All Blog
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 14 อวสาน



เช้าวันใหม่ ณดลกับณภัทรมายืนอยู่หน้ารั้วบ้านของอัธวุธ สักพักอัธวุธก็เปิดประตูบ้านออกมาเห็นก็ทักขึ้น

“อ้าว..ภัทร สวัสดีค่ะคุณณดล” อัธวุธหันไปตะโกนเข้าไปในบ้าน “ยัยอะนา ยัยเม มีผู้ชายมาหาพวกหล่อนน่ะจ้า”
ณดลกับณภัทรเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

อัธวุธนั่งมองเมธาวีกับณภัทรที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้รับแขกสักพักก็เปรยขึ้นกับตัวเองเบาๆ
“คู่นึงนอกบ้าน คู่นึงในบ้าน คุยกันเป็นคู่ๆ อย่างงี้ เจ้าของบ้านอย่างฉัน ก็กลายเป็นส่วนเกินสิเนี่ย”
เมธาวีเอ่ยถามณภัทร “แขนหายเจ็บรึยังเนี่ย”
“โอเคแล้ว แผลเล็กนิดเดียว” ณภัทรตอบ
เมธาวีชี้ไปที่เก้าอี้รับแขก “ภัทรนั่งรอตรงนี้แป๊บนึงก่อนได้มั้ย”
“มีอะไรเหรอเม”
“เหอะน่า...แป๊บเดียว”
พูดจบเมธาวีก็เดินขึ้นห้องของตนไป ณภัทรมองตามอย่างงงๆ แล้วหันมาถามอัธวุธ “เมเค้ามีอะไรจะเซอร์ไพรส์ฉันเหรอ?”
“โอ๊ย...คุยกันเองสิยะ ฉันเป็นติ่งส่วนเกิน เป็นเนื้องอก ไม่ต้องมาคุยกับฉัน”
อัธวุธนั่งแหมะพร้อมทำท่าตัดพ้อ ณภัทรนั่งงงๆ แล้วก็ชะเง้อมองไปทางห้องของเมธาวี

ณดลเดินคุยกับอนามิกาในบริเวณอันร่มรื่นของสวนบ้านอัธวุธ
“ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนตรงๆ ไม่ชอบอ้อมค้อม งั้นฉันจะขอพูดตรงๆ กับเธอซักสองเรื่องนะ” ณดลพูด
“งั้นว่าเรื่องแรกมา” อนามิกาบอก
“ฉันขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับเธอ โดยเฉพาะที่ฉันเคยไล่เธอออกจากบ้าน เธอพอจะยกโทษ และหายโกรธฉันได้มั้ย”
“คุณดูไม่ออกหรือไง ว่าฉันหายโกรธคุณนานแล้ว” อนามิกาถามกลับ
“อ้าว...เหรอ งั้นก็ดีสิ” ณดลดีใจ
“เรื่องที่สองล่ะ” อนามิกาถามต่อ
“ฉันจะมาขอ...เอ่อ...ขอให้เธอเป็นคนพิเศษของฉัน...จะได้มั้ย”
อนามิกาตกใจ “หา?”
ณดลย่อตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำท่าเหมือนชายหนุ่มขอหญิงสาวแต่งงาน
“เธอพอจะเปิดใจให้ฉันได้คบกับเธอ..พอจะเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษากัน ได้แชร์ความรู้สึกดีๆ” ณดลเริ่มอึดอัดรำคาญตัวเอง “โอ๊ย...ให้ฉันพูดตรงๆ แบบที่ฉันเป็นดีกว่านะ”
“ฉันก็ว่างั้น”
“ฉันรักเธอ เป็นแฟนฉันได้มั้ย” ณดลพูดตรงๆ ออกมา
อนามิกาตาโต “ห๊ะ?!” อนามิกาอึ้งไปชั่วอึดใจแล้วจึงเอ่ยถาม “ตรงไปมั้ย?”

ณภัทรยังคงนั่งแกร่วรออยู่ที่เก้าอี้รับแขก เขาเหลือบมองไปเห็นอัธวุธนั่งอยู่ไม่ห่าง อัธวุธคันปากยุบยิบเพราะอยากเม้าธ์แต่ก็พยายามเก็บปากเก็บคำ เพียงครู่เดียวก็ทนไม่ไหวอัธวุธจึงหันไปกระซิบบอกณภัทร
“นี่! ภัทร...แกรู้ตัวมั้ย ยัยเมมันชอบแกตั้งแต่อยู่ที่ลอนดอนแล้ว”
“หา? แกรู้ได้ไงนังอาร์ท” ณภัทรถามกลับ
“แกแหละไม่รู้ได้ไง” อัธวุธสวน
“ก็ฉันไม่รู้จริงๆ นี่แกเม้าธ์มั่วปะเนี่ย”
“อ้าว..อ้าว...จะหาว่าฉันเม้าธ์มั่วๆ ไม่มีหลักฐานไม่ได้นะ เพราะงานนี้ ฉันมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ายัยเมชอบแกอยู่ถึงสองชิ้น”
“หลักฐานอะไร?”
“ชิ้นแรก แกก็เคยเห็นแล้วนี่ สมุดสเก็ตช์ยัยเมน่ะ วันๆ มันนั่งสเก็ตช์แต่รูปแก ไม่ว่าแกจะนั่งที่ไหน มุมไหน ทำอะไร ยัยเมมันสเก็ตช์รูปแกไว้แทบทุกอิริยาบท เรียกว่าสเก็ตช์ไว้เป็นเล่มๆ อ่ะ”
ณภัทรพยักหน้า “อืม...ฉันเคยเห็น แล้วหลักฐานอีกชิ้นที่แกว่าล่ะ”
“อีกชิ้นก็คือ....”
อัธวุธยังไม่ทันพูดต่อ เขาหันไปเห็นเมธาวีเอามือไพล่หลังเดินมาพอดีจึงรีบหุบปากทำเป็นชะเง้อมองไปทางอื่น
เมธาวีพูดกับณภัทร “โทษที...มาแล้วๆ คือว่า...เมมีอะไรอย่างนึง ที่เมทำไว้ กะจะให้ภัทรตั้งแต่ตอนอยู่ที่ลอนดอนแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสซะที”
“อะไรเหรอเม” ณภัทรถาม
เมธาวีเอามือที่ไพล่หลังออกมาทำให้ณภัทรเห็นว่าเธอถือผ้าพันคอที่ถักเองไว้ เมธาวีโชว์ให้ณภัทรดูแล้วยิ้มอย่างไม่มั่นใจ
“แต่มาให้ที่เมืองไทย ไม่รู้จะภัทรจะได้ใช้หรือเปล่านะ”
“ทำไมล่ะ ก็สวยดีออก” ณภัทรเอ่ยชม
“ก็บ้านเราไม่ใช่ลอนดอนนี่ ปีนึงจะหนาวอยู่กี่วันไม่รู้ ฉันให้นะ”
เมธาวีบรรจงพันผ้าพันคอให้ณภัทร
“ขอบคุณมากนะเม”
ณภัทรหันไปแอบสบตากับอัธวุธพร้อมกับชี้ที่ผ้าพันคอเป็นเชิงถาม
อัธวุธตอบเบาๆ “ใช่ๆ นี่แหละ หลักฐานชิ้นที่สอง”
เมธาวีสงสัย “อะไรเหรอ”
อัธวุธรีบหันไปทางอื่นแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ณภัทรยิ้ม “ขอบคุณมากนะเม”
“อะไรกัน ก็เพิ่งพูดขอบคุณไปเมื่อกี้ ไม่ต้องขอบคุณกันซ้ำๆ ก็ได้” เมธาวีเริ่มเขิน
“ไม่ได้ซ้ำนะ ขอบคุณครั้งแรกนั่นขอบคุณที่เมให้ผ้าพันคอ” ณภัทรบอก
“อ้าว...แล้วเมื่อกี้ที่ขอบคุณอีกครั้งล่ะ”
“ก็...ขอบคุณที่ชอบฉันน่ะ” ณภัทรพูด
เมธาวีตกใจ “ห๊ะ?”
“ขอบคุณที่เธอชอบฉัน...เหมือนกับที่ฉันชอบเธอน่ะเม”
เมธาวียิ้มแก้ปริเพราะเขินสุดๆ แต่เธอก็มองตาณภัทรอย่างมีความสุข อัธวุธทำท่าเลี่ยน ล้อเลียน แต่พอเมธาวีกับณภัทรหันมามองเขาก็ทำเป็นยิ้มแย้มแสดงความยินดี

ณดลยังคงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ที่พื้นต่อหน้าอนามิกาที่กำลังยืนอยู่
“ลุกขึ้นมาเถอะ ทำอะไรของคุณน่ะ” อนามิกาบอก
“บอกฉันมาก่อน ฉันขอเป็นแฟนเธอได้มั้ย” ณดลถามหนักแน่น
อนามิกาอ้ำอึ้ง “เอ่อ...คือ...”
“ตอบฉันมาสิ”
“คือว่า....”
ณดลลุกยืนพรวดเพราะเริ่มจะหงุดหงิด “มีอะไรก็ว่ามาตรงๆ เหอะน่า จะปฏิเสธก็ได้นะ ฉันไม่ว่า”
“ถ้างั้น...ฉันปฏิเสธดีกว่า”
“ทำไมล่ะอะนา ไหนเธอบอกว่าหายโกรธฉันแล้วไง ฉันคิดว่าเธอก็มีใจชอบฉันอยู่บ้างซะอีก”
“คุณฟังฉันก่อนนะ ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันได้ทุนไปเรียนที่ลอนดอน ฉันไม่อยากทิ้งการเรียน ทิ้งอนาคต เพื่อสิ่งที่ไม่แน่ไม่นอนอย่าง...เรื่องความรักน่ะ” อนามิกาอธิบาย
“อะนา...เธอพูดเหมือนดูถูกความรักของฉัน”
“ฉันไม่ได้ดูถูกคุณ แต่เวลาที่ฉันจะไปเรียนเนี่ย...มันตั้งสองปีเชียวนะคุณ ฉันจะแน่ใจได้ไงว่าคุณจะเหมือนเดิมในอีกเจ็ดร้อยกว่าวันข้างหน้าน่ะ”
“ถ้าฉันรักใครง่ายๆ ฉันคงโสดมาจนปูนนี้หรอกนะ ฉันไม่ใช่คนที่โลเล เปลี่ยนใจง่ายๆ แบบนั้น”
“ฉันก็ไม่ใช่คนโลเล ที่เปลี่ยนใจง่ายๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อีกสองปีเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”
“หรือว่า...เอางี้มั้ย ฉันจ้างเธอก็ได้” ณดลเอ่ย
อนามิกาไม่พอใจ “หา? คุณพูดอะไรของคุณน่ะ”
“ฉันจะจ้างเธอ แบบที่ไอ้ภัทรน้องชายฉันมันเคยจ้างไง”
“นี่คุณจะบ้าเหรอ”
“ฉันไม่ได้บ้า ฉันจะจ้างให้เธอเป็นแฟนฉัน เธอจะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา”
อนามิกาไม่พอใจมากขึ้น “เก็บเงินของคุณไว้เถอะค่ะ คิดเหรอว่าเงินมันจะดลบันดาลทุกอย่างได้”
“งั้นฉันให้ค่าจ้างเธอคูณสองเลยก็ได้ ไอ้ภัทรมันเคยให้เธอเท่าไหร่ ฉันเพิ่มให้อีกเท่าตัวเลย เธอจะเสียเวลาไปเรียนทำไม อยู่กับฉัน ฉันก็ดูแลเธอได้”
อนามิกาสวนอย่างเหลืออด “นี่คุณกำลังดูถูกฉันอยู่นะ คิดเหรอว่าฉันเป็นผู้หญิงที่จะงอมืองอเท้ามาขอเงินคุณ”
ณดลชักเห็นท่าไม่ดีก็เริ่มอ่อนลง “เอ่อ..ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกคุณนะ”
“คุณไม่เข้าใจฉันเลย ฉันก็มีความฝัน มีอนาคตของฉันเอง ฉันยืนบนลำแข้งตัวเองได้ รู้มั้ยว่าฉันต้องต่อสู้มาแค่ไหน กว่าจะเป็นได้อย่างทุกวันนี้น่ะ ฉันขอตัวนะคะ” อนามิกาทำท่าจะผละไป
“อะนา...เดี๋ยวก่อนสิเธอ”
ณดลจับแขนอนามิกาไว้ แต่อนามิกาสะบัดแล้วพูดกระแทกใส่หน้าณดล
“อย่ามาโดนตัวฉัน แล้วต่อไปนี้ ก็ไม่ต้องมาพูดกับฉันอีก”
“อะนา...เดี๋ยว...ฟังฉันก่อน”
อนามิกาเดินออกไปอย่างไม่มีเยื่อใย ณดลเสียใจเพราะรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดเรื่องเอาเงินจ้างไป เขาได้แต่ก้มหน้ารับความพ่ายแพ้

ช่วงเย็น อนามิกาต้องเดินทางไปลอนดอน คนขับแท็กซี่กับอัธวุธช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางใบโตใส่ท้ายรถแท็กซี่ที่จอดหน้าบ้านอัธวุธ ส่วนเมธาวีกับอนามิกาช่วยกันยกกระเป๋าลากอีกใบมาวางไว้เบาะหลัง
เมธาวีมองชะเง้อออกไปแล้วบ่น “เอ...แปลกจัง”
อนามิกางง “แปลกอะไรเหรอเม”
“พี่ณดลน่าจะมาส่งนะ หรือว่านัดกันไว้ที่แอร์พอร์ตแล้ว”
อนามิกาส่ายหน้า “เปล่า”
อัธวุธแทรกขึ้นมา “อ้าว..ทำไมล่ะยะ อย่าบอกนะว่าเมื่อเช้าแกไม่ได้บอกเค้า”
อนามิกาพูดห้วนๆ “ทำไมต้องบอก”
อัธวุธกับเมธาวีร้องเสียงหลง “เฮ้ย”
“นี่แกทะเลาะกะคุณณดลเค้าเหรอ” อัธวุธถาม
“เปล่า...ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนๆ นี้อีกแล้ว” อนามิกาตอบ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะพี่อะนา” เมธาวีงง
“ฉันไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวตกเครื่อง”
อนามิกาสวมกอดอัธวุธและกอดเมธาวีอย่างเร่งรีบก่อนจะเผ่นขึ้นรถ
“ไปถึงลอนดอนแล้วโทรมาน๊า” อัธวุธบอก
อนามิกาโบกมือลาอัธวุธกับเมธาวี อัธวุธกับเมธาวีมองส่งจนสุดสายตาแล้วจึงหันมาคุยกัน
“เกิดอะไรขึ้นนะ ยัยอะนาไปทะเลาะกับคุณณดลเข้าตอนไหนเนี่ย” อัธวุธสงสัย
“ถึงว่าสิ เมื่อเช้าเค้าดูเฉยเมยกันชอบกล” เมธาวีเริ่มนึกได้
ทันใดนั้น รถของณดลก็ปราดเข้ามาจอดเทียบที่หน้าบ้าน ณดลเปิดประตูรถลงมา
ณดลถามหน้าตาตื่น “อะนาล่ะ”
“เพิ่งขึ้นแท็กซี่ไปเมื่อกี้เอง” อัธวุธบอก
ณดลโวยใส่ “ทำไมเธอสองคนไม่บอกฉันว่าอะนาจะบินไปลอนดอนคืนนี้ นี่ถ้าไอ้ภัทรไม่บอกฉัน ฉันคงไม่รู้อะไรเลย”
ณดลรีบลนลานขึ้นรถแล้วออกรถไปอย่างเร่งรีบ อัธวุธกับเมธาวียืนเซ่ออยู่สักพัก ก่อนที่อัธวุธจะหันมาบ่นกับเมธาวี
“อะไรว้า... แล้วมาเหวี่ยงอะไรที่ฉันเนี่ย”

การจราจรบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ติดขัดมาก ซึ่งรถของณดลก็ติดแหง็กอยู่ด้วย ณดลรู้สึกร้อนใจและเริ่มกระวนกระวาย
“โธ่เว้ย...จะต้องมาติดอะไรเอาตอนนี้”
ณดลชะเง้อมองไปข้างหน้าอย่างร้อนใจซักครู่ก็กระแทกแตรรถอย่างเหลืออด
“รีบขยับไปซี้ คันหน้าน่ะ”

รถของณดลหักเข้ามาจอดบริเวณที่ว่างข้างทางที่สามารถจอดได้ ณดลรีบลงจากรถแล้วพุ่งเข้าไปหาวินมอเตอร์ไซต์ทันที
“ไปสุวรรณภูมิ เร็ว! เท่าไหร่ฉันก็จ่าย”
ณดลรับหมวกกันน็อคมา แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างดันสตาร์ทเครื่องไม่ติด
ณดลถามทันที “เปลี่ยนคันได้มั้ย ผมรีบ”
ณดลเดินมาที่รถมอเตอร์ไซต์อีกคัน และกำลังจะซ้อนท้าย คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันแรก ก็รีบขวางไว้
“เดี๋ยวๆๆ หมวกๆ”
ณดลส่งหมวกกันน็อกคืน แล้วรับหมวกของอีกคันมาสวม
“บิดให้เร็วที่สุดเลยนะ” ณดลสั่งแล้วสวมหมวกกันน็อคขึ้นซ้อนท้ายทันที
มอเตอร์ไซค์รับจ้างพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

สนามบินสุวรรณภูมิยามค่ำคืนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ณดลวิ่งเข้ามาที่ลานผู้โดยสารขาออกแล้วมองซ้ายมองขวาด้วยหน้าตาตื่น ณดลเริ่มหน้าเสียด้วยความหมดหวัง แต่แล้วเมื่อหันไปอีกทางก็ต้องตาโตด้วยความดีใจ
ณดลเห็นเจ้าหน้าที่สนามบินกำลังตรวจตราหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเขาเห็นด้านหลัง ผู้หญิงคนนั้นมีทรงผมและการแต่งกายเหมือนอนามิกามาก ณดลยิ้มดีใจแล้วรีบวิ่งแทบจะสไลด์เข้าไปสะกิดหลังด้วยความดีใจ
ณดลเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจ “อะนา”
หญิงสาวคนนั้นหันมาณดลจึงเห็นว่าไม่ใช่ ณดลหน้าถอดสีและเริ่มเข้าใจทันทีว่าหมดหวัง ที่จะพบอนามิกาแล้ว ณดลยืนคอตกอยู่ในสนามบินที่มีผู้คนขวักไขว่รายล้อม

อนามิกานั่งอยู่บนชั้นประหยัดของเครื่องบิน เธอนั่งหน้าเศร้าอยู่ริมหน้าต่างพร้อมกับหันมองเหม่อออกไปด้านนอก

ณดลนั่งซึมอยู่ในบริเวณห้องรับแขกที่ค่อนข้างมืดในบ้านของเขา ทันใดนั้นไฟก็ถูกเปิดให้สว่าง แล้วณภัทรก็เดินนำเมธาวีกับอัธวุธเข้ามา ทุกคนทักทายณดลด้วยน้ำเสียงสดใส
เมธาวีเอ่ยทัก “สวัสดีค่ะพี่ณดล”
อัธวุธทักต่อ “คุณณดลขา...”
ณดลตอบเสียงเนือยๆ “อืม...ฉันขอตัวเข้านอนก่อนนะ”
ณดลจะเดินเลี่ยงไป แต่ณภัทรรีบมาขวางไว้
“เดี๋ยวสิพี่ณดล ผมกับเพื่อนๆ จะมาชวนพี่น่ะ พรุ่งนี้พี่ว่างรึเปล่า”
“ว่าง...แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะไปเที่ยวเล่นกับแกหรอกนะ” ณดลตอบ
“ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นค่ะพี่ณดล คือพวกเราจะไปสถานทูตกัน” เมธาวีบอก
ณดลตกใจ “หา?”
อัธวุธชี้แจง “ไปขอวีซ่ายังไงล่ะคะ”
“ไปลอนดอนกันนะคะ ไปกันทั้งหมดเนี่ยแหละค่ะ” เมธาวีบอก
ณดลยังงงๆ “เอ่อ...”
“แต่ถ้าพี่ไม่อยากไปหาอะนา ผมก็เข้าใจนะ เรื่องของใจมันพูดยาก ผมกับเพื่อนๆ คงไปบังคับอะไรพี่ไม่ได้” ณภัทรพูดลองใจ
“ใช่ค่ะ ถึงแม้คุณณดลกับยัยอะนาก็ดูเหมาะสม แต่ถ้าใจไม่ได้ ก็คงไม่ได้” อัธวุธเสริม
“น่าเสียดายนะคะ เมว่าลึกๆ พี่อะนากับพี่ณดลก็น่าจะยังรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่นะ”
“เอางี้ ถ้าพี่ไม่อยากไป ก็บอกตรงๆ ก็ได้” ณภัทรเอ่ยออกมาอีก
ณดลรีบแทรกขึ้น “เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆๆ ฉันยังไม่ทันพูดอะไรเลย ให้ฉันพูดบ้าง”
ณภัทร อัธวุธ และเมธาวีรอฟังว่าณดลจะพูดอะไรต่อ
“ฉันจะไป ฉันอยากไปให้เร็วที่สุดเลยด้วยซ้ำ” ณดลบอก
ณภัทร อัธวุธ และเมธาวีทำหน้าตาเหรอหราด้วยความดีใจแล้วทั้งสามก็หันมายิ้มให้กัน

ณ สนามบินสุวรรณภูมิในยามค่ำคืน ณดลยืนกระวนกระวายใจแล้วก็เดินวนไปมา จนณภัทรชักจะเวียนหัว
“พี่ณดล พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย” ณภัทรเอ่ยถาม
ณดลร้อนรน “เพื่อนแกล่ะ ยัยอาร์ทกับยัยเมน่ะ”
“เค้าไปเข้าห้องน้ำไง เดี๋ยวก็มา”
“แกรีบไปตามมาได้มั้ย บอกว่าฉันจะรีบไปขึ้นเครื่องบิน”
“พี่...มีเวลาอีกตั้งชั่วโมงนึง รออีกแป๊บสิ”
“ฉันรอมาหลายวันแล้ว แกจะให้ฉันรออะไรอีกวะ”
ณภัทรสังเกตเห็นอากัปกริยาของณดลแล้วก็อมยิ้ม
“แกยิ้มอะไร” ณดลถาม
“ก็พี่ณดลน่ะสิ” ณภัทรบอก
“ทำไม...ฉันมีอะไรให้แกขำ”
“ก็...เปล๊า...ไม่มีอะไร๊”
ณดลยังคงร้อนรน ทั้งชะเง้อมอง ทั้งก้มดูนาฬิกา

