All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 3 (ต่อ)





บุษบายิ่งคิดก็ยิ่งแค้นดารกา

“ทีแรกบุษก็คิดว่าแค่ไฟฟ้าสถิตจากเสื้อยัยเด็กนั่น แต่มันไม่ใช่แน่ๆ ดูแผลบุษสิ พองยังกับถูกไฟลวกอย่างที่พี่ไชยว่านั่นละ”
“ใช่เลยละ เมาแล้วเผลอไปโดนอะไรรึเปล่า ไม่ต้องเถียงหมอ นี่มันแผลถูกของร้อนลวกชัดๆ”
“จะบ้าเหรอคะพี่ไชย นี่บุษเพิ่งกลับมานะคะ จะไปดื่มกับใครที่ไหนได้”
“เอาละๆ พี่ไม่เถียงด้วยแล้ว เรามาคุยกันเรื่องน้องดาดีกว่า ตกลงบุษจะจัดให้พี่เมื่อไหร่”
บุษบาเบ้ปากเยาะพี่ชาย
“แหมๆๆ บุษละอยากเอากระจกมาส่องให้พี่ไชยเห็นหน้าตัวเองตอนนี้จัง แววตานี้หวานเยิ้มเชียวนะ น้องดาอย่างนั้นน้องดาอย่างนี้”
ไชยหัวเราะขำ
“ตกลงตายน้ำตื้น ชอบยัยเนิร์ดหน้าจืดนั่นจริงๆ อ่ะ?” บุษบาถามยิ้มหยัน
“ก็จริงน่ะสิ ไม่ดีหรอกเหรอ พี่เป็นหมอ เค้าก็เป็นนักศึกษาแพทย์ ได้มาเป็นแฟนมีแต่ดีกับดี ช่วยทำงานที่โรงพยาบาลเราได้ด้วย” ไชยว่า
“คิดการณ์ไกลนะคะ ได้เลย จัดให้เร็วที่สุดค่ะ บุษเองจะได้หมดเสี้ยนตำหัวใจไปหนึ่ง”
“พูดอย่างกับว่าภวัตมีใครอีกงั้นเหรอ”
“ค่ะ ..แค่ยังไม่เห็นตัวจริง แต่ก็ตื้อใช้ได้เลย ชื่อยัยแนนนี่”
“ว้าว ชื่อน่ารักซะด้วย” ไชยยิ้ม
“หยุดเลยค่ะ หยุดเลย ไม่ใช่เสป็คพี่ไชยแน่ค่ะ เท่าที่ฟังจากภวัต ยัยแนนนี่ต่างจากยัยดารกาแบบฟ้ากับเหว เรียนก็โง่ เกเร เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง”
บุษบาเมาท์แนนนี่อย่างสนุกปาก ส่วนไชยพยักหน้าฟังอย่างสนใจ

จู่ๆ แนนนี่ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงภายในตะกียงแก้วก็จามลั่น ใบหน้าตะเกียงแก้ว ทำหน้าเหยเก
“ว้าย อี๋ นี่เธอจามไม่หยุดเลยนะแนนนี่ เป็นไรมากเปล่าอ่ะ” ตะเกียงแก้วถาม
แนนนี่ขยับจมูกฟึดฟัด
“นั่นสิ ใครนินทาฉันนะ” แนนนี่ตั้งสมมุติฐาน
“ฮุ้ย ต้องถามด้วยเหระจ๊ะ เธอน่ะมีศัตรูออกรอบตัว” ตะเกียงแก้วสัพยอก

“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ไม่เข้าข้างกันเลยนี่ ฉันไปดีกว่า แล้วโคมไฟอันใหม่ก็ลืมไปได้เลย เอาตะเกียงไปก็แล้วกัน” แนนนี่เสกตะเกียงเก่าๆ ขึ้นที่โต๊ะ “นี่แน่ะ”
ตะเกียงแก้วโวยวาย
“ฮึ้ย ได้ไง เอาออกไปนะแนนนี่ ไม่เข้ากับบุคลิกฉันเลย”
“ฉันจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์เธอให้มันเก๊าเก่าๆๆๆ ทั้งหมดนี่เลย ถ้าเธอขืนพูดจาไม่เข้าหูฉันอีก”
“ที่พูดก็เพราะหวังดีหรอก อยากให้เธอระวังตัวไว้ เท่าที่ฟังเธอเล่า แม่ดารกานี่ไม่ธรรมดาเลยนะ” ตะเกียงแก้วเตือนอย่างห่วงใย
“แต่ไม่มีใครเชื่อฉัน” แนนนี่บ่น
“ฉันยังไม่เชื่อเลย อุ๊บส์ ไม่ใช่นะไม่ใช่!ฉันหมายถึงว่า ดารกาไม่มีวี่แววว่าจะร้ายกาจอย่างที่เธอเล่าได้เลย” ตะเกียงแก้วรีบแก้ตัวแก้ต่าง
“ไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ของพี่ดาให้ได้”
“ด้วยวิธี?” ตะเกียงแก้วถามออกมา
“ไม่รู้” แนนนี่ตอบหน้าตาเฉย
“อ้าว”
“ก็ถ้ารู้ฉันก็จัดการไปแล้วซี่”
แนนนี่เดินวนไปมา ครุ่นคิดอย่างหนัก

ทางด้านดารกาเดินเหม่อเข้ามาในห้อง สีหน้าแววตาดูหมดหวัง ครุ่นคิดถึงชะตากรรมตัวเองกับจดหมายสำคัญจากมาลีที่หายไป
เวลาผ่านไปดารกาค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะกระจก น้ำตารินขณะจ้องหน้าตัวเองในกระจก
“ทำไมต้องเป็นเธอด้วยฮึดารกา ชีวิตเธอกำลังไปได้ดี ..แม่... ทำไมแม่ต้องปรากฏตัวตอนนี้ด้วย แม่มาทำไม ...มาทำไม ฮือ...”
ดารกาเหลียวมองรูปหมู่ที่มีภวัต ดารกา แนนนี่ ธานี รัดเกล้า อย่างเศร้าสร้อย
“ฉันยังอยากอยู่ที่นี่ ...อยู่ใกล้ ๆพี่ภวัต ...พี่ภวัต...”
ดารกาซบหน้าลงกับลำแขนของตัวเอง แล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายอยู่บนโต๊ะนั้น
“จดหมาย!”
ดารกาลุกพรึบ คว้าจดหมายมา สีหน้าประหลาดใจมาก
“ใช่จริงๆ ด้วย”
ดารกามองจดหมายนั้นอย่างร้าวราน
“หรือว่าฉันควรจะสู้ความจริง?”

