมานแสนสาหัส...แล้วทำไมจะจำเอ็งไม่ได้” มาลีโกหกอีกให้ดูน่าเชื่อ
แนนนี่นิ่งคิดครู่หนึ่ง “เป็นไปได้ไหมคะว่า พี่ดาเป็นลูกของ…”
แนนนี่พูดไม่ทันจบประโยค มาลีก็เหลียวมองไปทางสดับซึ่งตวาดออกมาทันที
“เป็นไปไม่ได้”
แนนนี่กับมาลีสะดุ้งพร้อมกัน
“แกเป็นลูกฉันกับนังมาลี ไม่ใช่คนอื่น” สดับย้ำ
“งั้นเราไปถามคุณยายแนนนี่กัน”
“เอ๊ะ นังนี่!”
“จะต้องไปถามทำไมให้ยุ่งยาก พวกมันกลัวข้ากับพ่อของเอ็งจะไปทวงเอ็งคืน ก็เลยช่วยกันโกหก”
แนนนี่มองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจถาม
“แนนนี่เป็นอสูรใช่ไหม”
สดับไม่ตอบ แต่จู่ๆ ก็หัวเราะอย่างน่ากลัว แนนนี่กลืนน้ำลาย
ด้านภวัตกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับดารกาภายในห้องพักแพทย์
“ดาเป็นห่วงน้องเหลือเกินค่ะ จนป่านนี้ยังไม่มีใครเห็นเลย” ดารกาคุยสายอยู่ที่มหา’ลัย
“แนนนี่เกเร เขาอาจจะเรียกร้องความสนใจก็ได้” ภวัต
จู่ๆ ก็มีเสียงทาฮิร่าดังขึ้นในห้องนั้น
“ชะ ชา ชะ ช้า ... พ่อภวิต”
ภวัตหันขวับไปตามเสียง เห็นทาฮีร่านั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง โดยมีชิกเก้นอยู่บนตัก
“เมี้ยว”
“บังอาจมาว่าหลานฉันเรียกร้องความสนใจ” ทาฮิร่าเฉ่ง “นายภวิต” ทันที
“คุณยายทราบใช่มั้ยครับว่า แนนนี่อยู่ที่ไหน” ภวัตละปากจากมือถือ มาถามทาฮิร่า
“ถ้ารู้ ฉันจะขี่ไม้กวาดมาถึงนี่ทำไม”
“พี่ภวัตกำลังพูดอยู่กับใครหรือคะ”
“พี่มีแขก แค่นี้ก่อนนะคะ น้องดา”
“ค่ะ...”ดารกาปิดโทรศัพท์ สีหน้าดูเย็นชา

“ฉันเป็นแม่มด ไม่ใช่แขก” ทาฮิร่าจ้องหน้าภวัต
“ฟังนางซะบ้าง” ชิกเก้นบ่นมุกเชยๆ ของนายหญิง
“แนนนี่หายไปจริงๆ หรือครับ”
“งั้นซิยะ พ่อลาโง่”
“อาจจะเป็นพวกล่าอสูร หรือพวกล่าแม่มด” ภวัตตั้งข้อสังเกต
“โอ่...เค้ ชักจะอินแล้ว” ชิกเก้นเห็นด้วย
“พรมวิเศษ .. เราต้องอาศัยพรมวิเศษ คุณยายเรียกพรมวิเศษมาซิครับ” ภวัตนึกขึ้นได้
“เธอนั่นแหละเรียก เพราะเธอได้ออกคำสั่งมันแล้ว พรมวิเศษจะเชื่อฟังเธอ”
ภวัตเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ชิคเก้นและทาฮิร่ามองตาม ทว่าบนท้องฟ้ากลับไม่มีอะไรเลย
ทาฮิร่าถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเอ่ยขึ้น “ฉันไปเองดีกว่า”
ทาฮีร่าขี่ไม้กวาดลอยออกไป โดยมีชิกเก้นกระโดดเกาะท้าย
“คุณยาย ผมไปด้วย”

ภวัตรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างหนัก มองตามสองนายบ่าวขี่ไม้กวาดหายลับตาไป
สดับยังคงขับรถมาเรื่อยๆ ตามทาง ภายในรถตกอยู่ในความเงียบงัน แนนนี่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล มองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าครุ่นคิดเพื่อหาทางเอาตัวรอด

จังหวะหนึ่งแนนนี่หันกลับมาแล้วพูดขึ้นในที่สุด “แนนนี่ปวดท้อง...ช่วยจอดหน่อยได้มั้ยคะ”
“พี่ดับ ... แนนนี่มันปวดท้อง”
สดับไม่สนใจยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆ
“โอ๊ย! ถ้าไม่จอดละก็ ได้เหม็นกระจายแน่” แนนนี่ร้องดังลั่น
“พี่ดับ” มาลีตะโกนบอก
สดับสีหน้าหงุดหงิด แล้วเข้าจอดรถข้างทาง
“นังมาลี ! แกลงไปกับมัน” สดับสั่ง
“ไป”
มาลีพยักหน้าบอกแนนนี่ที่รีบทำเป็นทนไม่ไหววิ่งนำ
“รอด้วย”
“วิ่งเร็วๆ ซิแม่”
สดับตะโกนไล่ตามหลัง “อย่าคิดหนีนะเว้ย”

แนนนี่และมาลีมาถึงบริเวณพุ่มไม้หนา แนนนี่หยุด หันมาทางมาลี
“แม่รออยู่ตรงนี้นะจ๊ะ”
“อย่าคิดหนีนะเอ็ง”
แนนนี่พยักหน้า แล้วเดินเข้าไปหลังพุ่มไม้ โดยมีมาลีท้าวสะเอวจ้องเขม็ง
“อย่ามองซิแม่ แนนนี่อาย”
มาลีสะบัดหน้าหันไปแล้วบ่น
“ยุ่งนัก ! นังคนนี้”
“อย่าเพิ่งหันมานะแม่... แนนนี่กำลังโป๊”
“เร็วๆ เข้าเถอะ ! อย่ามัวแต่พูดมาก” มาลีเอ็ด
จังหวะนั้นแนนนี่ร่ายคาถาเรียกไม้กวาดมา แล้วก้มลงว่าคาถากับกิ่งไม้บริเวณนั้นให้พูดแทนตัวเอง
“ซูโด ..... ซูโด ...สปีโก้ พูดแทนแนนนี่ด้วยนะ”
แล้วแนนนี่ก็ขี่ไม้กวาดเหาะไป
“เสร็จหรือยัง” มาลีร้องถาม
“ยังจ้ะแม่” เสียงแนนนี่กิ่งไม้ตอบมา

แนนนี่ขี่ไม้กวาดอยู่บนท้องฟ้า
“เร็วๆ เข้า .... พี่ไม้กวาด”

ส่วนเหตุการณ์ภาคพื้นดิน มาลีตะโกนถามอีก “เสร็จหรือยัง”
“ยังจ้ะแม่” มีเสียงแนนนี่ตอบกลับมา
“ทำไมมันนานนักล่ะ”
“เพิ่งแป๊บเดียวเอง” เสียงนั้นว่า
มาลีลงนั่งยองๆ รอต่อไป “อย่าช้านักนะเว้ย”
เวลาเดียวกันสดับเคาะพวงมาลัยรถรออย่างหงุดหงิด
“ทำไมมันช้านักวะ”
ในที่สุดสดับตัดสินใจเปิดประตูรถลงไปตาม
สดับเดินอย่างรีบร้อนตรงมาที่มาลีอยู่
“นังเด็กนั่นหายไปไหน”
“ไม่หาย ! เมื่อกี้ยังคุยกันอยู่เลย” มาลีตอบ
สดับจิกผมมาลีให้หันไปดู “ดูซะให้เต็มตา”
“โอ๊ย ! เจ็บ.....เจ็บ”
“บอกให้ดู”
“เอ๊ะ หายไปไหน” มาลีผงะ
“นังโง่เอ๊ย มันก็หนีไปแล้วน่ะซิ”
“แต่เมื่อกี้มันยังอยู่” มาลีแย้ง
สดับตบหน้ามาลีเสียงดังเปรี้ยง “ยังจะเถียงอีก”
สดับรีบเดินไปอย่างฉุนเฉียว ส่วนมาลียกมือกุมแก้ม น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด

แนนนี่ขี่ไม้กวาดผ่านไป จังหวะหนึ่งหันไปมองข้างหลัง ไม่มีใครตามมา แนนนี่ยิ้มแป้น แต่พอหันกลับมาก็สะดุ้งเฮือก
“โอ๊ะโอ”
เมื่อเห็นอสูรสดับยืนตระหง่านดักอยู่ข้างหน้า
“เลี้ยวซ้าย พี่ไม้กวาด” ไม้กวาดเลี้ยวซ้ายตามคำสั่ง
“ไปโลด .... ด” แนนนี่ซิ่งไม้กวาดมาได้อีกพักหนึ่ง
อสูรสดับก็ปรากฏร่างขวางทางไว้
“จ๊าก ....ก เลี้ยวขวา ! ซิ่งเลย” ไม้กวาดซิ่งไปทางขวา
“หวังว่าคงไม่ตามมาอีกนะ”
แนนนี่ซิ่งต่อครู่หนึ่ง แล้วอสูรปรากฏขวางหน้า
“เฮ้ย! ไปทางโน้น” แนนนี่ซิ่งมาเรื่อยๆ
“หลบหลังก้อนเมฆนั่นเลย”
ไม้กวาดพาแนนนี่เข้าไปซ่อนหลังก้อนเมฆ อสูรสดับซิ่งตามมา มองหา พลางคำรามอย่างโกรธแค้น ท่าทีดุร้าย
อสูรอ้าปากพ่นไฟออกมาทำลายบรรดาก้อนเมฆในบริเวณนั้น ไฟจากปากอสูรลามมาเรื่อยจนจะถึงตัว แนนนี่ลุ้นสุดๆ ทันใดนั้น ก็มีควันกลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้น อสูรชะงัก กลุ่มควันนั้นรวมตัวเป็นผู้นำแม่มด
แนนนี่เห็นเหตุการณ์ถึงอ้าปากค้าง “ใครอ้ะ”
ผู้นำแม่มดปล่อยแสงใส่ อสูรหลบแล้วเสกเรียกสามง่ามมา ชี้ไปที่ร่างผู้นำ
ผู้นำแม่มดยกไม้เท้าตัวกระโหลก ชี้ตรงไป เกิดเป็นลำแสง 2 ลำปะทะกัน แล้วแตกกระจายน่ากลัว
“หนีเร็ว” ไม้กวาดพาแนนนี่ซิ่งไปอย่างรวดเร็ว
สามง่ามอสูรหักปลิวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ! นังแม่มดเฒ่า! แล้วอสูรน้อยจะมาแก้แค้นแทนพวกข้า!”
ร่างอสูรสดับเลือนหายไป ผู้นำแม่มดกวาดตามองไปโดยรอบ

ครู่ต่อมา แนนนี่กับทาฮิร่าพร้อมด้วยชิกเก้น ก็มาป๊ะกันกลางทาง แต่ยังอยู่ไกลกันอีกประมาณหนึ่ง
ทาฮิร่าตะโกนลั่น “แนนนี่”
แนนนี่ร้องขึ้นอย่างดีใจ “ยายจ๋า”
ทั้งสองเหาะลอยเข้ามาใกล้กัน
“แนนนี่”
ทาฮิร่าลืมตัวอ้าแขนจะโผกอดแนนนี่ด้วยความห่วงใยและโล่งใจสุดๆ ทาฮิร่าทำท่าจะเลื่อนตกจากไม้กวาด
มือทาฮิร่าคว้าด้ามไม้กวาดห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ
“ว้าย!”
“ยาย!” แนนนี่ตกใจ รีบช่วยดึงร่างทาฮิร่าขึ้นมา อย่างทุลักทุเล
“เวรก๊ำ ! เวรกรรม ! ตัวของนางเองยังจะเอาไม่รอดเลย!” ชิกเก้นหันมาเมาท์นายหญิงแล้วหันกลับไป “เอ้า! เอ้า! ระวังหน่อยเจ๊!”
ทั้งสองยายหลานดึงรั้งกันอยู่ครู่หนึ่ง จนทาฮิร่าขึ้นมาได้ในที่สุด
“เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว”
“ยายจ๋า!…มีใครก็ไม่รู้มาสู้กับอสูรหนีเปิดไปเลย”
ทาฮิร่าชะงัก “ใคร”
“ก็ผู้หญิงแก่ๆ” แนนนี่บอก
“เอาลิซิ” ชิกเก้นว่าเหมื่อจะรู้ว่าเป็นใคร
ทาฮิร่าสะดุ้ง “รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า!”
“ไม่ต้องรีบแล้วละจ้ะ” แนนนี่บอก
“แน่ะ! ยังอีก! ยายบอกให้ไปเดี๋ยวนี้! ซิ่งเลย”
ทาฮิร่าซิ่งนำ แนนนี่รีบซิ่งตามขณะที่ยังงงๆ อยู่

เวลาเดียวกันธานีกำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธานีรีบรับสาย
“ครับ...คุณแม่”
“แนนนี่ปลอดภัยแล้ว...กำลังกลับบ้าน...ธานีไปดูน้องก่อน เดี๋ยวแม่รอเซ็นชื่อ แล้วจะรีบตามกลับไป”
“โล่งอกไปที”
ธานีปิดโทรศัพท์แล้ว รีบเดินมาที่ประตู เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูถูกเปิดโครมเข้ามาอย่างรีบร้อน โดยรัดเกล้า และชนธานีอย่างจัง
ธานีเจ็บจนทรุดลงไปนั่ง จุกจนร้องไม่ออก
“โอ๊ย ! ตายแล้ว” รัดเกล้าตกใจ
“พี่นี่แหละต้องตาย”
“ขอโทษค่ะ แต่พี่ธานีอยากเดินมาพอดีทำไม”
ธานีลุกขึ้นฉุนๆ “นี่พี่ผิดเรอะ”
“ผิดคนละครึ่งค่ะ”
“โอ๊ย! ยายทอม”
“เอ๊ะ! ตาตุ๊ด!”
“แล้วปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเสนอหน้ามาทำไม” ธานีถาม
“หน็อยแน่! มาว่าเค้าเสนอหน้า เค้าจะมาถามเรื่องแนนนี่”
“แนนนี่กลับบ้านแล้ว และพี่ก็คงใกล้จะถึงบ้านเหมือนกัน ถ้าไม่มีทอมซุ่มซ่ามมาเปิดประตูชน”
“ไอ้พี่ธานี”
ธานีขยับตัวรัดเกล้ายกให้หลีกทางอย่างง่ายดาย แล้วรีบออกไป
รัดเกล้าอ้าปากค้างครู่หนึ่ง
“คนบ้า!ฉันไม่ใช่กระสอบทรายนะยะ อีตาธานี หยุดก่อน หยุด”
รัดเกล้าพูดพลางวิ่งตามไป

