All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 20 (ต่อ)



ร่างของโป่งมาปรากฏตัวขึ้นในลักษณะนอนหลับอยู่ในสวนบ้านภวัต บาบาร่าเดินนวยนาดเข้ามาเห็นพอดี

“หลบมานอนอู้งานอยู่ตรงนี้เอง! โป่ง! โป่ง”
บาบาร่าเรียกเสียงดัง แต่โป่งยังนอนหลับสบายไม่ยอมขยับ
“โป่ง! ไอ้โป่ง” บาบาร่าเสียงดังกว่าเดิม
โป่งตื่นทันที “จารย์!”
“จงจานที่ไหน!” บาบาร่าหงุดหงิด
โป่งมองรอบตัว บาบาร่ายิ่งงง “โป่งมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!”
“ฉันจะไปรู้แกเรอะ ! มาเห็นแกก็นอนหลับอยู่ตรงนี้แล้ว!”
โป่งยังงงอยู่ “หมายความว่าโป่งฝันไป!”
มีเสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“เจ้านายแกมาแล้ว! ไปเปิดประตูไป”
โป่งเดินไปบ่นไป “อะไรวะ! งงไม่หายเลย”

รัดเกล้าคุยหารือเรื่องดารกาต่อ
“เกล้าว่ามันผิดปกติจริงๆ ค่ะ คุณอา! คุณอาอย่าโกรธเกล้านะคะ”
ปัทมนยิ้ม “ไม่หรอก...อาขอบใจเสียด้วยซ้ำ ครอบครัวเรารู้จักกันมานานไม่ใช่ปีสองปี! แล้วอาจะลองเลียบ เลียบ เคียงๆ ถามดู”
“ไม่เป็นไรค่ะ...รอเอาไว้ให้น้องดาอารมณ์ดี แล้ว...ถามเองดีกว่า...อย่างที่คุณอาพูด น้องดาก็เหมือนน้องของเกล้า...”
ธานีแทรกขึ้นมา “พูดดีๆก็เป็นแฮะ”
“ไอ้พี่ธานี!”
“คุณแม่ฟังยัยเกล้านะครับ ผมเป็นพี่ แต่ไม่มีใครเคารพเลย”
“ก็ตัวเองอยากทำตัวไม่น่าเคารพทำไม”
“คุณแม่” ธานีหันมาฟ้องแม่
“จริงของน้อง” ปัทมนยิ้มๆ
ธานีเหวอ
“นั่นไง! คุณอาเข้าข้างเกล้า”
“เออ! ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“โอเค้ จะเอาคืนเมื่อไหร่ก็บอก”
ธานีลุกเดินไป ขณะพูด “...เมื่อไหร่แต่งงานกันก็เมื่อนั้นแหละ” แล้วธานีก็หนีขึ้นข้างบนไป
ปัทมนอ้าปากค้าง พูดไม่ออก รัดเกล้าเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

ปัทมนติดใจเรื่องคำพูดเมื่อครู่ จึงเข้ามาคุยกับธานี
ธานีหันมาทางแม่หน้าตาจริงจัง “ผมพูดจริงครับ”
“แล้วลูกเคยคุยกับยัยเกล้าอย่างเป็นทางการหรือยัง”
“ยังเลยครับคุณแม่”
“เฮ้อ ...อ....อ” ปัทมนถอนหายใจ
“ก็พอผมจะพูดทีไร เขาก็ชวนทะเลาะทุกที มันก็เลยหมดอารมณ์”
“หมดอารมณ์หรือไปไม่เป็น” แม่ดักคอเข้าให้
“ทั้ง 2 อย่างเลยครับ”
“ธานีรักยัยเกล้าใช่มั้ยลูก” ปัทมนถามจริงจัง
“งั้นมั้งครับ ... ยัยเกล้าเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมทะเลาะด้วย... ทั้งกวนประสาททั้งกวนโมโหสารพัด”
“อ้าว ! งั้นแต่งงานกันแล้วจะไปรอดหรือลูก” ปัทมนแกล้ง ทำเป็นยิ้มกริ่ม
ธานีตอบทันที “รอดครับ ! เพราะผมไม่ชอบผู้หญิงที่คล้อยตามไปหมดทุกเรื่อง...สำหรับผมกับเกล้า ... มันเป็นความแตกต่างที่ลงตัว” ว่าไปนั่น
“แล้วน้องเขาคิดเหมือนเราหรือเปล่า”
“ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ คุณแม่ช่วยพูดให้ผมหน่อยได้ไหม” ธานีอ้อนแม่
ปัทมนยิ้มอย่างเอ็นดู
“เรื่องอย่างนี้ลูกต้องพูดเอง ถ้าตกลงกันได้เมื่อไหร่ก็มาบอกแม่เรื่องต่อจากนั้น แม่จัดการให้เอง”
ธานีกอดแม่อย่างดีใจ “ขอบคุณมากครับ”
ปัทมนลูบผมลูกชายอย่างเอ็นดู
“หนูเกล้าเป็นเด็กดี...แม่เห็นมาตั้งแต่เล็กๆ...ถ้าได้เป็นลูกสะใภ้แม่ก็ว่าดีเหมือนกัน”
ธานียิ้มอย่างพอใจ