เวลาเดียวกันนั้น ธานียืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนห้องดารกาซึ่งเปิดไฟอยู่ ธานีมีสีหน้าเป็นกังวล
“ได้จดหมายคืนแล้วก็ขอให้ดีขึ้นนะ ..น้องดา...”
ธานีทอดถอนหายใจ แล้วหมุนตัวไปทางหนึ่ง พลันเจอเข้ากับรัดเกล้าที่ยืนดักอยู่แล้ว ธานีร้องลั่นด้วยความตกใจ
“เย้ย! ยัยเกล้า! เล่นอะไรของเธอห๊า?”
“เกล้าเนี่ยนะเล่นกับพี่ธานี เห็นๆ กันอยู่ว่าน้องดากำลังมีปัญหา เกล้าคงมีอารมณ์ล้อใครเล่นหรอก”
ธานีได้ฟังก็มีสีหน้าอ่อนลง มองขึ้นที่ห้องดารกาอีกครั้ง
“พี่เอาจดหมายคืนน้องดาไปแล้วนะ” ธานีบอก
“ดีค่ะ น้องดาดูเครียดมากๆ”
“ไม่เครียดยังไงไหวล่ะ แม่ที่ไม่เคยเจอหน้ากันจู่ๆ ก็โผล่มา เป็นใคร ๆ ก็ช็อก”
“น้องดาน่าเห็นใจ พี่ธานีต้องช่วยเค้านะ”
ธานีพยักหน้าท่าทางขรึม
“อยู่แล้วละ แต่ยังไม่รู้ว่าจะช่วยวิธีไหนน่ะสิ”
“อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งให้เค้ารู้ว่า เรารู้เรื่องคุณแม่น้องเค้า”
“จริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนี่นา เราทุกคนรวมทั้งน้องดาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าน้องดาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณแม่”
“ก็ถูก ...แต่เนื้อจดหมายนั่นน่ะ มันบ่งบอกว่าคุณแม่ของน้องดาเค้าอยู่ในสภาวะไม่ปรกติเลยนะ”
“จะสภาวะหรือฐานะไหนก็เป็นแม่บังเกิดเกล้า ไม่มีเหตุผลไหนเลยที่น้องดาต้องเครียด เป็นพี่ พี่จะบอกให้ทุกคนรู้หรือรีบพาแม่มารู้จักทุกคนด้วยซ้ำ” ธานีแสดงความเห็น
“พี่ธานีไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อย่างน้องดาก็พูดได้” รัดเกล้ารู้สึกเห็นใจดารกา
“เอ้างั้นว่ามา พี่ควรจะทำยังไง” ธานีถาม
“เก็บเรื่องนี้ไว้ให้เงียบที่สุด เกล้าเองก็จะไม่พูดกับใคร แม้แต่พี่ภวัต”
ธานีพยักหน้าเครียดๆ ขณะที่รัดเกล้ามองขึ้นที่ห้องดารกาเครียดไม่แพ้ธานีเช่นกัน ธานีเหล่มองรัดเกล้า
“สังเกตอะไรมั้ย” ธานีตั้งคำถาม
“อะไร”
“วันนี้เราคุยกันดีๆ ได้นานเชียว”
รัดเกล้าหันขวับหาธานี
“เกล้าก็แค่เป็นห่วงน้องสาวของเกล้านั่นละ ยี้”
รัดเกล้าพูดจบก็ก้าวฉับๆ ไป แล้วพลันสะดุดท่อนไม้ หน้าคะมำ ธานีหัวเราะขำ รัดเกล้าลุกขึ้น แต่แล้วชนต้นไม้เข้าอีก ธานีหัวเราะไม่ออก ทำท่าจะช่วย แต่รัดเกล้าชี้หน้าห้าม ก่อนจะรีบวิ่งไปด้วยความอาย

โป่งปัดที่นอนให้ภวัต จัดหมอนให้เข้าที่ ขณะเดียวกันก็คุยกับภวัตไปด้วย
“คุณแนนนี่พูดถึงคุณภวัตไม่ขาดปากเลยละครับ เจอหน้าผมทีไรเป็นต้องพร่ำเพ้อถึงคุณภวัต”
ภวัตซึ่งเอาของออกจากกระเป๋าเดินทาง หยุดมือไว้ชั่วขณะ
“พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะนายโป่ง คุณแนนนี่โตเป็นสาวแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนแต่ก่อน เค้าจะเสียหายได้” ภวัตเตือน
“อ้าว แต่โป่งพูดเรื่องจริงนี่ครับ คุณแนนนี่น่ะหลงรักคุณภวัต บอกจะเอาคุณภวัตเป็นเจ้าบ่าวให้ได้”
“เฮ้ย นายโป่ง” ภวัตเสียงเขียวใส่
“อ่าว ก็คุณแนนนี่พูดจริงๆ นี่ครับ โป่งเปล่าแต่งเรื่องสักหน่อย”
“นายออกไปได้แล้ว ที่เหลือฉันจัดการเองได้ เฮ้อ”
โป่งออกไป ภวัตส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ขณะมองตามโป่งไป เสียงสัญญาณข้อความเข้าดังจากโทรศัพท์มือถือ ภวัตหยิบมากดอ่าน
“น้องดา...”
ที่ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของภวัต มีข้อความขึ้นว่า “ดีใจที่พี่ภวัตกลับมาค่ะ”
ภวัตกดโทรศัพท์กลับไปหาดารกา
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับน้องดา” ภวัตถาม
“ยังค่ะ น้องดานอนไม่หลับ” เสียงดารกาตอบมาทางปลายสาย
“นอนไม่หลับ? ไม่สบายรึเปล่าครับ”
“น้องดามีเรื่องไม่สบายใจ พี่ภวัตมาเจอน้องดาได้มั้ยคะ”
ภวัตทำหน้างง ขณะฟังดารกาคุยโทรศัพท์ต่อ และก้าวไปที่หน้าต่าง มองลงไปเบื้องล่างด้านนอก
“น้องดาอยู่ข้างล่างค่ะ”
ภวัตเพ่งมองไปข้างล่างฝั่งบ้านปัทมน เห็นดารกายืนอยู่ และกำลังมองมาที่ตัวเอง