ครู่ต่อมาธานีเดินแกมวิ่งมาที่รถ แล้วกดรีโมท รัดเกล้าตามมาติดๆ แล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งคู่ธานี
“ไปด้วยคน”
“ไม่ได้เอารถมาเรอะไง”
“เอามา! แต่จะประหยัดน้ำมัน”
“อ้อ ...อ! ดีนี่ แล้วใครจะเอารถเธอไปส่งเฮอะ ! หรือจะเอาไว้ให้ ใช้งานที่นี่”
“จะบ้าเรอะ! ....พี่ธานีก็ให้คนเอาไปส่งที่บ้านเกล้าซิ บริษัทออกใหญ่โตมีลูกน้องเยอะแยะ”
“ดี เจริญ” ธานีแดกดัน
“อยู่แล้วค่ะ” รัดเกล้าทำหน้ากวนใส่
ธานีขับรถออกไป
ในขณะที่รัดเกล้าพึมพำเบาๆ สีหน้าเจ้าเล่ห์ “คนโง่ยอมเป็นเหยื่อของคนฉลาด”
“อะไรนะ”
“เปล่า”
ธานีส่ายหน้า รัดเกล้าลอบยิ้ม

บนฟากฟ้าเหนือซอยบ้านแนนนี่ ทาฮิร่า แนนนี่ และชิกเก้นที่อยู่ท้ายไม้กวาดทาฮิร่า ลอยอยู่เหนือบริเวณในซอยบ้าน ทั้งหมดมองลงไป เห็นมีคนเดินไปมาในซอย
“จะ Landing ตรงไหนดีล่ะคะยาย” แนนนี่หารือ
“ขืนลงหน้าบ้านมีหวังซอยแตกแน่” ชิกเก้นว่า
“นึกได้แล้ว! ลงหลังบ้านคุณอิง! แกเคยเห็นแล้ว ถ้าจะเห็นอีกสักหน่อย คงไม่บ้าไปกว่านี้” ทาฮิร่าเก็ตไอเดีย
“เกิดเป็นเพื่อนบ้านคุณยายทาฮิร่านี่เวรก๊ำ ... เวรกรรม !”
“ไม่ต้องบ่น! ไอ้ชิกเก้น”
แนนนี่ขี่ไม้กวาดนำไป ทาฮิร่ากับชิกเก้นตามมา

อิงอรไม่รู้ว่าหลังบ้านจะถูกใช้เป็นสถานที่แลนดิ้งของสองยายหลาน กำลังเดินลั้นลาถ่ายวิดีโอบรรดาดอกไม้ และแมลงไปเรื่อยๆ กล้องวิดีโอจับภาพดอกไม้และแมลง เรื่อยมามาถึงชิกเก้น ทาฮิร่า และแนนนี่ กำลัง Landing
อิงอรถ่ายเลื่อนเลยไปอีก แล้วถอยกลับย้อนมาที่กลุ่มแนนนี่ซึ่งยังขี่ไม้กวาด
อิงอรเห็นทาฮิร่า แนนนี่ ชิกเก้น ต่างก็ยิ้ม ยกมือทักทาย เต็มตา เต็มกล้อง
อิงค่อยๆ ลดกล้องลง ตายังคงค้าง มือยกขึ้นทักทายตอบ แต่สีหน้าไม่ได้ไปด้วย
แนนนี่กระโดดลงจากไม้กวาด เช่นเดียวกับทาฮิร่าและชิกเก้น
“สบายดีเรอะ...คุณอิง” ทาฮิร่าทัก
อิงอรพยักหน้ารับ “สบายดีจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ค่ะ” พูดทั้งที่อยู่ในอาการยังเหวอๆ
“เห็นใจ...แต่มันจนใจ” ทาฮิร่าพูดคำว่า “ใจ” ลากเสียงอย่างเห็นอกเห็นใจจริงๆ “ไปละ”
ทาฮิร่ายกมือเป็นเชิงบ๊ายบายแล้วเดินไป
“นี่คุณอิงตรงนี้เหมาะจะ Landing มากเลยค่ะ...ขอบคุณนะค้า...บ๊าย..บาย”
แนนนี่ตามทาฮิร่าไป
“ต้องทำใจหน่อยนะ คุณอิง .. ทำไงได้” ชิกเก้นยักไหล่แล้วตามแถวออกไป)
อิงอรยกมือโบกให้ แล้วมองตาม ทำท่าสะอึก และอึ้งไป

โป่งกำลังพยายามจะเสกคาถาตามแบบแนนนี่
“อัย ....อัย ...อา....อา ..... แล้วอะไรอีกล่ะ”
มีเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นขัดจังหวะ โป่งเดินไปที่ประตู เปิดออก
อิงอรโผล่เข้ามาทำหน้าทำตาลึกลับ “นายโป่ง ! คุณนายบานเย็นอยู่มั้ย”
“ไม่อยู่ครับ ! เห็นบอกว่า ลาไปทำหน้าที่พลเมืองดีครับ”
“ทำบัตรประชาชนเรอะ ! หรือว่าไปเสียภาษี”
“ได้ยินแกบอกว่าจะไปจับอสูรครับ”
อิงอรพยักเพยิด “อ้อ” อิงอรหันกลับไป แล้วหยุดกึก หันขวับมา “...ไปจับอสูร”
“เห็นว่ายังงั้นนะครับ”
อิงอรยกมือกุมขมับ...เดินไป
“คุณอิง คุณอิงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ!”
อิงอรยกมือโบกให้โดยไม่หันมา

ทาฮิร่าเปิดประตูบ้านเข้ามาพลางบ่นกับชิกเก้น
“ถ้าท่านผู้นำตัดสินใจข้ามมาล่าอสูรเองละก็ ชิกเก้นเอ๊ย...ซวยยกเซ็ต”
“ชิกเก้นไม่เกี่ยวน้า ชิกเก้นเป็นเพียงแมวน้อยๆ” ชิกเก้นออกตัว
เสียงไทเกอร์ดังแทรกขึ้นมา
“แมวน้อยๆ นั่นแหละตัวดี”
ทาฮิร่าและชิกเก้นสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมอง
เห็นบาบาร่าและไทเกอร์ยืนเริด เชิดอยู่หัวบันได
“เกือบตายละซีนะ....ทาฮิร่า” บาบาร่าเยาะ
“บุกรุกเข้ามาในบ้านฉันทำไมยะ” ทาฮิร่าฉุน
“ฉันเข้ามาเพื่อจะบอกว่า ฉันกลับไปรายงานท่านผู้นำมาว่า...ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นอสูรอยู่แถวนี้”
ทาฮิร่ากลืนน้ำลาย
“อย่ามัวแต่กลืนน้ำลายตนเอง เถียงเค้าซิ” ชิกเก้นบิ้วท์นายหญิง
“เถียงไม่ออกละซี...และข่าวดียิ่งกว่านั้น...ท่านผู้นำเพิ่งปะทะกับอสูรมา” บาบาร่ารายงาน
“และได้ชัยชนะด้วย!” ไทเกอร์เสริม
ชิกเก้นสะกิดทาฮิร่า “เจ๊...พูดมั่ง”
ทาฮิร่าเชิดหน้าขึ้น “ฉันง่วงนอน”
“เวรก๊ำ ...เวรกรรม”
ทาฮิร่าวางท่าสง่าเดินขึ้นบันได ติดตามด้วยชิกเก้น บาบาร่าและไทเกอร์มองตาม
ทาฮิร่าเดินเฉียดบาบาร่าไปเข้าห้อง ชิกเก้นทำตัวลีบเล็กขณะตามทาฮิร่าไป
บาบาร่า และไทเกอร์มองตามอย่างเคืองแค้น
“ต้องจับให้มั่น คั้นให้ตาย”

พอทั้งสองเข้ามาในห้องแล้วทาฮิร่ารีบล็อคประตู
“เจ๊! จะทำยังไง...เจ๊จะเอาแนนนี่ไปซ่อนไว้ที่ไหน...และเจ๊จะตอบว่ายังไง ถ้าท่านผู้นำมาซักไซ้ไล่เรียง”
เจอชิกเก้นถามเป็นชุด ทาฮิร่ากุมขมับแล้วนั่งลง
“เจ๊ว่าท่านผู้นำจะทำยังไง...จะเชื่อมั้ยถ้าเจ๊บอกว่าแนนนี่เป็นแม่มด แล้วจะ...”
ทาฮิร่าสุดจะทนแว้ดใส่ “โอ๊ย ไอ้ชิกเก้น แกจะถามให้มันได้อะไรขึ้นม้า….”
“ก็ให้ได้คำตอบไง”
“ฉันไม่ตอบ”
“เพราะ....”
“...ฉันตอบไม่ได้ ไอ้ชิกเก้น ไป๊ จะไปไหนก็ไป”
“คุณยายก็รู้ว่า ชิกเก้นไม่มีที่ไป นอกจากที่นี่”
“ถ้าอยากอยู่ที่นี่แกต้องเงียบ”
“โอ่ ..โอ่....โอ่...เค้!”
ทาฮิร่าถอนใจเฮือก...ก้มหัวลงนอนบนเตียง

เวลาเดียวกัน ปัทมนกำลังกอดแนนนี่แน่นอย่างโล่งใจ
“ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะลูกนะ”
“หนูจำหน้าไอ้คนที่มันลักพาตัวหนูไปได้มั้ย” จักรวาลถาม
แนนนี่ยังไม่ทันตอบ บุษบาก็เดินควงแขนภวัตเข้ามา
“น้องแนนนี่ ...หายไปไหนมาจ้ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาเป็นห่วง”
“ยกเว้นคุณบุษบาใช่มั้ยคะ”
“แนนนี่” ธานีเอ็ดน้องสาว
รัดเกล้าและพร หัวเราะคิกคัก ธานีถลึงตาดุใส่รัดเกล้า ขณะที่ผาดหยิกแขนพร
ภวัตมองแนนนี่ด้วยสายตาแสดงความเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้าง”
“ชิว .... ชิว”
ระหว่างนั้นดารกาเดินเข้ามาพร้อมกับปีเตอร์
“แนนนี่!” ดารกาน้ำตาคลอ
แนนนี่หันมามอง...ดารกากอดแนนนี่อย่างอ่อนโยน และดูเป็นห่วงเป็นใยสุดๆ
“แนนนี่....พี่ดาเป็นห่วงแทบแย่”
โดยไม่มีใครคาดคิด แนนนี่กลับผลักร่างดารกาออกจนเซ
“เลิกเสแสร้งเสียที พี่ดา”
ทุกคนตกตะลึง
“แนนนี่...ทำไม...” ดารกาสะอื้นน้ำตาคลอเบ้า
แนนนี่สะบัดหน้าแล้วเดินแกมวิ่งหนีขึ้นห้องไป ปัทมนกอดดารกาไว้แน่น
“น้องดา...อย่าถือสาน้องเลยนะลูก...น้องเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มา จิตใจยังไม่ปกติ” ปัทมนว่า
“แนนนี่ถูกข่มขืนหรือคะ” บุษบายิ้มแย้มถามหน้าตาตื่นเต้น

ทุกคนหันไปมองบุษบาเป็นตาเดียว โดยไม่มีเห็นสังเกตเห็นว่าจังหวะนั้นนัยน์ตาดารกาวาวโรจน์ขึ้นมาแว่บหนึ่ง!









Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 20:00:03 น.
Counter : 313 Pageviews.

0 comment
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 14


พอควันจางลง ร่างภวัตและแนนก็มาปรากฏกายขึ้นในตะเกียงแก้ว โดยที่มือภวัตยังจับแขนแนนนี่อยู่ และเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นชุดแขกอาหรับ ส่วนแนนนี่สวมชุดจินนี่

แนนนี่ตกใจมากร้องลั่น “พี่ภวัต”
ภวัตเองก็ตกใจไม่ต่างกัน
“ตายแล้ว แนนนี่ เธอพาผู้ชายเข้ามาในตะเกียง” ตะเกียงแก้วเอ็ด
“เปล่านะ”
“ฉันมีความลับจะบอกเธอ”
“ความลับอะไร” แนนนี่ตาโต
“ถ้าบอกตอนนี้ก็ไม่ใช่ความลับน่ะซิ” ตะเกียงแก้วเล่นแง่
ขณะที่ทั้งสอง โต้ตอบกันไปมา ภวัตปล่อยแขนแนนนี่แล้วเดินดูทั่วห้องอย่างพิศวง จนเข้ามาจ้องหน้าตะเกียงใกล้ๆ
ตะเกียงแก้วหน้าแดง “มาจ้องฉันทำไม...ไปดีกว่า”
ใบหน้าตะเกียงเลือนหายไปในผนัง
ภวัตหันมามองแนนนี่สีหน้ายังประหลาดใจไม่หาย “นี่พี่ฝันไปหรือเปล่า”
แนนนี่พูดพาลใส่ “ถ้าคิดว่าใช่ก็ตื่นขึ้นซิ”
ภวัตเดินเข้ามาใกล้ในระยะประชิดตัว แนนนี่ก้มหน้าลง เริ่มเขิน
ภวัตพูดเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ “แนนนี่”
แนนนี่เขินตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “คะ”
ภวัตยังพูดเสียงเบาเช่นเดิม “พาพี่กลับห้องได้แล้ว”
แนนนี่เงยหน้าขึ้นมามองทันที สีหน้าไม่พอใจผุดขึ้นมา “พี่ภวัต”
“เดี๋ยวนี้เลย” ภวัตสั่งเสียงเบาแต่เด็ดขาด เช่นเดียวกับสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ไม่”
“อะไรนะ” ภวัตชักสีหน้า
“แนนนี่บอกว่าไม่”
“เธอจะมาขังพี่ไว้ในนี้ไม่ได้” ภวัตเสียงแข็ง
แนนนี่เดินหนีมานั่ง “ก็ลองดู”
“ทุกคนเขาจะตามหาพี่” ภวัตว่า
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ แนนนี่จัดการเอง”
“อย่าทำอย่างนี้นะ แนนนี่” ภวัตฉุนนิดๆ
“เสียใจ แนนนี่ทำไปแล้ว เชิญพักผ่อนนอนหลับให้สบายนะคะ ... อับดุล”
แนนนี่หัวเราะเสียงใส แล้วกลายเป็นกลุ่มควันออกไป