ณภัทรนั่งสัปหงก ข้างๆ ณดลที่นั่งติดกับหน้าต่าง ณดลเหลือบเหม่อมองไปนอกหน้าต่างในใจคิดถึงอนามิกาเหมือนส่งใจไปถึงลอนดอนแล้ว แต่เขาก็รู้สึกซึมเศร้าเพราะ
ไม่มั่นใจว่าการไปลอนดอนครั้งนี้จะสมหวังหรือไม่
ขณะเดียวกัน อนามิกาที่อยู่ที่ลอนดอนก็ซึมเศร้าและนั่งเหม่อใจลอยคิดถึงณดลอยู่เหมือนกัน

ณดลนั่งคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตระหว่างเขากับอนามิกา
เหตุการณ์ในกระท่อมที่พักบนเกาะที่ณดลกับอนามิกานอนหลับแขนขาก่ายกัน และตะแคงใบหน้าหันเข้าหากัน ณดลค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าอนามิกาอยู่ใกล้ๆ ก็กะพริบตาถี่ๆ อย่างงงๆ อนามิกาลืมตาตื่นขึ้นมา ประสานสายตากันพอดี ทั้งสองนิ่ง มองตากัน แล้วระบายยิ้มออกมา อย่างคู่รักที่มองตากัน
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น ณดลก็อมยิ้มอย่างเศร้าๆ แล้วณดลก็คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตอีก นั่นคือเหตุการณ์ที่อนามิกาคอยดูแลเช็ดตัวเช็ดหน้าให้ณดลเมื่อวันที่ณดลป่วย มีไข้สูง
ณดลนึกถึงเรื่องในวันที่เขาป่วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกเศร้าเพราะคิดถึงอนามิกา
ณดลคิดถึงเหตุการณ์ที่จุดชมวิวของสวนสาธารณะ Hampstead Health เมื่อณดลเดินโผล่พ้นแนวพุ่มไม้ก็ถึงกับตกตะลึงกับวิวตรงหน้า ณดลกับอนามิกาหันไปยืนชมวิว และสูดอากาศเต็มปอดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจ
ณดลคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วก็ยิ้มเศร้าๆ
ณดลปลอบตัวเองเบาๆ “หวังว่าคงยังไม่สายเกินไปนะ”
ณดลน้ำตาเอ่อออกมาเหมือนรู้สึกว่าความหวังของตนริบหรี่ลงเต็มที

รถเมล์สองชั้นวิ่งผ่านใจกลางกรุงลอนดอน อนามิกาเดินปะปนอยู่กับผู้คนมากมาย เธอทั้งสะพายกระเป๋าและหอบหนังสือเรียน อนามิกาเป็นเอเชียคนเดียวท่ามกลางลอนดอนเนอร์หลากวัยหลายสีผิว อนามิกาทั้งเหนื่อยทั้งเครียดเพราะเพิ่งผ่านคลาสเรียนที่เคร่งเครียดมา

อนามิกาสะพายกระเป๋าและหอบหนังสือเรียนเดินเข้ามาในสวนสาธารณะ hampstead health ด้วยท่าทางเคร่งเครียดและอ่อนล้า

อนามิกาเดินมาถึงเนินเขาจุดชมวิวแล้วค่อยๆ นั่งลงบนสนามหญ้า เธอหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ สักครู่ใหญ่ อนามิกาจะพลิกหน้าต่อไปแต่แล้วก็ชะงัก เหลือบสายตามองไปที่คู่ฝรั่งหนุ่มสาว ซึ่งข้างกายของฝ่ายชายมีกระเป๋าไวโอลิน ส่วนข้างกายของหญิงมีกระเป๋าเป้ใบโต ทั้งสองนั่งอิงแอบกันดูหวานชื่น
อนามิกาทอดถอนใจเพราะอดรู้สึกเหงาไม่ได้ ชายหนุ่มฝรั่งคนนั้นหยิบไวโอลินข้างกายมาสีเพลงรักหวานซึ้ง หญิงสาวก็ซบอิงแอบฝ่ายชาย อนามิกาปิดหนังสือด้วยท่าทางซึมเศร้าลงไป
อนามิกาเปรยเบาๆ “จะเอาให้ฉันเหงาตายตรงนี้เลยใช่มั้ย” อนามิกาเศร้าลงไปอีก
ฝรั่งหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วเดินสีไวโอลินตรงมาที่อนามิกา
อนามิการู้สึกประหลาดใจ เธอมองซ้าย มองขวา เหลียวหลังมองจนแน่ใจว่าฝรั่งหนุ่มเดินตรงมาที่เธอ เธอจึงขยับลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้างงๆ ฝรั่งหนุ่มยิ้มแล้วเดินมาหยุดยืนเล่นไวโอลินใกล้ๆ
อนามิกาหันมองไปก็เห็นฝรั่งสาวเดินตามมาในลักษณะมือไพล่หลัง อนามิกางงมาก เธอยิ้มเก้อๆ ให้ฝรั่งหนุ่มที่กำลังเบือนหน้าไปบอกให้หญิงสาวเดินเข้ามา หญิงสาวเอามือที่ไพล่หลังออกมา ทำให้อนามิกาเห็นว่าเป็นช่อดอกไม้สวยหนึ่งช่อใหญ่
อนามิกาอึ้งงงและยังลังเลที่จะรับ
อนามิกาถาม “this is mine? Are you kidding?”
หญิงฝรั่งพยักหน้าพร้อมส่งช่อดอกไม้ให้อนามิกา
อนามิการับมาอย่างงงๆ “thank you.” อนามิกาเปรยเบาๆ “ผิดคนรึเปล่า”
หญิงฝรั่งหยิบผ้าผืนหนึ่งแล้วคลี่ออกมาชูให้อนามิกาดู เห็นตัวหนังสือเขียนบนผ้าว่า marry me?
“หา! Marry me? แต่งงานกับฉันมั้ยเนี่ยนะ ผิดคนชัวร์” อนามิการีบยื่นดอกไม้คืนให้ฝรั่งหญิง “I think may be you give this to the wrong person.”
พูดจบอนามิกาก็ชะงักมองไปที่เนินเขา เธอเห็นณดลในชุดหรูและสุภาพค่อยๆ เดินมาหา ฝรั่งหนุ่มสาวผายมือไปเหมือนเชิญณดลให้เดินเข้ามา อนามิกาช็อกและรู้สึกดีใจอยู่ข้างใน แต่ก็พยายามเก็บเอาไว้
“คุณมาได้ไง” อนามิกาถาม
ณดลเอานิ้วชี้จุ๊ปากให้อนามิกาอย่าเพิ่งพูดอะไร แล้วจึงเอ่ยขึ้น “อะนา..ฉันรักเธอ”
อนามิกาน้ำตารื้นเพราะแทบจะซ่อนความตื้นตันเอาไว้ไม่ไหว
“...ถ้าเธอรักฉัน และขาดฉันไม่ได้ อย่างที่ฉันรักเธอ และรู้สึกว่าฉันขาดเธอไม่ได้หละก็..” ณดลคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วยื่นแหวนให้ “แต่งงานกับฉันนะ”
อนามิการู้สึกปีติและตื้นตันจนน้ำตาไหลพรากออกมา
“อะนา...เธอตอบฉันสิ เธอจะแต่งงานกับฉันมั้ย” ณดลถามย้ำ
อนามิกาไม่ตอบแต่ก็ฉีกยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตาอาบใบหน้า แล้วเธอก็ได้ยินเสียงร้องเรียก
ณภัทร เมธาวีและอัธวุธเรียกพร้อมกัน “อะนา / พี่อะนา / ยัยอะนา”
อนามิกาหันไปเห็นณภัทรเดินควงเมธาวีเข้ามา โดยมีอัธวุธเดินมาด้วย ทุกคนยิ้มแย้ม แสดงความยินดีเต็มที่
ทั้งสามพูดพร้อมกัน “ยินดีด้วยนะอะนา... / ยินดีด้วยค่า... / ยินดีด้วยนะยะ”
ณดลพูดทั้งที่ยังคุกเข่า “นี่ๆๆ อย่าเพิ่งมาสิ ผิดคิวแล้ว”
ณภัทร เมธาวี อัธวุธ หันมามองณดลอย่างงงๆ ฝรั่งนักไวโอลินหยุดเล่น
ณภัทรถามขึ้น “อ้าว ทำไมล่ะพี่”
“ก็อะนาเค้ายังไม่ตอบฉันเลย” ณดลบอก
ณภัทร เมธาวีและอัธวุธหันไปมองอนามิกาเป็นตาเดียวแล้วอุทานพร้อมกัน “อ้าว....”
“ยังไงเนี่ยพี่อะนา” เมธาวีถาม
“พี่ณดลรักเธอจริงๆ นะอะนา ฉันยืนยันได้เลยว่าตอนที่เธอมานี่ พี่ณดลเค้าเศร้าขนาดไหน” ณภัทรบอก
“โอ๊ย..จะอะไรก็ตอบๆ มาเหอะย่ะ จะรอให้เค้าคุกเข่าจนเป็นตะคริวรึไง” อัธวุธบ่น
“นี่ๆๆ” ณดลดุ “เงียบก่อนได้มั้ย ให้ฉันพูดเอง”
ณภัทร เมธาวี และอัธวุธหุบปากทันที
ณดลหันมาที่อนามิกาแล้วยื่นแหวนให้อีกที “ฉันกำลังคุกเข่าขอเธอแต่งงานอยู่นะ ทำไมเธอไม่ตอบล่ะ”
อนามิกาอ้ำอึ้ง “ก็...”
ณดลหน้าตาลุ้นเพราะกลัวว่าจะโดนปฏิเสธ
ณภัทร เมธาวี และอัธวุธช่วยกันลุ้น
“ก็...มันเขินนี่” อนามิกาโพล่งออกมา
ณภัทร เมธาวี อัธวุธ ส่งเสียงเฮเชียร์ดังลั่น
ณดลดุอีก “ชู่ว...”
ณภัทร เมธาวี และอัธวุธเจอณดลดุจึงเงียบลงทันที
ณดลพูดกับอนามิกา “ตอบมาสิ เธอจะแต่งงานกับฉันมั้ย”
“ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธคุณซะหน่อย” อนามิกาบอก
ณดลยิ้ม ณภัทรกับเมธาวีสะกิดไหล่ณดลที่ยังคงคุกเข่าอยู่
“รออะไรล่ะพี่” ณภัทรถาม
“รีบสวมแหวนสิคะ” เมธาวีเตือน
ณดลสวมแหวนให้อนามิกา อนามิกายิ้มปลื้มอย่างมีความสุข เธอยกหลังมือมาชื่นชมแหวน ครู่ใหญ่จึงมองที่ณดลแล้วพูด
“ฉันตอบรับแล้วไง ลุกขึ้นมาสิ ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว”
“ฉันลุกไม่ขึ้น ตะคริวกินน่ะสิ” ณดลบอก
อนามิกาหัวเราะลั่น “หา...ฮ่าๆๆๆ”
“อูย...นี่เธอหัวเราะเยาะฉันเหรอ”
“เปล่าๆๆ มาๆๆ ฉันช่วยประคอง”
“มา...เมช่วย”
เมธาวีขยับจะไปช่วย แต่ณภัทรยกมือห้ามไว้ แล้วดึงเมธาวีมาควงแนบชิด
อนามิกาประคองณดลให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พอยืนขึ้นมาได้ณดลก็กอดเอวอนามิกา แล้วมองตาอนามิกาด้วยสายตาหวานเชื่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
อัธวุธส่งเสียงเชียร์ “หอมแก้ม..หอมแก้ม...”
ณภัทรกับเมธาวีร้องตาม “หอมแก้ม...หอมแก้ม..”
อนามิกาดุ “นี่..อายเค้า ฝรั่งมองกันเต็มไปหมดแล้ว”
“แต่ฉันไม่อาย” ณดลบอก

ณดลก็หอมแก้มอนามิกาฟอดใหญ่ ฝรั่งนักไวโอลินบรรเลงเพลงต่อทันที ณดลกับอนามิกาสวมกอดกันหลวมๆ และมองตากันอย่างหวานซึ้ง ณภัทรกับเมธาวีก็โอบและประคองกัน ขณะที่อัธวุธคว้าฝรั่งหญิงมาเป็นคู่เต้นรำแก้เก้อ ทุกคนยืนอยู่ท่ามกลางสีเขียวขจีที่แสนสวยงามของสวนสาธารณะแห่งนั้นอย่างมีความสุข

จบบริบูรณ์










Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:16:09 น.
Counter : 819 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 14



พนารัตน์ในชุดนอนกำลังพูดโทรศัพท์บ้านอยู่ที่ห้องรับแขก โดยที่กอบชัยในชุดนอนเดินกระวนกระวายอยู่

“โอ๊ย...แม่มึนไปหมดแล้ว ยัยอะนากับยัยเมโดนจับตัวไปเรียกค่าไถ่ตั้งสิบล้านเนี่ยนะ...แล้วทำไมไม่ไปเรียกค่าไถ่กับพ่อแม่ยัยสองคนนั้น แต่ดันมาเรียกที่ณดลล่ะ”
กอบชัยรีบสวนขึ้น “จะอะไรซะอีกล่ะ มาอีหรอบนี้ ไอ้โจรเรียกค่าไถ่ก็คงไม่พ้นโยงใยกับคุณเสรีน่ะสิ”
พนารัตน์หันไปพูดกอบชัย “หา! จริงด้วยสินะ แล้วจะทำไงต่อดีล่ะคุณ”
กอบชัยหยิบโทรศัพท์จากมือพนารัตน์ไปพูด “นี่พ่อนะ รีบกลับบ้านมาปรึกษากันก่อนดีกว่า เรายังมีเวลาถึงเช้า พ่อรู้จักนายตำรวจใหญ่ท่านนึง เดี๋ยวจะรีบประสานงานขอความช่วยเหลือไป”

ณดลยังคงยืนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ริมรถที่จอดริมถนน โดยมีณภัทร อัธวุธ และจ๊อดอยู่ใกล้ๆ
“จะดีเหรอครับคุณพ่อ ถ้าพวกมันรู้ว่าเราแจ้งตำรวจ อะนากับเมอาจจะโดนมันทำร้ายเอาก็ได้นะครับ”
ณภัทรรีบเสริมอย่างเป็นห่วง “อย่าเพิ่งแจ้งตำรวจเลยครับ”
“อย่าเพิ่งทำอะไรนะครับคุณพ่อ พวกผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้” ณดลรีบกดปุ่มวางหู
“งั้นเดี๋ยวแวะไปส่งอาร์ทกับจ๊อดก่อน” ณภัทรบอก
อัธวุธสวนขึ้นมาทันที “ไม่ต้องย่ะ ฉันขอไปด้วยดีกว่า”
“แต่ว่าเด็กนี่...” ณภทัรลังเล
อัธวุธสวนขึ้นอีก “ป่านนี้พี่ธัญญาคงกลับบ้านแล้ว ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าน้องสาวเค้าโดนจับตัวไปเรียกค่าไถ่อยู่น่ะ”
“จ๊อดไม่กลับนะ จ๊อดจะไปช่วยพี่เมกับพี่อะนา” จ๊อดบอก
“แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องของเด็กนะจ๊อด” ณภัทรหันไปปรึกษาณดล “เอาไงดีล่ะพี่”
“เอ่อ...ถ้างั้น...” ณดลอึดอัดซักครู่แล้วก็พูดกับอัธวุธ “คนพามา ก็ต้องดูแลให้ดีด้วยล่ะ”
อัธวุธพยักหน้ายอมรับ
“งั้นก็รีบขึ้นรถเร็ว” ณดลบอก
ทุกคนรีบขึ้นรถ แล้วณดลขับรถออกตัวไปอย่างรวดเร็ว

โชคกับเจตน์ช่วยกันใช้เชือกมัดขาของอนามิกาไว้กับขาเก้าอี้ ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ใกล้ๆ กับอนามิกานั้น เมธาวีก็ถูกมัดกับเก้าอี้อีกตัวแบบเดียวกัน เสรีนั่งอยู่กับนลิณาและเกตนิการ์ นลิณามองทั้งสองคนที่ถูกมัดอย่างสะใจ
“มัดให้แน่นๆ เลยนะ อย่าให้มันหนีไปได้” นลิณาสั่ง
“มัดซะขนาดนี้ ถ้ามันคิดหนี ก็คงต้องวิ่งลากเก้าอี้นี่ติดขาไปด้วยแหละเธอ” เกตนิการ์บอก
“เอาหละ...เรียบร้อยแล้ว” เสรีหันมาหานลิณากับเกตนิการ์ “พ่อว่าเรารีบไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
นลิณาไม่เห็นด้วย “อ้าว...ทำไมล่ะคะคุณพ่อ แล้วยัยสองคนนี้ล่ะคะ”
“ก็ให้โชคกับเจตน์มันเฝ้าอยู่นี่ไง เชื่อพ่อสิ เพื่อความไม่ประมาท เราไม่ควรอยู่แถวนี้ ให้คนสืบสาวราวเรื่องมาถึงเราได้”
นลิณาหันไปพูดกับโชคและเจตน์ “งั้นแกสองคนต้องเฝ้ามันให้ดีนะ”
โชคกับเจตน์รับคำ “ครับคุณหนู”
เสรีเดินนำออกไป นลิณากับเกตนิการ์เดินตาม นลิณาเดินมาหยุดมองหน้าอนามิกา ขณะที่เกตนิการ์ก็มองเมธาวีแล้วยิ้มเยาะ
นลิณาพูดเยาะเย้ย “ฉันไปก่อนนะ ลาที ลาขาด ชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว”
“ถ้าชาตินี้ไม่ต้องเจอเธออีกจริงๆ ต่อให้ฉันตาย ก็ต้องเรียกว่าเป็นข่าวดีนะ” อนามิกาบอก
นลิณาโกรธเลยเดินเงื้อมือเข้ามาจะตบอนามิกา แต่แล้วก็ยั้งมือไว้
“ฉันไม่ตบให้เสียมือดีกว่า อยากพล่ามอะไรก็เชิญเถอะ เพราะยังไง ทันทีที่ฉันได้เงินค่าไถ่ แกสองคนก็จะไม่มีโอกาสได้พล่ามแล้ว”
อนามิกายังนิ่งเพราะควบคุมความกลัวได้ แต่เมธาวีเริ่มกลัวจนร้องไห้สะอื้นออกมา
“ต่อให้ได้เงินค่าไถ่ ฉันสองคนก็ยังต้องโดนฆ่าเหรอ” เมธาวีร้องไห้
“ก็ใช่สิยะ เรื่องอะไรจะปล่อยให้เธอสองคนย้อนกลับมาเล่นงานเราล่ะ” เกตนิการ์บอก
“ถูก...ถึงยังไงพวกเธอก็ไม่รอด มีอะไรสั่งเสียก็รีบๆ ว่ามาซะ” นลิณาพูด
อนามิกาพูดเสียงเรียบๆ “ฉันไม่มีคำสั่งเสียหรอกนะ” อนามิกาพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาต “มีแต่คำสาปแช่ง ขอให้บาปกรรมตามสนองคนชั่วๆ อย่างพวกเธอ”
พูดไม่ทันขาดคำ นลิณาก็ปราดเข้ามาตบหน้าอนามิกาจนหน้าหัน และก็ผลักอนามิกาจนล้มคว่ำไปทั้งเก้าอี้
“แก!!” นลิณาฉุนขาด
“ว๊ายย...พี่อะนา” เมธาวีตกใจกลัว
อนามิกาล้มคว่ำตะแคงหน้าแนบอยู่กับพื้น “โอ๊ย...”
“จะตายแล้วยังทำปากดี ขอเป็นที่ระลึกซักทีเถอะ”
พูดจบนลิณาก็จะเดินเข้าไปซ้ำ แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสรีร้องห้ามไว้
“พอแล้ว!”
นลิณารู้สึกขัดใจจึงหันมาพูด “แต่ว่า...”
“รีบตามพ่อมา” เสรีสั่ง
“เอ่อ..ค..ค่ะ” นลิณาหันไปพูดกระแทกเสียงใส่อนามิกา “ไปลงนรกเถอะนังอะนา”
อนามิกาพูดทั้งที่ยังล้มตะแคงอยู่กับพื้น “ได้ ฉันจะรออยู่อยู่ที่นั่นนะ รีบๆ ตามมาล่ะ”
นลิณายิ่งเดือดจะหันไปเล่นงานอนามิกาอีก เสรีที่เดินไปหยุดที่ประตูโกดังหันมาตวาดซ้ำ
“พ่อบอกให้รีบตามพ่อมา”
นลิณาอิดออดเพราะอยากเล่นงานอนามิกา แต่แล้วเธอก็ยอมทำตามที่พ่อสั่ง “ค่ะ...คุณพ่อ”
นลิณาเดินออกไป เกตนิการ์เดินตาม ขณะที่ผ่านหน้าเมธาวี เกตนิการ์ก็ก้มลงกระซิบข้างหูเมธาวีอย่างสะใจ
“นี่แหละ ผลของการใฝ่สูง ไม่รู้จักเจียม อยากจะจับนายภัทรจนตัวสั่นหละสิ ลาก่อนนะเม” เกตนิการ์โบกมือยิ้มอย่างสะใจ แล้วจึงเดินตามเสรีกับนลิณาออกไป

เสรีปิดประตูโกดังแล้วเดินนำไปที่รถตู้ นลิณากับเกตนิการ์เดินตามมา
“แล้วเรื่องเงินค่าไถ่ล่ะคะคุณพ่อ” นลิณาถาม
“ก็รอถึงเช้า เราจะโทรบอกมัน ให้มันเอากระเป๋าใส่เงินสดขึ้นรถ แล้วเราจะคอยบอกทางให้มันขับไปไกลๆ ที่โล่งๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีตำรวจตามมา”
“แล้วต่อจากนั้นล่ะคะ” นลิณาถามต่อ
“เราก็สั่งให้มันวางกระเป๋าทิ้งไว้ แล้วพ่อจะให้ลูกน้องอีกคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปเอากระเป๋า ก่อนจะเอามาให้เราที่จุดนัดพบอีกที”
“จากนั้น ก็ค่อยสั่งฆ่านังสองคนนี้ทิ้งซะ อย่างงั้นใช่มั้ยคะ” เกตนิการ์ถาม
เสรีพยักหน้า “แต่ตอนนี้เรารีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้า ยังมีภารกิจสำคัญรอพวกเราอยู่”
“งั้นคืนนี้เธอนอนบ้านฉันนะยัยเกด” นลิณาบอก
เกตนิการ์คิดอยากเอาตัวรอดจึงอ้ำอึ้ง “เอ่อ..แต่ว่า...”
“ห้ามปฏิเสธย่ะ ลงเรือลำเดียวกันแล้ว คิดจะโดดหนีเอาตัวรอดคนเดียวหรือไง หรือว่ากลัวฉันกับคุณพ่อไม่แบ่งเงินค่าไถ่ให้ยะ”
“เอ่อ..คือ...กะ..ก็ได้จ้ะ” เกตนิการ์ยอมรับอย่างไม่เต็มใจ