ทางด้านปัทมนกำลังปลดผ้ากันเปื้อน หลังจากดูแลเก็บข้าวของที่ใช้ในงานเลี้ยงรับขวัญภวัตที่บ้านจักรวาลจนเรียบร้อย จักรวาลเดินถือถังขยะเปล่ากลับเข้ามาหลังจากเอาไปทิ้ง
“อ้าว คุณปัทยังไม่กลับอีกเหรอครับ โธ่..ผมบอกว่าพอได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ทานด้วยกันก็ช่วยกันเก็บ”
“แต่น่า...มันดึกแล้ว เชิญครับเชิญ เดี๋ยวผมให้นายโป่งเก็บต่อได้ แต่อืม..ไม่น่าจะเหลืออะไรให้ทำแล้วนะครับ คุณปัทเล่นเก็บซะเรี่ยมเลย เฮ้อ”
ปัทมนหัวเราะ ขณะพับผ้ากันเปื้อนวางคืนไว้บนโต๊ะ
“งั้นปัทขอตัวนะคะ”

เวลาเดียวกัน ดารกาไม่ยอมพูดอะไรออกมา แถมเอาแต่ร้องไห้ จนภวัตตกใจมาก จับไหล่ดารกาให้หันมามมอง
“บอกพี่มาสิครับน้องดา น้องดาเป็นอะไร มันเกิดอะไรขึ้น”
“น้องดาอยากเป็นคนที่ดีพร้อม น้องดาอยากอยู่ใกล้ๆ พี่ภวัตค่ะ” ดารกาสะอื้น
“ก็นี่ไง พี่อยู่ตรงนี้แล้วไง ใจเย็น ๆ เล่าให้พี่ฟังนะ น้องดามีปัญหาอะไร”
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ”
พูดจบดารกาก็โน้มคอภวัตลงมา และจูบโดยที่ภวัตไม่ทันตั้งตัว ระหว่างนั้นปัทมนกับจักรวาลเดินมาด้วยกัน
ปัทมนกับจักรวาลมองเห็นภาพดารกาจูบภวัต ทั้งสองนิ่งงันกันไป

ภวัตหน้าเครียดกลับเข้าบ้าน เสียงดารกาสารภาพรักดังอยู่ในความคิด
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ”
ภวัตก้าวจะพ้นห้องโถงอยู่แล้ว พลันมีเสียงจักรวาลเอ่ยขึ้น เรียกเขาไว้
“เดี๋ยวก่อนเจ้าภวัต”
ภวัตเหลียวตามเสียงเรียกนั้น เห็นจักรวาลซึ่งนั่งคอยอยู่แล้ว ลุกขึ้น จ้องภวัตสายตาเย็นชา
“พ่อมีเรื่องต้องคุยกับแก”
ภวัตสีหน้าอึกอัก อาการมีพิรุธ
ส่วนปัทมนหลังกลับถึงบ้านก็เอาแต่หลับตา ปากงึมงำสวดมนต์ มือไล่นับลูกปะคำ สีหน้าเครียดมาก เพราะภาพดารกากับภวัตจูบกันติดตาอยู่นั่นเอง
สุดท้ายสมาธิแตก ปัทมนลืมตาขึ้นอย่างว้าวุ่น พึมพำเบาๆ ออกมา
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน”
จังหวะนั้นที่ประตูมีเสียงเคาะเบาๆ และค่อยๆ แง้มเปิดออก เผยให้เห็นดารกายืนนิ่ง ในมือข้างหนึ่งของดารกาถือซองจดหมายมาลีมาด้วย
“คุณแม่ให้ป้าผาดไปตามน้องดารึเปล่าคะ”
ปัทมนเหลียวที่ดารกา และตอบด้วยน้ำเสียงขรึม
“อ้อ...ลูกดา”
ครู่ต่อมาดารกานั่งพับเพียบอยู่ตรงข้ามปัทมน มองปัทมนด้วยแววตาใสซื่อ ปัทมนค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือดารกามาอย่างนุ่มนวล
“ลูกดารู้สึกยังไงกับพี่ภวัตหืมลูก”
ดารกามีแววประหลาดใจเพียงเล็กน้อย เอ่ยถามปัทมนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างเคย
“ทำไมคุณแม่ถึงถามน้องดาอย่างนั้นล่ะคะ”
ปัทมนกลับกลายเป็นฝ่ายทำหน้าทำใจลำบากเสียเอง
“ก็..เอ้อ..แม่เห็นว่าเราสองคนสนิทสนมกันน่ะจ้ะ แม่ก็เลย..อยากรู้ว่าน้องดากับภวัตคบกันแบบไหน เป็นพี่ๆ น้องๆหรือว่าเป็น...”
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ” ดารกาพูดแทบจะเป็นโพล่งออกมา
ปัทมนได้ฟังคำ ถึงกับหน้าถอดสี
“น้องดาทราบว่ามันดูไม่เหมาะนักที่น้องดาจะพูดแบบนี้ แต่น้องดารู้สึกว่าเวลาของน้องดาที่บ้านนี้เหลือน้อยเต็มที”
ดารกาเหลือบตาลงมองไปที่ซองจดหมายพับครึ่งในมือ และคิดจะเล่าเรื่องที่มาลีมาพบให้ปัทมนฟัง
“คือ...คุณแม่คะ วันนี้...”
ปัทมนคิดไปคนละเรื่อง
“พอเถอะจ้ะ น้องดาไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ...แม่กับลุงจักรจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
ดารกางุนงง ขณะที่ปัทมนกระชับมือที่จับมือดารกา สบตาดารกาแน่วแน่
“ไว้ใจแม่นะ”
ดารกาพยักหน้าลอยๆ งุนงง แต่ไม่ถามอะไรออกมา พลางดันซองจดหมายทับไว้ใต้น่อง