พอชิกเก้นรู้เรื่องที่แนนนี่ลักพาตัวภวัตมาไว้ในตะเกียงแก้วก็ใส่แนนนี่ทันที
“ตายแล้ว แนนนี่ ทำอะไรอย่างนั้น เวรก๊ำ ...เวรกรรม”
แนนนี่กระโดดผลุงขึ้นไปนอนบนเตียง ไม่ใส่ใจ “ช่วยไม่ได้ อยากมาว่าแนนนี่”
“แล้วถ้าญาติพี่น้องเขาตามหาล่ะ”
“ไม่เป็นไร แนนนี่เตรียมแผนการเอาไว้แล้ว”
ขาดคำแนนนี่ก็ร่ายคาถา ชี้นิ้วไปที่ชิกเก้น พลันชิกเก้นก็กลายเป็นภวัตซะงั้น
ภวัตตัวปลอมมองตัวเองแล้วโวยวายดังลั่น
“ตายแล้ว แนนนี่ เปลี่ยนชิกเก้นกลับไปตามเดิมเดี๋ยวนี้นะ”
แนนนี่หัวเราะคิกคัก “ทำไมล่ะ ชิกเก้นไม่อยากหล่อเหมือนพี่ภวัตเหรอ”
“ชิกเก้นไม่ได้พูดเล่นๆ นะ”
“แนนนี่ก็เหมือนกัน ...” แนนนี่ร่ายคาถาอีกครั้ง “อัย ...ย..ลามูบาชูบาชู้” แล้วชี้นิ้วใส่ภวัตชิกเก้น
ภวัตปลอมหายไปจากที่ตรงนั้นทันตา

ร่างภวัตชิกเก้นปรากฏขึ้นในห้อง
“โธ่เอ๊ย แนนนี่ ...แนนนี่ ทำไมทำกับชิกเก้นยังงี้ เวรก๊ำ...เวรกรรม”
ชิกเก้นในร่างภวัตบ่นแล้วกระโจนแบบแมวขึ้นไปบนเตียงไปด้วยความเคยชิน

ยามเช้าของวันใหม่บรรยากาศสดชื่นแจ่มใส ส่วนภายในตะเกียงแก้วแนนนี่ปรากฏตัวหลังจากกลุ่มควันจางลง
“หิวมั้ยคะ พี่ภวัต”
ภวัตไม่มอง และไม่ตอบ โดยทำท่าเหมือนแนนนี่ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
แนนนี่พยายามง้อ “รู้น้าว่าพี่ภวัตหิว”
พูดจบแนนนี่ว่าคาถา ปรากฏอาหารน่ากินวางบนโต๊ะ
“ทานเสียหน่อยนะคะ” แนนนี่หยิบชามข้าวต้ม แล้วเดินเข้ามานั่งข้างๆ ภวัต
“ซักคำนึงน่า”
ภวัตเบือนหน้าไปอีกทาง แนนนี่ลุกยืนด้วยความโกรธ ขัดเคืองใจ เพราะง้อแล้วภวัตยังเมินเฉยอยู่
“พี่ภวัตโกรธแนนนี่จริงๆเหรอ”
ภวัตพูดโดยยังไม่หันกลับมามองแนนนี่ “...เธอจะบอกคนอื่นเรื่องพี่ยังไง”
“ไม่เห็นต้องบอกนี่คะ”
ภวัตหันมามองแนนนี่ด้วยความไม่ไว้ใจ

เช้าวันเดียวกันนั้นโป่งเดินถือถาดชามข้าวต้มเข้ามาในห้องอาหาร วางลงแล้วชะงัก เมื่อมองภวัตชิกเก้นในชุดทำงาน นั่งกึ่งนอนในท่าแมวขดตัวอยู่บนเก้าอี้
โป่งค่อยๆ เดินมาที่โต๊ะอาหาร วางชามข้าวต้มลงตรงหน้า โดยสายตายังคงมองท่าทีของภวัตอย่างไม่ไว้ใจนัก หลังเจอเหตุการณ์ประหลาดเมื่อวันก่อน
ภวัตก้มลงดมข้าวต้มแล้วเงยหน้าขึ้น “ไม่มีปลาทูเรอะ”
“คุณ...คุณหมอจะรับประทานปลาทูหรือ...หรือครับ” โป่งถามในอาการงงๆ
ภวัตพยักหน้าร้องเสียงแมวออกมา “เมี้ยว”
โป่งสะดุ้ง
“เอาคลุกข้าวมาเลย” ภวัตชิกเก้นสั่ง
“ถ้า...ถ้าไม่มีปลาทูตอนนี้ ก็ขอยกยอดไปตอนเย็นได้มั้ยครับ” โป่งออกตัว
“เวรก๊ำ ...เวรกรรม ไม่มีก็ไม่กิน”
พูดจบชิกเก้นในร่างภวัตกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินออกไป โป่งเห็นเต็มตาถึงกับสะดุ้งโหยง

ด้านภวัตตัวจริงที่ยังอยู่ในตะเกียงแก้วถึงผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเมื่อรู้จากปากแนนนี่
“หา! ไอ้ชิกเก้นน่ะนะ” ภวัตตกใจ
“ค่ะ พี่ภวัตไม่ต้องเป็นห่วง”
“พี่ไม่ได้ห่วงชิกเก้น แต่ห่วงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับพี่โดยเฉพาะคนไข้”
แนนนี่นิ่งคิด

เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ภวัตเริ่มพูดจาหว่านล้อมแนนนี่
“บาปนะแนนนี่ที่ให้แมวไปรักษาคน ... เผื่อเกิดเคราะห์หามยามร้าย คนไข้เป็นอะไรไปละก็...”
“แนนนี่คงบาปเพิ่มขึ้นอีก” แนนนี่พูดสวนออกมาทันที “โดยเฉพาะแนนนี่เพิ่งได้เวทมนตร์กลับคืนมา”
ภวัตลอบถอนใจโล่งที่แนนนี่เริ่มคล้อยตาม “นั่นซี”
แนนนี่หรี่ตามอง “รีบสนับสนุนใหญ่เลยนะ”
“ก็พี่เป็นห่วง...ไม่อยากให้แนนนี่บาป”
แนนนี่เม้มปาก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดอย่างหนัก

โป่งเสิร์ฟอาหารให้จักรวาลและรัดเกล้า
“พี่ภวัตล่ะโป่ง” รัดเกล้าถาม
“กระโดดแผล็วไปที่โรงรถแล้วครับ” โป่งบอก
จักรวาลและรัดเกล้า ซึ่งกำลังปรุงข้าวต้ม เงยหน้ามองโป่งพร้อมๆ กัน
โป่งรู้ตัวยิ้มแห้งๆ ให้ “กระโดดแผล็วจริงๆนะครับ” โป่งสำทับ
“ไอ้โป่ง...ลูกฉันเป็นหมอ ...ไม่ได้เป็นแมว” จักรวาลพูดเสียงเข้ม
“แต่ที่ผมเห็นน่ะใกล้เคียงเลยละครับ...ตอนผมเอาข้าวต้มมาให้ คุณหมอนอนขดอยู่บนเก้าอี้ ... แถมบอกว่าจะรับประทานข้าวคลุกปลาทู ...แล้วก็...”
จักรวาลสวนขึ้น “พอ!”
จักรวาลและรัดเกล้า ลุกขึ้นเดินออกไปดู โป่งรีบตาม

พอรู้ว่าจะได้กลับออกไป แต่ต้องใช้เวลาภวัตอุทานดังลั่น “อีกครึ่งชั่วโมง”
“ค่ะ” แนนนี่บอกเสียงอ่อยๆ
ภวัตออกอาการพลุ่งพล่านหงุดหงิดอย่างแรง
“เจริญ! เจริญละ” ภวัตหยุดเดินหันขวับมามองในระยะใกล้ “แล้วทำไมต้องครึ่งชั่วโมง
แนนนี่สะดุ้งและจ๋อยกว่าเก่า “แนนนี่ก็ไม่แน่ใจ...อาจจะเป็นเพราะว่าแนนนี่เพิ่งจะใช้คาถาได้...ทุกอย่างเลยยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ถ้าพี่ภวัตจะออกไปเดี๋ยวนี้เลยแนนนี่ก็จะ...”
“ออกไปให้มีภวัต สองคนน่ะเรอะ” ภวัตพูดเยาะๆ สวนขึ้น
แนนนี่เบะปากแทนคำตอบ
“ดีไม่ดี...คนเขาอาจจะคิดว่าไอ้แมวพิลึกนั่นเป็นหมอภวัตตัวจริง...แล้วดันคิดว่าตัวจริงเป็นตัวปลอม...” ภวัตเว้นช่วงไปนิดหนึ่ง “วุ่นวายพิลึกละ”
“ทำไมวันนี้พี่ภวัตดุจัง” แนนนี่ถาม
“อ้อ! ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้แล้วจะให้พี่มานั่งชื่นชมสรรเสริญเยินยอเรอะไง” ภวัตเสียงเขียว
แนนนี่เสียงอ่อยลงไปอีก “แต่พี่ภวัตเป็นคุณหมอ...คุณหมอเค้าต้องใจดี...”
“ใจดี! ไม่จับบีบคอนี่ก็ประเสริฐแล้ว” ภวัตบอกเสียงเครียด
แนนนี่ทำหน้าเหยเก “...บีบ....บีบคอเลยเหรอคะ”
ภวัตเดินมาทิ้งตัวลงนั่ง แล้วถอนใจหายเฮือกใหญ่ แนนนี่รีบเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างล่าง พยายามประจบประแจงสุดขีด
“พี่ภวัตเมื่อยมั้ยคะ...ระหว่างรอ ...แนนนี่จะนวดให้”
“ไม่ต้อง” ภวัตชักขาหนีทันทีโกรธจริงอะไรจริง
“แต่แนนนี่อยากจะแก้ตัว”
“งั้นก็ไปท่องหนังสือสอบ”
“แล้วพี่ภวัตจะยกโทษไม่โกรธแนนนี่ใช่มั้ยคะ” แนนนี่อ้อนทันที
“ยังบอกไม่ได้”
ภวัตเล่นแง่ แนนนี่ถอนใจด้วยความเซ็ง

ชิกเก้นในรูปร่างของภวัต ขับรถอย่างสะวี้ดสะว้าด ท่าทางหวาดเสียวเข้ามาในโรงพยาบาล ทั้งรถและคนหนีกันกระจาย ภวัตชิกเก้นอยู่ในรถชอบอกชอบใจอย่างยิ่ง
“เมี้ยว ! เมี้ยวๆๆๆๆ”
ภวัตขับรถเข้ามาเบรคจอดเสียงดังสนั่น ทุกๆ คนในบริเวณนั้นหันขวับมามอง ภวัตทำกิริยาของแมวมองซ้ายขวา เปิดประตูคลาน สี่ขาลงมา แล้วปิดเสียงดังปัง
เสียงบุษบาเรียกดังลอดเข้ามา “ภวัตคะ”
ภวัตชิกเก้นหันมามอง ไล่สายตาจากเท้า ขึ้นไปที่ขา เลยเรื่อยขึ้นไปจนถึงใบหน้าบุษบา
เห็นภวัตคลานสี่ขา บุษบาก้มลงมองอย่างงงๆ “นั่นคุณทำอะไรน่ะ”
ภวัตนิ่งคิดครู่หนึ่ง “หาของ ใช่ ผมทำของตก”
“อะไรตกคะ บุษจะช่วยหา...” บุษบาทำท่าจะทรุดตัวลงตาม
ภวัตชิกเก้นรีบลุกขึ้น “ไม่ต้อง ไปกันเถอะ”
“ค่ะ”
ทั้งสองเดินคุยกันขึ้นลิฟท์ไป โดยที่ภวัตชิกเก้นเกือบจะหลุดท่าแมวอยู่ตลอดๆ
ลิฟท์สำหรับผู้บริหารตัวนั้นพาทั้งสองคนมาหยุดอยู่ที่ชั้น 3
“บุษไปก่อนนะคะ” บุษบาออกจากลิฟท์ทำท่าจะเดินไป
“ไปไหน” ภวัตชิกเก้นไม่คุ้นกับโรงพยาบาล
บุษบาเริ่มงงๆ “ก็ไปห้องทำงานบุษน่ะซีคะ”
“ผมไปด้วย”
บุษบางงหนักเข้าไปอีก “ภวัต ... วันนี้คุณดูแปลกๆไปนะคะ”
ภวัตชิกเก้นรีบเอียงหน้ามากระซิบกระซาบ “อย่าบอกใครนะ ผมไม่รู้ว่าห้องทำงานผมอยู่ที่ไหน”
บุษบาจ้องภวัตครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
“น่ารักอ้ะ”
“เมี้ยว” ภวัตชิกเก้นร้องเสียงแมว
“โถ! เล่นมุกใหม่....อยากอยู่กับบุษตามลำพังใช่มั้ยล่ะคะ” บุษบาคิดไปโน่น
“เปล่า...ชิกเก้น เอ๊ย! ผมจำห้องทำงานไม่ได้...สงสัยว่าจะเป็นโรคความจำเสื่อมแบบไปกลับ”
“มีด้วยหรือคะ”
“ก็ที่ผมกำลังเป็นอยู่นี่ไง” ภวัตชิกเก้นบอก
บุษบาสงสัยมองภวัตเขม็ง เหมือนจะพยายามค้นหาความจริง