อนามิกานอนล้มตะแคงอยู่ในสภาพที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ โดยที่พนักพิงหลังของเก้าอี้หักไปซี่หนึ่งทำให้เชือกที่มัดรวบแขนของเธอกับเก้าอี้หลวมไปจากเดิม อนามิกาค่อยๆ ขยับแขนเพื่อคลายปมเชือกที่มัดข้อมือตนไว้ ส่วนเมธาวีสะอื้นไห้หนักอย่างคนใจเสีย
“พี่อะนา...เป็นอะไรหรือเปล่า”
โชคกับเจตน์ยืนมองอยู่สักครู่ แล้วทั้งสองก็ขยับเข้ามาจับเก้าอี้อนามิกายกตั้งเหมือนเดิม
“ช่วยหน่อยโว้ยเจตน์” โชคบอก
“ได้เลยพี่โชค” เจตน์เข้ามาช่วย
โชคยื่นหน้ามาใกล้ๆ อนามิกา “อืม..สวยๆ อย่างงี้ ถ้าก่อนจะยิงทิ้ง ไม่ทำอะไรซักหน่อย ก็เสียของนะ”
“พี่ก็คิดเหมือนผมใช่มั้ย แต่ของผมขอคนนั้นนะ”
เจตน์พูดแล้วเดินมายิ้มหื่นๆ ใกล้ๆ กับหน้าเมธาวี เมธาวีก้มหลบตาพร้อมกับตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว เจตน์เชยคางจะจูบแต่โชคร้องทักไว้
“เฮ้ย!”
เจตน์ผงะ โชคเดินเข้ามาดึงไหล่เจตน์ออกมา
“ให้มันรู้เวล่ำเวลา ทำงานก่อนแล้วค่อยสนุกกัน แกออกไปเฝ้าหน้าโกดัง ถ้ามีอะไรผิดสังเกต เราจะได้ไหวตัวทัน” โชคสั่ง
เจตน์รับคำ “ครับพี่”
เจตน์กระชับปืนที่เอวแล้วส่งยิ้มหื่นๆ ให้เมธาวีก่อนจะเดินออกไป เมธาวียังสะอื้นด้วยความหวาดกลัวเพราะคิดว่าตนต้องตายแน่ๆ ส่วนอนามิกามองเมธาวีอย่างเห็นใจ

ณดล ณภัทร อัธวุธ พนารัตน์ กอบชัย และจ๊อดนั่งหน้าเครียดอยู่ที่เก้าอี้รับแขกภายในบ้านของณดล
“แล้วณดลคิดจะทำยังไงต่อ” กอบชัยถาม
“เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ ผมไม่อยากเสี่ยง พรุ่งนี้เช้าผมจะไปจัดการเบิกเงินสดให้พวกมัน” ณดลบอก
“ตั้งสิบล้านเนี่ยนะลูก” พนารัตน์ถามย้ำ
“แต่ก็แลกกับตั้งสองชีวิตนะครับคุณแม่” ณภัทรบอก
“แล้วทันทีที่อะนากับเมปลอดภัย เราก็รีบแจ้งทางตำรวจให้ตามจับพวกมันซะ เราก็ยังมีโอกาสได้เงินคืนน่ะครับ” ณดลพูด
“จะดีเหรอลูก แม่ว่าเราประสานงานกับทางตำรวจไว้เลยไม่ดีกว่าเหรอ” พนารัตน์เสนอ
“นั่นสิ อย่างพ่อเคยดูในหนัง เค้าต้องเอาเงินไปถ่ายเอกสารไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเล่นงานโจร แล้วไหนจะมีขั้นตอนอีกมากมาย ที่ตำรวจเค้าจะชำนาญกว่าพวกเรา”
“คุณพ่อครับ เงินสิบล้าน เรายังหาใหม่ได้ แต่ถ้าสองคนนั้นเป็นอะไรไป ผมคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต” ณดลบอก
“พ่อว่าแจ้งตำรวจดีกว่า”
“แม่โทรแจ้งให้เลยมั้ย”
“อย่าเพิ่งเลยครับ” ณดลท้วง
“ผมก็ว่าอย่าดีกว่า” ณภัทรสนับสนุน
กอบชัยกับพนารัตน์และลูกทั้งสองเริ่มเสียงแตกกันไปเป็นสองทาง อัธวุธนั่งอย่างใจคอไม่ดีเพราะเป็นห่วงอนามิกาและเมธาวี จ๊อดที่นั่งข้างๆ ก็มองอัธวุธอย่างเป็นห่วง
อัธวุธพูดเบาๆ กับตัวเอง “ยัยอะนา...ยัยเม ทุกคนกำลังหาทางช่วยแกอยู่นะ”

โชคเริ่มนั่งสัปหงกเพราะง่วงนอน เมธาวียังคงคิดว่าไม่รอดแน่ๆ จึงเอ่ยกับอนามิกาด้วยเสียงสั่นเครือ “พี่อะนา...เมขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะ”
“หือ?”
“ทุกครั้งที่เมรู้สึกแย่ หรือเดือดร้อน หันมองข้างๆ ก็จะมีพี่อะนาอยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือเมเสมอ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เจอกันอีก”
อนามิกาพูดเสียงเบา “ยัยเม พูดยังกะจะมีใครตายอย่างงั้นแหละ”
“ก็ใช่น่ะสิ พี่ยังหวังว่าเราจะรอดอีกเนี่ยนะ” เมธาวีถามกลับ
อนามิกาเหลือบมองโชค เธอเห็นโชคนั่งสัปหงกด้วยความอ่อนเพลีย
อนามิกาหันมาที่เมธาวี “ก็ต้องหวังสิ” อนามิกาชูมือข้างหนึ่งขึ้นมาให้ดู
เมธาวีอุทานเสียงดัง อย่างมีความหวัง “หา!!”
อนามิการีบเอานิ้วจุ๊ปาก “ชู่วว...”
โชคขยับตัว อนามิการีบเอามือไพล่หลังตามเดิมแล้วรอจนโชคนิ่งไป อนามิกาจึงยกมือออกมาอีก
“ที่พี่บอกให้เธอไปหยิบโทรศัพท์มือถือน่ะ ตกลงเธอหยิบมาหรือเปล่า” อนามิกาถาม
เมธาวีพยักหน้าถี่ๆ อย่างดีใจ “ของพี่อาร์ท” เมธาวีก้มมองที่กระเป๋า “อยู่ในเนี้ย”
อนามิกาค่อยๆ ยืดแขนไปจนสุดแล้วค่อยๆ ล้วงกระเป๋าของเมธาวีที่พยายามขยับเข้ามาใกล้เธอ
“อีกนิด พี่อะนา อีกนิดเดียว”
“ฉันยืดจนสุดแล้วเนี่ย” อนามิกาบอก
อนามิกาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเมธาวีได้อย่างทุลักทุเล และเกือบจะทำหลุดมือ แต่ก็หยิบมาถือไว้ที่หน้าตักได้
เมธาวีพูดเบาๆ “เร็ว! รีบโทรหนึ่งเก้าหนึ่งเร็ว”
อนามิกาตั้งท่าจะกด แล้วก็นึกได้ “แล้ว..จะให้แจ้งว่าเราอยู่ที่ไหนอ่ะ”
เมธาวีส่ายหน้า “ไม่รู้ ก็โดนคลุมหัวกันมาตลอดทาง”
อนามิกาถอนใจแล้วบ่นเบาๆ “แล้วใครจะมาช่วยเราได้ล่ะ ที่นี่ที่ไหนเรายังไม่รู้เลย”
โชคสัปหงกอยู่สักพักแล้วก็ขยับตัวตื่นขึ้นมาอ้าปากหาวก่อนจะลุกเดินมาที่อนามิกา เขามองตรวจตราความเรียบร้อยทั้งอนามิกาและเมธาวี อนามิกานิ่งและทำทุกอย่างให้เป็นปกติ โชคผละกลับมาเอนหลังหลับตาต่อ
อนามิกากับเมธาวีถอนใจด้วยความโล่งอก โชคลุกขึ้นมาอีกครั้ง อนามิกากับเมธาวีสะดุ้งนั่งตัวแข็ง
“เดี๋ยวฉันมา ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็อย่าคิดตุกติก หรือส่งเสียงร้อง เข้าใจมั้ย” โชคบอก
อนามิกากับเมธาวีรับคำ “เข้าใจจ้ะ”
โชคเดินผ่านหลังอนามิกาออกไป ขณะที่อนามิกาที่ทำเป็นโดนมัดมือไพล่หลังยังคงถือโทรศัพท์มือถืออยู่

เจตน์ยืนตบยุงและเกาตามแขนที่โดนยุงกัดอยู่หน้าโกดัง โชคเดินออกมาแล้วปิดประตู
“อ้าว...พี่โชค จะมาผลัดเวรใช่มั้ย ดีเลย งั้นผมเข้าไปเฝ้าข้างในบ้างนะ ตรงนี้ยุงเยอะชะมัด” เจตน์จะเดินเข้าประตูโกดัง แต่โชคดึงตัวเขาไว้
“เฮ้ย...แกอยู่ตรงนี้แหละ ฉันแค่จะออกมาหาที่ฉี่เว้ย”
“อ้าว...” เจตน์เซ็ง แล้วโชคก็เดินไปหามุมยืนฉี่

อนามิกาใช้มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้ เธอจ้องมองอย่างครุ่นคิดว่าจะใช้ประโยชน์ยังไงดี
“เสียดายเน๊อะ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ถ้ารู้ว่านี่คือที่ไหนก็ว่าไปอย่าง” เมธาวีเซ็ง
อนามิกาโพล่งขึ้นมา “นึกออกแล้ว”
เมธาวีมองอย่างสนใจ
“ถึงเราจะไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน แต่เราก็หาจากในโทรศัพท์ได้นี่” อนามิกาบอก
“ยังไงเหรอ” เมธาวีถาม
อนามิกาพูดพลางก้มหน้ากดไปด้วย “เราก็กดเช็คอินในเฟซบุ๊ค ให้ระบุตำแหน่งที่เราอยู่ตอนนี้ก็ไง”
เมธาวีดีใจ “จริงด้วย แล้วนี่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตมั้ย”
“มีสิ นี่ไง ขึ้นมาแล้ว” อนามิกาอ่านหน้าจอ “ที่นี่เป็นโกดังร้างท่าเรือ อยู่ใกล้ๆ กับ...”
เมธาวีพูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “รีบส่งข้อความเข้าเครื่องนายภัทรเร็ว!” เมธาวีหันไปทางประตู
“ก็เร่งอยู่เนี่ย”
อนามิกากดโทรศัพท์มือเป็นระวิง ครู่หนึ่งเสียงประตูโกดังก็ค่อยๆ เปิดเข้ามา
เมธาวีพูดเบาๆ “เร็ว! มันมาแล้ว”
อนามิกาตอบเบาๆ “ก็เร็วอยู่”
โชคเปิดประตูโผล่เข้ามา แต่แล้วเขาก็ชะงักหันกลับแล้วโผล่หน้าออกไปพูดกับเจตน์
“ไอ้เจตน์ อย่าหลับยาม แล้วก็ห้ามประมาทเด็ดขาดนะโว้ย
เจตน์รับคำ “ครับพี่”
อนามิกาเร่งกดโทรศัพท์ โดยมีเมธาวีคอยลุ้นอยู่อย่างใจหายใจคว่ำ โชคเดินเข้ามาแล้วปิดประตู เขาเดินผ่านอนามิกากับเมธาวีมานั่งที่เก้าอี้ของตน ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู แล้วก็เอนหลัง หลับตางีบอีก
อนามิกามองโชคแล้วรีบซ่อนโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าของตน ก่อนจะขยับมือมาไพล่หลังตามเดิม แล้วหันไปหาเมธาวี
เมธาวีขยับปากถามโดยแต่ไม่ออกเสียง “ส่งไปรึยัง”
อนามิกาพยักหน้าตอบ แล้วขยับปากแต่ไม่ออกเสียงเช่นกัน “ส่งไปแล้ว”
เมธาวีมีสีหน้าดีขึ้นเพราะเริ่มมีความหวังว่าตนจะรอด

โทรศัพท์มือถือของณภัทรที่วางอยู่บนชั้นใกล้ๆ กับเก้าอี้รับแขกมีสัญญาณสั่น และหน้าจอสว่างเพียงวูบเดียว ณภัทรหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วหันไปที่ทุกคนที่มองอยู่
ณภัทรงง “อาร์ท แกจะส่งแมสเสจมาให้ฉันทำไม”
“แมสเสจอะไรยะ ฉันก็นั่งอยู่เนี่ย แล้วโทรศัพท์ฉันก็ไม่รู้หายไปไหน” อัธวุธนึกขึ้นได้ “หรือว่า...”
“อะนากับเมเป็นคนส่งมา” ณภัทรพูดต่อ
จ๊อดโพล่งออกมา “ใช่ จ๊อดเห็นพี่เมหยิบโทรศัพท์ไปด้วย”
“ไหน?” ณดลลุกพรวดมาอ่านหน้าจอ “โกดังร้างใกล้กับ...อ๋อ...ที่นี่ฉันรู้จัก อะนากับเมคงส่งข้อความมาให้พวกเราไปช่วย”
“งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ” ณภัทรเร่งพี่ชาย
ณดลรีบคว้ากุญแจรถ ณภัทรกับอัธวุธรีบเดินตาม กอบชัยรีบร้องทักไว้
“เดี๋ยวสิ...ขอพ่อไปช่วยด้วยคน” กอบชัยเอ่ย
“คุณเนี่ยนะ จะไปเป็นภาระเค้าเปล่าๆ อยู่เฉยๆ กับบ้านเหอะ จ๊อดก็เหมือนกัน อย่าไปเลยลูก” พนารัตน์ปราม
“ไม่เอา จ๊อดจะไปด้วย” จ๊อดรบเร้า
“โอ๊ย...พอดีฉันก็ไม่ต้องทำอะไร ต้องคอยเฝ้าแต่จ๊อดน่ะสิ” อัธวุธโวย
“ไม่รู้หละ ก็จ๊อดอยากไปช่วยพี่เมกับพี่อะนา”
อัธวุธตวาด “ไอ้เด็กดื้อ อยู่นี่แหละ ไม่ต้องไป๊”
“เร็วเข้า เราไม่มีเวลาแล้วนะ” ณดลเร่ง
ณภัทรกับอัธวุธพยักหน้ารับ

ณดลรีบรุดออกมาจากประตูบ้าน ณภัทรชูกุญแจรถร้องบอกอยู่ที่ข้างๆ รถตู้ที่จอดไว้
“คันนี้ดีกว่าพี่ เผื่อที่ให้เมกับอะนาด้วย”
ณดลพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเขาก็ก้าวไปคว้ากุญแจรถจากมือณภัทร
“ฉันขับเอง”
ณดลคว้ากุญแจรถแล้วเดินไปเปิดประตูรถขึ้นไปสตาร์ทรถรอ ณภัทรเปิดประตูเลื่อนข้างรถตู้ออก แล้วชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน
“อ้าว...แล้วไอ้อาร์ทมัวชักช้าอะไรอยู่”
ประตูรถตู้ถูกเปิดค้างไว้ จ๊อดจึงแอบมุดขึ้นไปบนรถ ณภัทรเหลียวกลับมาพอดีกับจังหวะที่จ๊อดมุดขึ้นรถไปได้แล้ว
อัธวุธร้องออกมาจากตัวบ้าน “มาแล้ว..มาแล้ว”
อัธวุธรีบร้อนวิ่งมา
“ชักช้าจริง” ณภัทรบ่น
“แวะเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวเองย่ะ” อัธวุธบอก
แล้วอัธวุธก็กระโดดขึ้นรถตู้ แล้วณภัทรก็กระโดดขึ้นตามไป

รถตู้ที่ณดลเป็นคนขับวิ่งตรงมาใกล้โกดังร้าง ณดลดับไฟหน้าพร้อมกับชะลอเข้าจอดซุ่มอยู่ที่บริเวณซึ่งอยู่ใกล้กับโกดังร้าง ณดลเหลียวมาถามทุกคน
“จากตรงนี้ เราต้องลงเดินแล้วหละ ทุกคนพร้อมรึยัง”
“พร้อมสิพี่” ณภัทรยกปืนขึ้นมา “ผมพร้อมอยู่แล้ว”
“เอ่อ...” อัธวุธจับปืนด้วยสองมือแล้วยกขึ้นมาอย่างสั่นๆ “ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมหละ เกิดมาก็เพิ่งเคยจับปืนกับเค้าเนี่ย”
“ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว...งั้นก็...ลุย!” ณดลให้สัญญาณ
ณดล และณภัทรต่างก็ถือปืนแล้วเปิดประตูก่อนจะปราดลงจากรถ

ณดลเดินอ้อมมาสมทบณภัทรที่ยืนอยู่หน้าประตูบานเลื่อนของรถตู้ อัธวุธก้าวลงจากรถ ณภัทรกำลังจะเลื่อนประตูปิดแต่แล้วก็พลันชะงัก
เสียงจ๊อดดังขึ้น “เดี๋ยว...”
จ๊อดโผล่หน้ามา ทุกคนหันมองจ๊อดด้วยความตกใจ
ทุกคนร้องพร้อมกัน “เฮ้ย!”
“จ๊อด...มาได้ไงเนี่ย” ณดลถาม
“นั่นสิ...ให้เด็กมาด้วยได้ไง” ณภัทรหันไปมองอัธวุธ
“อย่ามามองฉันแบบนี้นะ ก็มาด้วยกัน อย่ามาโทษฉันคนเดียวสิ” อัธวุธรีบแก้ตัว
จ๊อดชี้ที่ปืน “แล้วไหนปืนของจ๊อดล่ะ ขอปืนด้วยสิ”
ทั้งสามส่ายหน้าแล้วก็เก็บปืนเหน็บเอวอย่างเซ็งๆ
“ไม่ได้นะ จ๊อดไปด้วยไม่ได้” อัธวุธบอก
“ใช่..มันอันตราย จ๊อดยังเด็กอยู่นะ” ณภัทรเสริม
“ไม่ จ๊อดจะไปด้วย”
“ไม่ได้ เอางี้ จ๊อดรออยู่ในรถก่อน” อัธวุธเสนอ
จ๊อดร้องเสียงดังขึ้น “ไม่ จ๊อดอยากไปช่วยพี่เมกับพี่อะนา”
ณภัทรกับอัธวุธรีบยกนิ้วจุ๊ปากปราม “ชู่ววว..เบาๆ สิจ๊อด” ทั้งสองหันมามองหน้ากันกลุ้มๆ
ณภัทรหันมาทางณดล “เอาไงดีล่ะพี่”
“เอ่อ...” ณดลอึ้งไปครู่เดียวก็นึกขึ้นได้ รีบทำเป็นเครียดพูดกับจ๊อดอย่างเป็นเรื่องสำคัญ “จ๊อดอยากช่วยพวกเราใช่มั้ย”
“ใช่ครับ” จ๊อดตอบ
“งั้น...จ๊อดคอยซุ่มอยู่ในรถคันนี้” ณดลบอก
“ไม่เอา จ๊อดจะไปด้วย”
ณดลรีบขัดขึ้น “เดี๋ยวสิ ฟังก่อน แผนของเราก็คือ เราสามคนจะต้อนไอ้พวกโจรมาทางนี้ พอมันมาถึงนี่ จ๊อดก็รีบออกจากรถมาจัดการมันซะ”
จ๊อดมีท่าทางลังเล ณดลจึงรีบกล่อมต่อ
“แต่ภารกิจนี้มันอันตรายมากๆ นะ จ๊อดทำได้รึเปล่า หรือว่าจ๊อดกลัว?”
จ๊อดรีบสวน “จ๊อดไม่กลัว จ๊อดทำได้ครับ”
“งั้นก็...รีบหลบเข้าไปซุ่มในรถสิ”
“ครับ”
พูดขาดคำณดลก็พยักหน้าให้ณภัทรปิดบานประตูเลื่อนของรถตู้เสีย ณภัทรกับอัธวุธมองณดลอย่างทึ่งๆ อัธวุธหันไปกระซิบกับณภัทร
“พี่แกหลอกเด็กเก่งจริงๆ”

เจตน์เดินวนไปวนมาเฝ้าอยู่หน้าโกดังร้าง เขาอ้าปากหาวเพราะทั้งเบื่อทั้งง่วง ณดล ณภัทร และอัธวุธถือปืนย่องเข้ามาซุ่มหลังถังน้ำมันที่วางเรียงอยู่ห่างๆ ทั้งสามหลบซ่อนตัวอย่างมิดชิด
“อะนากับเมต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ ฉันจำหน้าไอ้นี่นี้ได้ มันเอาด้ามปืนตีหัวฉัน” อัธวุธบอก
ณภัทรพูดกับณดล “เอาไงต่อล่ะพี่”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว” ณดลยกปืนในมือขึ้นมา “ยังไงก็ต้องดวลกันหน่อยหละ”
อัธวุธมองปืนในมือที่สั่นเพราะความกลัว “ปืนเรายิงแค่สลบ” อัธวุธชะเง้อมองไปที่โกดังอย่างปอดๆ “แต่ปืนมันยิงแล้วตายจริงเลยนะ”
“งั้นนัดแรกของเรา เราก็อย่าพลาดสิ” ณดลบอก
ณดล ณภัทร และอัธวุธขยับเตรียมจะเล็งยิงเจตน์ อัธวุธมือสั่น เขาชะเง้อมองทั้งสองตัวอย่าง พอเห็นณดลขึ้นนก เขาก็พยายามทำตามแต่ดันทำปืนหลุดมือ
อัธวุธอุทานออกมาเบาๆ “ว๊าย!”
เจตน์ได้ยินเสียงโลหะตกกระทบพื้นก็หันมองไปทางต้นเสียง แล้วชักปืนขึ้นมา
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เจตน์ถามพร้อมกับค่อยๆ สืบเท้าก้าวเข้ามา
ณดล ณภัทร และอัธวุธรีบมุดหลบ
อัธวุธถามเบาๆ “มันเดินมาทางนี้รึเปล่า”
“ก็ลองชะเง้อดูสิ” ณภัทรบอก
อัธวุธค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แต่แล้วก็ต้องรีบหลบเข้ามาพร้อมกับกระสุนที่ยิงโดนที่กำบังของทั้งสามอย่างเฉียดฉิว
อัธวุธกรีดร้องด้วยความตกใจแล้วรีบยิงสวนไป แต่แล้วก็สะดุ้งเอง เจตน์กระหน่ำยิงใส่ จนณดลกับณภัทรชักจะอยู่ไม่ได้