ภวัตตกใจมากพอรู้ว่าจักรวาลกับปัทมนเห็นภวัตกับดารกาจูบกัน
“ผมอธิบายได้นะครับพ่อ”
“ถ้าพ่อไม่ได้เห็นทุกอย่างกับตา พ่อคงต้องการฟังคำอธิบายจากแก”
“มันไม่ใช่อย่างที่พ่อกับอาปัทเข้าใจเลยนะครับ”
“แกจะบอกว่าหนูดาเป็นฝ่ายคว้าคอแกมาจูบอย่างนั้นสิ?”
“ครับ” ภวัตตอบตามจริง
“ภวัต!” เสียงจักรวาลดุ ท่าทีเข้มเคร่ง
ภวัตนิ่งงัน เพราะจักรวาลไม่เคยส่งเสียงดุมาก่อน
“ดีที่มีแค่แกกับพ่ออยู่กันสองคนนะ ถ้าคุณปัทมนเค้ามาได้ยินแกพูดถึงลูกสาวเค้าอย่างนี้แกคิดว่าเค้าจะว่ายังไง”
“แต่พ่อครับ...” ภวัตพยายามจะอธิบาย
“เราสองครอบครัวคบหากันมาตั้งแต่แกยังจำความไม่ได้ พ่อจะไม่ยอมให้เสียความสัมพันธ์เพราะเรื่องทำนองนี้เด็ดขาด” น้ำเสียงจักรวาลจริงจัง
ภวัตตัดสินใจเงียบฟัง ทั้งที่ใจว้าวุ่น รู้ดีว่าอธิบายไปเวลานี้จักรวาลไม่พร้อมที่จะฟัง
“ทั้งแกและพ่อต้องรับผิดชอบ”
“รับผิดชอบอะไรกันครับพ่อ ก็ในเมื่อ...”ภวัตพูดไม่ทันจบคำ
“พ่อคิดดีแล้ว แกมีหน้าที่ทำตามเท่านั้น”
ภวัตงงงัน

โป่งกำลังหลับอยู่ พอพลิกตัวในอาการสลึมสลือก็เห็นภวัตนั่งอยู่ข้างๆ
“คุณภวัต”
โป่งขยี้ตาซ้ำอีกที พยายามเพ่งมองภวัต
“ฝันไปแน่ๆ” โป่งหัวเราะขำ “คุณภวัตจะมาอยู่ห้องโป่งได้ไง ฮ๊าว”
ภวัตหันมาพูดกับโป่งอย่างสุดเซ็ง
“ช่วยฉันหน่อยสิวะโป่ง”
โป่งพลิกตัวทำท่าจะหลับต่อ พอนึกได้ก็ตาลุกโพลง
“เย้ย พูดได้ด้วย”
โป่งคว้าผ้าห่มมาคลุมโปง ภวัตดึงผ้าห่มโป่งออกอย่างรำคาญๆ
“นี่ฉันเอง”
“คะ..คุณภวัต”
“เออ”
“มาทำอะไรห้องโป่งครับ เอ่อ..คงไม่ได้หมายความว่า...” โป่งยังพูดเล่นคะนองปากตามนิสัย
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว นายช่วยฉันหน่อยสิ ฉันคิดหัวจะระเบิดอยู่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นครับ” โป่งถามเป็นงานเป็นการ

เวลาผ่านไป หลังจากที่โป่งเปิดไฟและนั่งคุยกับภวัตเป็นจริงเป็นจัง ภวัตจ้องหน้าโป่ง
“นายเคยเล่าว่าที่บ้านนาย ผู้หญิงผู้ชายที่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน ถ้าถูกตัวกันถึงกับต้องแต่งงานกันเลยใช่มั้ย นาย
เรียกว่าผิดผีอะไรเนี่ยแหละ มันเรื่องจริงรึเปล่า”
โป่งหัวเราะร่วน อย่างขำๆ
“บอกว่านั่นมันโบราณแล้วครับคุณภวัต ไม่มีหรอกครับแค่ถูกเนื้อต้องตัวเนี่ยนะจะต้องถึงกับแต่งงาน”
ภวัตได้ฟังก็มีสีหน้าโล่งใจ
“ถ้าจูบก็ว่าไปอย่าง” โป่งว่า
ภวัตชะงักกึก หน้าเศร้าขึ้นมาอีก โป่งมองหน้าภวัตอย่างสงสัย
“อย่าบอกนะครับว่าคุณภวัต...”
ภวัตนิ่งอึ้ง แล้วค่อยๆ พยักหน้ารับ โป่งร้องลั่น
“กับใครครับ หรือว่าคุณแนนนี่!”
“เฮ้ย ไม่ใช่นะ” ภวัตปฏิเสธลั่น
“ล..ล..แล้วใครกันครับ โอ..อาจารย์รู้เข้าอาละวาดตายเลย” โป่งพูดอย่างกังวล
“อาจารย์?” ภวัตงง
“ก็คุณแนนนี่นั่นละครับ” โป่งเฉลย
“อ่อ เค้าสอนมายากลนาย ฉันลืมไป”
“แล้ว..เอ่อ..ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครอ่ะครับ”
“น้องดา...”
“คุณหนูดารกา?! นี่คุณภวัตไม่ได้ล้อโป่งเล่นใช่มั้ยครับ” โป่งยากจะทำใจเชื่อ จึงถามย้ำออกมา
ภวัตสั่นหัวใบเศร้าสร้อย
“โอ..ตายๆๆ ยิ่งคนนี้‘จารย์อาละวาดหนักเลย คุณภวัตคร้าบ บอกโป่งได้มั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันไม่รู้”
“คุณภวัตทำไปเพราะความเมา ไม่รู้ตัวอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอครับ โธ่ๆๆๆ” โป่งกังวลหนักขึ้น
“ไม่ใช่! เฮ้อ อธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ นายช่วยฉันคิดทีสิ ฉันจะทำยังไงดี” ภวัตชวนเข้าเรื่อง
“โป่งเป็นแค่คนใช้ ไม่กล้าให้คำปรึกษาคุณภวัตหรอกครับ”