บุษบาพาภวัตมาส่งที่ห้องทำงานของเขา เปิดประตูเข้ามา ติดตามด้วยภวัต
“จำได้หรือยังคะ”
“ก็โอ.เค มั้ง...” ชิกเก้นในร่างภวัตมองกวาดตาไปทั่ว “...ไม่เห็นมีอะไรกินเลย”
“หิวหรือคะ”
“ฮื่อ”
“อยากทานอะไรล่ะ เดี๋ยวบุษจะให้แม่บ้านไปซื้อให้”
“ข้าวคลุกปลาทู”
บุษบาได้ยินชื่ออาหารถึงกับชะงัก
“ไม่เอาตัวเล็กๆ นะ”
บุษบาเดินไปที่โต๊ะ แล้วกดโทรศัพท์หาแม่บ้าน
“จะเอาน้ำพริก...” บุษบาหันมาแล้วสะดุ้ง
เป็นเวลาครบครึ่งชัวโมงตามที่แนนนี่ว่า บุษบาจึงเห็นชิกเก้นตัวเป็นๆ นั่งมองเธออยู่
“น้ำพริกไม่เอา”
บุษบาเป็นลมพับคาที่
“แค่นี้ก็เป็นลม นี่แมวนะไม่ใช่ผีสักหน่อย” ชิกเก้นบ่นอุบ

ภวัตกับแนนนี่ออกจากตะเกียงแก้ว เวลานี้อยู่ในห้องของแนนนี่ ภวัตยืนหันหลังให้แนนซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่
ภวัตยกนาฬิกาขึ้นดู
“ครึ่งชั่วโมงแล้วนี่”
ภวัตพูดไม่ทันขาดคำ ชิกเก้นกระโดดแผล็วเข้ามา
“ชิกเก้น” แนนนี่ดีใจ
“โฮ้ย! เกือบตาย” ชิกเก้นบ่น
“เป็นไงบ้างชิกเก้น” แนนนี่เอาแต่ถามจนภวัตท้วงขึ้น
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งคุยกัน ส่งพี่ไปทำงานก่อน”
“ได้เลยค่ะ”
แนนนี่ร่ายคาถาส่งภวัตไปโรงพยาบาลทันที โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้

ภวัตในชุดเจ้าชายแขกอาหรับปรากฏตัวขึ้นในห้องทำงาน แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นบุษบานอนสลบอยู่
“อ้าว! บุษ” ภวัตทรุดตัวลงประคองบุษบาขึ้นมา
“บุษ...บุษ”
เปลือกตาบุษบาขยับเล็กน้อย แล้วจึงลืมตาตื่นขึ้น บุษบาสะดุ้ง
“ภวัต”
บุษบาลุกนั่ง มองเสื้อผ้าชุดแขกแล้วมองหน้าภวัตเขม็ง
“ภวัต...ทำ...ทำไม...คุณ...เอ้อ...” บุษบามองเสื้อผ้าภวัตอยู่อย่างสงสัย
ภวัตเริ่มรู้ตัว ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองแล้วกุมขมับ
“แนนนี่ ...คืองี้!” ภวัตพยายามอธิบาย “...ผมลองสวมชุดนี้ดู”
“ทำไมต้องลองสวมชุดนี้ดูละค่ะ” บุษบาสงสัยไม่สร่าง
“คือ...แนนนี่เค้าขอร้องน่ะ...เขาแอบไปตัดชุดนี้ให้ปีเตอร์ไว้ใส่แสดงละคร” ภวัตพยายามหาเหตุผล แต่ยิ่งฟังไม่เข้าท่า
“แล้ว...ทำไมไม่ให้ปีเตอร์ลองเอง...อีกอย่าง...” บุษบาสงสัยอีก
ภวัตสีหน้าขรึมลง บุษบารู้สึกตัว
“บุษขอโทษค่ะ บุษไม่ควรละลาบละล้วง”
“ไม่เป็นไร”
บุษบาเดินไปที่ประตู ภวัตนึกได้เรียกไว้ “เดี๋ยวครับ”
บุษบาเบือนหน้ากลับมา
“คุณ ... คุณช่วย ...” ภวัตเหลือบตามองเสื้อผ้าตัวเองเป็นเชิงบอก
“คุณต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าใช่มั้ยคะ เดี๋ยวบุษจัดการให้เอง” บุษบารู้ทันที
“ขอบคุณมากครับ”
บุษบายิ้มให้แล้วเดินออกไป

บุษบาปิดประตูแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา บ่นพึมพำ
“ภวัตท่าทางจะเครียดมากจริงๆ”

เหตุการณ์ที่บ้านบ้านปัทมนพรเดินถือเครื่องไม้เครื่องมือทำความสะอาดผ่านหน้าห้องดารกา
พลันก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้น พรชะงักเท้า ค่อยๆ จับลูกบิดประตู แล้วเปิดออก พรสะดุ้งเฮือก เห็นดารกานั่งหันหลังให้
พรแปลกใจสุดๆ “คุณน้องดากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ...ทำไมพี่พรไม่ทราบ” พรร้องทัก
ดารกายังไม่หันมาแต่เอ่ยขึ้น “ไม่มีมนุษย์ที่ไหนรู้เห็นไปเสียทุกเรื่องหรอก”
จากนั้นดารกาค่อยๆ หันกลับมาแล้วลุกขึ้นยืน สีหน้าแววตาเยือกเย็นดูน่ากลัว ผสมน่าเกรงขาม
พรไม่เคยเห็นดารกาในสภาพนี้ ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยความรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกและหวาดหวั่น
พริบตานั้นดารกาก็กลับมายิ้มหวานให้ กลายเป็นดารกาปกติ
“ทำไมพี่พรทำหน้ายังงั้นล่ะจ๊ะ...ยังกับน้องดาเป็นผีแน่ะ”
“อุ๊ย! อย่าพูดอย่างนั้นค่ะ พี่พรแค่แปลกใจที่คุณดากลับมาโดยที่...”
ดารกายิ้มให้พูดสวน “ไม่มีใครรู้ใครเห็น”
“ค่ะ” พรยิ้มแห้งๆ
“น้องดาก็กลับมาตามปกตินั่นแหละ พอดีลืมหนังสือไว้”
“แล้วคุณดาจะกลับหอเลยหรือเปล่าคะ” พรถาม
“ไม่ละ...พอกลับมาบ้านแล้วรู้สึกสบ๊าย สบาย เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยกลับหอ เมื่อกี้น้องดาอยากให้พี่พรเห็นหน้าตัวเองจัง ...ตะ.ล้ก...ตลก!”
พรเริ่มหัวเราะออก “ก็พี่พรไม่เคยเห็นคุณดา ทำหน้าตาน่ากลัวยังงั้นนี่คะ...ว่าแต่คุณดาหิวหรือเปล่า”
“หิวจนจะกินพี่พรได้แล้ว” ดารกาสัพยอก
พรชะงัก ทำหน้าหวาดกลัวขึ้นมาอีก
“แหม...น้องดาล้อเล่นนะ ทำไมวันนี้พี่พรขวัญอ่อนจัง น้องดาจะเปรียบเทียบว่าน้องดาหิวมากๆ พี่พรช่วยไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเรือให้หน่อยเอาเนื้อสดนะ ไม่ต้องสุกมาก...เอามา 3 ชุด เผื่อปีเตอร์ 2 ชุด”
“คุณปีเตอร์จะมาที่นี่หรือคะ” พรแปลกใจร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นดารกาสนิมสนมกับปีเตอร์
“มาแล้ว...รออยู่ข้างล่างแน่ะ...” ดารกาหยิบแบงก์ใบละ 500 บาท ส่งให้พร “เอ้า! นี่จ้ะ พี่พรกับป้าผาดจะทานอะไรก็ซื้อเลยนะ”
“คะ...” พรยังงงๆไม่หาย
ดารกาเดินมาปิดประตู ใบหน้ายังคงยิ้มละมัย

แนนนี่ถูกภวัตดุเรื่องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ เวลานี้กำลังท่องหนังสืออย่างขมักเขม้นอยู่ในห้อง
“ท่าทางโจรจะกลับใจจริงๆ ซะแล้ว” ชิกเก้นพูดขึ้นมาลอยๆ
แนนนี่หันมาดุ “เงียบ! แนนนี่กำลังมีสมาธิ”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใครอีกล่ะ” แนนนี่บ่นพลางเดินไปเปิดประตู
พรรีบผลุบเข้ามา พรพูดเสียงเบา
“คุณดากลับมาแล้วค่ะ กลับมาอย่างเงียบเชียบ”
“อ้าว ! ไหนว่าจะค้างหอจนกว่าจะสอบเสร็จไง”
“เห็นเธอบอกว่าลืมของ แต่ที่แปลกที่สุดอยู่ตรงนี้ค่ะ...เธอนัดคุณปีเตอร์มาด้วย” พรตั้งข้อสังเกต
“ฮ้า! พี่พรฟังผิดหรือเปล่า”
“ไม่ผิดแน่ค่ะ”
แนนนี่เดินออกไป พรรีบตาม แล้วปิดประตู

แนนนี่เดินหน้างอเข้ามาในห้องรับแขก ขณะที่ปีเตอร์นั่งหันหลังให้ พรซึ่งตามมา เดินเลี่ยงออกไป
แนนนี่ท้าวสะเอวก๋า ร้องขึ้น “ปีเตอร์”
ปีเตอร์หันกลับมา แล้วลุกขึ้น
“สุรีย์สวัสดิ์ แนนนี่”
แนนนี่ได้ยินคำทักทาย ถึงกับชะงัก “ไปเอาคำพูดนี้มาจากไหน”
“คิดเอง...ก็ตอนนี้เป็นเวลาของดวงอาทิตย์” ปีเตอร์ว่า
“เรามีเรื่องต้องพูดกันเยอะ” แนนนี่จ้องหน้าปีเตอร์เขม็ง
ระหว่างนั้นมีเสียงดารกาดังลอดเข้ามาก่อนตัว “วันนี้ปีเตอร์เป็นแขกของพี่ดาจ้ะ”
แนนหันขวับไปมอง ดารกาซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแจ่มใส
แนนนี่มองสองคนสลับกัน ปีเตอร์ยักคิ้วให้
“พี่ดาไปสนิทสนมกับปีเตอร์มาตั้งแต่ครั้งไหน” แนนนี่ซักทันที
“ตายละ...แนนนี่ ...ปีเตอร์เป็นเพื่อนแนนนี่ ก็เท่ากับเป็นเพื่อนพี่ดาด้วยไงจ้ะ” ดารกาพูดยิ้มๆ
“ว่าไงปีเตอร์” แนนนี่หันมาทางปีเตอร์
“ว่าไงก็ว่าตามกัน” ปีเตอร์กวนใส่
“อย่ามาล้อเล่นกับแนนนี่นะ”
“กลัวจังเลย” ปีเตอร์ทำท่ากลัวแล้วค่อยหัวเราะ
แนนนี่โกรธจัด ดารการีบขัดขึ้น
“ใจเย็นๆ จ้ะ แนนนี่...พี่ดาจะเล่าให้ฟัง” ดารกาทำท่าจะเล่าที่มาที่ไป
“พี่ดา! ที่เห็นอยู่นี่ไม่ใช่ปีเตอร์ตัวจริง” แนนนี่สวนออกมา “มันกำลังหลอกลวงพี่ดาเหมือนที่หลอกลวงแนนนี่!”
ดารกามองปีเตอร์ ปีเตอร์ทำแบมือยักไหล่ว่าไม่รู้เรื่อง
“เมื่อวานแนนนี่เกือบตายก็เพราะมัน”
“แนนนี่ แนนนี่พูดอะไร ปีเตอร์ไม่รู้เรื่อง” ปีเตอร์โวยวาย
“ออกไปให้พ้นจากบ้านฉัน ไป๊”
ปีเตอร์ทำเงอะงะมองดารกา
“แนนนี่ .... ใจเย็นๆ” ดารกาพยายามปลอบ
“ไม่! ออกไปเดี๋ยวนี้”
“กลับไปก่อนเถอะ ปีเตอร์” ดารกาบอก
“ก็ได้” ปีเตอร์เดินออกไป
“พี่ดาต้องระวังตัวให้ดีนะคะ ปีเตอร์มีสองคน”
ดารกามองสบตาแนนนี่งงๆ

โป่งเปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านปัทมน แล้วชะงัก เมื่อเห็นปีเตอร์เดินออกมาจากตัวตึกบ้านปัทมน แล้วหายวับไป
โป่งเพ่งมองแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ บ่นพึมพำ
“คนเดี๋ยวนี้จะไปไหนมาไหนเขาใช้วิธีหายตัวกันแล้ว”
โป่งส่ายหน้าเดินอ้อมไปด้านหลัง

ดารกาจูงแนนนี่มานั่งด้วยสีหน้าจริงจัง แต่แฝงความอ่อนโยนเช่นเคย
“ไหน...มันเกิดอะไรขึ้น...แนนนี่ลองเล่าให้พี่ดาฟังซิ”
“แนนนี่เล่าไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ...ไม่ไว้ใจพี่ดาเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ...แต่เล่าไปพี่ดาอาจจะคิดว่าแนนนี่เป็นบ้า”
ดารกาปัดผมให้แนนนี่อ่อนโยน
“พี่ดาไม่เคย และจะไม่มีวันคิดอย่างนั้นเด็ดขาด”
แนนนี่มองท่าทีดารกาอย่างคลางแคลงใจ
“ทำไมมองพี่ดาอย่างนั้นล่ะจ๊ะ” ดารกาถาม
แนนนี่ลุกขึ้น “เพราะแนนนี่ไม่รู้จะไว้ใจใครได้แล้ว”
ดารกาลุกตาม “แต่แนนนี่ไว้ใจพี่ดาได้นะ”
“แนนนี่จะขึ้นไปท่องหนังสือละค่ะ”
แนนนี่ไม่ยอมตอบ เดินออกไป ดารกามองตาม สีหน้านิ่งสงบเรียบ แต่ดวงตาดูลึกลับและความคิดลึกล้ำ

แนนนี่เปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ได้ความว่ายังไงบ้าง”
“เดี๋ยวแนนนี่มานะ” แนนนี่ว่า
“จะไปไหนล่ะ” ชิกเก้นถาม
แนนนี่ไม่ตอบ ว่าคาถาแล้วหายตัวไป