โชคซึ่งนั่งเฝ้าอนามิกากับเมธาวีอยู่ได้ยินเสียงปืนก็สะดุ้งสุดตัวแล้วทำหน้าตาตื่น
“เสียงปืน!”
อนามิกากับเมธาวีหันมามองหน้ากันอย่างใจคอไม่ค่อยดีว่าเกิดอะไรขึ้น โชคยกปืนขึ้นมา พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น โชคจึงหันไป
“ใครดันโทรมาตอนนี้วะ” โชคหยิบขึ้นมาดูหน้าจอ แล้วก็รีบกดรับพร้อมกับเปลี่ยนโทนเสียงให้สุภาพ “สวัสดีครับคุณเสรี...ก็เรียบร้อยดีครับ แต่ตอนนี้มีเสียงปืนที่หน้าโกดัง”

เสรีตวาดใส่โทรศัพท์อย่างเดือดดาล
“มีเสียงปืน แกก็รีบออกไปดูสิวะ”
โชคพูดโทรศัพท์ด้วยท่าทีกลัวเกรง
“ครับๆๆ ผมจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”
เสรีกดปุ่มวางหูแล้วหันมาที่นลิณากับเกตนิการ์ที่กำลังนั่งดื่มน้ำอยู่ที่เก้าอี้รับแขก สักพักแพรวาในชุดนอนก็เดินมาหยุดชะงักแล้วซุ่มฟังทั้งสามคุยกัน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณพ่อ” นลิณาถามขึ้น
“ที่โกดังท่าทางจะมีปัญหาน่ะสิ เรารีบไปที่นั่นกันดีกว่า” เสรีบอก
เสรีรีบเดินมาที่โต๊ะวางของ เขาเปิดลิ้นชักแล้วหยิบปืนสั้นสองกระบอกยื่นให้นลิณากับเกตนิการ์ แล้วเดินนำออกไป นลิณาถือปืนเดินตาม เกตนิการ์หยิบปืนมามองอย่างครุ่นคิดด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“แต่ฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องปืนผาหน้าไม้หรอกนะ ยังไงเธอกับคุณลุงก็ยิงพวกมันเองแล้วกัน” เกตนิการ์บอก
“นี่...คิดจะเอาตัวรอดคนเดียวหรือไง” นลิณาสวนทันที
“เปล่านะ ฉันก็ไปด้วยอยู่นี่ไง แค่ไม่เคยจับปืนของจริง ก็เลยออกตัวไว้ก่อนน่ะ” เกตนิการ์ถอนใจอย่างโล่งอกที่หาข้อแก้ตัวได้
เสรีกับนลิณาเดินออกไป เกตนิการ์เดินตามมาห่างๆ แล้วเปรยเบาๆ
“เรื่องอะไรฉันจะเป็นคนยิงล่ะ เกิดผิดพลาดขึ้นมา ก็โดนโทษหนักกันไปสองคนแล้วกัน”
เมื่อเกตนิการ์เดินออกไป แพรวาจึงเดินออกมาจากที่ซุ่ม แพรวามองตามไปเพราะรู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ
โชคกดปุ่มวางหู แล้วรีบออกไปหน้าโกดัง อนามิกากับเมธาวีรีบหันมาพูดกันอย่างใจคอไม่ดี

“ต้องเป็นนายภัทรมาช่วยเราแน่ๆ..แล้วเสียงปืนเมื่อกี้” เมธาวีสังหรณ์ใจ
“ขออย่าให้มีใครเป็นอะไรเลย” อนามิกาบอก

โชคถือปืนเดินออกมาจากโกดังแล้วช่วยเจตน์ยิงกระหน่ำไปยังที่กำบังของพวกณดล ณดล ณภัทร และอัธวุธต่างก็หลบอย่างมิดชิด อัธวุธกลัวจึงหลบอย่างมิดชิด ส่วนณดลกับณภัทรผลัดกันโผล่ออกไปยิงสวนออกไป
โชคถามเจตน์ “มันมากันกี่คนวะ”
“ไม่ต่ำกว่าสองแหละพี่” เจตน์บอก
โชคกับเจตน์ยกปืนขึ้นยิงพลางหลบกระสุนที่พวกณดลยิงสวนมา ณดลหันมาสั่งณภัทร
“ยิงคุ้มกันให้ฉันด้วย ฉันจะเข้าไปช่วยข้างใน”
ณภัทรพยักหน้า “ได้ครับพี่”
อัธวุธแอบโผล่ออกไปแล้วทักขึ้น “เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่ง”
โชคกับเจตน์ยิงกระหน่ำมาอีกชุดใหญ่
“เอานะ เดี๋ยวผมยิงแล้วพี่วิ่งไปเลยนะ...หนึ่ง...สอง...” ณภัทรนับ
ณภัทรโผล่ออกจากที่กำบังแล้วยิงใส่โชคที่หลบอยู่ ณดลโผล่ออกไปวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต โชคกับเจตน์เห็นณดลวิ่งมาก็ยกปืนขึ้นยิงไป กระสุนกระทบพื้นเฉียดตัวณดลที่วิ่งอยู่ไป ณดลโผเข้าไปหลบอยู่บริเวณที่ใกล้กับโกดังมากขึ้น
โชคกับเจตน์จะยิงอีกแต่ก็ต้องชักมือกลับแล้วมุดหลบเพราะณภัทรยิงมา ณภัทรยิงแล้วหลบเข้าที่กำบัง
“ช่วยยิงบ้างสิ นังอาร์ท”
“จ้ะๆๆ” อัธวุธยิงสวนไปอย่างแหยงๆ
ณภัทรกับอัธวุธยิงคุ้มกันให้ณดล ทั้งสองรุกไล่จนโชคกับเจตน์ต้องขยับหนีห่างจากประตูโกดัง ณดลสบโอกาสจึงวิ่งถือปืนยิงออกไปกระสุนโดนเข้าที่ท้องของเจตน์จนล้มลงไป โชครีบมุดหลบ
“ไอ้เจตน์..” โชคหันมาโวยอย่างแค้นๆ “แก..”.
โชคโผล่มายิงกระหน่ำใส่ณดล ณดลรีบพุ่งกระโจนเข้าประตูทำให้รอดห่ากระสุนไปได้อย่างหวุดหวิด โชคจะขยับตามเข้าไปแต่ก็ต้องรีบหลบ เพราะณภัทรกับอัธวุธยิงกระสุนมาดักหน้าไว้อีก
“เฮ้ย...มันเข้าไปได้แล้ว”
“หลบก่อนพี่ อย่าเพิ่งตามไป” เจตน์บอก
โชครีบมุดหลบเพราะณภัทรกับอัธวุธยังคงกระหน่ำยิงใส่ ส่วนเจตน์ยังนอนกุมท้องอยู่

ณดลปิดประตูโกดังแล้วรีบเข้ามาหาอนามิกากับเมธาวี
อนามิกากับเมธาวีเห็นก็ดีใจ “คุณณดล / พี่ณดล”
ณดลรีบปราดเข้าไปแก้มัดให้อนามิกา อนามิกามือหนึ่งว่างจึงช่วยณดลแก้เชือกให้ตนเองด้วย
เมธาวีถามอย่างตื่นเต้น “พี่ณดลมากะใครคะ ภัทรกับพี่อาร์ทมาด้วยรึเปล่า พวกมันมีกันสองคน พวกนีน่ากับพ่อเค้า แล้วก็เกดเป็นคนบงการ”
ณดลกับอนามิกาช่วยกันแก้เชือก แล้วอนามิกาก็รีบไปช่วยแก้มัดให้เมธาวี
อนามิกาปลอบเมธาวีที่พล่ามอย่างไม่หยุด “ใจเย็นๆ ยัยเม...อย่าเพิ่งตื่นตูม”
ณดลกับอนามิกามาช่วยกันแก้มัดให้เมธาวี

ณภัทรกับอัธวุธซุ่มอยู่ที่เดิม ณภัทรแอบมองออกไปแล้วหันกลับมาพูดกับอัธวุธ
“มันเงียบไปแล้ว หรือว่ากระสุนมันหมด”
“กระสุนมันหมดรึเปล่าฉันไม่รู้” อัธวุธชูปืนขึ้นแล้วทำหน้าแหยๆ “แต่ที่รู้ ของฉันหมดแล้ว”
“พูดอะไรแล้วอย่าตกใจนะ” ณภัทรเอ่ย
“หือ”
ณภัทรชูปืนขึ้นมาแล้วสารภาพ “ฉันหมดก่อนแกอีก”
ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด ณภัทรกับอัธวุธรีบหดหัวหลบทันที
“แล้วทำไงล่ะทีนี้ อีกเดี๋ยวมันคงรู้ว่าเรากระสุนหมดแล้ว มันก็คงจะเข้ามาจ่อยิง” อัธวุธกลัว
โชคซุ่มอยู่ข้างๆ เจตน์ที่ยังยังนอนกุมท้อง เจตน์พยายามขยับยันกายลุกแต่ยังไม่ไหว
“เงียบไปเลยเว้ย” โชคนึกได้ก็ยิ้มเหี้ยมๆ แล้วร้องตะโกนออกไป “กระสุนหมดแล้วสิพวกแก”
ณภัทรกับอัธวุธที่หลบอยู่หันมามองหน้ากัน อัธวุธรีบตอแหลใส่
“ไม่ได้หมดย่ะ มีอีกเยอะ มีเป็นตับ”
ณภัทรโวซ้ำ “ใช่...แน่จริงก็เข้ามาเลย”
อัธวุธรีบดุณภัทรเบาๆ “ไอ้ภัทร แล้วแกจะไปท้ามันทำไม๊”
โชคกระชับปืนแล้วค่อยๆ ขยับเข้ามาโดยที่เล็งปืนเตรียมพร้อม ณภัทร กับอัธวุธเห็นโชคค่อยๆ เดินเข้ามาก็รีบหลบ อัธวุธกลืนน้ำลายอย่างกลัวตาย
ณภัทรสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อตั้งสติ เมื่อโชคเข้ามาในระยะประชิดเขาก็รีบพลิกตัวพุ่งออกไปกอดรวบตัวโชคไว้ ส่วนอัธวุธยืนเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้จะช่วยยังไงดี ทั้งสองกอดปล้ำกันบนพื้นและแย่งปืนกันจนปืนลั่นขึ้นมาหนึ่งนัด อัธวุธร้องด้วยความตกใจพร้อมกับกระโดดหลบ
โชคพลิกตัวขึ้นมาได้เปรียบ เขาชกหน้าณภัทร แล้วจะจ่อยิงณภัทร อัธวุธร้องเสียงหลง
“อย่ายิงเพื่อนฉันนะ”
โชคหันขวับมาจ่อปืนเล็งมาทางอัธวุธแทน
“งั้นยิงแกก่อนก็ได้” โชคบอก
อัธวุธตาเหลือกรีบกระโจนหลบกระสุนได้อย่างหวุดหวิด โชคจะยิงซ้ำอีกนัด แต่ณภัทรคว้าข้อมือไว้ ทำให้ปืนยิงไปทางอื่น
“แก...” โชคแค้น
โชคหันปืนมาจะยิงณภัทร
เมธาวีออกมาเห็นร้องเสียงดัง “ภัทร..”
เมธาวีออกมาจากประตูโกดัง อนามิกากับณดลวิ่งตามมาห่างๆ
“เม...ระวัง อย่าเข้ามา” ณภัทรร้องบอก
โชคหันปืนไปเตรียมเหนี่ยวไกยิงเมธาวี เมธาวีวิ่งเข้ามาพอเห็นปืนเล็งมาที่ตนก็ชะงัก ด้วยความตกใจเพราะคิดว่าตนไม่รอดแน่ๆ เสี้ยววินาทีก่อนที่โชคจะลั่นไกนั้นเองณภัทรโผขึ้นมาชาร์จ รวบตัวโชคจนล้มลงไป กระสุนลั่นเข้าที่ต้นแขนของณภัทรจนเลือดกระจายออกมา
เมธาวีตกใจ “ภัทร”
ณภัทรตะโกนถาม “เมเป็นอะไรหรือเปล่า”
เมธาวีมองต้นแขนณภัทรแล้วพูดเสียงสั่น “นายนั่นแหละเป็นอะไรหรือเปล่า”
โชคยกปืนเตรียมจะยิงซ้ำ แล้วทุกคนก็ได้ยินเสียงณดลดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
โชคชะงักแล้วค่อยๆ หันหน้ามา ณดลถือปืนเล็งมาที่โชคพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้ามาหา
“วางปืนลงเดี๋ยวนี้” ณดลสั่ง
“วางปืนเนี่ยนะ” โชคยิ้มเยาะ “จะตายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก อย่าอยู่เลยแก”
โชคหันปืนไปทางณดล แต่ณดลไวกว่าจึงยิงสวนเข้าที่มือของโชคเต็มๆ จนปืนหลุดออกจากมือ อนามิการีบวิ่งเข้ามาเก็บปืนของโชค แล้วเธอกับณดลรีบวิ่งไปดูณภัทรกับเมธาวี
“ภัทร...”
อัธวุธกับจ๊อดขยับออกมาจากที่ซ่อน
ณดลรีบหันมาหาณภัทร “ภัทร...แกไหวหรือเปล่า”
“ไหวพี่..” พอขยับลุกขึ้น ณภัทรก็เจ็บแปลบที่แขนขึ้นมาทันที “โอ๊ย!”
เมธาวีประคองณภัทรแล้วคร่ำครวญอย่างใจคอไม่ดี “ภัทร...รู้มั้ยว่ามันอันตรายแค่ไหน ทำไมนายต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อปกป้องฉันด้วย”
“ก็เพราะเธอคุ้มค่าที่ฉันจะเอาชีวิตไปเสี่ยงน่ะสิ” ณภัทรตอบ
“ยังจะปากดี ทำเป็นเก่งอีก รู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วงแค่ไหน..รู้มั้ย?”
“แล้วเธอล่ะรู้มั้ยว่าฉันไม่ได้ปากดี แล้วก็ไม่ได้ทำเป็นเก่งด้วย ฉันก็แค่อยากจะปกป้องคนที่ฉันรักน่ะ”
“แต่ถ้านายเป็นอะไรไป” เมธาวีนึกได้ “หา?! เมื่อกี้นายพูดว่าไงนะ”
“ก็...พูดอย่างที่เธอเพิ่งได้ยินไปน่ะแหละ” ณภัทรตอบ
เมธาวียิ้มแก้มแทบปริ “เอ่อ...” เมธาวีมองที่ต้นแขนของณภัทร “นายรีบไปทำแผลก่อนดีกว่ามะ”
“พาไอ้ภัทรไปที่รถก่อน เดี๋ยวฉันอยู่จัดการไอ้สองคนนี้ก่อน” ณดลบอก
เมธาวีประคองณภัทรให้เดินไป เจตน์ ค่อยๆ ขยับขึ้นมาแล้วยกปืนขึ้นเล็งไปที่เมธาวีกับณภัทร แต่แล้วอัธวุธก็โผล่มาข้างๆ เจตน์ เจตน์หันไปเห็นอัธวุธที่กำลังใช้สองมือกำปืนของเขาอย่างสั่นๆ พร้อมกับเล็งมาที่เจตน์
อัธวุธพูดเสียงสั่น “ วะ..วาง..ป..ปืนลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นแม่ยิงจะ..จริงๆๆ นะ”
เจตน์วางปืนลงแล้วนอนแผ่อย่างยอมแพ้ อัธวุธคว้าปืนมายึดไว้ แล้วเอาปืนเหน็บเอวเดินมาช่วยเมธาวีประคองณภัทร
ณดลเดินมาที่โชคที่นั่งโอดโอยกุมมือตนอยู่ แต่เดินได้สองก้าว อนามิกาก็ทักไว้
“เดี๋ยวก่อนคุณ”
ณดลชะงักแล้วหันมามองเมธาวีเชิงถามว่ามีอะไร
“ขอบคุณมากนะ...ขอบคุณที่อุตส่าห์มาช่วยฉัน” อนามิกาเอ่ยออกมา
ณดลยิ้มตอบ “นึกว่าจะไม่ได้ยินเธอพูดคำนี้ซะแล้ว”

เวลาผ่านไป โชคกับเจตน์โดนมัดมือไพล่หลังแล้วถูกจับให้นั่งหันหลังชนกันอยู่บนพื้นของลานกว้างๆ หน้าโกดัง ณภัทรยืนใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายเหตุการณ์อยู่
ภาพในโทรศัพท์มือถือของณภัทรเป็นวิดีโอของโชคและเจตน์ที่นั่งคุยกันอยู่
เจตน์กุมท้อง “นี่เรายังไม่ตายเหรอวะ”
โชคกุมมือ แล้วครางอย่างเจ็บปวด “โอย...ต่อไปฉันจะยิงปืนได้อีกมั้ยวะ”
“ยังคิดจะยิงคนอื่นอีกเหรอ แกสองคนบอกฉันมาซิว่าแกทำงานให้กับใครกันแน่” ณดลถาม
ทั้งสองยังนิ่งเงียบ
“ยังจะปกป้องเจ้านายแกไปทำไม ในเมื่อแกกำลังเดือดร้อนอยู่เนี่ย คิดเหรอว่าเจ้านายแกจะมาช่วยน่ะ” ณภัทรขู่
“รีบบอกมาซะ เราจะได้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ว่าแกให้ความร่วมมือ และสารภาพ เผื่อโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” อนามิกาบอก
เจตน์ชักทนไม่ไหว “บอกๆ มันไปเหอะพี่”
“แต่ว่า...เอ่อ...ก็ได้วะ คุณเสรีจ้างฉัน มีปัญหาอะไรมั้ย” โชคบอก
“แล้วนีน่ารู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยมั้ย” เมธาวีถามต่อ
“เออ! ก็ทั้งคุณหนู กับคุณเกดนั่นแหละ” โชคตอบ
โชคพูดขาดคำ ก็มีเสียงปืนดังขึ้น กระสุนเจาะเข้าที่อกของโชคจนเลือดแดงฉานซึมออกมา
เจตน์ตกใจ “พี่โชค!”
ทุกคนวงแตกต่างก็หันไปมองเห็นเสรี นลิณา และเกตนิการ์เดินโผล่จากมุมของอาคาร เสรีถือปืนเดินเข้ามาช้าๆ
“สวัสดีทุกคน ขอให้อยู่ในความสงบ แล้วก็ยกมือขึ้น” เสรีสั่ง
นลิณาหันปืนไปทางอนามิกาแล้วตะคอก “บอกให้ยกมือขึ้น”
เกตนิการ์เดินมาแก้มัดให้เจตน์ “มา..ฉันแก้มัดให้”
อนามิกาค่อยๆ ขยับยกมือขึ้น
“ใจเย็นๆ ก่อนนีน่า” ณดลพูดกับเสรี “คุณลุงเสรี มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันได้นะครับ เล่นปืนผาหน้าไม้แบบนี้ เดี๋ยวลั่นโป้งป้างไปจะลำบาก”
เสรียิ้มเยาะณดล “ก่อนหน้านี้ ฉันหวังแค่เงินค่าไถ่จากแก แล้วก็จะยิงทิ้งแค่นังสองคนนี้” เสรีหันปืนมาที่อนามิกากับเมธาวี “แต่เมื่อทุกอย่างมันมาถึงขั้นนี้ ฉันก็คงไม่มีทางเลือกอื่น...นอกจาก...ฆ่าพวกแกทุกคนซะ”
นลิณารีบทัก “เอ่อ...แต่คุณพ่อขา...นี่คุณณดลนะคะ”
“ไอ้นี่แหละตัวดีเลย” เสรีบอก “ขืนปล่อยมันรอดไป เราคงได้ยกขบวนกันเข้าตะรางสิ เชื่อพ่อ ไอ้นี่มันไม่ได้รักลูกหรอก จะเก็บมันไว้ให้รกโลกทำไม”
นลิณาต่อรอง “แต่ว่า...”
“เอาหละ...เรียบร้อย”
เกตนิการ์บอกหลังจากแก้เชือกที่มัดเจตน์เสร็จ เจตน์ลุกขึ้นมาโดยที่มือหนึ่งยังกุมท้องอยู่ “เกด...ส่งปืนให้นายเจตน์ซิ” เสรีสั่ง
“เอ่อ...ค่ะ”
เจตน์รับปืนมา แล้วหันมาถามเสรี “จะให้ผมยิงคนไหนก่อนครับคุณเสรี”
“นังเมคนแรกไปเลยแล้วกัน” เกตนิการ์เสนอ
ณภัทรรีบท้วง “ไม่ได้นะ ถ้าจะยิงเมก็ยิงฉันก่อนแล้วกัน”
เมธาวีรู้สึกซาบซึ้งที่ณภัทรปกป้องเธอสุดตัว
“โอ๊ย...อะไรเนี่ย” นลิณาชี้ไปที่อนามิกา “นายเจตน์ ยิงยัยนี่ซะ หรือจะให้ฉันยิงมันเอง”
“นีน่า...ให้นายเจตน์จัดการดีกว่าลูกพ่อ” เสรีบอก
ณดลออกมาขวางไว้ “ไม่ได้นะ ถ้าจะยิงอะนา ก็ต้องยิงฉันก่อน”
อนามิการู้สึกเซอร์ไพรส์และซาบซึ้งในตัวณดลเช่นกัน
เจตน์หันมาที่เสรี “เอาไงครับคุณเสรี”
“ก็ยิงๆ ไปเหอะ ลงท้ายมันก็ต้องตายทุกคนอยู่ดี” เสรีบอก
เสรีหันไปเห็นว่าณดลหยิบปืนที่คาดเอวไว้ขึ้นมาเล็งที่หน้าของตน
ณดลพูดกับเจตน์ “ถ้าแกเหนี่ยวไกยิง ฉันก็จะยิงเหมือนกัน”
“ยิงไปเลยนายเจตน์ คุณณดลไม่กล้ายิงคุณลุงหรอก” เกตนิการ์ยุยง
“ยัยเกด...นี่คุณพ่อฉันนะ” นลิณาท้วง
“ถ้างั้น...” เกตนิการ์หันปืนไปที่ณดล “วางปืนเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่วางเหรอ ถ้าคุณณดลปกป้องนังนี่นักหละก็..” นลิณาพูดพร้อมกับเดินมายกปืนขึ้นเล็งไปที่หน้าอนามิกา “ถ้าคุณณดลไม่วางปืน นีน่าจะยิงยัยอะนาเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนที่มีปืนต่างยกปืนขึ้นเล็งเป้าหมายของตน ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังแว่วมาแล้วก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนหันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
สักพักเฮลิคอปเตอร์ตำรวจก็โผล่ออกมาจากแนวโกดัง ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลงจอด ณดล ณภัทร อนามิกา เมธาวี อัธวุธต่างก็ยิ้มดีใจ
“มีคนมาช่วยเราแล้ว” เมธาวีบอก
“ตำรวจนี่” อัธวุธสังเกต
ณดลหันมาหาณภัทร “ฝีมือคุณพ่อแน่ๆ”
เกตนิการ์หันซ้ายหันขวาแล้วก็รีบยุเจตน์
“ยิงเลยสินายเจตน์” เกตนิการ์พูดกับนลิณา “ยิงเลยสินีน่า เร็วสิ”
เฮลิคอปเตอร์ตำรวจร่อนลงจอด พร้อมกับตำรวจหน่วยพิเศษ 5 นายที่ใส่เสื้อเกราะพร้อมอาวุธปืนครบมือเรียงหน้ากันลงมา ตำรวจทั้งหมดยกปืนพร้อมยิงพร้อมกับสืบเท้าเข้าหา
เสรีบอกนลิณา “รีบหนีเถอะลูก”
เกตนิการ์ยีงคงยุนลิณา “เหนี่ยวไกสิยัยนีน่า รออะไรอยู่ล่ะ” เกตนิการ์หันไปตวาดเจตน์ “ฉันบอกให้ยิงซะ !”
เจตน์เตรียมจะเหนี่ยวไกยิงเมธาวี แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตำรวจดังขึ้นมา
“หยุด...ค่อยๆ วางอาวุธปืน แล้วยกมือขึ้น”
เจตน์ เสรี และนลิณาหันมองหน้ากัน
“ทางเราไม่อยากยิงใคร ขอให้วางปืน ยกมือขึ้น แล้วมอบตัวซะดีๆ” ตำรวจพูดต่อ
เสรีพูดอย่างเป็นห่วงลูก “นีน่า...เรายอมดีกว่า”
นลิณาเริ่มลังเล “เอ่อ..”.
เกตนิการ์ยังคงยุ “ไม่ได้นะ นีน่า ยิงนังอะนาซะ”
“อย่านะลูก ยังไงเราก็หนีไม่รอดแล้ว ขืนยิงไปโทษจะยิ่งหนักนะ” เสรีบอก
เกตนิการ์หันไปตวาดใส่เจตน์อีกครั้ง “นายเจตน์ ฉันบอกให้ยิงนังเม ยิงเดี๋ยวนี้!”
เจตน์ทำท่าเหมือนจะยิงแต่แล้วก็หันมายกมือขึ้น
เกตนิการ์บ่น “โอ๊ย! เป็นอะไรกันไปหมด นี่ฉันต้องลงมือเองใช่มั้ย”
เกตนิการ์หันปืนไปที่เมธาวีแต่ก็ต้องชะงักเพราะเธอเห็นตำรวจหลายนายเล็งปืนมาที่เธอในลักษณะที่พร้อมยิงเต็มที่
“หยุด อย่าขยับ” ตำรวจสั่ง
เกตนิการ์ชะงัก ตำรวจค่อยๆ ย่างเข้ามาแย่งปืนออกจากมือ ตำรวจปราดเข้าไปจับนลิณา เกตนิการ์ เสรี และเจตน์แล้วจับทั้งสี่คนเอามือไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือ ตำรวจอีกนายเดินมาดูศพของโชคที่ถูกเสรียิงตาย ณดล อนามิกา ณภัทร เมธาวี และอัธวุธ ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
ณดลพูดกับณภัทร “แกรีบไปกับตำรวจเค้า จะได้ไปทำแผล เดี๋ยวฉันขับรถกลับเอง”
“พี่อาร์ท ไปกับเมนะ จะได้ช่วยดูแลภัทร” เมธาวีพูด
อัธวุธตอบรับ “ไม่มีปัญหาย่ะ”
อัธวุธกับเมธาวีประคองณภัทรไปที่เฮลิคอปเตอร์ ณดลกับอนามิกามองตามแล้วหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างยิ้มอย่างโล่งใจที่เรื่องร้ายๆ ได้ผ่านไปแล้ว