“แค่ฟังฉันก็ยังดี หัวฉันจะระเบิดอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้คุยกับใครสักคนฉันคงบ้า คุณพ่อจะจับฉันหมั้นกับน้องดา”
“ห๊า”
โป่งร้องเสียงหลง ในขณะที่ภวัตมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างหนัก

แนนนี่เดินผ่านหน้าห้องพระไปเฉียดกับดารกาที่เปิดประตูออกจากห้องพระมา ใบหน้ามีความสุข แนนนี่ชะงักเท้า เหลียวมองดารกาอย่างตั้งรับ
ภาพดารกาที่ตาลุกวาวแดงฉานแวบเข้ามาในความคิด ใบหน้าดารกาดุดัน แววตาเป็นสีแดงฉาน กำลังก้าวตรงหาแนนนี่ยังชัดเจนอยู่ในความคิด
แนนนี่จ้องดารกา ไม่วางใจ ขณะที่ดารกาก้าวเข้าหา
“อย่าเข้ามานะ”
ทว่าดารกากลับยิ้มทักราวกับเป็นคนละคนที่จะทำร้ายแนนนี่เมื่อเย็น
“ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะแนนนี่”
แนนนี่จ้องดารกาอย่างไม่ไว้ใจ
“จะมาไม้ไหนอีก ฉันไม่กลัวเธอหรอกนะ”
“พี่ดาเนี่ยนะทำให้แนนนี่กลัว?” ดารกาทำหน้าแบ๊วไม่รู้เรื่อง
“รู้ก็ดีแล้ว ฉันไม่กลัวเธอ แต่ที่ปล่อยเธอ เพราะไม่อยากทำต่างหาก”
“แนนนี่พูดอะไรพี่ดางงไปหมดแล้ว” ดารกาจับไหล่แนนนี่ แต่แนนนี่สะบัดหนี “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ถ้าแนนนี่รู้ข่าวดีของพี่ดากับพี่ภวัต แนนนี่คงอารมณ์ดีเอง”
แนนนี่หน้าเจื่อนไปทันที
“พี่ดากับพี่ภวัตเนี่ยนะ ข่าวดีอะไร”
ดารกาไม่ตอบ เอาแต่อมยิ้มแล้วเดินจากไป
“ข่าวดีอะไรบอกมานะ อ้อ...กะจะพูดให้แนนนี่อารมณ์เสียละสิ ไม่มีทาง ยัยพี่ดาเพ้อเจ้อ”
ดารกาเหลียวกลับมายิ้มให้แนนนี่ พลางส่ายหัวเอ็นดู แนนนี่มองสีหน้าดารกาแล้วรู้สึกเอะใจขึ้นมาอย่างประหลาด