ทาฮิร่ายังนอนพักฟื้นอยู่ในตะเกียงแก้ว ในขณะที่แนนนี่กำลังพยายามเพ่งมองดูลูกแก้ว เห็นผู้คนในร้านอาหารที่ต่างๆ แนนนี่ทำเสียงจึ๊กจั๊ก หน้าตาไม่สบอารมณ์ ทาฮิร่าสะกิดชิกเก้น
“อะไรคุณยาย กำลังดูเพลินๆ เลย”
ทาฮิร่าทำมือทำไม้
“แนนนี่...คุณยายอยากทราบว่าแนนนี่กำลังมองหาอะไร” ชิกเก้นแปล
“ร้านอาหารที่พี่ภวัตกับยัยพี่ดาดินเนอร์กัน”
ทาฮิร่าทำมือโบกไปมา
“คุณยายบอกว่าอย่าไปวุ่นวายกับเขาเลย” ชิกเก้นแปลอีก
“ไม่ยุ่งไม่ได้ค่ะ” น้ำเสียงสุดจะหงุดหงิด
ชิกเก้นหันมาแปลบอกทาฮิร่า “แนนนี่บอกว่าไม่ยุ่งไม่ได้ค่ะ”
ทาฮิร่าฉุนเต็มที่ “ได้ยินแล้ว ฉันให้แกแปลคำพูดฉัน ไม่ใช่แปลคำพูดแนนนี่”
“เวรก๊ำ ... เวรกรรม อ้า ’ไร้ พูด ’ไร ก็ผิดไปหมด” ชิกเก้นบ่น
“คุณยายขอ ยัยพี่ดากำลังจะแย่งพี่ภวัตของแนนนี่ แนนนี่ไม่ยอม”
ทาฮิร่าทำอีกท่า
ชิกเก้นแปลคำบรรยาย “เป็นยาย ยายก็ไม่ยอม”
“ไอ้ชิกเก้น ... น ฉันไม่ได้บอกยังงั้น...น!”
“อ้าว! แล้วบอกว่าไง” ชิกเก้นถาม
“บอกว่า มันไม่ใช่เรื่องยอมหรือไม่ยอม มันเป็นเรื่องของบุพเพสันนิวาส” ทาฮิร่าแปลเอง
“โฮ้ย ! เยอะแยะมากมายใครจะไปแปลถูกหมด มันก็ต้องมั่วมั่ง ...’ไรมั่ง”
“แกน่ะมั่วตลอด”
“อ้ะ โบราณว่าไว้ไม่มีผิด “เสร็จนาฆ่าโค…เสร็จศึกฆ่าแม่ทัพ” ’ไรประมาณนี้ พอเริ่มพูดได้ก็ตำหนิชิกเก้น เวรก๊ำ ...เวรกรรม! ไปดีกว่า”
ชิกเก้นหายแว้บไป
“ไปเสียได้ก็ดี ! แนนนี่ ฟังยายให้ดีนะลูก”
ทาฮิร่าลูบผมแนนนี่อย่างปลอบประโลม