จังหวะนั้นดารกาเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องแนนนี่ เหลือบมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครผ่านมา จึงเอื้อมมือมาจับลูกบิด เสียงลูกบิดดังเบาๆ แต่ชิกเก้นหูไว หันขวับมามองทันที
ดารกานั่นเองกำลังเปิดประตูห้องแนนนี่ ผลักออกแล้วเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา ประตูค่อยๆ ปิดตามหลัง ดารกากวาดตามองหาบางอย่าง

“ตะเกียงหายไปไหน” ที่แท้ดารกามองหาตะเกียงแก้ว
ในมุมมืดมุมหนึ่งในห้อง ชิกเก้นกอดตะเกียงไว้แน่น
“แนนนี่ต้องเข้าไปในตะเกียงอยู่แล้ว...แต่มันซ่อนตะเกียงไว้ที่ไหน”
ดารกาบ่นงึมงำก่อนจะลงมือค้น
ชิกเก้นกอดตะเกียงแน่น แนบลำตัวกับพื้น พยายามกลั้นหายใจ ดารกาค้นจนทั่วห้องแต่ไม่เจอ สีหน้าแววตาหงุดหงิดเอามากๆ ขณะหยุดยืนมองหา
สายตาดารกามองกราดเลยเรื่อยมาหยุดอยู่ตรงมุมที่ชิกเก้นซ่อนตัวอยู่ ดารกามองด้วยนัยน์ตาวาววับขึ้น
ชิกเก้นกอดตะเกียงแน่น
“พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วย”

ดารกาเดินตรงมาเรื่อยๆ ด้วยสีหน้านิ่งสนิท ขณะที่ชิกเก้นอยู่ในอาการหวาดหวั่น กลัว และลุ้นระทึกสุดชีวิต
ดารกาเดินมาหยุดตรงหน้าบริเวณที่ชิกเก้นแอบอยู่ข้างใต้ ชิกเก้นพยายามทำตัวลีบเล็กแนบพื้นให้มากที่สุด มองเห็นแค่ขาของดารกาซึ่งหยุดยืนอยู่

จังหวะนั้นดารกาค่อยๆ ย่อตัวก้มลง มองเข้ามาเห็นชิกเก้นนอนหมอบอยู่ จ้องมาตาแป๋ว
“เมี้ยว!” ชิกเก้นร้องอย่างเดียว
“เจ้านายเจ้าเขาไปไหนหรือชิกเก้น” ดารกาถาม
“เมี้ยว!”
“คงจะเอาตะเกียงน้อยๆ ไปด้วยละซี”
“เมี้ยว...เมี้ยว...เมี้ยว”
เมื่อไม่ได้เรื่องดารกาจึงลุกขึ้น...มองไปรอบห้องอีกครั้ง แล้วเดินออกไป
ชิกเก้นถอนใจเฮือกอย่างโล่งใจ ขณะที่ตะเกียงปรากฏขึ้นมา
“เฮ้อ! เกือบไป!”
“สงกะสัย สงกะสั๊ย น้องดาคนสวยเข้ามาในห้องแนนนี่ทำไม”
“อาจจะมาหาแนนนี่ แต่ชิกเก้นไม่ไว้ใจใคร เลยขอเอาตะเกียงมาแอบไว้ก่อน!” ชิกเก้นว่า
“โอ๊ย! น้องดาเขาคงไม่คิดจะขโมยตะเกียงหรืออะไรหรอกย่ะ ทั้งสวยทั้งรวยขนาดนั้น พูดจาก็เพราะ...” ตะเกียงแก้วเพ้อ
“นี่! อย่าไปพูดให้แนนนี่ได้ยินเชียวนะ มีหวังต้องระเห็จไปอยู่ที่เชียงกง”
“รู้แล้วละย่ะ” ตะเกียงแก้วบอกเสียงเชิดๆ

เวลาเดียวกันนั้นปีเตอร์นั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุ๊คภายในห้องที่คอนโดฯ แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่งข้างหลังปีเตอร์ และกำลังมองปีเตอร์อย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ปีเตอร์ทำงานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลอกตาไปมา ราวกับรู้ตัวว่าถูกใครบางคนจ้องมองอยู่ ปีเตอร์ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วหันหน้าโดยหมุนแค่คอกลับมามองข้างหลัง ทว่าบริเวณนั้นกลับว่างเปล่า
ปีเตอร์ตบหัวตัวเองอย่างแรง “...นี่แน่ะ...เสียเวลาหมุนหัวมั้ยเนี่ย”
บ่นเสร็จปีเตอร์ก็หมุนหัวกลับมาตามเดิม
แนนนี่ที่ย่อตัวเล็กจิ๋ว แอบอยู่ข้างเตียง ยื่นหน้าออกมาดูอย่างสังเวชใจที่เห็นปีเตอร์ถูกอสูรสิงร่างอย่างที่คิดไว้
“โธ่เอ๊ย ปีเตอร์ แนนนี่จะช่วยยังไงนี่”
แนนนี่ทอดสายตามองไปที่ปีเตอร์อย่างกลัดกลุ้ม

ช่วงเที่ยงวันนั้น ภวัตและบุษบานั่งทานข้าวด้วยกัน บุษบากำลังตักหมูวางในจานภวัต
“หมูเค้านุ้ม...ม นุ่มจังนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ภวัตขยับช้อนจะตักหมูชิ้นนั้น แต่ต้องสะดุ้งเฮือก “เย้ย!”
ที่แท้ภวัตเห็นหมูชิ้นนั้นกลายเป็นแนนนี่ ตัวเล็กๆ กำลังยกไม้ยกมือทักทายตัวเอง
“มีอะไรหรือคะ” บุษบาสงสัย
“อ๋อ ! เปล่า”
ภวัตเสยกแก้วน้ำจะดื่ม แต่แล้วกลับเห็นเป็นแนนนี่นอนคว่ำท้าวคางแทนที่น้ำแข็งในแก้วซะงั้น
“แนนนี่เก่งมั้ยคะที่หาพี่ภวัตเจอ” แนนนี่ในแก้วว่า
ภวัตวางแก้วน้ำลง รวบช้อนอย่างสงบ หน้าตาหมดความอยากทานอาหารโดยสิ้นเชิง
“เป็นอะไรไปคะ” บุษบาถาม
“ผมอิ่มแล้ว” ภวัตเหลือบมองในจานข้าว เห็นแนนนอนแทนที่หมู
“อุ๊ย! คุณเพิ่งรับประทานไป 2-3 คำเองนะคะ”
ภวัตเหลือบมองแนนนี่แว่บหนึ่ง “ผมกินไม่ลง ...เอ้อ...คือ...มันรู้สึกจุกขึ้นมากระทันหันน่ะครับ...คุณบุษทานต่อเถอะ .. ผมรอได้”
“คุณอิ่ม...บุษก็อิ่มค่ะ” บุษบายิ้มหวาน
“โฮ้ย! อะไรจะเหมือนกันขนาดนั้น!” แนนนี่พูดเสียงดัง
บุษบาสะดุ้ง “เอ๊ะ ภวัต...ได้ยินใครพูดอะไรแถวๆ นี้มั้ยคะ”
“คงจะเป็นโต๊ะอื่นน่ะครับ” ภวัตรีบกลบร่องรอย
“แปลกจัง...บุษได้ยินใกล๊ ... ใกล้”
ภวัตถลึงตาดุแนนนี่หน้าตาขึงขัง จนแนนนี่หน้าจ๋อย

ภวัตเดินเข้ามาในห้องพักอย่างอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ล็อคประตู แล้วภวัตเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ออกมาซะดีๆ แนนนี่”
แต่ทุกอย่างยังเงียบสนิท
ภวัตเสียงเข้มขึ้นอีก “ยังอีก”
ในที่สุดแนนนี่ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าภวัต ทำหน้าจ๋อยๆ
“มันจะมากไปแล้ว...นึกยังไง...”
แนนนี่รีบขัดจังหวะขึ้น “แนนนี่มีเรื่องด่วนต้องปรึกษาพี่ภวัตค่ะ”
“เอาไว้ให้พี่กลับบ้านก่อนก็ได้”
“โอ๊ย! ขืนรอถึงป่านนั้น มันก็ไม่เรียกว่าเรื่องด่วนแล้วละค่ะ”
แนนนี่ฮึดฮัด ส่วนภวัตหงุดหงิดเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ แนนนี่เดินมาคุกเข่าลงข้างๆ
“อสูรมันพยายามจะยึดร่างปีเตอร์” แนนนี่พูดเสียงเศร้า
ภวัตผินหน้ามามอง แนนนี่พูดต่อน้ำเสียงกังวลสุดๆ
“แนนนี่เป็นห่วงปีเตอร์มากเลย”
ภวัตไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหึง จึงทำท่าหมางเมินเล็กๆ ขณะพูด
“เธอมาผิดที่แล้ว นี่เป็นโรงพยาบาลรักษาโรคภัยไข้เจ็บมนุษย์ ไม่ใช่สถานที่ปรึกษาปัญหาหัวใจของพวกแม่มดหรืออสูร!”
“แล้วทำไมพี่ภวัตต้องโกรธแนนนี่ด้วย”
ภวัตอึ้งไป
“แนนนี่แค่ต้องการคำปรึกษา...ปีเตอร์ต้องเป็นอย่างนี้เพราะแนนนี่...ถ้าเขาเป็นเพื่อนคนธรรมดา ก็คงไม่ต้องกลายเป็นที่สิงของอสูร”
ภวัตนิ่งไปครู่หนึ่ง “อสูรกลัวอะไรบ้างล่ะ”
แนนนี่นิ่งคิด “เอ...ไม่ทราบซิคะ”
“ลองไปปรึกษาคุณยายดู ถ้ารู้แล้วก็เอาสิ่งนั้นให้ปีเตอร์ติดตัวไว้” ภวัตพูดเป็นงานเป็นการ
“จริงด้วย! พี่ภวัตเก่งจัง แนนนี่ไปก่อนนะคะ”
แนนนี่ดีใจร่ายมนตร์แล้วหายตัวแว้บไป ภวัตถอนใจยาว เอนหลังพิงพนัก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

พอกลับมาที่ห้อง แนนนี่ได้รู้เรื่องที่ดารกาแอบเข้ามาในห้องตอนที่ตัวเองไม่อยู่ก็ปรี๊ดทันที
“ยัยพี่ดาน่ะเหรอเข้ามาในนี้”
“ประมาณนั้นแหละ” ชิกเก้นว่า
“จะขโมยเงินน่ะซิ...แนนนี่ยังติดใจไม่หายว่าเขาพยายามใส่ร้ายป้ายสีแนนนี่! จะต้องไปถามให้นายข้องใจ”
แนนนี่เดินไปที่ประตู
“ยู้ด ....ด หยุดก่อน” ตะเกียงแก้วกับชิกเก้นบอกพร้อมกัน
แนนนี่หันมามอง
“ถ้าเธอไปต่อว่า คุณน้องดาก็จะต้องสงสัยทันทีว่าใครบอก”
“โฮ้ย! เขาไม่สงสัยแมวกับตะเกียงร้อก” แนนนี่ไม่สน
“แต่ในห้องนี้ไม่มีใครนอกจากแมวแล้วก็ตะเกียง”
แนนนี่นิ่งคิดตามคำพูดชิกเก้น
ดารกาลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งท่องหนังสืออยู่แล้วเดินมาที่หน้าต่าง มองไปเห็นแนนนี่นั่งเล่นอยู่ในสวน ดารกามองเขม็ง แนนนี่ค่อยๆ ปรายตาขึ้นมอง ดารกาจึงค่อยๆ ถอยหลังเดินกลับเข้าไป สีหน้าแนนนี่มีแววเยาะเย้ยนิดๆ

ปัทมนและธานีนั่งโต๊ะเรียบร้อย เตรียมรับประทานอาหาร
“น้องดากับแนนนี่ยังไม่ลงมาอีก” ธานีเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวน้าผาดจะให้พรไปตามนะคะ” ผาดบอก
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ...เดี๋ยวก็มาเอง...รู้ๆ เวลากันแล้ว” ปัทมนว่า
ครู่เดียวเท่านั้นเองดารกาก็เดินเข้ามา
“น้องดาขอโทษค่ะ ที่ลงมาช้า มัวแต่ดูหนังสือเพลิน”
แนนนี่เดินเข้ามา แล้วก้มหน้าลงสูดกลิ่นอาหาร ท่ามกลางสีหน้าขวาง แกมเอ็นดูของธานีและปัทมน
ดารกามองสายตาของทั้งสอง พลางเม้มปากอย่างอิจฉา แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม
“แนนนี่ก็เพิ่งลงมา คงท่องหนังสือหนักเหมือนกันใช่มั้ยจ๊ะ...คุณแม่ขา...น้องดากับแนนนี่ตกลงกันว่า เราจะเรียนหนังสือแข่งกัน”
“ใครไปตกลงกับพี่ดา” แนนนี่สวนขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า
ดารกาหน้าเสีย “แนนนี่”
“แนนนี่ แม่ฟังมานานแล้วนะ! นั่งลง”
แนนนี่ถลึงตาใส่ดารกา ซึ่งดารกาหลบตาลงเหมือนกลัวๆ
“ยังอีก” ปัทมนเอ็ด
นั่นเองแนนนี่จึงทรุดตัวลงนั่งอย่างกระแทกกระทั้น
“แนนนี่ ลุกขึ้นแล้วนั่งลงใหม่ จะมาทำกระฟัดกระเฟียด ใส่คุณแม่ไม่ได้”
เจอธานีดุอีกคน แนนนี่กัดปาก
“แนนนี่ ...พี่ดารู้ว่าแนนนี่ไม่ได้ตั้งใจ” ดารกาแทรกขึ้น
แนนนี่เก็บอารมณ์ไม่อยู่ลุกพรวดขึ้น “พอที!”
ดารกาทำหน้าเสียใจสุดๆ
“ไม่ต้องทำมาแอ๊บดีหรอก! แค่นี้แนนนี่ก็เลวจะแย่อยู่แล้วในสายตาของทุกๆ คน”
พูดจบแนนนี่ก็เดินออกไปอย่างฉุนๆ
“ดู๊! สะบัดบ๊อบเดินออกไปเลย” ธานีหน่าย
ปัทมนซึ่งนั่งฟังอย่างสงบลุกขึ้น
“คุณแม่จะไปไหนคะ ยังไม่ได้ทานข้าวเลย”
“แม่จะไปดูแนนนี่หน่อยจ้ะ”
ปัทมนเดินออกไป ธานีส่ายหน้า
“โถ...คุณแม่” ดารกาเอ่ยออกมา