อัธวุธเดินลิ่วมาที่รถตู้ของณดลซึ่งจอดซุ่มอยู่
“จ๊อด...น้องจ๊อด...นายจ๊อด” อัธวุธเรียกเสียงดังขึ้น “ไอ้จ๊อด”
อัธวุธเปิดประตูบานเลื่อนของรถตู้ออก แล้วจึงเห็นจ๊อดนอนหลับปุ๋ย อัธวุธยิ้มขำๆ ระคนเอ็นดู
“โถ...รอจนหลับเลยนะ”
จ๊อดลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย เขาลุกขึ้นมาได้ก็ทำเป็นตื่นตัวพร้อมลุยทันที
“ไหน...ไอ้พวกโจรมารึยังครับ”
“โอ๊ย...เค้าเคลียร์กันหมดแล้ว มา...ไปนั่งรถตำรวจเล่นกัน”
จ๊อดดีใจ “จริงเหรอครับ นั่งรถตำรวจ เปิดไซเรนด้วยนะ”
“เปิดหวอ..หวอ..หวอ เลยหละจ้ะ ตำรวจหล่อๆ ทั้งนั้น ไปเร๊ว...เดี๋ยวให้คุณณดลกับยัยอะนาเค้ากลับคันนี้ไป”
จ๊อดกระโดดตามอัธวุธลงมาอย่างตื่นเต้น

รถตู้ของณดลวิ่งมาบนถนนเลียบแม่น้ำ ท้องฟ้าที่มืดอยู่เริ่มมีแสงเรื่อๆ เหมือนใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะฉายแสงแรกของวันแล้ว
ณดลขับรถมองทางข้างหน้าแล้วเหลือบมองอนามิกา เขาสังเกตเห็นว่าอนามิกาหันมอง ชื่นชมความงามของท้องฟ้าอย่างมีความสุข ครู่หนึ่งณดลจึงเอ่ยขึ้น
“อยากแวะซักหน่อยมั้ย”
อนามิกายิ้มน้อยๆ แทนคำตอบ

รถตู้ของณดลชะลอมาเทียบจอดที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ทั้งสองเดินลงจากรถมานั่งกับพื้น ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันพร้อมกับเหม่อมองท้องฟ้าและผิวน้ำที่เริ่มฉาบด้วยแสงสีแดงและสีทองของวันใหม่
แสงแรกของวันฉาบอยู่บนใบหน้าของทั้งสองที่กำลังชมวิวท้องฟ้าอย่างมีความสุข ครู่ใหญ่ ณดลจึงหันมองอนามิกา อนามิกามองตอบ มือของทั้งสองซึ่งอยู่ใกล้กันเอื้อมมาจับกันไว้
ทั้งสองชมวิว สัมผัสมือกันโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่ทั้งสองก็เปี่ยมไปด้วยความสุขและความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน

บ่ายวันใหม่ กอบชัยคุยฟุ้งอยู่โดยมีพนารัตน์ สำรวจความเรียบร้อยของผ้าพันแผลที่พันต้นแขนของณภัทร โดยมีณดลนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ใช่แล้ว...เป็นพ่อเองที่ประสานงานกับตำรวจระดับผู้ใหญ่ที่พ่อรู้จักน่ะ” กอบชัยคุยโว
“โถ...ขี้คุย ดูลูกๆ เราเค้าไปเสี่ยงลูกปืนกัน เค้ายังไม่เห็นจะคุยซักคำ” พนารัตน์บอก
“คุณก็อย่าไปให้ท้ายลูกๆ มันมาก เรื่องของเรื่องที่เสี่ยงตายนี่ก็เพื่อผู้หญิงทั้งนั้น”
“โธ่...คุณพ่อครับ ถ้าคุณแม่โดนจับ คุณพ่อก็ต้องออกไปเสี่ยงลูกปืนเหมือนผมกับพี่ณดลนั่นแหละ จริงมั้ยล่ะครับ” ณภัทรถามกลับ
“ก็...” กอบชัยอ้ำอึ้ง
“ตอบดีๆ นะคุณน่ะ” พนารัตน์พูดดัก
“ก็แน่นอนอยู่แล้ว ผู้หญิงของพ่อ...ใครอย่าแตะ” กอบชัยบอก
“แล้วไป...”
“แต่ลูกสองคนเนี่ย เป็นผู้ชายประสาอะไร อุตส่าห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ช่วยผู้หญิงที่เรารักมาได้ แต่ดั๊น...มานั่งจับเจ่าอยู่ในบ้าน” กอบชัยว่า
ณดลถามกลับ “แล้วคุณพ่อว่าเราต้องทำยังไงเหรอครับ”
“ก็ออกไปสิ รีบออกไปหาเค้าซะ ตีเหล็กน่ะมันต้องตีตอนร้อนๆ” กอบชัยส่งเสริม
“ก็จริงของคุณนะ” พนารัตน์หันไปหาณดลกับณภัทร “เมื่อวานเราเพิ่งช่วยชีวิตเค้ามา วันนี้ก็น่าจะเหมาะที่เราจะเข้าไปขอความรักจากเค้าอยู่นะ” พนารัตน์มองณภัทร “ว่ามั้ยลูก”
ณภัทรพยักหน้าเห็นด้วย “ผมน่ะพร้อมอยู่แล้วครับ พี่ณดลแหละ พร้อมรึเปล่า”
ณภัทรส่งสายตาท้าทายณดลให้ไปหาอนามิกากับเมธาวีด้วยกันกับเขา

อนามิกานั่งง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค ขณะที่เมธาวีกำลังดูหนังสือแฟชั่นชุดของผู้หญิง ส่วนอัธวุธเดินเข้ามาในบ้านของเขา
อนามิกาจ้องหน้าจอ แล้วจู่ ก็ร้องดีใจเสียงดัง “ไชโย๊!!”
เมธาวีสะดุ้งโหยง “อะไรเหรอพี่อะนา”
“ที่ฉันขอทุนเรียนฟรีไว้ที่ลอนดอนน่ะ เค้าอีเมลตอบรับมาแล้ว ไชโย๊!!”
“จริงเหรอ ดีใจด้วยนะ” เมธาวีบอก
“นี่...ดีใจด้วยย่ะ ฉันก็บอกแล้วไง ว่าได้อยู่แล้วเธอน่ะ ว่าแต่...เดี๋ยวก่อนนะพวกหล่อน มีคนมาขอพบพวกหล่อนแน่ะ” อัธวุธกล่าว
อนามิกางง “ใครเหรอ?”
เมธาวีกระซิบอย่างร่าเริงกับอนามิกา “ภัทรกับพี่ณดลแน่เลย”
พอหันไป อนามิกากับเมธาวีก็ต้องประหลาดใจ เพราะทั้งสองเห็นแพรวาที่เดินมายืนข้างๆ อัธวุธ
อนามิกากับเมธาวีเอ่ยออกมาพร้อมกัน “คุณแพร”
“แพรมารบกวนหรือเปล่าคะ” แพรวาถาม
“ไม่เลยจ้ะ ว่ามาเลย” อนามิกาบอก
“คุณแพรมีอะไรเหรอคะ หรือว่าคุณแพรไม่พอใจ ที่เราทำให้คุณพ่อกับพี่สาวคุณแพรโดนตำรวจจับ” เมธาวีสงสัย
แพรวาสวนขึ้น “แพรจะมากราบขอโทษน่ะค่ะ”
แพรวานั่งพับเพียบแล้วกราบลงกับพื้น อนามิกากับเมธาวีรีบลุกขึ้นมาดึงให้แพรวาลุกขึ้น
“คุณแพร...ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้” อนามิกาบอก
“เราก็เพื่อนๆ กัน มีอะไรก็พูดคุยกันธรรมดาก็ได้ค่ะ” เมธาวีเสริม
“ไม่ได้ค่ะ แพรรู้ว่าคุณพ่อ แล้วก็พี่นีน่า ทำอะไรกับพวกคุณไว้ แพรขอโทษแทนพวกเค้าด้วย ได้โปรดให้อภัยคนในครอบครัวของแพรเถิดนะคะ”
“นี่..พวกฉันเกือบโดนฆ่าเลยนะ จะมาขอโทษกันง่ายๆ อย่างเงี้ยนะ” อัธวุธเอ่ย
อนามิการีบปราม “อาร์ท!”
“อันที่จริง เรื่องทั้งหมดแพรก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย คุณพ่อกับพี่นีน่า อยากเห็นแพรได้แต่งงาน ได้มีชีวิตสุขสบาย” แพรวาสะอื้น “พวกเค้าก็เลยหลงผิด แล้วถลำลึกเกินไป อย่าโกรธแค้นกันเลยนะคะ”
อนามิกากับเมธาวีมองหน้ากันอย่างใจอ่อนเมื่อเห็นน้ำตาของแพรวา
“เอาเป็นอย่างงี้นะแพร พวกเราจะพยายามให้อภัย และจะพยายามช่วยในเรื่องของรูปคดี ยกเว้นในส่วนที่เป็นอาญา ตามกฎหมาย ก็คงช่วยกันไม่ได้” อนามิกาบอก
“แพรเข้าใจค่ะ คุณพ่อกับพี่นีน่าสมควรรับโทษทัณฑ์ตามสิ่งที่ทำลงไป ขอเพียงแต่ทุกคนเมตตา อาจจะพอลดหย่อนโทษจากหนักเป็นเบาได้บ้าง”
“ก็ได้นะ เพื่อคุณแพร เมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ใช่...สบายใจได้ แล้วเราจะช่วยพูดกับทางบ้านคุณณดลให้ด้วยนะจ๊ะ” อนามิกาเสริม
แพรวายิ้มทั้งน้ำตา “ขอบคุณมากนะคะ...ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธยิ้มให้กันอย่างสบายใจที่ได้ให้อภัย










Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:14:39 น.
Counter : 606 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 13



อนามิกากับเมธาวียืนอยู่ที่ประตูภายในบ้าน

เมธาวีถามอย่างลนลาน “ทำไงดีล่ะพี่อะนา”
“ไม่ต้องกลัว เราอยู่ในบ้านแล้ว มันเข้ามาไม่ได้หรอก ฉันจะอยู่ตรงนี้ เธอรีบไปหยิบโทรศัพท์มาเร็ว!” อนามิกาบอก
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงโชคดังเข้ามา “ถ้าไม่รีบเปิดประตู ฉันจะยิงเพื่อนแกเดี๋ยวนี้!”
เมธาวีกับอนามิกาหน้าตาตื่น

โชคผลักหน้าอัธวุธที่ยังมึนๆ เข้ามากระแทกกับบานประตู อัธวุธมีเลือดไหลออกจากจมูก โดยมีเจตน์ยืนคุมอยู่ใกล้ๆ
“ฉันจะนับแค่หนึ่งถึงสาม ถ้าไม่เปิดประตู เพื่อนแกตาย” โชคบอก
เมธาวีที่อยู่ในบ้านมีท่าทีลนลานเหมือนจะร้องไห้
“หนึ่ง” เสียงโชคนับดังขึ้น
เมธาวียิ่งลนลานมากขึ้น “ทำไงดีล่ะพี่อะนา”
“สอง” โชคนับต่อ
อนามิกากระซิบบอกเมธาวี “บอกให้รีบไปเอาโทรศัพท์มาไง”
โชคคำรามขู่ “สาม...ตายซะเหอะ”
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดผัวะออกมา อนามิกายกสองแขนชูขึ้นอย่างยอมจำนน
“อย่ายิงเพื่อนฉันนะ”
“แล้วอีกคนล่ะ” โชคถามแล้วพยักหน้าไปทางเจตน์ “แกดูนังนี่ไว้นะ”
เจตน์พยักหน้ารับ โชครีบพุ่งเข้าไปในบ้าน
อนามิกายกสองแขนโดยเจตน์ถือปืนคุมเชิงไว้ ส่วนอัธวุธนอนหมดสติอยู่กับพื้นบริเวณใกล้ๆ ประตู

เมธาวีวิ่งอย่างลนลานเข้ามาในตัวบ้านแล้วรีบคว้าโทรศัพท์มือถือ เธอพยายามกดเบอร์ 1 9 1 ด้วยมือไม้ที่สั่น พอกดได้แล้วโชคก็เข้ามาคว้าโทรศัพท์ไปจากมือเมธาวี
“ว๊าย” เมธาวีตกใจ
“เอามานี่” โชคดูหน้าจอ “ 1 9 1 งั้นเหรอ”
โชคโกรธมาก เขายกปืนส่องมาทางเมธาวี เมธาวีหน้าเสียเพราะคิดว่าโดนยิงแน่ๆ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงตำรวจดังมาจากโทรศัพท์
“หนึ่งเก้าหนึ่ง สวัสดีครับ”
โชคยกปืนขึ้นจุ๊ปากเตือนให้เมธาวีเงียบเสียง
“หนึ่งเก้าหนึ่ง สวัสดีครับ จะแจ้งเหตุอะไรครับ” เสียงตำรวจดังขึ้นอีก
โชคยกโทรศัพท์ขึ้นพูด “ขอโทษครับ เผลอกดเบอร์ผิดไป ขอโทษจริงๆ ครับ”
โชคกดปุ่มวางหูแล้วปล่อยโทรศัพท์ให้ตกพื้น เมธาวีหน้าเสียเพราะกลัวว่าโชคจะทำอะไรตน โชคกระทืบโทรศัพท์มือถือจนพัง เมธาวีสะดุ้ง
“ชูมือขึ้น แล้วค่อยๆ เดินออกมา” โชคสั่ง
“ค..ค่ะ”
เมธาวีเดินผ่านเก้าอี้รับแขกแล้วเหลือบมองเห็นโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนของอัธวุธวางอยู่
“ค่อยๆ เดิน” โชคสั่ง
เมธาวีก้มหน้าเหล่มองโทรศัพท์มือถือของอัธวุธ แล้วเธอก็แกล้งทำเป็นสะดุดให้หน้าแข้งตัวเองไปชนโต๊ะรับแขก “โอ๊ย!”
เมธาวีแกล้งทำเป็นเจ็บ แล้วทรุดตัวนั่งลงทันที มือข้างหนึ่งของเธอจับหน้าแข้งป้อยๆ อีกข้างแอบหยิบโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าไว้
“ซุ่มซ่ามจริง” โชคต่อว่า “ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินออกไป ถ้ายังไม่อยากตาย ก็อย่าคิดตุกติกเป็นอันขาด”
เมธาวียกมือขึ้นแล้วเดินช้าๆ ออกไป โดยมีโชคถือปืนจ่อหลังเดินตามมา

ประตูรถตู้เลื่อนเปิดออก โชคกับเจตน์เอาปืนจี้ให้อนามิกากับเมธาวีก้าวขึ้นรถ โดยมีนลิณากับเกตนิการ์กำลังถือถุงดำเตรียมครอบศีรษะของทั้งสองไว้
โชคพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ก้าวขึ้นไปบนรถ...เดี๋ยวนี้!”
“พวกแกเป็นใคร จะจับฉันไปไหน” อนามิกาถาม
พูดไม่ทันขาดคำ อนามิกาก็โดนนลิณาเอาถุงดำสวมหัว ส่วนเกตนิการ์ก็เอาถุงดำสวมหัวเมธาวีเช่นกัน โชคถือปืนก้าวตามขึ้นมา เจตน์ปิดบานประตูของรถตู้ แล้วรีบวิ่งอ้อมไปขับรถ
“พวกแกจะทำอะไรฉัน...” เมธาวีถาม
โชคตวาด “ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากซะ” โชคถือปืนคุมเชิงไว้ “รีบมัดข้อมือมันเถอะครับ”
นลิณาจับแขนอนามิกาไพล่หลังแล้วมัดข้อมือไว้ ส่วนเกตนิการ์ก็มัดข้อมือเมธาวีเช่นเดียวกัน แล้วโชค เจตน์ นลิณา และเกตนิการ์ก็ถอดหมวกไอ้โม่งออก ก่อนที่รถตู้จะวิ่งออกไป

ที่หน้าบ้าน อัธวุธยังนอนอยู่ในสภาพบอบช้ำโดยมีเลือดแห้งกรังอยู่ที่จมูก อัธวุธค่อยๆ ลืมตาแล้วพยุงตัวเองขึ้นมา ก่อนจะมองไปรอบๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา
อัธวุธนึกขึ้นได้ รีบร้องเรียกด้วยน้ำเสียงอิดโรย “เม...อะนา...”