ที่ร้านอาหารหรู เรียบ บรรยากาศเงียบๆ ชวนผ่อนคลายแห่งนั้น ภวัตกำลังตักแบ่งอาหารใส่จานดารกา
“น้องดาต้องทานเยอะๆ ... พี่จะได้พามาอีก”
“งั้นน้องดาจะทานให้หมดเลยค่ะ”
“ดีจ้ะ”
ดารกาตักข้าวทาน ยิ้มอย่างสุขใจ
“นี่น้องดาอยู่ปีอะไรแล้วนะ”
“ปี 3 ค่ะ ... เหลืออีกตั้ง 3 ปี”
“งั้นปีหน้าแนนนี่ก็จบแล้ว” ภวัตเผลอใจนึกไปถึงอีกคน
ดารกาได้ยินชื่อแนนนี่ ก็หน้าตึงขึ้นมาทันที “พี่ภวัตจำได้แต่เรื่องของแนนนี่”
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ก็เขาคอยบอกพี่ตลอด” ยังไม่รู้ตัวอีก
ดารกานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ภวัตจำเรื่องที่คุณแม่กับคุณลุงจักรเคยตกลงกันได้
หรือเปล่าคะ”
ภวัตอึ้งไปเล็กน้อย “เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“แต่มันยังอยู่ในใจน้องดาตลอดเวลา ...” ดารกามองหน้าภวัต น้ำตารื้นขึ้นมา “ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา น้องดาไม่เคยเปลี่ยนใจเลย ... น้องดาไม่เคยมองคนอื่น”
ภวัตน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังเหลืออีกตั้ง 3 ปี อะไรๆ ยังเปลี่ยนแปลงได้”
“เฉพาะพี่ภวัตเท่านั้นแหละค่ะ” ดารกาเสียงแข็ง
“น้องดา”
“น้องดาจำเป็นต้องพูด ... เพราะน้องดาคงมีเวลาไม่ถึง 3 ปี” ดารกาพูดอย่างซีเรียส
ภวัตชะงัก “ทำไม ! น้องดาเป็นอะไร”
“เปล่าหรอกค่ะ น้องดาไม่ได้เป็นอะไร .. แต่ประมาณปีหน้าอาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดกับน้องดา ...หลังจากนั้นอนาคตน้องดาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ ...” ดารกาพูดเป็นนัย
สีหน้าภวัตกังวลใจไม่น้อย “น้องดาพูดอย่างนี้ พี่ไม่สบายใจเลย”
“ถ้าพี่ภวัตจะรักน้องดาก็รีบรักเสียเถอะนะคะ รักก่อนที่พี่ภวัตจะเกลียดน้องดา” น้ำเสียงดารกากร้าวแกร่ง
“พี่ไม่เข้าใจ” ภวัตประหลาดใจระคนสังสัย
“แล้วพี่ภวัตก็จะเข้าใจเองคะ ขออย่างเดียว ถ้าพี่ภวัตทราบแล้ว ก็อย่าเกลียดน้องดาเลยนะคะ...ถึงจะไม่รักก็อย่าเกลียด ...น้องดาทนไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้ ดารกาเริ่มน้ำตาหยดไหลริน
ภวัตจับมือดารกาบีบเบาๆ อย่างปลอบโยน ดารกาน้ำตาไหลพราก ภวัตมองด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เวลาต่อมา จักรพยักหน้าช้าๆ เมื่อฟังภวัตเล่าจบ สองพ่อลูกคุยกันอยู่ภายในบ้าน
“ผมกังวลแล้วก็เป็นห่วงน้องดามากเลยครับ แกหมายถึงอะไร ผมก็เดาไม่ถูก ...ในเมื่อแกยืนยันว่าสุขภาพดีไม่ได้มีปัญหาอะไร” ภวัตว่า
“เป็นหน้าที่ของแกที่จะต้องพยายามถามให้ได้ พ่อเองก็จะลองพูดกับคุณปัทดู หรือว่าแกจะพูดเอง”
ภวัตรีบท้วงไว้ “อย่าเพิ่งดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากให้คุณอาปัทกังวล เอาไว้ให้น้องดายอมบอกผมก่อนดีกว่า ... ยังไงผมจะได้หาทางแก้ไข”
จังหวะหนึ่งจักรวาลมองภวัตอย่างเพ่งพิศ “น้องดาหรือว่าแนนนี่”
“คุณพ่อหมายถึงอะไรครับ” ภวัตงง
“แกชอบน้องดาหรือว่าแนนนี่”
เจอพ่อถามตรงๆ ภวัตถึงกับนิ่งอึ้งไป
“ที่พ่อถามพี่ก็เพราะว่าเป็นห่วง เพราะถ้าแกชอบน้องดา มันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแกชอบแนนนี่มันจะมีปัญหามาก น้องดาจะยิ่งติดแกจนแกะไม่ออก ส่วนแนนนี่ก็ต้องออกจากชีวิตของแกไป เพราะความเข้าใจผิด
แล้วแกเองนั่นแหละจะต้องทนทุกข์ทรมานไปจนตลอดชีวิต” จักรวาลสอนลูกชาย
“ผมเข้าใจดีครับ”
“ไตร่ตรองให้ดี! คิดให้รอบคอบ แล้วก็แก้ไขปัญหาอย่างมีสติ อย่าเอาทั้งชีวิตไปหมกอยู่กับใครเพราะความสงสาร เพราะมันจะกลายเป็นความทุกข์ทรมานกับทุกฝ่าย”
ภวัตเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ แล้วก้มกราบพ่อ
“ขอบพระคุณ คุณพ่อมากครับ”
จักรวาลวางมือลงบนศีรษะลูกชายอย่างเอื้อเอ็นดูและให้กำลังใจ
“จำไว้ว่า พ่ออยากให้ลูกมีความสุขและสมหวังกับทุกสิ่งที่ปรารถนา”