แนนนี่น้ำตาไหลวิ่งซอยเท้าขึ้นบันไดไป ขณะที่ปัทมนเดินกึ่งวิ่งรีบตาม
“แนนนี่”
แนนนี่หยุดเดิน ปัทมนเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าและแววตาอ่อนโยนเช่นเคย
“คุยกับแม่หน่อยได้ไหมลูก”
แนนนี่พยักหน้าทั้งน้ำตา ปัทมนจูงลูกเดินไปที่ห้อง แล้วเปิดประตูเข้าไป

ปัทมนจูงแนนนี่มานั่งลงด้วยกัน
“แนนนี่เป็นอะไรหรือลูก”

“เปล่าค่ะ” ทว่าน้ำตากลับยิ่งไหล “...แนนนี่ไม่ได้ตั้งใจจะกระฟัดกระเฟียดใส่คุณแม่...แนนนี่รักคุณแม่”
ปัทมนรั้งตัวโอบกอดแนนี่ไว้ “แม่รู้ลูก .... แม่รู้ ...”
“แต่แนนนี่เกลียดพี่ดา แนนนี่ไม่รู้ว่าทำไม...แต่แนนนี่ไม่ชอบพี่ดา” แนนนี่ระบายเสียงสั่น
“จุ๊ …จุ๊ ... ไม่เอาลูก ... แนนนี่กับพี่ดาเป็นพี่น้องกัน ...ต้องรักกันซิจ้ะ แม่เชื่อว่าพี่ดาเขารักแนนนี่” ปัทมนปราม
“แต่แนนนี่ไม่เชื่อ”
“แม่อยากให้แนนนี่ค่อยๆดูพี่ดา...อย่ามีอคติ แล้วจะรู้ว่า พี่ดาเขาไม่มีอะไรเลย แต่เขาอาจจะจู้จี้กับแนนนี่มากเกินไป...แล้วแม่จะพูดกับเขาให้นะลูกนะ”
ฟังปัทมนพูด คราวนี้แนนนี่นิ่งไป ปัทมนมองหน้าแล้วถามขึ้นมา
“ก่อนนอนสวดมนต์หรือเปล่า”
“สวดค่ะ”
“ดีแล้ว...พระพุทธคุณจะได้คุ้มครองรักษาแนนนี่ของแม่”
ปัทมนลูบผมลูกสาวนอกไส้อย่างเมตตาและรักใคร่

เวลาผ่านไปแล้ว อีกหลายวัน
ค่ำวันนี้ภวัตทำตามสัญญาที่ให้ไว้ พาดารกาไปเลี้ยงหลังสอบเสร็จ ทั้งคู่อยู่ภายในร้านอาหารเงียบๆ หรู แห่งหนึ่ง
ภวัตตักอาหารใส่จานดารกา
“ขอบคุณค่ะ...น้องดามีของขวัญวันเกิดชิ้นใหม่ให้พี่ภวัตด้วยละ”
“ทำไมจะต้องซื้อมาอีก”
“ไม่ได้ซื้อค่ะ...น้องดาทำเอง”
“พี่ก็มีของขวัญให้น้องดาเหมือนกัน..ตามสัญญาที่น้องดาได้เกรด 4 ไง”
ดารกาฟังแล้วมีสีหน้าแววตาแจ่มใส รีบไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ...น้องดาดีใจที่พี่ภวัตไม่ลืม...”
ดารกาพูดแค่นั้นก็ชะงัก ภวัตมองแล้วหันไปตามสายตาดารกา
ทั้งคู่เห็นแนนนี่กำลังเดินตรงมาด้วยสีหน้าแจ่มใส ในมือถือถุงใส่ดอกกุหลาบสีแดงกับสีขาวดอกใหญ่อย่างละดอก
“รู้ได้ยังไง” ภวัตงง
ไม่ต้องรอให้ใครเชิญแนนนี่ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง แล้วส่งดอกไม้ให้ภวัต “แฮปปี้ เบิร์ธเดย์ ค่ะ”
ขณะแนนนี่คุยกับภวัต ดารกามีสีหน้าขุ่นมัว แต่ไม่มีใครเห็น
“ดอกกุหลาบสีขาวคือตัวแทนของความรักอันบริสุทธิ์ ส่วนสีแดงคือความรักที่ร้อนแรง” แนนนี่เสริม
“แก่แดด”
ดารกายิ้มเยื้อนอย่างใจดี “แล้วความรักของแนนนี่เป็นแบบไหนจ๊ะ”

แนนนี่หันมาแล้วทำเป็นเพิ่งสังเกตเห็น “อุ๊ยตาย! พี่ดานั่นเอง My sweet little sister! แนนนี่ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ..เลยเชิญตัวออกมาซะเลย หิวจัง!”
บริกรมองอยู่ เดินเข้ามาตักข้าวให้แนนนี่
“ไม่โกรธกันนะคะ พี่ดา”
“โกรธเรื่องอะไรจ๊ะ”
“ก็เรื่องที่แนนนี่ตามมาขอรับเลี้ยงจากพี่ภวัตด้วยน่ะซีคะ”
“พี่ดาเขาไม่ขี้อิจฉาเหมือนเราหรอก” ภวัตว่า
“แหวะ! น้อยไปน่ะซีคะ”
ดารกาทำหน้าตกใจมองแนนนี่แล้วมองภวัต
“ถ้ายังแขวะน้องดาอีก พี่จะเชิญให้ออกไป” ภวัตเอ็ด
แนนนี่เม้มปาก ถือช้อนตักอาหารจะเข้าปากค้าง
ดารกาทำสีหน้าบริสุทธ์ใจขณะถามออกมา
“พี่ดารายงานพี่ภวัตไปแล้วว่าได้เกรด 4 แนนนี่ล่ะจ๊ะบอกพี่ภวัตหรือยัง”
แนนนี่จ้องดารกาเขม็ง
“ว่าไง” ภวัตถาม
“แนนนี่ก็ได้เกรด 4 เหมือนกัน” แนนนี่เชิดหน้า
“จริงหรือ”
“ค่ะ ก็เอา 2 เทอมรวมกันไงคะ”
ภวัตมองแนนนี่แล้วส่ายหน้า
ในขณะที่นัยน์ตาดารกาเหมือนจะมีแววเยาะเย้ย ผุดขึ้นมาแว่บหนึ่ง

ครู่ต่อมาดารกาออกจากห้องน้ำในชุดนอนแล้วเดินมาแปรงผม มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ดารกาเดินมาเปิด
“อ้าว แนนนี่” ทั้งคู่คุยกันที่หน้าห้องดารกา
“ทำไมต้องถามเกรดแนนนี่ต่อหน้าพี่ภวัตด้วย” แนนนี่ใส่ทันที
ดารกาทำหน้าใสซื่อใส่ “อ้าว ! ทำไมล่ะจ๊ะ พี่ไม่คิดว่าจะเป็นความลับ”
“พี่ดาต้องการจะหักหน้าแนนนี่”
“ตายจริง! ทำไมแนนนี่ถึงได้เข้าใจอย่างนั้น”
แนนนี่หมั่นไส้เต็มทีจับคางดารกาบีบ ดารการ้องเสียงดัง “โอ๊ย!”
ธานีได้ยินเสียงร้องนั้น เปิดประตูออกมา
“อะไรกัน”
ธานีเห็นแนนนี่ยังคงบีบคางดารกาอยู่
“แนนนี่ ปล่อยพี่ดาเขาเดี๋ยวนี้”
แนนนี่เอามือออก ดารกาน้ำตาไหล
“ขอโทษพี่ดาเขาเดี๋ยวนี้” ธานีสั่ง
ดารการีบบอก “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ธานี...น้องดาผิดเองที่ไปถามเกรดแนนนี่ต่อหน้าพี่ภวัต”
แนนนี่ได้ฟังก็ยิ่งอัดอั้นตันใจสุดๆ “โอ๊ย”
“แนนนี่” ธานีปราม
“ดีเหลือเกิ๊น ประเสิรฐสุดๆ”
พูดแค่นั้นแนนนี่ก็กระแทกเท้ากลับเข้าห้อง ดารกาทำหน้าตื่นๆ มองตาม ขณะที่ธานีส่ายหน้าระอาใจ

ภวัตนั่งมองกุหลาบ 2 ดอกในมืออยู่ภายในห้องนอน จังหวะนั้นภาพแนนนี่ก็เข้ามาในห้วงความคิด
“ดอกกุหลาบสีขาวคือตัวแทนของความรักอันบริสุทธ์...ส่วนสีแดงคือความรักที่ร้อนแรง”
นึกถึงตรงนี้สีหน้าภวัตยุ่งยากใจ
“เด็กอะไร!”
จู่ๆ เสียงกระแอมของแนนนี่ดังขึ้น “อะ แฮ้ม”
ภวัตสะดุ้งเฮือก ดอกกุหลาบหลุดจากมือลงพื้น
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะ แนนนี่ช่วยเก็บให้”
แนนนี่รีบว่าคาถาให้ดอกกุหลาบลอยกลับขึ้นมาอยู่ในมือภวัตใหม่
ภวัตเดินมาวางกุหลาบลงบนโต๊ะเหมือนไม่ใส่ใจ
แนนนี่นิ่วหน้า “วางทำไมคะ! ต้องถือไว้ซิ นั่นของขวัญสุดพิเศษจากแนนนี่นะ”
“เรามีเรื่องต้องพูดกัน”
แนนนี่ยิ้มหวานทันที “อ๋อ...รู้แล้ว พี่ภวัตจะขอบใจแนนนี่สำหรับดอกกุหลาบที่แสนจะถูกใจใช่มั้ยคะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...แนนนี่น่ะ...”
แนนนี่พูดไม่ทันจบ ภวัตก็สวนขึ้นเสียงเย็นชา “พอได้แล้ว”
แนนนี่อ้าปากทำหน้าเหวอ
“พี่สัญญากับน้องดาว่า สอบเสร็จจะพาไปเลี้ยงวันเกิดพี่ย้อนหลัง แล้วทำไมเราต้องเข้ามาแทรก”
“ก็เพราะว่าแนนนี่อยากจะมา ถ้าแนนนี่อยากจะทำอะไรก็จะทำ ไม่มีใครบังอาจมาห้ามได้” แนนนี่ตั้งท่าเถียง
“แม้แต่ในสิ่งที่ไม่สมควรทำ หรือผิดกาลเทศะยังงั้นหรือ”
“อาจจะผิดกาละเทศะของคนอื่น แต่ว่าถูกของแนนนี่ก็แล้วกัน”
“ดื้อ! ดันทุรัง! เอาแต่ใจตัว ขี้อิจฉา” ภวัตใส่แนนนี่เป็นชุด
แนนนี่สวนทันทีด้วยความน้อยใจ “ก็แนนนี่เป็นอสูรนี่คะ...พี่ภวัตจะเอาอะไรกับอสูร
“เธอจะทำดีก็ได้...แต่ไม่ยอมทำเองต่างหาก” ภวัตเยาะแกมหยัน
“เปล่าค่ะ! แนนนี่มันเลวตามเผ่าพันธุ์ต่างหาก มีใครเคยได้ยินว่าพวกอสูรดีบ้าง รามสูรก็พยายามจะแย่งลูกแก้วของเมขลาอย่างไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ แล้วยังมี...”
“ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น” ภวัตเสียงเขียว
“ก็ดี เพราะแนนนี่ก็จะมาพูดเรื่องของเรา ต่อไปนี้ห้ามพี่ภวัตเจ๊าะแจ๊ะกับยัยพี่ดาหรือเจ๊บุษบานั่นเด็ดขาด เพราะพี่ภวัตเป็นของแนนนี่คนเดียว” แนนนี่บอกเสียงจริงจัง
“เข้าใจเสียใหม่ว่า พี่ไม่ได้เป็นของใคร...โดยเฉพาะเธอ” ภวัตตอกกลับ
แนนนี่โกรธจัดจนตาพอง เสียงดังลั่น “อย่ามาเถียง”

จังหวะนั้น รัดเกล้าเดินฮัมเพลงมาใกล้ถึงหน้าห้องภวัต แล้วชะงัก ได้ยินพี่ชายคุยกับใครออยู่
“มันจะมากไปแล้ว” เสียงภวัต
“เอ๊ะ บอกว่าอย่าเถียง” เสียงใครบางคน
“กลับไป”

รัดเกล้าเคาะประตูร้องถามดังลอดเข้ามาในห้อง “พี่ภวัตคะ...นั่นคุยอยู่กับใคร”
ภวัตสะดุ้ง แล้วเสียงเบาลง แต่ยังเด็ดขาด “กลับไป”
แนนนี่ลอยหน้า “ยังไม่กลับจนกว่า...”
“พี่ภวัต ! เปิดประตูหน่อยค่ะ” เสียงรัดเกล้าเรียกซ้ำ พลางเคาะประตูอยู่หน้าห้อง
“แนนนี่…ไม่ได้ยินเรอะไง” ภวัตบอก
แนนนี่ทำเป็นยื่นหน้ามากระซิบกระซาบ “ได้ยิน...แต่พี่ภวัตต้องบอกว่า รักแนนนี่ก่อน ไม่อย่างนั้น แนนนี่จะเปิดประตูให้พี่ดาเข้ามา”
แนนนี่ยกมือขึ้นเตรียมร่ายคาถา ในขณะเดียวกันรัดเกล้ายังคงเคาะประตูเรียกพี่ชายไปเรื่อยๆ
“โอเพ่นเ .... ซาชิเม ...โอ” / “พี่ภวัต...พี่ภวัต..พี่ภวัตเปิดประตูหน่อยค่ะ”
ภวัตรีบคว้ามือแนนนี่เอาไว้
“ก็ได้! พี่รักแนนนี่”
“พี่รักแนนนี่เฉยๆ คำว่า “ก็ได้” ไม่เอา” แนนนี่บังคับ
“พี่รักแนนนี่” ภวัตบอก
“ก็เท่านั้นแหละ”
สมใจแล้วแนนนี่ร่ายคาถาหายตัวไป ภวัตถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วเดินมาเปิดประตู ในขณะที่บนโต๊ะปรากฏแจกันสวยๆ แล้วมีกุหลาบ 2 ดอกลอยเข้าไปปักในนั้น

รัดเกล้ารีบเดินพรวดเข้ามา กวาดสายตาสำรวจไปทั่วบริเวณห้อง ภวัตมองตาม









Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 10:53:04 น.
Counter : 490 Pageviews.