อัธวุธก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือของเมธาวีที่โดนกระทืบจนพังขึ้นมาดู
“โทรศัพท์ยัยเมนี่...แล้วโทรศัพท์ฉันหายไปไหนเนี่ย”
อัธวุธเดินโขยกเขยกหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง จนมาเจอโทรศัพท์มือถือของอนามิกาวางอยู่บริเวณชั้นวางของในห้องรับแขก อัธวุธหยิบมากดหาเบอร์แล้วรีบกดโทรออก
“นี่ฉันเอง อาร์ท ฉันใช้โทรศัพท์ของอะนา เดี๋ยว!ภัทร...ฟังฉันก่อน อะนากับเมโดนจับตัวไป...ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร”

รถตู้ที่เจตน์ขับปราดเข้ามาจอดหน้าโกดังร้าง เจตน์ลงจากประตูด้านคนขับแล้วอ้อมมาเลื่อนประตูรถตู้เปิดออก นลิณา เกตนิการ์ และโชค กระชากแขนพาอนามิกาและเมธาวีที่โดนมัดข้อมือไพล่หลังและสวมถุงดำคลุมศีรษะไว้ให้เดินลงมา
“ก้าวลงมา นั่นแหละ แล้วค่อยๆ เดินมาทางนี้” โชคสั่ง
“พวกแกต้องการอะไรกันแน่” อนามิกาถาม
“หุบปาก ถ้าส่งเสียงอีก ฉันจะยิงกรอกปากแกซะ” โชคขู่
เมธาวีกลัวจนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“กลัวจนร้องไห้เลยเหรอ ก้าวตามฉันมา” เจตน์สั่ง
เจตน์จับแขนเมธาวี ส่วนโชคจับแขนอนามิกาแล้วทั้งสองก็ลากแขนสองสาวให้เดินตรงไปที่ประตูโกดัง

ประตูโกดังร้างเปิดออก โชคพาอนามิกาเข้ามาพร้อมกับเจตน์ที่พาเมธาวีเข้ามา นลิณากับเกตนิการ์เดินตามมาแล้วปิดประตูโกดัง เสรีนั่งไขว่ห้างรออยู่ที่เก้าอี้ยาวในโกดังร้าง เมื่อเห็นพวกของตนพาอนามิกากับเมธาวีเข้ามา เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น
“มากันแล้วเรอะ”
นลิณาเดินมากอดประจบเสรี ส่วนเกตนิการ์เดินมานั่งข้างๆ
“ขอฉันดูหน้าสองคนนี้หน่อยซิ” เสรีบอก
โชคกับเจตน์พยักหน้า แล้วโชคก็ดึงถุงดำที่คลุมศีรษะอนามิกาออก ส่วนเจตน์ดึงถุงดำที่คลุมศีรษะเมธาวีออก
อนามิกากับเมธาวีขยิบตาสู้แสง แล้วก็ต้องตาโตตกใจเมื่อเห็นเสรีนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงกลาง โดยมีนลิณาและเกตนิการ์นั่งขนาบข้าง
“นีน่า...เกด!!” อนามิกาตกใจ
เมธาวีโวยวาย “นี่เธอเล่นบ้าอะไรของเธอเนี่ย”
นลิณาเอานิ้วชี้จุ๊ปากเพื่อปรามให้เมธาวีเบาเสียง “ชู่ว...ใครบอกว่าฉันเล่นล่ะ”
“แล้วจะจับเราสองคนมาทำไม พวกเธอต้องการอะไรกันแน่” อนามิกาถาม
“ให้คุณพ่อฉันบอกแกเองดีกว่านะ”
เสรียิ้ม “อยากรู้ใช่มั้ย ว่าฉันจับเธอสองคนมาทำไม”
เสรีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดสักครู่ แล้วจึงเปิดสปีคเกอร์โฟนวางไว้ อนามิกากับเมธาวี มองอย่างงงๆ ว่าเสรีกำลังจะบอกอะไรกันแน่ สักพักทุกคนก็ได้ยินเสียงณดลจากโทรศัพท์
“สวัสดีครับ”
เสรีกวักมือเรียกโชคให้เข้ามาหาแล้วกระซิบที่ข้างหูของโชค
“ฮัลโหล...ได้ยินมั้ยครับ...ฮัลโหล” ณดลพูดต่อ
โชคพยักหน้าเข้าใจที่เสรีกระซิบแล้วหันไปพูดใส่โทรศัพท์ “แกรู้จักผู้หญิงที่ชื่ออนามิกา แล้วก็ชื่อเมธาวีใช่มั้ย ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่กับฉันแล้ว”

ณดลยืนพูดโทรศัพท์อย่างร้อนใจ โดยมีณภัทรยืนอยู่ข้างๆ สองพี่น้องยืนอยู่ข้างรถที่จอดอยู่ริมถนน โดยมีอัธวุธที่แปะพลาสเตอร์บริเวณดั้งจมูกนั่งอยู่ในรถที่เปิดประตูทิ้งไว้ อัธวุธเงี่ยหูตั้งใจฟังที่ณดลพูดตลอด
“แกเป็นใคร แล้วอะนากับเมไปอยู่กับแกได้ยังไง อย่าทำร้ายสองคนนั้นนะ แกต้องการอะไรก็บอกมา”
โชคเอียงหน้าให้เสรีกระซิบแล้วจึงพยักหน้าก่อนจะผละออกมาพูดใกล้ๆ โทรศัพท์
“ใจเย็นๆ อย่าลนลาน ฉันจะค่อยๆ ตอบแก ฉันเป็นโจรเรียกค่าไถ่ ชัดเจนมั้ย ฉันรู้ว่าผู้หญิงสองคนนี้มีค่ากับแก แต่ก็ไม่รู้ว่าแกจะยอมจ่ายได้ถึงสิบล้านมั้ย”
ณดลตกใจ “สิบล้าน”
“อ้าว..ทำไมล่ะ หรือแกคิดว่าแพงไป สำหรับชีวิตยัยสองคนนี้” โชคถาม
“ไม่ใช่อย่างงั้น แต่มันจะไม่โลภไปหน่อยเหรอ แล้วเงินขนาดนั้น แกก็ต้องเผื่อเวลาให้ฉันหามาจ่ายพวกแกด้วย” ณดลบอก
“คุณไม่ต้องไปจ่ายมันหรอกนะ” อนามิกาตะโกนแทรกขึ้นมา
เจตน์ยกปืนขึ้นขู่ “หุบปากเดี๋ยวนี้”
นลิณาลุกพรวดขึ้นมา
อนามิกาพูดเสียงดังโดยหวังจะให้ณดลได้ยิน “คุณฟังฉันนะ พวกมันก็คือ...”
อนามิกายังไม่ทันได้เอ่ยชื่อขึ้นมา เธอก็โดนนลิณาตบหน้าเข้าเต็มๆ จนหน้าหัน
นลิณาพูดกับเจตน์เบาๆ “ถ้ามันส่งเสียงขึ้นมาอีกหละก็ ช่วยสั่งสอน จัดหนักมันได้เลย”
เมธาวีเห็นอนามิกาถูกทำร้ายก็กลัวจนร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
โชคพูดโทรศัพท์ต่อ “ว่าไง แกจะไถ่ชีวิตสองคนนี้ หรือจะให้ฉันเชือดทิ้งได้เลย เอ่อ..แต่สวยๆ อย่างงี้นะ ก่อนเชือดคงต้องขอหาเศษหาเลยกันซักหน่อย”
“อย่านะ! แกจะทำอะไรอะนาไม่ได้นะ” ณดลร้องบอก
ณภัทรคว้าโทรศัพท์ในมือณดลมาพูด “ห้ามแตะต้องเมเด็ดขาด”
ณดลยกมือเชิงปรามณภัทร ให้ใจเย็นๆ แล้วจึงพูดโทรศัพท์ต่อ “ถ้าแกทำอะไรสองคนนั้น แกก็จะไม่มีวันได้เงินจากฉัน”
เสรีกระซิบบอกโชค โชคพยักหน้ารับทราบแล้วหันไปพูดต่อ
“ถ้างั้นเช้านี้ เวลา 9 โมงตรง แกเตรียมเงินสด 10 ล้านบาท ห้ามทำเครื่องหมายบนแบ๊งค์ ใส่กระเป๋าที่ไม่มีกุญแจล็อค แล้วขับรถเอากระเป๋ามาให้ฉัน”
ณดลมองหน้ากับณภัทรอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดกลับไป “แล้วพวกแกอยู่ที่ไหนกันล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะได้เอาเงินไปให้”
เสรีกระซิบข้างหูโชคอีกครั้ง โชคพยักหน้าแล้วพูด
“นี่คิดว่าพวกเราโง่หรือไง จะหลอกถามที่อยู่กันง่ายๆ อย่างเงี้ยนะ แกแค่เอาเงินใส่รถไว้ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาแกเอง ว่าต้องขับรถไปทางไหน ไม่งั้น...แกได้เจอยัยสองคนนี้อีกที ตอนมันเป็นศพแน่ๆ”
“เดี๋ยวสิ เงินสดตั้งมากตั้งมายขนาดนั้น จะขอเวลามากกว่านี้ไม่ได้เหรอ” ณดลต่อรอง
“แกจะได้มีเวลาแจ้งตำรวจให้มาเล่นงานฉันน่ะสิ บอกก่อนเลยนะ ว่าต้องตรงเวลา และที่สำคัญอีกอย่าง ถ้าคิดตุกติก แกอาจจะได้ยัยสองคนกลับไปในสภาพไม่ครบ 32 นะ” โชคขู่
เสรีขยับไปกดปุ่มวางหูแล้วพยักหน้าให้โชคอย่างพอใจ
ณดลพยายามร้องเรียก “เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่ง...ฮัลโหล....”
“รีบโทรกลับไปสิคะ” อัธวุธแนะนำ
“โทรหาเบอร์เมื่อกี้ที่มันโทรเข้ามาน่ะพี่” ณภัทรบอก
“รู้แล้ว”
พอณดลต่อสาย ปรากฏว่าสัญญาณกลายเป็นเสียงที่บอกว่าปิดโทรศัพท์ไปแล้ว
“พรุ่งนี้ เก้าโมง สิบล้าน” ณดลพึมพำ
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะครับพี่ณดล” ณภัทรเครียด
ณดล ณภัทร และอัธวุธ ต่างก็หมดอาลัยตายอยากเพราะไม่รู้จะหาทางยังไง










Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:12:26 น.
Counter : 204 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 13



พนารัตน์รีบร้อนเดินออกมาจากประตูบ้านเสรี ณภัทรและกอบชัยเดินตามออกมา
“คุณรัตน์ เดินรอกันบ้าง จะรีบไปไหน” กอบชัยถาม
พนารัตน์หยุดเดิน แล้วหันไปโวย “ยังจะมาถาม รีบๆ เผ่นเหอะ จะรอให้คุณเสรีแพ่นกบาลเอาก่อนรึไง”
“คุณภัทร” แพรวาร้องทัก
“นั่นไง คุณเสรีมาแล้ว” พนารัตน์รีบก้าวเดินหนี
“คุณแม่ น้องแพรต่างหากครับ” ณภัทรหันไปหาแพรวา “เอ่อ..คือ...ผมต้องขอโทษ...”
แพรวาพูดสวนขึ้น “แพรจะมาขอบคุณคุณภัทรน่ะค่ะ”
ณภัทรตกใจเพราะผิดคาด “หา?! ขะ..ขอบคุณผมเนี่ยนะ”
“ค่ะ ขอบคุณที่คุณภัทรกล้าพูดปฏิเสธคุณพ่อแทนแพร ไม่งั้นเราสองคนคงต้องทนอยู่ด้วยกันไปอีกนาน”
พนารัตน์ดึงแขนณภัทรเข้ามากระซิบ “เรารีบกลับกันดีกว่า”
ณภัทรยื้อไว้ “เดี๋ยวก่อนคุณแม่” ณภัทรหันมาหาแพรวา “โชคดีนะแพร”
“เอาหละ..กลับเร็ว” พนารัตน์เร่ง
“เดี๋ยวสิครับ” ณภัทรพูด
“น้องแพรเค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วไง จะรออะไรอีก”พนารัตน์ถาม
“ก็รอพี่ณดลน่ะสิครับ” ณภัทรบอก
พนารัตน์และกอบชัยนึกขึ้นได้ก็ตกใจหันมองหน้ากัน แล้วเหลียวมองเข้าไปในตัวบ้าน


นลิณาดึงแขนเสื้อรั้งณดลไว้ไม่ให้เขาเดินออกจากบ้าน
“คุณจะมาพูดแบบนี้กับฉัน แล้วเดินออกไปง่ายๆ เนี่ยนะ”
“ผมก็แค่พูดความจริง ผมทบทวนดีแล้ว ผมชอบอะนาจริงๆ” ณดลย้ำ
นลิณากรีดร้องเสียงดัง “ไม่จริ๊ง...”
“ผมขอตัวนะ”
ณดลผละออกมา แต่เดินไปได้แค่สองก้าวเสรีก็กระชากคอเสื้อจากด้านหลังให้ณดลหันมาเผชิญหน้ากับเขา ณดลช็อค เขาเหลือบมองมือเสรีที่กุมคอเสื้อแล้วมองเสรีอย่างนึกไม่ถึง
เสรีใช้มือหนึ่งดึงคอเสื้อ ส่วนอีกมือชี้หน้าณดล “ฉันจะให้โอกาสครอบครัวนายอีกที รีบไปพาทุกคนมาขอโทษฉัน แล้วก็ถอนคำพูดทั้งหมดซะ”
“เอ่อ..ผม...ผมขอโทษคุณลุงเสรีตรงนี้ก็ได้ครับ” ณดลบอก
เสรีปล่อยมือคลายความโมโหลง
“แต่เรื่องถอนคำพูด คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ณดลพูดต่อ
เสรีตวาด “แกว่าไงนะ”
“ครอบครัวผมไม่มีใครพูดพล่อยๆ ก่อนจะพูด ทุกคนคิดดีแล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่มีคำพูดที่จะต้องถอนหรอกครับ ผมลาหละครับ”
ณดลยกมือไหว้ลาแล้วเดินออกไป เสรีโกรธจนตัวสั่น นลิณาเดินเข้ามายืนใกล้ๆ แล้วถาม
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะคะคุณพ่อ”
“ก็พูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องสั่งสอนให้พวกมันรู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”
เสรีพูดด้วยท่าทางอาฆาตแค้น


เวลาผ่านไป เกตนิการ์ซึ่งกำลังจิบกาแฟอยู่ในร้านกาแฟตกใจจนแทบสำลักหลังจากรู้เรื่องจากนลิณา
“เฮ้ย! จริงเหรอ นายภัทรเค้ากล้าพูดว่ารักยัยเมเลยเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่แค่นายภัทรนะ คุณณดลก็พูดออกมาว่าชอบยัยอะนาด้วย” นลิณาพูดอย่างโมโห
เกตนิการ์ช็อค “นี่มันอะไรกันเนี่ย แล้วไหนเธอบอกว่าเตรียมไม้ตายไว้จัดการคุณณดลแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ฉันเตรียมไว้แล้วจริงๆ ฉันคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปทานข้าวกับคุณณดลสองต่อสอง แล้วฉันก็จะแอบมอมยา แล้วพาขึ้นเตียงซะ แล้วก็...”
เกตนิการ์ขัดขึ้น “พอๆๆ หยุดเลย เธอดูหนังมากไปหรือเปล่า คิดหรือว่าผู้ชายสมัยนี้มีอะไรกับเราแล้วจะยอมรับผิดชอบน่ะ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ”
“โอ๊ย! แล้วต้องทำยังไงล่ะยะ”
“เธอก็ต้องยื่นข้อต่อรองที่เค้าไม่มีวันกล้าปฏิเสธสิยะ”
นลิณางง “ข้อต่อรองที่ไม่มีวันกล้าปฏิเสธ?”
“ใช่! ก็ถ้ายัยอะนากับยัยเมมีความหมายกับสองคนนั้นนักหละก็...ทำไมเราไม่ใช้นังสองคนนั่นมาเป็นข้อต่อรองซะเลยล่ะ” เกตนิการ์เสนอ
นลิณาคิดตามสักครู่แล้วก็นึกออก เธอจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์


อัธวุธกำลังคุยกับอนามิกาและเมธาวีด้วยท่าทางร่าเริงอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านของเขา
“ถ้างั้นก็ต้องฉลองกันซักหน่อยสิยะเนี่ย เอามะ..ร้านเจ๊แพนด้าก็ได้”
อนามิกายังคงรู้สึกกังวล “จะฉลองอะไรยะ”
อัธวุธพูดพร้อมออกลีลากรีดกรายเหมือนเป็นตัวละครในเทพนิยายแบบมิวสิคัล
“ก็เลี้ยงฉลองที่ในที่สุด เรื่องราวก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง คุณณดลก็รักแก ส่วนนายภัทรก็รักยัยเม อู๊ย..ลงตัวสุดๆ”
“แกอย่าเว่อร์ให้มาก นี่โลกแห่งความจริง ไม่ใช่โลกในนิทาน” อนามิกาบอก
“นั่นสิ อะไรมันจะลงเอยกันง่ายขนาดนั้น” เมธาวีพูด
“ก็นายภัทรโทรมาเล่าให้ฉันฟังจริงๆ ถ้าไม่เชื่อก็รอถามกับเจ้าตัวเองแล้วกัน” อัธวุธออกลีลา “ดู๊..ดู พวกแกก็สมใจกันทุกฝ่าย ได้กันทุกคน ยกเว้นแต่ฉัน”
“นี่!ไม่ต้องเลยพี่อาร์ท เชื่อสิ อย่างพี่อาร์ทเนี่ย รับรอง ขายออกก่อนเมอีก” เมธาวีบอก
“อู๊ย...ขอให้จริง ขอให้ได้ ขอให้โดน ไปเหอะ ยัยเม ได้เวลาต้องไปลุยงานกันที่ร้านฉันแล้ว” อัธวุธหันมาหาอนามิกา “เดี๋ยวคืนนี้จะแวะหาเธอที่ร้านเจ๊แพนด้านะยะ”
อัธวุธขยับออกไป อนามิกาเข้ามาโอบเมธาวีแล้วพูดให้กำลังใจ
“เห็นมั้ย นายภัทรเค้าเลือกเธอนะเม”
“แล้วพี่ล่ะเชื่อรึยัง ว่าคุณณดลเค้าชอบพี่จริงๆ” เมธาวีถามกลับ
อนามิกาผงะที่เจอเมธาวีย้อนแต่ก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้


ทุกคนที่บ้านณดลกำลังนั่งเครียดอยู่รอบโต๊ะอาหาร สักพักศรียกอาหารมาเสิร์ฟ แต่ทุกคนยังนิ่ง จนศรีชักแปลกใจ
“กับข้าวครบสำรับแล้วค่ะ เชิญทานได้เลยค่ะ” ทุกคนยังนิ่ง ศรีจึงย้ำอีกที “ทานเลยสิคะ กับข้าวกำลังร้อนๆ ข้าวสวยกำลังกรุ่นๆ”
กอบชัยดันจานข้าวออก “ฉันกินไม่ลง ศรีช่วยเอาข้าวไปเทคืนลงหม้อก่อนไป”
“ฉันก็กระเดือกไม่ลงเหมือนกัน” พนารัตน์บอก “เรากำลังหาเรื่องเดือดร้อนกันอยู่หรือเปล่า ที่ทำตัวแบบนั้นกับคุณเสรีเค้าน่ะ”
“แต่เราก็ทำถูกแล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย ใครจะกล้ามาทำอะไรเราครับคุณแม่” ณดลพูด
“ก็คุณเสรีนี่แหละกล้า” กอบชัยขัดขึ้น
“แต่บ้านเมืองเรามีกฏหมาย มีขื่อมีแป ใครมันจะทำร้ายคนอื่นกันได้ง่ายๆ” ณภัทรบอก
“ก็คุณเสรีอีกนั่นแหละ พวกแกคงรู้จักคุณเสรีน้อยไป จริงๆ แล้วคุณเสรี...” กอบชัยพูดยังไม่ทันจบพนารัตน์ก็รีบปราม
“ไม่เอาน่ะคุณกอบ อย่าพูดเรื่องนี้เลย”
“คุณลุงเสรีเค้าทำไมเหรอครับคุณพ่อ” ณภัทรถาม
“เค้าเคยมีเรื่องพัวพันเกี่ยวกับการค้ายา...” กอบชัยโพล่งออกมา
“คุณกอบ จะพูดทำไม นั่นมันเรื่องในอดีต ปัจจุบันคุณเสรีเค้าอาจจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้วก็ได้” พนารัตน์ปราม
“แต่คุณก็รู้นี่ว่าคุณเสรีเค้าเคยเลี้ยงลูกน้อง เลี้ยงมือปืนไว้เยอะแยะมากมาย ผมก็ควรจะบอกลูกให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง”
ศรีแทรกขึ้นอย่างอดใจไม่ได้ “แต่ทางลูกสาวบ้านนั้นเค้าชอบคุณณดลกับคุณภัทรอยู่นะคะ เค้าคงไม่ทำอะไรหรอกค่ะ”
พนารัตน์พูดกับกอบชัย “ใช่...คุณก็กลัวจนเกินไป” พนารัตน์นึกได้หันมาค้อนศรี “นี่..ยัยศรี มายืนอะไรตรงนี้ยะ”
ศรียิ้มแหยๆ แล้วถอยออกไป
พนารัตน์พูดกับณดลและณภัทร “ลูกไม่ต้องกลัวหรอกนะ”
“แต่ก็อย่าประมาทล่ะ คนอย่างคุณเสรี ไม่มีทางยอมจบง่ายๆ ยังไงเขาก็ต้องหาทางเล่นงานพวกเราอยู่สักทางแน่ๆ” กอบชัยบอก
ณภัทรกับณดลมีสีหน้าไม่สบายใจหลังจากที่ได้ยินกอบชัยเตือน


เสรีเปิดซองกระดาษสีน้ำตาลแล้วหยิบรูปถ่ายของอนามิกากับเมธาวีออกมา โชค ลูกน้องของเสรีมองรูปอย่างตั้งใจ และส่งต่อให้เจตน์ ลูกน้องอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ รับไปดู
“สองคนนี่น่ะเหรอครับ เป้าหมายที่คุณเสรีต้องการตัว” โชคถาม
เสรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามพยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ใช่! ชื่อ ที่อยู่ รายละเอียดทั้งหมดก็อยู่ในซองแล้ว” เสรีบอก
“คุณเสรีจะให้ผมจับเป็น หรือว่าฆ่ามันทิ้ง...” โชคถาม
“ไม่ต้องรีบฆ่ามันหรอกนะ” เสียงนลิณาดังขึ้น
นลิณาเดินเข้ามาพร้อมกับเกตนิการ์
“ให้ฉันกับคุณพ่อได้ใช้มันสองคนหาเงินซักก้อน แล้วค่อยฆ่ามันทีหลังก็ยังไม่สาย” นลิณาพูดต่อ
“นีน่า...ไหนลูกบอกว่าจะให้พ่อจัดการเองไง” เสรีถาม
“เรื่องสนุกๆ แบบนี้ นีน่าจะพลาดได้ไงล่ะคะ”
“แต่พ่อไม่อยากให้ลูกต้องมาติดร่างแห ถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมา” เสรีมองเกตนิการ์ “แล้วนี่อย่าบอกนะว่าลูกเล่าให้เพื่อนฟังหมดแล้ว”
“เรื่องยัยเกดคุณพ่อไว้ใจได้ค่ะ” นลิณาบอก
“ใช่ค่ะ เกดกับนีน่าเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน” เกตนิการ์ยืนยัน
“ยัยเกดไม่มีวันหักหลังนีน่าหรอกค่ะ” นลิณาพูดแล้วเดินมาที่โชคกับเจตน์ ก่อนจะดึงซองออกจากมือเจตน์ “เอาคืนมานี่”
โชคกับเจตน์งง
“ลูก...นั่นเป็นรูปกับข้อมูลของ...” เสรียังพูดไม่จบนลิณาก็แทรกขึ้น
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” นลิณาหันไปหาโชคกับเจตน์ “นายโชค นายเจตน์”
โชคกับเจตน์รับคำ “ครับคุณหนู”
“ไม่ต้องดูรูป ดูข้อมูลอะไรทั้งนั้น ฉันกับยัยเกด จะไปกับแกสองคนเอง” นลิณาบอก
“นีน่า...แต่พ่อว่า...” เสรีพยายามจะพูด
นลิณาแทรกขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะคุณพ่อ ขอให้นีน่าได้สะสางเรื่องนี้เอง”
เสรีรู้สึกเป็นห่วง “แต่ลูกต้องระวังตัวนะ อย่าให้มันสืบสาวมาถึงพวกเราได้”
“ค่ะคุณพ่อ นีน่าจะระวังตัว คุณพ่อสบายใจได้เลยค่ะ”
เสรียังเป็นกังวลเพราะไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองต้องออกโรงแบบนี้