ดารกาอยู่ภายในห้อง รับรู้สิ่งที่พ่อลูกคุยกัน ดารกาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าดูโกรธเกรี้ยวบูดเบี้ยวจนน่ากลัว แล้วจู่ๆ ก็กรีดร้องเสียงดังลั่น
จู่ๆ ที่ด้านนอก ก็มีเสียงฟ้าคำราม แล้วผ่าเปรี้ยงปร้างรับเสียงร้องของดารกา บรรยากาศดูน่ากลัว และเสียงดังมากๆ มีชาวบ้านคนหนึ่งถูกฟ้าผ่าตายไป
เสียงฟ้าร้องครืนคราม และยังผ่าเปรี้ยงปร้างตลอดเวลา ในขณะที่รัดเกล้าและโป่งเข้ามารวมกลุ่มกัน
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ฟ้าถึงได้น่ากลัวขนาดนี้” รัดเกล้าบ่น
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน” จักรวาลว่า
ระหว่างนั้นอิงอรก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในบ้านบ่นพึมพำตามประสา
“ขออยู่ด้วยคนค่ะ....ระทึกสมกับปี 2012”
ภวัตฉุกคิด เดินไปแหงนดูที่หน้าต่าง

ด้านบาบาร่าอยู่ในห้อง และกำลังชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วหันกลับมา
“เหมือนอสูรมันพิโรธ” บาบาร่าตั้งข้อสังเกต
“ขนาดยังโตไม่เต็มที่ ฤทธิ์ยังมากขนาดนี้” ไทเกอร์เสริม

ส่วนดารกา ดึงที่คาดผมออก เห็นเขาโผล่ออกมาให้เห็นชัดเจนและถนัดตา
ดารกาชู สองมือขึ้นกรีดร้อง พร้อมกับมีเสียงฟ้าผ่ารับเปรี้ยงปร้าง

เวลาเดียวกันปัทมนพยายามตั้งสมาธิสวดมนตร์อยู่ในห้องพระ

แนนนี่อยู่ในตะเกียงแก้วได้ยินเสียงฟ้าผ่า ฟ้าร้อง รีบผุดลุกขึ้น
“แนนนี่จะออกไปดู”
ทาฮิร่าดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่าลูก”
“งั้นชิกเก้นไปเอง” ชิกเก้นอาสา
“เออ ... ดี ... แกรีบไปดูแล้วกลับมาบอก” ทาฮิร่าไม่ทัดทาน แถมยังไล่ให้รีบไป
“เวรก๊ำ...เวรกรรม สองมาตรฐานชัดเจน ! ’ไรชัดเจนแต่ชิกเก้นไม่ไปหรอก จะบอกให้” ชิกเก้นงอน

พรและผาดตกใจกลัววิ่งมารวมกันที่ห้องโถง
ในขณะที่ดารกายังคงกรีดร้องเสียงดังก้อง รับกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้าง
สมาชิกทั้งสองบ้าน ต่างอยู่ในอาการหวาดหวั่น