เช้าวันนี้ปัทมนมีสีหน้าไม่สบายใจ ขณะทานอาหารเช้าอยู่กับแนนนี่ ดารกา และธานี โดยมีพรคอยรับใช้ สองสาวแนนนี่-ดารกา อยู่ชุดนักศึกษา ส่วนธานี และปัทมนอยู่ในชุดทำงาน
ดารกาตักอาหารให้ปัทมนอย่างเอาใจ
“คุณแม่ทานเยอะๆ นะคะ”
แนนนี่มองพฤติกรรมดารกาอย่างสงสัย เช่นเดียวกับธานี ที่ยังคงครุ่นคิดเรื่องจดหมายจากมาลีที่ตนเก็บไปคืนดารกา
“วันนี้น้องดาดูอารมณ์ดีจัง” ธานีทัก
“งั้นเหรอคะ อืม..พี่ธานีพูดเหมือนกับว่าเคยเห็นน้องดาอารมณ์ไม่ดีอย่างนั้นละค่ะ” ดารกาน้ำเสียงระรื่น
“เปล่าๆ พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น น้องดามีความสุขพี่ก็แค่รู้สึกดีไปด้วย ทานต่อเถอะ”
แนนนี่กวาดตาที่ทุกคนซึ่งดูมีลับลมคมใน
“เมื่อคืนพี่ดาพูดว่ามีข่าวดีจะบอก ตกลงมันเรื่องอะไรเหรอคะ” แนนนี่ทนไม่ไหว ถามโพล่งขึ้นมา
ปัทมนหน้าเจื่อน หันหาดารกาเป็นเชิงเอ็ด
“ไหนลูกดารับปากกับแม่แล้วไง”
ดารกายิ้มเซื่อง เอ่ยปฏิเสธขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแม่ น้องดาไม่เคยผิดคำพูดคุณแม่เชื่อใจน้องดานะคะ” ดารกาหันมาพูดกับแนนนี่ “ฟังอะไรผิดหรือเปล่าจ๊ะแนนนี่ พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย”
“แนนนี่ได้ยินเต็มสองหูว่าพี่ดาพูดอย่างนั้น” แนนนี่ยืนยัน
“อืม...ถ้างั้นพี่คงพูดผิดไปน่ะจ้ะ ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”
แนนนี่นิ่งไป ปัทมนพูดตัดบท
“ทานกันต่อเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะสายกันหมดนะ”
ผาดเข้ามา พูดกับดารกา สีหน้าปลื้มอกปลื้มใจ
“คุณภวัตมารับคุณหนูดาแล้วค่ะ”
ดารกายิ้มรับ รวบช้อนแล้วยกมือไหว้ปัทมน
“น้องดาไปนะคะคุณแม่”
ปัทมนรับไว้ดารกา สีหน้าไม่สู้ดีนัก ค่อยๆ เหลือบตามองแนนนี่ที่จ้องเป๋งรออยู่
ดารกาลุกขึ้น ผาดหยิบกระเป๋าสะพายและช่วยถือหนังสือให้ดารกา ดารกาหันลาธานีกับแนนนี่
“ไปนะคะพี่ธานี ..แนนนี่”
ดารกาออกไปพร้อมผาด แนนนี่กับธานีส่งเสียงเรียกปัทมนเป็นเชิงถามขึ้นพร้อมๆ กัน
“คุณแม่คะครับ”
ปัทมนวางช้อนลงเครียดๆ
“แม่รู้ว่าเราจะถามอะไรแม่ ...เรื่องนี้ยังไงแม่ก็ต้องอธิบายให้พวกเรารับทราบอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง”
“คุณแม่คงไม่ได้หมายความว่าเจ้าภวัตกับน้องดา...”
แนนนี่แทรกขึ้นทันที
“ไม่มีทางค่ะ พี่ภวัตไม่ได้คิดอะไรกับพี่ดา แนนนี่รู้ แต่พี่ดานั่นละที่แปลกๆ ตั้งแต่เมื่อคืน มันเรื่องอะไรกันคะคุณแม่ ทำไมพี่ภวัตต้องมารับพี่ดาด้วย”
ปัทมนสีหน้าลำบากใจ
“คืออย่างนี้นะจ๊ะแนนนี่.. เอ่อ”
แนนนี่ผลุนผลันลุกออกไป
“ไม่เป็นไรค่ะ แนนนี่ถามพี่ภวัตเองก็ได้”

ภวัตกำลังปิดประตูรถให้ดารกา จังหวะนั้นแนนนี่พรวดพราดออกมาจากตัวบ้าน มองภาพนั้นอย่างเสียใจ
ภวัตอ้อมไปยังฝั่งคนขับ ยื่นมือไปเปิดประตู แนนนี่ก้าวฉับเข้ามา
“เดี๋ยวค่ะพี่ภวัต”
“แนนนี่?” ภวัตตกใจ
“พี่ภวัตกับพี่ดาคบกันเป็นแฟนเหรอคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้นแนนนี่”
“ทุกคนทำท่าทำทางแปลกๆ นี่เหลือแนนนี่คนเดียวอีกรึเปล่าคะที่ไม่รู้เรื่อง” แนนนี่ประชดเสียงแข็ง
ดารกาเห็นเหตุการณ์เปิดประตูรถลงมา พูดเสียงหวาน
“แนนนี่ปล่อยพี่ภวัตขึ้นรถเถอะจ้ะ เดี๋ยวพวกเราจะสาย”
แนนนี่ค้อนให้ดารกา คว้าแขนภวัตไว้
“แนนนี่ไม่ให้พี่ภวัตไปไหน จนกว่าพี่ภวัตจะบอกว่าพี่ภวัตคบกับพี่ดาแบบไหนกันแน่”
“ไปกันใหญ่แล้วแนนนี่” ภวัตตัดบท
แนนนี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ เย้” พร้อมกันนั้นแนนนี่ก็ปรายตาไปทาง
ดารกา
ดารกาหน้าชา ตั้งท่าจะเอ่ยขึ้น แต่แล้วนึกถึงคำพูดปัทที่ขอร้องไว้เมื่อคืน
คำพูดนั้นปัทมนจับมือดารกาขอคำมั่นอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“คิดว่าทำเพื่อแม่นะ อย่าเพิ่งให้แนนนี่รู้เรื่องลูกดากับตาภวัต แนนนี่ยังเด็ก อาจจะเข้าใจอะไรผิดๆ ไปได้ ให้แม่เป็นคนบอกน้องเองเมื่อถึงเวลา”

ดารกามองนิ่งที่แนนนี่ เสียงตัวเองที่ตกปากรับคำปัทมนดังข้ามจากฉากที่แล้ว
“ค่ะ น้องดาจะไม่ทำให้แนนนี่เสียใจ”
แนนนี่เชิดหน้า รอฟังดารกา
“ว่าไงล่ะคะพี่ดา เหมือนเมื่อกี้มีอะไรจะพูดกับแนนนี่”

“ก็ไม่มีอะไร พี่ดาแค่อยากจะบอกแนนนี่ว่า ตอนนี้พี่ดามีโปรเจ็คท์การแพทย์ที่ต้องทำร่วมกับพี่ภวัตที่โรงพยาบาลหมอไชยเยอะ พี่ดาเลยจะต้องอาศัยรถพี่ภวัตไปไหนมาไหนด้วยกันมากขึ้น”
“เป็นข้ออ้างละสิไม่ว่า” แนนนี่หันมาพูดกับภวัต “ที่พี่ดาพูดมาเป็นเรื่องจริงเหรอคะพี่ภวัต”
“ใช่จ้ะ”
ไม่นานต่อมา แนนนี่ยืนอยู่คนเดียว มองตามรถภวัตที่แล่นออกไปอย่างเศร้าสร้อย