รถตู้คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ที่บริเวณซึ่งไม่ห่างจากบ้านอัธวุธ เจตน์นั่งอยู่ที่เบาะคนขับ ส่วนโชคนั่งข้างๆ ทั้งสองมองไปที่บริเวณหน้ารั้วบ้านอัธวุธซึ่งตัวบ้านยังดับไฟมืด มีเพียงไฟหน้าบ้าน และบริเวณรั้วที่เปิดสว่าง นลิณากับเกตนิการ์นั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังคอยสั่งการ
โชคหันมาถาม “คุณหนูแน่ใจใช่มั้ยครับว่ามันอยู่บ้านนี้ทั้งสองคน”
“แน่ใจสินายโชค เตรียมตัวไว้ให้พร้อมเถอะ เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาแล้ว” นลิณาบอก
โชคกับเจตน์ยกปืนขึ้นมาแล้วเหลียวหลังมาบอก
“ผมพร้อมเสมออยู่แล้ว” โชคพูด
“ผมก็พร้อมครับคุณหนู” เจตน์บอก
“เอ่อ...ฉันว่าเอาปืนลงก่อนดีกว่านะ เอาหละ...มาซักซ้อมแผนกันอีกที ทันทีที่มันกลับเข้ามา เราทุกคนต้องรีบสวมหมวกปิดหน้าไว้ซะ” เกตนิการ์พูดพร้อมกับชูหมวกไหมพรมไอ้โม่งขึ้นมา
“แล้วนายสองคนก็รีบขับรถไปจอดที่หน้ารั้ว” นลิณาพูดต่อ “แล้วก็ลงไปจี้มันสองคนขึ้นรถมา รีบเอาถุงดำคลุมหัวมัน แล้วก็” นลิณาชูเชือกขึ้นมา “มัดข้อมือมันไว้”
“ส่วนนายเจตน์ ก็รีบขับรถออกไปที่โกดังให้เร็วที่สุด” เกตนิการ์บอกแผนต่อ
“แล้วถ้ามันกลับมาพร้อมๆ กันหมด แถมมียัยอาร์ทกลับมาด้วยล่ะ” นลิณาถาม
โชคยกปืนหันโชว์ด้ามปืน “ใครที่ไม่เกี่ยว ก็ต้องทักทายกันด้วยด้ามปืนสิครับ”
นลิณากับเกตนิการ์พยักหน้าให้กันอย่างพึงพอใจ


ณ ร้านเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงวัยทำงานที่ดูหรูหรา ป้ายชื่อหน้าร้านเขียนว่า attawut เมธาวีกำลังพับเสื้อผ้าห่อกระดาษแล้วใส่ถุงส่งให้ลูกค้า โดยมีอัธวุธยืนอยู่ใกล้ๆ
“ขอบคุณมากค่ะ” เมธาวีพูดกับลูกค้า
“แล้วแวะมาอีกนะคะ” อัธวุธพูดแล้วหันมาหาเมธาวี “พอแล้ววันนี้ ปิดร้านเหอะ เดี๋ยวจะรวยเร็วเกิน”
“จะรีบกลับบ้านเหรอพี่อาร์ท”
“อืม...แต่แวะไปรับยัยอะนา แล้วก็กินข้าวกันก่อน” อัธวุธขยิบตาซ้าย “เอ..วันนี้หนังตาเขม่นๆ พิกล เขม่นข้างนี้ ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายนะ”


เมธาวีกับอัธวุธรับประทานอาหารกันอยู่ในร้านของพนิดา โดยมีอนามิกายืนอยู่ใกล้ๆ
“ก็ต้องโชคดีสิยะ โบราณเค้าว่าขวาร้าย ซ้ายดีไง” อนามิกาบอก
“จริงเหรอ” อัธวุธหน้าตื่น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วขยิบตาขวา “ฉันจะบอกแกว่า มันเพิ่งย้ายมาขยิบข้างขวาแล้วน่ะสิ”
“พี่อาร์ท อย่างมงายหน่อยเลยน่า รีบๆ กินแล้วรีบๆ กลับบ้านกันเหอะ” เมธาวีบอก
“งั้นรอฉันไปเคลียร์หลังร้านแป๊บ แล้วกลับกันเลยนะ” อนามิกาพูดแล้วบผละไป
อัธวุธรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

รถตู้ของพวกนลิณายังคงจอดซุ่มอยู่ไม่ห่างจากหน้าบ้านอัธวุธ สักพักมีรถคันหนึ่งมาจอดบริเวณหน้าบ้านอัธวุธ โชครีบหันมาบอกนลิณากับเกตนิการ์
“มีคนมาแล้วครับคุณหนู”
นลิณายื่นหมวกไอ้โหม่งให้โชคกับเจตน์ “รีบใส่เร็วๆ เข้า”
เจตน์กับโชค รีบสวมหมวกไอ้โม่ง เกตนิการ์เพ่งมองผ่านกระจกหน้ารถ โชคกับเจตน์ กำลังจะขยับลงจากรถ แต่เกตนิการ์รีบทักไว้
“เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งลง”
นลิณาหันมาถามเกตนิการ์ “มีอะไรเหรอ”
“นั่นมันคุณณดลกับนายภัทรนี่” เกตนิการ์บอก
“หา...” นลิณาหันไปมองทันที

ณดลกับณภัทรก้าวลงจากรถแล้วเดินมาที่หน้าประตูรั้ว
ณภัทรมองเข้าไปที่ตัวบ้าน “สงสัยจะไม่มีใครอยู่บ้านนะพี่ ผมว่าเรากลับดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ ก็ไหนว่าพี่สาวอะนาเค้ามาอยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่เหรอ” ณดลกดออดที่ประตูรั้ว “แกบอกทุกคนว่ารักเม แต่แกกลับไม่กล้าบอกกับเจ้าตัวเค้าเองเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้า แต่มันไม่ใช่เวลานี้”
“แล้วแกจะรออะไร ฉันนึกว่าแกจะพัฒนามาเป็นคนกล้าพูดกล้าทำ ที่ไหนได้ แกก็ขี้ขลาดเหมือนเดิม” ณดลว่า
“อย่าว่าแต่ผมเลย พี่เองก็เหมือนกันแหละ”
“เหมือนยังไง”
“ทีกับคนอื่นหละกล้าพูดว่าชอบยัยอะนา ถ้าพี่แน่จริง ทำไมไม่มาพูดต่อหน้าอะนาบ้างล่ะ”
ณดลสะอึกและถึงกับเถียงไม่ออก

ทุกคนในรถตู้มองผ่านกระจกหน้าออกไปเห็นณดลกับณภัทรยืนอยู่ นลิณาหันมาพูดกับเกตนิการ์

“คุณณดลมาทำอะไรที่นี่เนี่ย หรือว่ามาหายัยอะนา” นลิณาไม่พอใจ
เกตนิการ์ก็ไม่พอใจเช่นกัน “นายภัทรก็เหมือนกัน นี่แอบมาหายัยเมเหรอเนี่ย”
โชคกับเจตน์สวมหมวกไอ้โม่งแล้วหันมาถาม
“จะเอาไงดีครับเนี่ย” โชคถาม
“ให้พวกผมลงไปจัดการมันซะเลยก็ได้นะครับ” เจตน์บอก
นลิณารีบสวนขึ้น “ไม่ต้อง แกห้ามแตะต้องสองคนนี้เด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
โชคกับเจตน์พยักหน้ารับ “คะ...ครับๆ”
เกตนิการ์โพล่งขึ้น พร้อมกับชี้นิ้วไป “โน่น! พวกมันมาแล้ว”
เกตนิการ์รีบหยิบหมวกไอ้โม่งขึ้นมาสวมด้วย

อัธวุธขับรถมาจอดอยู่หน้ารั้ว อนามิกากับเมธาวีก้าวลงจากรถ ส่วนอัธวุธโผล่หน้าออกมาถาม
“อ้าว...อีตาภัทรมาได้ไงเนี่ย”
“ก็...มากับพี่ณดลน่ะ” ณภัทรบอก
“สวัสดีค่ะคุณณดล นี่คงนัดกะยัยอะนาไว้ใช่ไหมคะ” อัธวุธถาม
“ฉันเปล่านัดซะหน่อย” อนามิการีบปฏิเสธ
อัธวุธพูดกับเมธาวี “ยัยเม เปิดรั้วให้ฉันก่อน” อัธวุธพูดกับทุกคน “เข้าไปคุยกันในบ้านเหอะ คืนนี้ท่าทางจะคึกครื้นเป็นพิเศษนะ”
เมธาวีกับณภัทรเดินไปเปิดรั้วแล้วโบกไม้โบกมือให้อัธวุธเอารถเข้าไปจอด ทิ้งให้ณดลยืนอยู่กับอนามิกา สักพักณดลก็เอ่ยถามขึ้น
“คุณ...เป็นไงบ้าง”
“ก็สบายตัวดีค่ะ เพิ่งโดนใครบางคนไล่ออกจากบ้านมา แถมยังไม่มีงานทำ” อนามิกาประชด
ณดลรีบสวนขึ้น “อะนา ผมขอโทษ”
“ง่ายไปมั้ยคะ ตอนไม่พอใจก็ดุด่า เฉดหัวไล่ ตอนนี้จะมาขอโทษ ถ้าคุณมาเพื่อพูดคำนี้หละก็...คุณกลับไปเถอะค่ะ ขอตัวนะคะ”
อนามิกาเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้ณดลยืนมองตามด้วยความงุนงง

นลิณากับเกตนิการ์ต่างก็สวมหมวกไอ้โม่ง ทั้งสองมองผ่านกระจกหน้ารถแล้วหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างสะดุ้งตกใจที่เห็นว่าอีกคนสวมหมวกไอ้โม่งอยู่ “อุ้ย!”
นลิณากับเกตนิการ์ถอดหมวกไหมพรมออก
“ดูเหมือนคุณณดลมาตามง้อเลยนะ สงสัยที่คุณณดลบอกว่าชอบยัยอะนา เห็นท่าจะจริงแฮะ” เกตนิการ์บอก
นลิณายิ่งโกรธ “ไม่จริง เธออย่าไปเข้าข้างมัน ฉันรู้ข่าวว่าคุณณดลเคยเฉดหัวไล่มันออกจากบ้าน ฉันว่าสองคนนี้น่าจะเกลียดกันซะมากกว่า”
โชคหันมาถามพร้อมกับยกปืนขึ้นมา “จะให้ผมสองคนลงไปจัดการเลยมั้ยครับ”
“อย่าเพิ่งสิ รอให้คุณณดลกลับไปก่อน ฉันไม่อยากให้คุณณดลโดนลูกหลง” นลิณาบอก
“แล้วก็ห้ามทำอะไรคุณภัทรด้วยนะ” เกตนิการ์เสริม
เกตนิการ์นึกได้ว่าหลุดปากออกไป นลิณาเหลือบมองอย่างไม่ไว้ใจ เกตนิการ์รีบหลบตาทันที

อนามิกา เมธาวี ณดล และณภัทรนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกในบ้าน อัธวุธยืนพูดอย่างร่าเริงอยู่คนเดียว
“นี่อยู่กันพร้อมหน้าเหมือนตอนที่อยู่บ้านฉันที่ลอนดอนเลยนะ เอางี้มั้ย! ฉันว่าเรามาปาร์ตี้กันดีกว่า เดี๋ยวฉันออกไปซื้ออะไรมากินมาดื่มกัน”
ทุกคนนั่งนิ่งเพราะไม่มีใครอยู่ในมู้ดที่อยากจะเฮฮาปาร์ตี้
“ปาร์ตี้ไง เอามั้ย” อัธวุธเสียงอ่อยลง “ไม่เหรอ...ไม่ปาร์ตี้เหรอ..” อัธวุธกร่อยลงไป
“ฉันแค่อยากจะมาคุยกับเมซักหน่อยน่ะ” ณภัทรบอก
เมธาวีดีใจ “มีอะไรเหรอภัทร”
“เอ่อ...คือ...” ณภัทรไม่สะดวกใจที่จะคุยตรงนี้
อัธวุธรู้ทัน “ถ้าอยากเป็นส่วนตัวก็เข้าไปคุยข้างในไป๊” อัธวุธผายมือไปในตัวบ้าน
ณภัทรกับเมธาวีพยักหน้าเห็นด้วย แล้วทั้งคู่ก็เดินเลี่ยงออกไปด้วยกัน อัธวุธหันมาเห็นว่าณดลหันไปมองอนามิกา แต่อนามิกากลับมีทีท่ามึนตึงเหมือนไม่อยากพูดด้วย
“อ้าว..แล้วสองคนนี้นี่ยังไงจ๊ะ ยังไม่หายเคืองกันอีกรึไง”
ณดลโอดครวญกับอัธวุธ “ฉันหายนานแล้ว ที่จะมานี่ ก็จะมาขอโทษอะนาเค้าน่ะ”
อัธวุธหันมาที่อนามิกา “เอ้า...ว่าไง คุณณดลเค้าบอกจะมาขอโทษ”
อนามิกาพูดกับอัธวุธ “บอกเค้าว่ากลับไปเถอะ”
อัธวุธหันไปที่ณดล “เค้าบอกว่ากลับไปเหอะ”
“อะนาเค้าโกรธฉันเหรอ” ณดลถามอัธวุธ
อัธวุธหันไปถามอนามิกา “เธอไปโกรธไปแค้นอะไรเค้าเหรอ”
อนามิกาพูดกับอัธวุธ “เปล่า...ฉันไม่ได้โกรธแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าฉันอยากคุยกับเค้าหรอกนะ ฉันผ่านเรื่องปวดหัวมามากพอแล้ว และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันไม่อยากย้อนกลับไปสภาพเดิมๆ อีก”
อัธวุธหันไปพูดกับณดล “เอ่อ...โห...อันนี้ยาวเกิน ฉันจำไม่ไหว ฟังเองแล้วกันนะ”
ณดลหันไปหาอนามิกา “เธอก็ใช้ชีวิตของเธอ โดยที่ไม่ต้องตัดฉันออกไปก็ได้นี่นา”
“อย่าเลยค่ะ ฉันโดนตบหัวแล้วไม่ชอบให้ใครมาลูบหลังน่ะ ชีวิตฉันกำลังจะเริ่มต้นใหม่ ฉันได้อยู่กับพี่สาว แล้วก็กำลังมองหางานใหม่ หรือไม่ก็อาจจะไปเรียนต่อ”
“เรียกว่ากำลังเข้าที่ เลยไม่อยากจะมีใครเข้ามาให้ปวดหัวว่างั้น” อัธวุธเสริม
อนามิกาพยักหน้า “ก็...ทำนองนั้น”
ณดลมีท่าทางหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะกล่อมอนามิกายังไงให้กลับมาพูดคุยกันดีๆ

เมธาวียกแก้วน้ำสองแก้วมาเสิร์ฟให้ณภัทรและตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหารในครัว เมธาวีมีท่าทางสดใสเพราะคาดหวังว่าณภัทรคงจะมาคุยเรื่องที่เป็นข่าวดีสำหรับตน
“ไหน...มีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ” เมธาวีถาม
“ก็...เรื่อง...”
“เดี๋ยวนะ ให้ฉันทายก่อน คงจะเป็นเรื่องที่นายไม่ยอมหมั้นกับคุณแพรใช่มั้ย”
ณภัทรส่ายหน้า
“งั้นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับ..” เมธาวีเริ่มเขิน “เราสองคน?”
ณภัทรส่ายหน้าอีก
จากที่ยิ้มสดใส เมธาวีเริ่มหุบยิ้มแล้วถามอย่างเซ็งๆ “งั้นเรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องพี่ณดลกับอะนาน่ะสิ” ณภัทรบอก
เมธาวีเบือนหน้าหลบณภัทรแล้วทำหน้าเซ็ง
เมธาวีบ่นเบาๆ “อีกแล้ว”
“คือที่ห่วงเนี่ย เพราะนิสัยสองคนเนี้ย ต่างคนก็ต่างถือทิฐิสุดๆ ทั้งที่ในใจก็รู้สึกดีต่อกันนะ แต่ไม่มีใครยอมไล่ตามง้ออีกฝ่ายแน่ๆ ถ้าเราสองคนไม่หาทางช่วย พี่ณดลกับอนามิกาก็ไม่มีวันได้ลงเอยกันหรอก”
เมธาวีโพล่งขึ้นอย่างน้อยใจ “เอาหละ ฉันเข้าใจแล้ว นายแค่จะมาขอให้ฉันช่วยเรื่องพี่ณดลกับพี่อะนา เอาเป็นว่าฉันจะช่วยนะ พอใจรึยัง แค่นี้ใช่มั้ย”
“เม เป็นอะไรน่ะ ทำไมต้องเหวี่ยงกันด้วย”
“ใครเหวี่ยง? ฉันก็ปกติ ไม่ได้เหวี่ยงอะไรซักหน่อย แค่นี้ใช่มั้ย ที่นายตั้งใจมาบอกฉัน”
“เอ่อ...ก็...”
“งั้นฉันขอตัวนะ” เมธาวีรีบเดินไปทางห้องรับแขก
“เม...เดี๋ยวก่อนสิ ว้า...ฉันยังไม่ได้คุยเรื่องของเราเลยอ่ะ”

ณดลพยายามพูดกับอนามิกา โดยมีอัธวุธยืนอยู่ใกล้ๆ
“ถ้าเธอยังไม่อยากคุยกับฉันตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ถึงฉันจะเคยพูดจาไม่ดีกับเธอ เคยดูถูก เคยไล่เธอ...”
อนามิกาเมิน ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจจะฟัง
“แต่ก็ไม่เคยมีวันไหนเลย ที่ฉันจะไม่คิดถึงเธอ” ณดลพูดต่อ
อนามิกาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอรีบหันขวับมามองณดล อัธวุธก็อ้าปากค้างตกใจที่ณดลบอกความในใจออกมาแบบนี้
อนามิกามองตาณดลแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เมธาวีก็เดินออกมาจากในครัวอย่างอารมณ์เสีย
“เม...เดี๋ยว!” ณภัทรร้องเรียก
ณภัทรเดินตามออกมาดึงแขนเมธาวีไว้ อนามิกากับณดลหันไปมองอย่างงงๆ
“คุยกันก่อน” ณภัทรบอก
“ก็คุยไปแล้วไง ฉันก็รับปากว่าจะช่วยแล้วนี่” เมธาวีฉุน
“แต่ฉันมีเรื่องอยากจะบอกเธอ”
“บอกฉันเนี่ยนะ...เรื่องอะไรเหรอ?” เมธาวีถาม
อัธวุธ อนามิกา และณดลหันมาสนใจ
“คือ...ฉันไม่ต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่รักแล้วหละ ฉันปฏิเสธคุณแพรไปแล้ว”
เมธาวีตอบอย่างเซ็งๆ “ฉันรู้แล้ว”
“แล้วรู้รึยังว่าฉันบอกทุกคนไปว่าฉันรักใคร”
เมธาวีตอบอย่างเซ็งๆ “รู้แล้ว นายบอกว่ารักฉัน เพราะจะได้มีข้ออ้างปฏิเสธทางคุณแพรเค้าใช่มั้ยล่ะ”
“เม...ไม่ใช่ข้ออ้างหรอกนะ”
เมธาวีประหลาดใจ “หา”
อัธวุธ อนามิกา และณดลต่างก็ตื่นเต้นไปกับณภัทรและเมธาวี
“ที่ฉันบอกทุกคนไปน่ะ ฉันพูดจากใจ ไม่ใช่ข้ออ้าง”
เมธาวีดีใจได้วูบเดียวแล้วก็ระแวงอีก “เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน นายกำลังจะบอกว่ารักฉัน..”
ณภัทรพยักหน้าหงึกๆ
“…แบบเพื่อนอีกใช่มั้ย อย่างที่นายชอบพูดบ่อยๆ น่ะ” เมธาวีพูดดัก
ณภัทรกุมขมับ “นี่ฉันพูดตรงขนาดนี้เธอยังไม่เก็ทอีกเรอะ”
อัธวุธ อนามิกา และณดลชักหงุดหงิดที่เมธาวีไม่เข้าใจ ณภัทรหันมาเห็นว่าตกเป็นเป้าสายตาก็ชักอาย
“เอ่อ...ไว้โอกาสเหมาะๆ ที่มีเราแค่สองคน ค่อยเคลียร์กันใหม่ดีกว่านะเม”
“ฉันก็ว่างั้น เสียบรรยากาศ เสียมู้ดหมด” อัธวุธโพล่งออกมา
อัธวุธ อนามิกา และณดลทำท่าเซ็ง ทั้งสามมองเมธาวีแล้วส่ายหน้าเชิงตำหนิว่าไม่ได้เรื่อง
เมธาวีงง “ทำไมต้องมองฉันแบบนี้ด้วยล่ะ”
เมธาวียังงงๆ เพราะไม่รู้ว่ากองเชียร์ทั้งสามเซ็งตนเรื่องอะไร

นลิณายังนั่งอยู่ในรถตู้ เธอเริ่มกระวนกระวายพลางชะเง้อคอมองไปยังหน้าประตูรั้วบ้านอัธวุธ
“มันจะอะไรนักหนา ป่านนี้ยังไม่มีใครออกมาอีก”
“มีคนเดินออกมาแล้วนี่...นั่นไง เตรียมพร้อมไว้นะ พวกเราทุกคน” เกตนิการ์บอก
ทุกคนเตรียมพร้อม โชคกับเจตน์ที่สวมหมวกไอ้โม่งปิดแค่หน้าผากไว้ดึงหมวกลงมาปิดหน้าทันที