เวลาเดียวกัน มาลีรีบปิดประตูหน้าต่างด้วยความหวาดกลัว
“โอ๊ย! ฟ้าอะไรอย่างนี้ไม่เคยพบเคยเห็น”
นัยน์ตาอสูรสดับเป็นประกายวาววับด้วยความพอใจ
“เกือบแล้ว! เกือบจะได้เวลาของเจ้าแล้ว”
ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง!!
“เอาเลย!... แสดงอิทธิฤทธิ์ของเจ้าให้มันรู้ทั่วกันเลย!”
มาลีหันมามองแล้วด่าผัว “จะบ้าเรอะไง”
อสูรสดับไม่สนใจฟัง เดินออกไปนอกบ้าน
อสูรในร่างสดับ ชูสองแขนขึ้น ท่ามกลางฟ้าผ่า และพายุรุนแรง ด้วยอิทธิฤทธิ์ดารกา
“เอาเลย! ดารกา! ประกาศให้โลกรู้ว่าจะถึงเวลาของอสูรแล้ว”
อสูรสดับหัวเราะกึกก้องอย่างน่ากลัว

บรรยากาศขมุกขมัวในตอนเช้า สมาชิกสองบ้านและอิงอร ต่างรวมตัวกันอยู่ที่บ้านปัทมน และกำลังสนทนากันอยู่ด้วยความตื่นเต้น
“นี่ไม่ใช่หน้าฝนนะคะ ยังน่ากลัวขนาดนี้เลย” รัดเกล้าเอ่ยขึ้น
“อิงต้องไปขออาศัยหลบภัยอยู่กับคุณจักรค่ะ...” อิงอรทำตาหวานใส่จักรวาล “เลยค่อยยังชั่วหน่อย”
“แนนนี่อยู่ในตะ...” แนนนี่เอ่ยขึ้น เกือบเผลอหลุดปาก
ทุกคนมอง โดยเฉพาะดารกาจ้องเขม็ง
“...แนนนี่คลุมโปงตลอด ส่วนเจ้าชิกเก้นอยู่ในตะกร้าค่ะ”
“น้องดาล่ะลูก” ปัทมนถาม
“น้องดาโชคดีค่ะที่นอนหลับสนิทมากจนไม่ได้ยินอะไร”
“นั้นซิ...โชคดีจริงๆ” จักรวาลยิ้มๆ
ระหว่างนั้นมีเสียงแตรรถดังขึ้น พรขับวิ่งออกไป
ดารกาทำเป็นพูดลอยๆขึ้นมา “เสียงเหมือนแตรปีเตอร์เลย”
ภวัตมองแนนนี่แว่บหนึ่ง
แนนนี่ค่อนขอดดารกาอย่างรู้ทัน
“แหม! ความจำดีนักนะค่ะ! เสียงแตรของใครจำได้หมด”
ดารกายิ้มใสซื่อ “พี่ถึงได้เรียนหมอไง”
แนนนี่ลุกพรวด “จะหาว่าแนนนี่โง่ใช่มั้ย”
ดารกาทำหน้าตกใจ
“แนนนี่! พี่เขาไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย”