0 comment
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 13 (ต่อ)


เวลาเดียวกันนั้นไชยกำลังเปิดประตูจะออกไป ในขณะที่ภวัตปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง ภวัตสะดุ้ง แล้วตั้งท่าจะรีบหลบแอบใต้โต๊ะ แต่เท้าดันไปเตะเข้ากับเก้าอี้โครมใหญ่ นิ่วหน้าร้องลั่นด้วยความเจ็บ

“โอ๊ย”
ไชยหันขวับมา อ้าปากค้างประหลาดใจสุดๆ
“หมอภวัต”
ภวัตยิ้มแห้งๆ ขณะค่อยๆ ลุกขึ้น ภวัตรีบไหว้อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น “สวัสดีครับหมอ”
“คุณหายไปไหนมา แล้วมาได้ยังไง”
“ก็....ก็ มาได้ยังงี้แหละครับ” ภวัตบอกหน้าตาเฉย
“มีคำอธิบายที่ชัดกว่านี้มั้ย” ไชยยังคาใจ
“คง ... คงไม่มีครับ”
“ไม่มี”
“ครับ...ไม่มี”
ไชยกุมขมับเปิดประตูเดินออกไป ภวัตกวาดตามองไปรอบห้อง สัมผัสและรับรู้ถึงพลังบางอย่างภายในห้อง
“คุณยาย! ผมรู้นะว่าคุณยายอยู่ในนี้”

ทางด้านไชย พอเดินไปได้ 2-3 ก้าวแล้วก็หยุดชะงัก
“หรือเมื่อกี้จะตาฝาด”
ไชยตัดสินใจเปิดประตูห้องภวัตเข้าไปใหม่

ภวัตกำลังเล็งหาทาฮิร่า ต้องชะงักเมื่อหันมาเจอไชยพอดี ไชยมองภวัตอึ้งๆ ภวัตพยายามอธิบาย
“คือ...อยู่ดีๆ ผมเกิดคิดถึงคุณยายขึ้นมาน่ะครับ...ก็...ก็เลยลองเรียกท่านดู”
ไชยมองภวัตแปลกๆ แล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้น “หมอ....ผมว่า เราคงต้องคุยกันเสียแล้ว”
“ได้....ได้ครับ”
“การเอาใจใส่คนไข้เป็นเรื่องที่ดี...แต่ไม่ควรหมกมุ่นจนเกินไป ไม่อย่างนั้นหมออาจต้องเปลี่ยนสถานะเป็นคนไข้แทน”
“ครับ” ภวัตรับคำ
ไชยเดินออกไป แล้วหันขวับมาใหม่ ภวัตรู้แกวรีบยิ้มสดชื่นให้ ไชยมองอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ แล้วก้าวออกไป ปิดประตู
ภวัตรีบตามไปล็อค แล้วหันกลับมา สะดุ้งเฮือก เพราะทาฮิร่านั่งไขว่ห้างวางท่าเก๋อยู่บนโต๊ะทำงานภวัตเรียบร้อย
“เธอเรียกฉันทำไม นายภวิต”

ไชยเดินตรงไปที่ลิฟท์ บ่นงุบงิบอยู่คนเดียว
“ยัยบุษจะรักคนผิดเสียก็ไม่รู้”

“คุณยายทำให้หมอไชยเข้าใจผมผิด”
“ฉันช่วยไม่ให้เธอต้องผจญกับรถติดยังไม่ดีอีกเรอะ” ที่แท้เป็นทาฮิร่าที่พาภวัตหายตัวมาที่นี่
“ได้โปรดเก็บความหวังดีของคุณยายไว้ในตู้เหล็กแล้วใส่กุญแจให้แน่นหนาด้วย จะเป็นการดีที่สุดสำหรับผมเลยครับ”
“ฉันเป็นแม่มดใจบุญ”
“แต่คุณยายทำให้ผมเหมือนคนบ้าในสายตาของคนอื่น” ภวัตบ่นอุบ
“นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ทาฮิร่าพูดจบ แล้วหายแว้บไป
“มันน่าให้ลืมเวทมนตร์บ่อยๆ นัก” ภวัตบ่นอยู่คนเดียว

ส่วนไชยเดินตรงมาที่ห้องทำงานบุษบาเพื่อบอกเรื่องภวัต บุษบานั่งอยู่ มีผ้าพันข้อเท้าที่แพลงเมื่อวันก่อนอยู่
“พี่ไชยจะให้บุษเข้าใจว่า ภวัตเป็นโรคจิตหรือคะ”
“เฮ่ย! ใช้คำนั้นมันแรงไป เอาแค่ว่าเริ่มจะเพี้ยนๆ ดีกว่า” ไชยว่า
“แต่บุษไม่เคยเห็นเขาเพี้ยนเลย! ภวัตเป็นผู้ชายที่ เพอร์เฟ็คท์ทุกอย่าง”
“คนที่แอบอยู่ในห้องไม่ให้ใครเห็น...คนที่อยู่ดีๆ ก็ตะโกนเรียกญาติผู้ใหญ่ขึ้นมาเนี่ยนะเพอร์เฟ็คท์”
“พี่ไชยอาจเข้าใจอะไรผิด”
“พี่ก็ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างนั้น เสียดายหมอดีๆ”
บุษบาเม้มปาก มองหน้าไชยอย่างไม่พอใจ

แนนนี่นอนซึมอยู่บนเตียง หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วปัทมนก็เดินเข้ามาพร้อมถาดวางชามบะหมี่น้ำร้อนๆ พร้อมชาใส่นมเย็น
ปัทมนวางของลงบนโต๊ะ “แนนนี่...ลุกขึ้นมาทานบะหมี่น้ำหน่อยลูก แล้วค่อยนอนต่อ”
“แนนนี่ไม่หิวค่ะ...” แนนนี่ ลุกขึ้นนั่ง
“ไม่หิวก็ทานสักนิดนะลูกนะ จะ 5 โมงอยู่แล้ว...กลางวันลูกก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
แนนนี่นิ่งไปครู่หนึ่ง “คุณแม่”
ปัทมนลงนั่งใกล้ๆ “ว่ายังไงลูก”
“ตกลงแนนนี่เป็นอะไรกันแน่ค่ะ...จะบอกว่าเป็นแม่มด...แต่ก็ถูกพวกแม่มดตามล่า...ครั้นจะบอกว่าเป็นอสูร...อสูรก็จับตัวไปจะฆ่าเหมือนกัน...แนนนี่คงเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครต้องการ!”
ปัทมนไม่ใส่ใจคำพูดพร่ำแกมน้อยใจนั้น กอดแนนนี่ไว้แน่น “แนนนี่เป็นลูกรักของแม่ไงจ๊ะ”
“แนนนี่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร...พ่อแม่อยู่ที่ไหน”
ปัทมนจับหน้าแนนนี่ให้หันมองมา “ฟังแม่ให้ดีนะ แนนนี่..แม่เคยทำอะไรให้หนูรู้สึกน้อยอกน้อยใจ หรือเปล่า”
แนนนี่ส่ายหน้าน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ
“แม่เคยแสดงสักนิดว่าไม่รักหนู หรือว่า รักหนูน้อยกว่าคนอื่นไหม!”
แนนนี่กอดแม่ร้องไห้ “ไม่เลยค่ะ!”
“แค่นี้ไม่พอหรือลูกที่จะพิสูจน์ว่าหนูเป็นลูกแม่”
แนนนี่ส่ายหน้าร้องไห้กับอกแม่
“งั้นก็สัญญากับแม่ซีว่า หนูจะไม่คิดมากอีกแล้ว เพราะหนูเป็นลูกของแม่”
แนนนี่ยังคงร้องไห้ ปัทดึงทิชชูมาเช็ดน้ำตาให้
“จะสอบอยู่วันสองวันนี้แล้ว ตั้งใจดูหนังสือดีกว่า...อย่าเอาเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระเลยนะจ๊ะ”
แนนนี่พยักหน้า
“ทานบะหมี่ก่อน แล้วจะนอนพักสักหน่อยก็ได้...ตื่นมาค่อยดูหนังสือต่อ”
“ค่ะ”
แนนนี่ลุกจากเตียงไปนั่งโต๊ะหนังสือ ซึ่งแม่วางถาดอาหารไว้ให้ ปัทมองตามสีหน้าเป็นกังวล

จู่ๆ ชิกเก้นก็ร้องเรียกหานายหญิง “คุณยาย!” ทั้งคู่อยู่ที่บ้านทาฮิร่าในเมืองมนุษย์ ทาฮิร่าหันกลับมามอง
“เหตุการณ์วันนี้อาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า แนนนี่ไม่ใช่อสูร!”
“แกก็รู้ว่า ฉันอยากให้เป็นอย่างนั้นใจจะขาด! แต่มันก็มีข้อขัดแย้งตลอด!” ทาฮิร่ายังไม่แน่ใจ
“งั้นคุณยายก็ยังคงเชื่อว่า แนนนี่เป็นอสูร!”
“แล้วแกจะอธิบายยังไง ถึง เหตุอาเพศต่างๆและคำทำนายของท่านผู้นำในวันนั้น!...วันที่ 9 เดือน 9 น่ะ!”
“นั้นซินะ…” ชิกเก้นเว้นไปนิดหนึ่ง “นอกจากว่าจะมีเด็กมาเกิดขึ้นอีกคน...และเด็กคนนี้คือทายาทอสูรตัวจริง!” ชิกเก้นว่า
“งั้นแนนนี่ละเป็นใคร มาจากไหน ที่สำคัญเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมถึงต้องเอามาทิ้งไว้หน้าบ้านฉัน!”
“ปวดหัว” ชิกเก้นบ่น
ทาฮิร่านิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่ถ้าแนนนี่เป็นอสูร ทำไมจึงถูกอสูรจับไป”
“คุณยายคิดไปคนเดียวเถอะ ชิกเก้นไปละ”
ชิคกระโดดแผล็วออกไป

เวลาเดียวกันบาบาร่าตื่นนอน บิดตัวเล็กน้อย บาบาร่าก้าวลงจากเตียง เกือบเหยียบไทเกอร์
“เฮ้! ระวังหน่อยซิ คุณยายบา”
“แล้วใครใช้ให้แกมานอนตรงนี้ล่ะ นี่ฉันหลับไปนานมั้ยเนี่ย”
“ก็ตั้งแต่เจ้าของบ้านไปทำงานนั่นแหละ”
“ฮ้า! นานขนาดนั้นเชียวเรอะ” บาบาร่าประหลาดใจ
“ไม่รู้สึกตัวเสียด้วย” ไทเกอร์ย้ำ
“ต้องออกไปเสนอหน้าเสียหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าขี้เกียจ”
บาบาร่าผลักประตูเดินออกไป

บาบาร่าเดินออกมา แล้วหยุดชะงักมอง เห็นโป่งนั่งแหงนมองฟ้าพูดอยู่คนเดียว
บาบาร่าเดินเข้ามาใกล้ “โป่ง เจ้าโป่ง”
โป่งสะดุ้ง หันมาถาม “คุณแม่บ้านบานเย็น...คุณแม่บ้านบานเย็นมาทางไหนครับ”
“ก็มาทางนี้แหละ ถามทำไม”
“วันนี้ผมเห็นแต่คนมาจากบนโน้น” โป่งชี้มือขึ้นไปบนฟ้าประกอบ “ก็เลยนึกว่าคุณแม่บ้านอาจจะมาจากทางเดียวกัน”
“คนที่ว่าน่ะใคร”
“คุณภวัต คุณแนนนี่ คุณยายคุณแนนนี่ แล้วก็คุณชิกเก้นครับ”
บาบาร่าพยักหน้าช้าๆ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“เท่านั้นยังไม่พอนะครับ แต่ละคนยังหายวับไปต่อหน้าต่อตาผมด้วย”
บาบาร่าตบไหล่โป่งเหมือนจะปลอบใจ “อย่าคิดมาก แกฝันไปเท่านั้นแหละ”
“ฝันหรือครับ”
“ใช่! ฝันกลางวันไง ใครๆ ก็ฝันกลางวันได้”
โป่งฟังแล้วสีหน้าดีขึ้น

ทาฮีร่ากำลังดื่มอายุวัฒนะ
“เดี๋ยวนี้ทำไมมันเหนื่อยง่ายจัง เผลอๆ ยาอายุวัฒนะยังเอาไม่อยู่”
“เขาเรียกว่าแก่ไง”
เสียงคุ้นหูเมื่อครู่ ทำเอาทาฮีร่าสำลักยา แล้วหันขวับไปมอง เห็นบาบาร่านั่งไขว่ห้างอยู่บนขอบหน้าต่าง
“ซัดเข้าไปกี่พันปีแล้วล่ะ ปีนี้”
“อ๊อ! มันก็ใกล้เคียงกับเธอนั่นแหละ บาบาร่า”
บาบาร่าหายแวบมาอยู่อีกมุมห้อง เริ่มต้นการซักฟอก สิ่งที่ได้ยินจากโป่งทันที
“วันนี้หอบกันไปไหนมา”
ทาฮิร่าดื่มยาทำเป็นงง “ไม่เข้าใจ”
บาบาร่าแวบมาอยู่ใกล้ๆ “มีคนตาดีเห็นเธอกับมนุษย์ภวัต แมวชิกเก้น และอสูรแนนนี่นั่งพรมมาด้วยกัน”
“แล้วไง”
บาบาร่าชักฉุน “ก็ถามอยู่นี่ไงว่าไปไหนกันมา”
“ไม่รู้ จำไม่ได้”
“มุสา” บาบาร่าโวยลั่น
ทาฮิร่าทำใจเย็น “เธอก็รู้นี่ว่าระยะหลังๆ มานี้ ฉันขี้ลืมจะตายไป...แม้แต่เวทมนตร์คาถาขั้นเบสิค บางทียังลืมเลย”
“แต่เหตุการณ์มันเพิ่งเกิดขึ้น เธอคงไม่ลืมแน่”
“ก็มันลืมไปแล้ว”
“ฉันจะไปรายงานท่านผู้นำว่าเธอให้ความช่วยเหลืออสูร”
“ฉันคงห้ามเธอไม่ได้...แต่ ....อย่าลืมนะว่า...ถ้าแม่มดทุกคนรู้เรื่องกันหมด โอกาสที่จะได้ความดี ความชอบของเธอก็จะน้อยนิด..จนถึงขนาดหมดโอกาสไปเลย”
บาบาร่าชะงักนิ่งคิด ทาฮิร่ารีบสำทับลงไปอีก
“คิดให้ดีน้า...บาบาร่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด”
บาบาร่าหรี่ตามอง “เธอกำลังยอมรับว่าแนนนี่เป็นอสูรใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้พูดหรือยอมรับอะไรทั้งนั้น”
บาบาร่าพยักหน้าน้อยๆ กับตัวเองอย่างหมายมาด