ปีเตอร์นั่งดูแนนนี่กินก๋วยเตี๋ยวเป็นสิบชามอยู่ภายในโรงอาหาร
“แนนนี่นี่มันชามที่สิบแล้วนะ เอาไปเก็บไว้ตรงไหนเนี่ย” ปีเตอร์ถาม
“โลเล เปลี่ยนใจได้ทุกวัน ผู้ชายนะผู้ชาย เธออย่าเป็นอย่างนั้นนะปีเตอร์”
“โฮ้ย ไม่เป็นอยู่แล้ว แนนนี่ก็เห็นๆ อยู่ว่าปีเตอร์มีแนนนี่คนเดียว เพราะไม่มีใครคบ เอ้ยไม่ใช่! เพราะปีเตอร์รักเดียวใจเดียว เราแต่งงานกันนะ”
ไม่พูดเปล่าปีเตอร์จับมือแนนนี่มาจูบ เลยถูกแนนนี่ตบเพี้ยะที่แก้ม ปีเตอร์ครางโอดโอย
“ไม่เป็นไร ถ้าทำปีเตอร์แล้วแนนนี่สบายใจก็ทำตามสบาย” ปีเตอร์พลิกวิกฤตเป็นโอกาสซะงั้น
“หยู๊ดด หยุดพล่ามซะทีได้มั้ย ฉันจะอ้วก นี่เย็นนี้ไปเป็นเพื่อนทำธุระหน่อยสิ”
“ได้อยู่แล้ว ไปไหนล่ะ”
“โรงพยาบาล แผนกจิตเวช” แนนนี่บอกหน้าตาเฉย
“โรงพยาบาล! แผนกจิตเวช! แนนนี่มีปัญหาเรื่อง...เอ่อ...” ปีเตอร์ตกใจ เอานิ้วหมุนนิ้ววนๆ ที่หัว “แนนนี่คงไม่ได้หมายความว่าแนนนี่เป็นโรค...”
“โรคประสาท” แนนนี่เติมให้
“ห๊า” ปีเตอร์ร้องเสียงหลง
“โฮ้ยเลิกตื่นตูมซะทีได้ม๊าย ฉันไปหาพี่ภวัตย่ะ เค้าเป็นจิตแพทย์อยู่ที่นั่น”
ปีเตอร์ถอนหายใจโล่งอก
“เออ... แต่จะว่าไป พานายไปด้วยนี่ดีเลยนะ เพราะคนที่น่าจับเช็คประสาทก็นายนั่นละ” แนนนี่ว่า
“บ้าก็บ้ารักอ่ะจ้ะ”
ปีเตอร์ยิ้มแต้ให้ จังหวะเดียวกับที่แนนนี่อ้วกออกมาเป็นก๋วยเตี๋ยว ใส่เสื้อปีเตอร์เลอะเทอะไปหมด!

ลิฟต์ตัวหนึ่งของโรงพยาบาลเปิดออก มี พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือ รปภ. สองคนยืนกันสองด้านของทางเข้า บุษบาอยู่ในชุดสวยหรู สวมแว่นดำ ตรงไปเข้าลิฟต์นั้น พลันแนนนี่กับปีเตอร์วิ่งตามเข้าลิฟต์ไปด้วย
“รอด้วยค่า รอด้วยๆๆๆ”
รปภ.มองหน้ากันงงๆ หนึ่งในนั้นเอ่ยไล่แนนนี่กับปีเตอร์
“ขอโทษนะครับ ลิฟต์ตัวนี้ล็อคไว้สำหรับผู้บริหารครับ รบกวนเชิญใช้ลิฟต์อื่นด้านติดกันนะครับ”
รปภ. ว่า ในขณะที่บุษบาเชิดหน้า นิ่งเฉย รักษามาด แนนนี่เอ่ยตอบรปภ.ซื่อ ๆ
“ผู้บริหาร? ไหนอ่ะฉันไม่เห็นผู้บริหารสักคน”
บุษบาถึงกับถอดแว่นกันแดดออก แล้วจ้องหน้าแนนนี่
“ฉันนี่ละผู้บริหาร เป็นเจ้าของที่นี่ ชัดมั้ย”
แนนนี่ฟังแล้วเชิดหน้าใส่ พูดตอบอย่างไม่กลัวเกรง
“แล้วไงล่ะคะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาล บริการประชาชน ลิฟต์นี่ก็ของโรงพยาบาล คนมาใช้บริการอย่างฉันก็ต้องใช้ได้สิ” แนนนี่พูดจบก็หันไปบอกรปภ. “ช่วยปิดประตูด้วยค่ะ”
รปภ.สองคนมองหน้ากันเลิกลัก อึกอัก ทำท่าจะกดลิฟต์ปิด
“ใครสั่งให้ปิด เปิดไว้ แล้วเอาตัวสองคนนี้ออกไป เดี๋ยวนี้” บุษบาแว้ดใส่และสั่งรปภ.
“หยุดนะ ขืนถูกตัวฉันนิดเดียว ได้มีเรื่องกับเพื่อนฉันแน่” แนนนี่รีบลากปีเตอร์มาเป็นเครื่องกำบัง
“อ้าวเฮ้ยไหงพูดงั้นล่ะ” ปีเตอร์รับมุกรีบเก็กหน้าดุใส่รปภ. “อย่าเข้ามานะ แฮ่”
“เชิญพวกคุณออกไปดีๆ เถอะครับ ที่นี่เป็นสถานที่ห้ามใช้เสียง อย่าก่อความไม่สงบเลยนะครับ”
“อ้าว พูดอย่างนี้มันหมิ่นประมาทกันนี่ ฉันก่อความไม่สงบตรงไหน เจ๊คนนี้ต่างหากล่ะ จู่ๆ มาตู่ว่าเป็นเจ้าของโรงพยาบาล ฉันว่าเป็นคนไข้โรคจิตซะมากกว่ามั้ง ฮ่าๆๆ” แนนนี่แหย่รังแตนไม่รู้ตัว
ปีเตอร์พลอยบ้าจี้หัวเราะตามแนนนี่ไปด้วย บุษบาก้าวฉับออกจากลิฟต์ แว้ดใส่รปภ.
“ลากพวกมันไปส่งตำรวจ เดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย”
รปภ.เข้ารวบตัวปีเตอร์กับแนนนี่ แนนนี่ส่งเสียงร้องดัง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่า ฉันถูกลวนลาม”
ภวัตในชุดเสื้อกราวน์ของแพทย์ก้าวออกจากลิฟต์ตัวข้างๆ หันมาเจอแนนนี่ รู้สึกตกใจมาก
“แนนนี่”
บุษบาเห็นและได้ยินภวัตเรียกชื่อแนนนี่ ก็ฉุกคิดขึ้นได้
“แนนนี่งั้นเหรอ”
แนนนี่สะบัดจากรปภ. โผเข้ากอดภวัตทันที
“ช่วยด้วยค่ะพี่ภวัต ยามกับเจ๊เนี่ยรังแกแนนนี่กับเพื่อน” แนนนี่หันมาทางปีเตอร์ “ปีเตอร์นี่พี่ภวัต”
ปีเตอร์ยกมือไหว้ภวัต แต่สายตามองมือแนนนี่ที่เกาะภวัตแน่น อยู่ในโหมดหึงๆ
“พี่ภวัตเป็นหมออยู่ที่นี่ เล่าให้พี่ภวัตฟังเลยว่าเราสองคนถูกพวกนี้ทำยังไงบ้าง”
รปภ.หน้าเจื่อน บุษบารีบปรับสีหน้าใจดี
“อ้าว ตกลงน้องเป็นน้องสาวของหมอภวัตหรอกเหรอจ๊ะ”
เจอมุกแสนดีเข้า แนนนี่ถึงกับงง
“อย่าบอกนะคะว่าพี่ภวัตรู้จักเจ๊นี่ด้วย อ๋อหรือว่าเป็นคนไข้โรคจิตของพี่ภวัต”
บุษบาหน้าตูม โกรธ
“นี่คุณบุษบา เธอเป็นเจ้าของที่นี่จ้ะ”
บุษบายิ้ม เชิดใส่แนนนี่และเตรียมรับไหว้ แต่แนนนี่กลับเชิดใส่ บุษบาไหว้เก้อ