ปีเตอร์เดินยิ้มเข้ามา ในมือถือดอกไม้ช่อใหญ่ ตามด้วยพรถือถุงอาหารมา ใหญ่บึ้ม 2-3 ถุง
“ปีเตอร์มาแล้วครับ พร้อมด้วยโจ๊กเป๋าฮื้อ และกระเพาะปลา..เน้น..กระเพาะปลาแท้ๆนะครับไม่ใช่หนังหมูอย่างที่เคยกินๆกัน” เรื่องเว่อร์ๆ ขอให้บอกปีเตอร์เหอะ
“นั่งซิจ๊ะ ปีเตอร์”
ปีเตอร์เดินมาคุกเข่าต่อหน้าแนนนี่ หลังจากไหว้มั่วทุกคน
“แนนนี่..นี่ช่อดอกไม้ทำขวัญเมื่อคืนที่ฟ้าผ่าบ้าผ่าบอ”
ดารกาหน้าบึ้งมองตาปีเตอร์
“ขอบใจ” แนนนี่รับมา
“เรายังทำงานหาเงินไม่ได้ จะใช้จ่ายอะไรก็ควรระมัดระวัง...” ภวัตแขวะปีเตอร์กระทบแนนนี่
“อ๋อ! ของปีเตอร์ไม่ต้องระวังเลยครับ! ป๊ากับม้าหาไว้ให้จนใช้ไม่หมด! นี่ไม่รู้นะครับว่าที่บ้านพี่ภวัตมาทานข้าวด้วย ปีเตอร์เลยไม่ได้ซื้อมาฝาก! เอาไว้คราวหน้าปีเตอร์จะซื้อมาแจกทั้งซอยเลย” ปีเตอร์เว่อร์ได้อีก
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกน้องปี...เขามีเงินซื้อ! อยู่ที่ว่าจะกินหรือไม่กินเท่านั้น” รัดเกล้าแก้ต่างแทนพี่ชาย
ปัทมนกระแอม ขยับตัว “เอาละ...แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคนได้แล้ว”
ทุกคนแยกย้ายกัน
จู่ๆ แนนนี่ก็ยื่นส่งช่อดอกไม้ไปให้พร “พี่พร! แนนนี่ให้”
“อุ๊ย!” พรงง
ปีเตอร์เหวอ ภวัตมองแนนนี่อย่างตำหนิ
“วันนั้นพี่พรเจ็บ แนนนี่ไม่มีของเยี่ยม... แนนนี่ขอชดเชยให้วันนี้ก็แล้วกัน”
“แนนนี่” ปัทมนปราม
“ไป! ปีเตอร์!” แนนนี่หอมแก้มแม่ “แนนนี่ไปก่อนนะค่ะ จบปีนี้ แนนนี่ก็ลั้ลลาได้แล้ว”
แนนนี่ผลักปีเตอร์ให้ออกเดินไปด้วยกัน โดยสายตาแต่ละคู่มอง ด้วยความรู้สึกต่างๆกัน
“ดู๊! ลูกคนนี้!” ปัทมนยิ้มอย่างเอ็นดู

คนอื่นรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ดูเหมือนภวัตจะหงุดหงิดเอามากๆ

กลุ่มภวัตเดินกลับเข้าบ้านโดยมีอิงอรทำท่ากระแซะตามติดจักรวาลไปด้วยทุกที่
“แหม..ถ้าคุณจักรไม่คิดมากนะคะ...คุณอิงจะขอหอบผ้าหอบผ่อนมานอน...” อิงอรว่า
ทุกคนชะงัก มองเขม็ง อิงรีบต่อ
“...กินกับน้องเกล้า!”
ทุกคนโล่งใจ
“ฟ้าฝนเมื่อคืนมันน่ากลัวอย่างไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน” อิงอรตั้งข้องสังเกต
“พี่เกล้าคะ!”
ทุกคนหันไปมอง เห็นดารการีบวิ่งตรงมา แล้วยื่นถุงสวยๆ ให้รัดเกล้า
“น้องดาซื้อมาฝากพี่เกล้าค่ะ... เปิดดูซิคะ”
รัดเกล้า เปิดถุง หยิบที่คาดผมสวยๆ ออกมา 2 อัน
“สวยจัง!”
ดารกากราบที่ต้นแขน “น้องดาต้องกราบขอโทษที่วันนั้นแสดงกิริยาไม่ดีกับพี่เกล้าW”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่โกรธน้องดาหรอกจ้ะ”
“น้องดาไปก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณแม่รอ...วันนี้คุณแม่ไปส่ง”
ดารกาไหว้ลาทุกคนอ่อนช้อยแล้วออกไป
“น้องดานี่ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกินนะค่ะ ผิดกับยัยคนน้อง...นั้นน่ะซิเล่นคุณไสยตั้งแต่เด็ก! วันดีคืนดีก็ขี่ไม้กวาดมาจ๊ะเอ๋กับคุณอิง หายตัวได้ทั้งยายทั้ง...” อิงอรจะพูดต่อ
ภวัตรีบกระแอมพูดดักคอ ตัดบท “คุณอาอิงจะกลับบ้านมั้ยครับ ผมจะเดินไปส่ง!”
“คุณจักร…”
“วันนี้ผมมีสอนแต่เช้าเลยครับ!” จักรวาลรีบออกตัว
“เกล้าก็ต้องรีบไปทำงานเหมือนกันค่ะ”
อิงอรพยักหน้าอย่างปลงๆ “ก็ได้ค่ะ ยังไงก็ดีกว่าเดินไปคนเดียว”
ภวัตเดินออกไปกับอิงอร