“ระวังน้าว่าจะ ถูกคุณยายทาฮิร่าหลอก” ไทเกอร์เตือนหลังบาบาร่าโผล่มาที่ห้องในบ้านจักรวาล
“ไม่มีทาง ฉันเจ้าเล่ห์กว่าทาฮิร่ามากมายนัก”
“อย่าประมาทเพื่อนรักหักเลี่ยมโหดทีเดียว”
บาบาร่าเชิดหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ

ค่ำแล้วทั่งทั้งบ้านปัทมนตกอยู่ท่ามกลางความมืด ภายในห้องธานีที่ชั้นบนของบ้าน ธานีกำลังเดินกลับไปกลับมา อย่างใคร่ครวญครุ่นคิด สักพักหนึ่ง แล้วธานีหยิบโทรศัพท์มากดหาใครบางคน รัดเกล้ากำลังนั่งเล่นเกมอยู่ หยิบโทรศัพท์มารับสาย
“ฮัลโหล! โทร.มาทำไม เกล้าง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว”
“เว่อร์! พี่เห็นไฟยังเปิดสว่าง แล้วจะง่วงได้ยังไง”
“ก็กำลังจะดับไฟอยู่นี่ไง”
“พี่มีเรื่องแปลกๆ จะเล่าให้ฟัง” ธานีจริงจัง
“พี่ธานีไปผ่าตัดแปลงเพศมาเหรอ” รัดเกล้าประชดขำๆ
“บ้า ...เฮ้ย นี่พี่พูดจริงนะ....ออกมาพบพี่หน่อยได้ไหม ..อย่าบอกนะว่าง่วง นี่เพิ่งจะ 2 ทุ่มครึ่งเอง”
“จะจีบเค้าละซี” รัดเกล้าเย้า
“เฮ้ย เกล้าไม่ใช่สเป๊คพี่”
“ไอ้พี่ธานี”
“เออน่า! พี่จะออกไปรับนะ”
ธานีปิดโทรศัพท์ แล้วเดินออกไป

ธานีกับรัดเกล้าออกมาที่ร้านไอศกรีมละแวกบ้าน ทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะในมุมหนึ่ง รัดเกล้าตักไอศครีมใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อยหลังฟังธานีเล่าเรื่องแปลกๆ จบ
“นี่เกล้าไม่แปลกใจเลยเรอะ ที่พี่เล่ามาทั้งหมดนี่น่ะ”
รัดเกล้าส่ายหน้า “ไม่ ... พี่ธานีขี้เซา”
“จะขี้เซายังไงก็คงไม่หลับโดยไม่รู้เรื่องราวขนาดนั้นหรอก” ธานีแย้ง
รัดเกล้านิ่งคิดครู่หนึ่ง “แล้วคุณอาปัทไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังหรอกหรือคะ”
“ไม่” สีหน้าธานีเหมือนจะทบทวนความทรงจำกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นธานีนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นมีเสียงเหมือนระฆังในวัดดังแว่วเข้ามา ธานีขยับตัวน้อยๆ เมื่อมีเสียงปัทมนสวดคาถาชินบัญชรดังเหมือนแทรกอยู่ในสายลม
ในที่สุดธานีก็ลืมตาตื่นขึ้น ชายหนุ่มนอนนิ่งๆ เหมือนงงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วผุดลุกขึ้น เสียงสวดหายไป ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ
“หลับไปได้ไงเนี่ย” ธานีมองนาฬิกา แล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ประตูเปิดออก ธานีรีบก้าวออกมาด้วยสีหน้าเดิมผสมงุนงง
ปัทมนเดินตรงมาจากห้องพระ โล่งใจที่เห็นลูกชายอยู่ตรงหน้าอย่างปลอดภัย จนน้ำตาคลอหน่วย
“ธานี”
ปัทมนเดินมากอดลูกแน่น
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูกนะ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณแม่”
ปัทมนไม่ตอบ ดูอ้ำอึ้งกึ่งโล่งใจ

ภายในร้านไอศกรีม มีลูกค้าวัยรุ่นคนทำงานเดินเข้าออกไม่ขาดสาย และเวลานั้นรัดเกล้าจ้องหน้าธานีเขม็ง โดยที่ในมือถือช้อนไอศกรีมค้างอยู่
“อะไร! จ้องหน้าพี่ทำไม”
“แน่ใจนะว่าหูไม่ฝาด” รัดเกล้าซัก
“โธ่!”
“อืม...ม..จะว่าผีก็ไม่ใช่ เพราะเป็นเสียงอาปัทสวดมนตร์” รัดเกล้าบอก
“ทำไมพี่ถามอะไรคุณแม่ถึงไม่ยอมตอบ”
“เกล้าจะบอกให้คุณพ่อถามให้ บางทีผู้ใหญ่เขาก็ไม่อยากเล่าอะไรให้เราฟังแต่ชอบจะคุยกันเองมากกว่า”
พูดจบรัดเกล้าก็หันไปกินไอศกรีมต่ออย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยจัง เดี๋ยวขออีกถ้วยได้ไหม”
“ตะกละ”
รัดเกล้ายักไหล่ “อยากหลวมตัวมาเลี้ยงเองนี่ ช่วยไม่ได้”
รัดเกล้าเรียกบริกรมาสั่งไอศกรีมเพิ่ม วินาทีนั้นธานีเผลอมองรัดเกล้าอย่างเอ็นดู แต่พอรัดเกล้าหันกลับมาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ดึกสงัดคืนนั้น ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยลอยผ่านเข้าไปในก้อนเมฆสีขาว ท้องฟ้าสว่างใสเมื่อครู่ดูครึ้มไปด้วยเมฆฝน ราวกับฝนจะตกหนัก
ภายในห้องแนนนี่ ชิกเก้นนอนขดตัวหลับอยู่ในมุมประจำ จังหวะนั้นก็มีเสียงกุกกักๆ ดังขึ้นที่หน้าต่าง ชิกเก้นลืมตาขึ้นเพ่งมอง แล้วขนก็ตั้งชัน ชิกเก้นได้กลิ่นบางอย่าง มันทำจมูกฟุดฟิดขณะชะเง้อมอง
มือสองข้างเอื้อมขึ้นมาจับขอบหน้าต่าง ชิกเก้นเบิกตากว้าง ด้วยความตกใจ ไม่นานนักเจ้าของมือนั้นโผล่ขึ้นมาทั้งตัว
ชิกเก้น อึ้ง ตะลึง อย่างไม่เชื่อสายตา อุทานตะกุกตะกักอยู่ในลำคอ “ปะ...ปะ...เปอ ...เปอร์ตี้ ..ปีเตอร์
ไวเท่าความคิด ชิกเก้นขดตัวเข้าไปซุกอยู่ในมุมมืดใต้โต๊ะ ขณะที่ปีเตอร์จับกระจกหน้าต่างเขย่า 2-3 ที แล้วเปิดออกด้วยพละกำลังศาล
ปีเตอร์ก้าวเข้ามาในห้อง หันใบหน้ามารับมุมกับแสงฟ้าที่แลบแปลบปลาบเห็นดวงตาสีขาวน่ากลัว ชิกเก้นมองภาพนั้นรีบยกมืออุดปาก ไม่ให้มีเสียงร้องเล็ดรอดออกมา
ปีเตอร์เดินมาที่เตียง แล้วคำรามอย่างโกรธจัดผสมกับเสียงฟ้าร้องครืนครัน เมื่อไม่เห็นแนนนี่ ปีเตอร์กวาดสายตาเหลียวมองหา ชิกเก้นค่อยๆ ย่องออกมาแล้วกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ ตั้งใจจะหยิบตะเกียงแก้ว
ทว่าชิกเก้นดันพลาด ตะเกียงตกลงมาจากโต๊ะ แล้วกลิ้งมาหยุดใกล้เท้าปีเตอร์
“ตายแล้ว” ชิกเก้นตกใจ
ปีเตอร์แสยะยิ้ม แล้วก้มลงจะหยิบตะเกียงแก้ว ชิกเก้นฉวยจังหวะกระโดดแผล็วเข้าที่ซ่อน จังหวะที่มือของปีเตอร์แตะที่ตะเกียง แต่แล้วต้องสะดุ้ง สะบัดเร่าๆ เพราะมีเปลวไฟร้อน ลุกขึ้นมาโดยรอบ
ชิกเก้นมองด้วยความพิศวง
ปีเตอร์มองไปที่ตะเกียงแก้ว ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “หน็อยแน่ เล่นกับใครไม่เล่น”
ปีเตอร์ก้มลงจะหยิบอีกครั้ง แต่เปลวไฟก็เปล่งออกมาอีก ปีเตอร์ปล่อยตะเกียงทิ้งลง
ปีเตอร์ชูมือทั้งสองข้างขึ้น คำรามลั่นด้วยความโกรธจัด แล้วกระโดดออกจากหน้าต่างไป
ชิกเก้นรีบกระโจนตามมาดูที่ขอบหน้าต่าง
อสูรในร่างปีเตอร์หายไปในความมืด
ชิกเก้นรีบกระโจนมาที่ตะเกียง แล้วร้องเรียกเบาๆ
“แนนนี่ แนนนี่ แนนนี่”
ระหว่างที่ปีเตอร์เข้ามา ก็ร้องคำราม แต่ถูกเสียงครืนครันคำรามของฟ้า และเสียงลมอื้ออึง ดังกลบตลอดเวลา แต่พอปีเตอร์กระโดดออกไป ทุกอย่างก็เงียบเป็นปกติ

แนนนี่ซึ่งตกลงมาจากเตียงค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น
“อูย...เสียศูนย์เหรอพี่ตะเกียง”
“มีผู้บุกรุก” ตะเกียงแก้วร้องขึ้น
“หา!”
ขาดคำแนนนี่ ก็มีเสียงชิกเก้นดังลอดเข้ามา “แนนนี่...ฮัลโหลๆๆๆ...แน้นนี”
“เสียงชิกเก้น” ตะเกียงแก้วเอ่ยขึ้น
แนนนี่ว่าคาถาแล้วลอยหายออกไป ตะเกียงแก้วตะโกนตามหลัง
“ระวังตัวนะ แนนนี่”

แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นมาหลังกลุ่มควันจาง
“เกิดอะไนขึ้น....ชิกเก้น” แนนนี่ถามอย่างร้อนใจ
“ก็เพื่อนแนนนี่น่ะซิ อีตาเปอร์ตี้...ปีเตอร์น่ะ ปีนเข้ามาในห้องนี้” ชิกเก้นเริ่มเล่า
“ปีนได้ไง” แนนนี่ประหลาดใจเดินไปชะโงกดู จากบริเวณพื้นดินขึ้นมาถึงบนห้องค่อนข้างสูงเอาการ คนธรรมดาขึ้นมาไม่ได้แน่ นอกจากใช้บันไดเป็นตัวช่วย!
“แถมขากลับยังกระโดดออกไปอีก” ชิกเก้นเสริม
แนนนี่หันกลับมาช้าๆ สีหน้าครุ่นคิด
“ไม่ใช่ปีเตอร์ตัวจริงหรอก...ชิกเก้น”

ภวัตนั่งหาวเพราะถูกแนนนี่ปลุกขึ้นมาตอนตีหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นเวลาที่เขาควรนอนหลับพักผ่อน
“อย่าหาวซิคะ” แนนนี่ว่า
“เอ๊ะ...ก็เราเข้ามาปลุกพี่ตอนตีหนึ่ง...มันก็ต้องมีหาวบ้างซิ” ภวัตโวยเล็กๆ
“อสูรมันเข้ามาจะจับตัวแนนนี่ถึงในห้องนะคะ”
ภวัตซึ่งกำลังหาวอยู่ หาวค้างทันทีด้วยความตกใจ
“เคราะห์ดีที่แนนนี่อยู่ในตะเกียงแก้ว ก็เลยไม่เป็นอะไร” แนนนี่บอก
ภวัตลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างกังวล
“แนนนี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ห่วงแต่ปีเตอร์”
ได้ยินชื่อปีเตอร์ ภวัตชะงัก หันมามองแนนนี่
“อสูรมันใช้ร่างปีเตอร์เพื่อทำร้ายแนนนี่..พี่ตะเกียงบอกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้นานเข้า...ปีเตอร์จะถูกกลืนเป็นอสูรไปเลย ...แนนนี่” แนนนี่น้ำตาคลอ “แนนนี่คงไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
ภวัตรีบเข้ามาขวางไว้ แต่ปากกลับพูดประชดขึ้นด้วยอารมณ์หึงโดยไม่รู้ตัว
“ก็ไม่ดีเรอะ...เธอเป็นอสูร ปีเตอร์ก็เป็นอสูร”
แนนนี่มองภวัตอย่างผิดหวัง น้อยใจและเสียใจ
“ใจร้าย...พี่ภวัตใจร้าย แนนนี่เกลียดพี่ภวัต”
แนนนี่ร่ายคาถา เตรียมจะหายตัวไป
ภวัตรีบคว้าแขนไว้ “เดี๋ยว”

ร่างของทั้งสองหายวับไปด้วยกัน










Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 10:52:05 น.
Counter : 950 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]