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งหมดก็มาอยู่ในห้องทำงานหมอไชย แนนนี่ยกมือไหว้ไชย โดยมีดารกากับภวัตอยู่ด้วย
หมอไชยมองแนนนี่อย่างพอใจ พลางเอามือแตะไหล่แนนนี่
“ไม่เห็นต้องขอโทษขอโพยอะไรกันเลย เรื่องเข้าใจผิดกันแท้ๆ”
“ไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่พาน้องแนนนี่มากราบขอโทษอาจารย์ไชย ผมไม่สบายใจแน่” ภวัตเอ่ยขึ้น
แนนนี่มองมือไชยที่ไหล่อย่างเคืองๆ ไชยรู้ตัว แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ว่างก็เชิญที่นี่บ่อยๆ นะครับน้องแนนนี่”
แนนนี่เพ่งไปที่มือไชย ร่ายมนตร์ปัดมือไชยออก มือไชยกระเด้งไปตบหน้าตัวเองอย่างแรง
“โอ้ย”
บุษบา กับภวัตงงงัน
“ทำไมทำอย่างนั้นล่ะคะพี่ไชย”
“เอ่อ...อ๋อยุงน่ะจ้ะ ยุงกัดแก้มพี่” แก้มไชยเป็นรอยมือเด่นชัด
แนนนี่เหยียดยิ้มสะใจ ภวัตพูดเตือนแนนนี่
“ขอโทษอาจารย์ไชย แล้วจะได้กลับกัน”
“ไหนพี่ภวัตว่าจะพาแนนนี่มารู้จักเค้าเฉยๆ” แนนนี่บ่นอุบ
ภวัตส่งสายตาดุแนนนี่
“ค่าๆ ขอโทษก็ขอโทษ คือแนนนี่เข้าใจผิดน่ะค่ะ คิดว่าเจ๊เค้า...”
“พี่บุษจ้ะ” บุษบาสวนออกมา
แนนนี่เบ้ปากอย่างเบื่อๆ ภวัตเห็นท่าไม่ดี รีบพาแนนนี่ออกไป
“อย่างนั้นผมรบกวนอาจารย์ไชยเท่านี้ก่อนนะครับ”
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ไชยมองประตูที่เพิ่งปิดลง เห็นหลังแนนนี่ไวๆ บุษบามองไชยอย่างอารมณ์เสีย
“พี่ไชยเลิกทำหน้าทำตาแบบนั้นซะทีได้มั้ยคะ”
“ทำไมล่ะ น้องเค้าน่ารักดี มองก็ไม่ได้” ไชยหัวเราะ อย่างอารมณ์ดี

“หน้าตาดี แต่นิสัยเลว พี่ไชยต้องเห็นตอนที่นังเด็กนั่นมันฉอดๆๆ ใส่บุษ ถ้าไม่ต้องรักษาภาพนะ บุษตบมันหมกลิฟต์ไปแล้ว”
“เป็นถึงเจ้าเข้าเจ้าของโรงพยาบาล มีจรรยาบรรณหน่อยค่ะคุณน้องของพี่”
บุษบากุมมือที่ได้แผลจากดารกาขณะพูด “วันก่อนเจอนังตัวพี่ วันนี้เจอนังตัวน้อง”
“น่าสนใจทั้งคู่” ไชยยิ้มกริ่ม
“พี่ไชย” บุษบาแผดเสียงลั่น

ไชยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เอามือยังกุมใบหน้าตัวเองร้อง...อูย ออกมา









Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2555 14:28:00 น.
Counter : 329 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]