พอทั้งสองคนเดินมาถึงประตูอิงอรมองซ้ายมองขวาพูดเสียงเบาเหมือนกลัวใครมาได้ยิน
“คุณหมอ...คุณหมอพอจะคุยกับคุณอิงหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้ครับ”
“เรื่องแนนนี่กับคุณยายของแกค่ะ! เขามาขออนุญาตใช้หลังบ้านคุณอิงเป็นที่ Landing พาหนะไม้กวาดหนักๆเข้าจะเอาไอ้ Take off อีกนะคะ”
ภวัตทำสีหน้าอ่อนใจ
“แล้วไม้กวาดนั่นก็ไม่รู้ว่าซื้อมาจากไหน! …ช่างลอยไปลอยมาบนฟ้าได้ โดยไม่ต้องพึ่งน้ำมันซักกะหยด! เอ๊ะ! หรือว่าจะใช่ผีสิง!”
ภวัตทำได้แค่ยิ้ม
“แต่ถ้าใช้สลิง เขาจะผูกกับอะไรล่ะ! หรือว่าก้อนเมฆ”
“ผมต้องไปทำงานละครับ” ภวัตตัดบทรีบไหว้ลา “สวัสดีครับ!”
ภวัตรีบเดินไปเมื่อเห็นท่าจะพูดนาน
“แต่เมฆมันก็ต้องกลายเป็นฝน ! โฮ้ย ! ปวดหัว”
อิงอรเดินเข้าบ้านไป

ภวัตมาถึงโรงพยาบาล ทำงานตามหน้าที่จนแล้วเสร็จ จึงกลับเข้าภายในห้องพัก แล้วรีบปิดประตู
“คุณยายครับ ... ผมอยากพบคุณยาย”
เงียบ
“คุณยายครับ...ผมอยากพบ...”
ขาดคำ ร่างภวัตก็หายวับไป

ที่แท้ภวัตมาปรากฏร่างในตะเกียง ภวัตฉุนจัด
“คุณยายครับ ! ผมเชิญคุณยายไปพบนะครับ ไม่ใช่ให้คุณยายลักพาตัวผมมา”
ทาฮิร่าสะกิดชิกเก้น แล้วเริ่มทำท่า แทนคำพูด
“คุณยายบอกว่า คนหนุ่มต้องมาหาคนแก่ หาใช่คนแก่ต้องไปหาคนหนุ่ม” ล่ามนามชิกเก้นแปล
“แต่ผมต้องทำงาน”
ทาฮิร่าทำมือตอบ
“เดี๋ยวจะส่งกลับเอง มีอะไรก็ว่ามา เพราะคุณยายอยากจะนอน”
ทาฮิร่าเขกหัวชิกเก้น1โป๊ก “แปลเกินอีกแล้ว ไอ้ชิกเก้น”
“ผมอยากจะขอร้องไม่ให้คุณยายกับแนนนี่ไปยุ่งวุ่นวายกับคุณอิง” ภวัตเอ่ยออกมา
ทาฮิร่าทำมือแบบส่ายหน้าเด็ดขาด ภวัตพอจะรู้ความหมาย
“ทำไมถึงไม่ได้ครับ”
“อ้อ! อันนี้แปลออก” ชิกเก้นว่า
ทาฮิร่าทำมืออีกท่า ชิกเก้นแปล
“เพราะคุณอิงชอบมาสอดแนมแก ... ‘ไรแกก่อน”
“แต่ว่า...” ภวัตจะแย้งอีก
ทว่าทาฮิร่าสะบัดมือ ร่างภวัตหายวับไป
ภวัตโผล่มาปรากฏตัวในห้องอย่างหงุดหงิด พยายามระงับสติอารมณ์ แล้วลงนั่ง

วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
วันนี้มีงานเลี้ยงที่บ้านปัทมน ขนมเค้ก 2 ก้อนประดับเทียนวางอยู่บนโต๊ะ ทุกคนในงานกำลังร้องเพลง Happy Birthday ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พอเพลงจบธานี รัดเกล้า และโป่ง จุดประทัด ยิงพลุกระดาษสีโปรยปราย
บรรยากาศรื่นเริง สมกับเป็นงานฉลองวันเกิดของ แนนนี่และดารกา โดยที่ทุกคนไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้ายๆ ที่คาดไม่ถึงขึ้น!!








Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 2:33:29 น.
Counter : 287 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]