ประตูรั้วเปิดออก ณดลกับณภัทรเดินออกมา โดยมีอนามิกา เมธาวี และอัธวุธเดินตามมาส่งที่รถของณดล
ณดลพูดกับอนามิกา “ฉันกลับก่อนนะ...อ้อ! แล้วถ้าเธอมีอะไรให้ฉันช่วยหละก็...ไม่ต้องเกรงใจที่จะบอกฉันนะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันคงไม่รบกวนดีกว่า” อนามิกาตอบห้วนๆ
“อะนา แกเป็นอะไรของแก” อัธวุธถาม
“ก็จริงมั้ยล่ะ ทำไมพวกผู้ชายถึงชอบคิดว่าเราจะต้องพึ่งเค้านะ จะบอกให้ว่าผู้หญิงอย่างฉัน ต่อให้โลกนี้ไม่มีผู้ชายซักคน ฉันก็อยู่ได้น่ะ”
ณดลขยับปากจะเถียงแต่ก็คิดว่าเปล่าประโยชน์จึงเดินไปที่รถ ณภัทรขยับมาใกล้เมธาวี
“แล้วฉันจะแวะมาหาบ่อยๆ นะ” ณภัทรบอก
เมธาวีทำเสียงแข็งๆ ใส่ “ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ คงไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงห้ามหรอกมั้ง”
ณภัทรขยับจะพูด แต่ก็เห็นว่าป่วยการจึงเดินไปขึ้นรถกับณดล
“แล้วมากันใหม่น๊า...ขับรถดีๆ ล่ะ” อัธวุธโบกมือลา
ณดลสตาร์ทรถแล้วขับออกไป
อัธวุธหันมาบ่นใส่อนามิกากับเมธาวี
“โอ๊ย..ฉันหละเบื่อยัยชะนีสองตัวนี้จริงๆ จะอะไรนักหนา ผู้ชายเค้าก็อุตส่าห์พูดซะขนาดนี้แล้วก็ยังจะเล่นตัว”

นลิณากับเกตนิการ์หยิบหมวกไอ้โม่งขึ้นมาสวมปิดหน้าไว้
นลิณาหันไปพูดกับเจตน์ “เร็วสิ ตอนนี้แหละ”
โชคกับเจตน์พยักหน้ารับ เจตน์หันไปขับรถ ส่วนโชคก็กระชับปืนเตรียมพร้อม

อนามิกากับเมธาวีหันหลังเดินผ่านรั้วบ้านเข้าไป อัธวุธกำลังจะปิดรั้วแต่แล้วเขาก็ทักขึ้น
“เข้าบ้าน...เอ๊ะ! นี่พี่ธัญญายังไม่กลับมาเหรอ”
พูดไม่ทันขาดคำ อัธวุธก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นไฟหน้าของรถตู้สาดเข้ามาก่อนที่รถตู้จะเบรกดังเอี๊ยด แล้วโชคที่สวมหมวกไหมพรมปิดหน้าก็กระโจนลงจากรถและถือปืนโชว์หรา
“หนีเข้าบ้านเร็ว” อนามิกาตะโกน
อนามิกากับเมธาวี รีบวิ่งเข้าบ้าน อัธวุธขยับจะวิ่งแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงโชคขู่ดังลั่น “หยุด ไม่งั้นฉันยิงนะ”
อัธวุธชูมือขึ้นอย่างลนลาน “หยุดแล้ว...ยะ..ยะ..อย่ายิงฉันนะ หยุดแล้ว”
เจตน์ถือปืนปราดเข้ามาสมทบ
“รีบตามพวกมันเข้าไปในบ้านเร็ว” โชคสั่ง
เจตน์พยักหน้าแล้วจะวิ่งเข้าไปในบ้าน อัธวุธกางแขนขวางเพื่อจะถ่วงเวลา เจตน์จึงใช้ด้ามปืนอัดเข้าที่ท้ายทอยอัธวุธจนร่วงลงไป แล้วเจตน์ก็วิ่งข้ามอัธวุธไปอย่างไม่ใยดี
นลิณากับเกตนิการ์ที่ต่างก็สวมหมวกไอ้โม่งโผล่หน้าออกมาจากรถตู้แล้วมองซ้ายขวาดูลาดเลาก่อนจะมองเข้าไปในบ้านด้วยอาการหงุดหงิด
“มันหนีเข้าบ้านไปแล้วนี่” นลิณาบ่น
เกตนิการ์หน้าเสีย “แล้วจะทำไงล่ะทีนี้”










Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:11:13 น.
Counter : 192 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 12 ต่อ



ณภัทรกับเมธาวีนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน ณภัทรตักอาหารให้เมธาวีอย่างดูแลเอาใจใส่ แต่เมธาวีซึมๆ เหมือนกินไม่ค่อยลง

“ลองนี่สิ อร่อยนะ...เมไม่สบายหรือเปล่า ดูไม่ค่อยเจริญอาหารเลย”
เมธาวีส่ายหน้าฝืนยิ้มทั้งที่ยังเศร้า “เปล่า แค่คิดขึ้นมาว่า เดี๋ยวพอภัทรแต่งงานไป” เมธาวีพูดเสียงเครือ “เราก็คงจะเจอกันแบบนี้ไม่ได้แล้วสินะ”
ณภัทรยิ้มปลอบ “ไม่หรอกน่าเม ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะไม่ยอมให้ใครมาบังคับอีกแล้ว”
“แต่แน่ใจเหรอ ว่านายจะขัดผู้หลักผู้ใหญ่ที่เค้าตกลงกันไปแล้วได้น่ะ”
“แต่อย่างน้อยฉันก็จะคัดค้านอย่างเต็มที่ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไง อันนั้นคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต มา! กินกันเหอะ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย”
เมธาวีตัดพ้อ “นายไม่ซีเรียส ก็เพราะนายไม่ได้แคร์ฉันอยู่แล้วน่ะสิ”
“อ้าว..ไหงพูดงั้นล่ะเม”
“ก็จริงมั้ยล่ะ นายไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ อย่างน้อยก็ยังได้แต่งงานกับผู้หญิงที่น่ารักอย่างคุณแพร แต่ฉันล่ะ...”
เมธาวีน้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว ณภัทรเห็นน้ำตาของเธอก็ทำอะไรแทบไม่ถูก
เมธาวีพูดเสียงเครือ “ฉันไม่ได้มีใครอย่างที่นายมีนี่”
ระหว่างนั้น อัธวุธกับอนามิกาเดินกลับมา พอเห็นเมธาวีกำลังเศร้า ทั้งสองก็สะกิดกันให้หยุดเดิน แล้วยืนหลบดูอยู่ห่างๆ
“เม...เธอก็ยังมีฉันนี่ไง” ณภัทรพูด
เมธาวีหยุดเศร้าแล้วเงยหน้ามองณภัทร ณภัทรพูดต่อ
“คิดเหรอว่าฉันอยากอยู่กับคุณแพร มากกว่าอยู่กับเธอน่ะ”
เมธาวีดีใจและมีความหวังอยู่ข้างใน
“ภัทร...นี่นายพยายามจะพูดให้ฉันรู้สึกดีๆ เพื่อปลอบฉันอยู่ใช่มั้ย”
“ฉันแค่พูดความจริงต่างหาก ถ้าฉันเลือกได้ที่จะต้องอยู่กับใครซักคน...ฉันจะขอเลือกเธอ”
เมธาวีน้ำตาไหลพร้อมกับยิ้มปีติยินดี ณภัทรซับน้ำตาให้แล้วกุมมือมองตาเธอ อัธวุธกับอนามิกายิ้มตาม อนามิกาแค่ยิ้มเรียบๆ แต่อัธวุธอินจนทำท่ากรี๊ดกร๊าดแต่ไม่ออกเสียงออกมา

นลิณา เกตนิการ์ และแพรวานั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะนั่งเล่นที่บ้านเสรี โดยมีน้ำผลไม้สีสวยวางอยู่ตรงหน้า
นลิณาพูดกับเกตนิการ์ “ว่าไงนะ พี่ชายแกเนี่ยนะจะกลับไปคบกับพี่สาวยัยอะนาน่ะ”
เกตนิการ์พยักหน้าอย่างเซ็งๆ “ฉันก็งงอยู่เหมือนกัน ว่าพี่พายัพเกิดหน้ามืดอะไรขึ้นมา”
“หรือว่าเค้าคิดแค่เล่นๆ พี่ชายเธอออกจะเสือผู้หญิงนี่”
“ตอนแรกฉันก็คิดแบบเธอ แต่พอคุยกัน ปรากฏว่าพี่พายัพเค้ากะคบจริงจังเลยนะ แถมยังชมไม่หยุดปากว่ายัยธัญญาดีอย่างโง้นอย่างงี้” เกตนิการ์เล่า
“แต่ดูจากคุณอะนา พี่สาวเค้าก็น่าจะเป็นคนดีใช้ได้นะคะ” แพรวาเอ่ยขึ้น
“โห...ยัยบื้อ ดูคนไม่เป็นก็เงียบไปเหอะ ยัยอะนาน่ะทั้งโกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหล ครบเครื่องต้มยำ” นลิณาว่า
“ก็ใช่น่ะสิ ตัวน้องยังขนาดนี้ แล้วตัวพี่จะขนาดไหน ยิ่งเดี๋ยวนี้นะ ฉันขอเงินพี่พายัพย๊าก..ยาก ไม่รู้เอาเงินไปทำอะไรหมด ฉันหละห่วงว่าจะโดนพี่สาวยัยอะนามันปอกลอกเอาน่ะ”
“ดูซิ พวกเราอุตส่าห์เขี่ยนังอะนาหลุดออกไปได้แล้ว มันก็ยังจะส่งพี่สาวมันเข้ามาวุ่นวายกับพวกเราอีก นังเชื้อราฆ่าไม่ตาย”
“แต่พี่พายัพเค้าคงเอาตัวรอดหละน่ะ ว่าแต่เรื่องของเธอกะคุณณดลเหอะ ไปถึงไหนแล้วตอนนี้” เกตนิการ์ถาม
“จะถึงไหนล่ะ เธอก็รู้ว่าคุณณดลเป็นยังไง คนอะไร ใจแข็งชะมัด เป็นผู้ชายคนอื่นถ้าฉันเปิดโอกาสให้ขนาดนี้ คงกระโจนกันเข้ามาแล้ว” นลิณาอวยตัวเอง
“แพรก็ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนปฏิเสธพี่นีน่าเหมือนกันค่ะ” แพรวาพูด
“ฉันก็มั่นมาตลอดว่าสวยเลือกได้ จนมาเจอคุณณดลนี่หละ”
“แล้วเธอจะทำยังไง...หรือว่าจะถอดใจแล้ว” เกตนิการ์ถามอีก
“ฝันไปเหอะ คนอย่างฉันเนี่ยนะจะยอมแพ้ จะบอกให้นะ ฉันมีไม้ตายเตรียมไว้จัดการคุณณดลแล้วย่ะ”
นลิณายิ้มร้ายๆ อย่างมั่นใจในแผนการของตน

พนารัตน์กับกอบชัยนั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร ณภัทรรีบเดินเข้ามานั่งด้วย
“อ้าว! แล้วพี่ชายแกล่ะ” พนารัตน์เอ่ยถาม
“ไม่อยู่ครับคุณแม่” ณภัทรตักอาหารกิน
“ณดลเค้าออกไปไหนเหรอ” กอบชัยถามต่อ
“นี่! หยุดกินแล้วตอบพ่อกับแม่มาก่อน” พนารัตน์ดุ
“ผมไม่รู้...” พนารัตน์ดุ
“แล้วเป็นพี่เป็นน้องกัน ทำไมแกไม่ถาม” พนารัตน์ว่า
“เอ๊า...ก็แล้วเป็นแม่เป็นลูกกัน ทำไมคุณแม่ไม่ถามพี่ณดลเองล่ะครับ” ณภัทรย้อน
“เจ้าภัทร นี่แกย้อนฉันเหรอ” พนารัตน์ฉุน
“ผมไม่ได้ย้อนครับ แต่ช่วงนี้พี่ณดลเค้าก็เอาแต่ซึมเศร้าทั้งวัน ผมเป็นแค่น้องเขา ผมไม่กล้าไปถามเซ้าซี้เค้าหรอกครับ”
“แล้วมีเรื่องอะไร ทำไมณดลเค้าต้องซึมเศร้าด้วย ใครทำอะไรเค้า” กอบชัยสงสัย
“เรื่องมันยาวนะครับ คุณพ่อคุณแม่อยากฟังจริงๆ หรือเปล่า”
“ก็ต้องอยากฟังสิ” กอบชัยหันมาหาพนารัตน์ “ใช่มั้ยคุณ”
“อย่ามาลีลาได้มั้ย แกรู้อะไรก็พูดออกมาเถอะน่ะ”
“ก็ได้...ผมจะเล่าให้ฟัง ว่าทำไมพี่ณดลถึงเป็นอย่างนี้”
ณภัทตัดสินใจรวางช้อนลงแล้วเล่าให้กอบชัยกับพนารัตน์ที่กำลังฟังอย่างตั้งใจ

ในคลับของพายัพ พายัพกำลังนั่งโงนเงนเพราะมึนเมาหลังจากที่ดื่มไปเยอะ บนโต๊ะตรงหน้ามีทั้งแก้วและขวดที่พร่องจนเกือบหมด พายัพเงยหน้ามาเห็นนักร้องสาวเซ็กซี่ยืนอยู่ตรงหน้า นักร้องสาวคนนั้นยื่นเอกสารให้
“นี่ค่ะคุณพายัพ”
“หือ? อะไร” พายัพก้มลงอ่านเอกสารแผ่นนั้น “ใบลาออก”
พายัพของขึ้นทันที เขาฉีกกระดาษเอกสารเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วปาใส่หน้านักร้องสาวคนนั้น
“อยากออกก็ไสหัวออกไปเลย ไม่ต้องมีใบลาออกให้ยุ่งยากหรอก ไป๊”
นักร้องสาวกัดฟันระงับความโกรธ
พายัพตวาดซ้ำ “ออกไป๊...”
นักร้องสาวเดินหนีออกไป พายัพฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วคร่ำครวญ
“ไอ้พวกเห็บหมา พอเห็นฉันกำลังจะตาย มันก็รีบโดดหนีไปหาที่เกาะที่ใหม่”
พายัพที่กำลังฟุบหน้ากับโต๊ะได้ยินเสียงผู้ชายถามขึ้น “ยังไงนะครับพี่”
“ก็ร้านนี้กำลังจะปิดกิจการ ไอ้พวกเห็บหมามันก็เลยรีบโดดหนี ยกขบวนกันลาออกไปหาที่อยู่ใหม่น่ะสิ...” พายัพพูดตอบแล้วก็นึกได้ รีบเงยขึ้นมอง
พายัพเห็นณดลยืนอยู่ต่อหน้า ณดลยกมือไหว้เขา
“สวัสดีครับพี่พายัพ”
“อ้าว..ณดล นั่งก่อนสิ เชิญๆ” พายัพโวยพนักงานเสิร์ฟ “อ้าวเฮ้ย..ไอ้พนักงานที่เหลืออยู่หายหัวไปไหนหมด รีบเอาเหล้ามาเลี้ยงคุณณดลเค้าสิ”
“ไม่ดีกว่าครับพี่ ผมแวะมาแป๊บเดียว ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ เมื่อกี้ได้ยินว่าพี่จะเลิกร้านนี้แล้ว”
“เอ่อ...ก็..ทำนองนั้น พี่ขอติดค่าเช่าร้านไว้ก่อนนะ”
“เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ผมไม่ได้มาทวงค่าเช่าร้านหรอกพี่”
“อ้าว...แล้ว...ณดลมาทำอะไรเหรอ”
“ผมอยากจะปรึกษาพี่น่ะ พี่รู้เรื่องอะนากับเจ้าภัทรแล้วใช่มั้ย”
พายัพพยักหน้า “น้องเกดเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว ณดลจะมาปรึกษาพี่เรื่องนี้ใช่มั้ย”
ณดลถอนใจเสียงดัง “ผมไม่รู้จะถามใครได้ นอกจากพี่ ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีๆ กับเค้า และเค้าก็น่าจะรู้สึกดีๆ เช่นกัน แต่ในความรู้สึกดีๆ ของผมนั้น ผมยังมีอคติ แล้วก็ยังโกรธที่เค้าโกหกหลอกลวง ทำให้ผมเป็นไอ้งั่งมาตลอด”
พายัพแทรกขึ้น “ณดล ฟังพี่นะ” พายัพพูดเน้นอย่างเป็นเรื่องสำคัญ “อย่าได้ปล่อยให้เค้าหลุดลอยไป”
“อะไรนะครับ”
“ผู้หญิงคนนึงที่รักเราน่ะ มีค่ามากที่สุดเลยรู้มั้ย พี่ก็เพิ่งเข้าใจเรื่องนี้ ตอนที่เดือดร้อน ไม่เหลือใคร แต่มีธัญญายื่นมือมาช่วยเหลือพี่น่ะ”
ณดลพยักหน้าคล้อยตาม
“จำไว้นะ ถ้ามีผู้หญิงแบบนี้เข้ามาในชีวิตเรา ให้กอดเค้าไว้ อย่าปล่อยให้เค้าหายไปจากชีวิตเรา...เชื่อพี่”
ณดลพยักหน้าพอใจเหมือนได้คำตอบที่ตรงกับใจของเขาแล้ว

พนารัตน์กับกอบชัยอยู่ในชุดนอน ทั้งสองนั่งข้างๆ กันด้วยท่าทางยังช็อคๆ เบลอๆ อยู่ที่ห้องรับแขก
“นี่เรื่องจริงเหรอ ณดลเนี่ยนะ จะแอบชอบยัยอะนามาตั้งนานแล้ว” กอบชัยช็อค
“โถ...ถ้าณดลรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ก็คงรู้สึกผิด แล้วก็ทรมานมากๆ เลยนะ” พนารัตน์บอก
“ใช่...ผมเข้าใจความรู้สึกเลยนะ ลูกผู้ชายอย่างเรา ถ้าดันไปชอบเมียของน้องตัวเอง ก็คงต้องเจ็บปวด แล้วก็รู้สึกผิดมากๆ เลยหละ” ณภัทรพูด
“แต่ตอนนี้ณดลเค้าก็รู้แล้วนี่ว่าอะนาไม่ได้เป็นเมียเจ้าภัทรจริงๆ ซะหน่อย” พนารัตน์เอ่ยขึ้น
“นั่นสิ ถ้าณดลจะชอบยัยอะนา ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรแล้วนี่” กอบชัยเห็นด้วย
“แต่อย่าลืมว่าพี่ณดลเพิ่งไล่ตะเพิดอะนาออกจากบ้านแทบไม่ทันแบบนั้น” ณภัทรบอก
“อย่าว่าแต่ณดลเลย ฉันเองก็ออกตัวแรงใส่เค้าเหมือนกัน” พนารัตน์เริ่มสำนึกผิด
“แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ผมว่าการช่วยอะนา ก็เท่ากับช่วยพี่ณดลด้วยนะครับ”
“ช่วยยัยเนี่ยนะ ช่วยทำไม” พนารัตน์ถาม
“คุณรัตน์ คุณยังเคยพูดเลยว่าเด็กคนนี้ฉลาด เก่งทั้งงานบ้านงานเรือน แล้วก็ยังช่วยงานของณดลได้อีกด้วย” กอบชัยพูด
“นั่นฉันพูดก่อนที่จะรู้ว่าแม่นี่มีอาชีพรับจ้างต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้านนี่ยะ” พนารัตน์บอก
“รับจ้างต้มตุ๋นอะไรครับคุณแม่ ผมตามเอาเงินไปให้ถึงมือ เค้ายังไม่เอาเลย” ณภัทรเล่า
กอบชัยทึ่ง “จริงเหรอ นี่แกแกล้งพูด เพราะจะช่วยเพื่อนหรือเปล่า”
“เรื่องจริงครับคุณพ่อ เค้าไม่ยอมรับเงินผมเลยซักบาท คนอย่างงี้ คุณพ่อคุณแม่คิดว่าหัวใจเค้าธรรมดามั้ยล่ะ”
กอบชัยกับพนารัตน์หันมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา
“หรือว่า...เราคงต้องทบทวนกันใหม่เกี่ยวกับยัยอะนานี่ซะแล้ว” กอบชัยบอก
“โอ๊ย...เอาไว้ก่อนเถอะย่ะ พรุ่งนี้เราต้องยกขบวนกันไปบ้านคุณเสรีแต่เช้า” พนารัตน์ตัดบท
“ไปทำอะไรเหรอครับคุณแม่” ณภัทรถาม
“ก็ไปคุยเรื่องแกกับหนูแพรน่ะสิ” พนารัตน์บอก
ณภัทรสะอึกและเริ่มเครียดไปทันที

ณภัทรนั่งซึมเศร้าและเหม่อลอยอยู่ที่หน้าบ้านของเขา เขาหวนคิดถึงเมธาวีและเรื่องดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น
ภาพเหตุการณ์ในอดีตแวบขึ้นมาในหัวของณภัทร ตอนที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในปราสาทเก่าที่อังกฤษ เมธาวีผวาหันมากอดณภัทรและเอาหน้าซุกไปที่อกเสื้อของณภัทร เธอหลับตาปี๋ด้วยความกลัวผี ณภัทรตาโตเพราะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เขายกมือเก้ๆ กังๆ แล้วก็โอบเบาๆ ปลอบเมธาวี
ภาพตอนที่ณภัทรเดินเล่นกับเมธาวี ณภัทรยิ้มเพราะรู้สึกดีกับเมธาวีไม่น้อย

ขณะเดียวกัน เมธาวีซึ่งนั่งอยู่หน้าบ้านอัธวุธก็กำลังเหม่อเศร้าเพราะคิดถึงณภัทรอยู่เช่นกัน
ภาพเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่เธออยู่กับณภัทรแวบขึ้นมาในหัว วันที่ณภัทรช่วยสวมสร้อยให้เมธาวีที่กำลังยิ้มแก้มปริเพราะคิดฝันไปไกลว่าณภัทรรักเธอ ณภัทรช่วยสวมสร้อยให้จนเสร็จแล้วก็มองอย่างชื่นชม เมธาวีได้แต่ยิ้มปลื้มอย่างมีความสุข
ภาพตอนที่เมธาวีประคองณภัทซึ่งเมามากรมาที่เตียง เมธาวีจะปลดแขนณภัทรออก แต่กลายเป็นว่าแขนของณภัทรโน้มคอเมธาวีจนหน้าคะมำลงไปจุ๊บที่แก้มของณภัทรเต็มๆ เมธาวีตาโตตกใจ แต่แล้วแววตาของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแฮปปี้
ภาพตอนที่เมธาวีเช็ดหน้าให้ณภัทรอย่างทะนุถนอม เมธาวียิ้มเพราะรู้สึกดีๆ และคิดถึงณภัทรจับใจ

ณภัทรก็กำลังคิดถึงเมธาวีและยิ้มอย่างรู้สึกดีๆ อยู่เช่นกัน
ณภัทรคิดถึงตอนที่เขากับเมธาวีกำลังชื่นชมทิวทัศน์ยามแสงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าจากมุมสูงบนปราสาทเก่า แล้วหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข วันนั้นณภัทรจับมือเมธาวี ณ บนจุดชมวิวของปราสาทเก่า
ณภัทรนึกถึงเรื่องในวันนั้นแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข เขาพูดกับตัวเองด้วยความเชื่อมั่น
“จะให้แต่งงานกับคนอื่นคงไม่ได้แล้วหละ...”

เช้าวันใหม่ เสรีแต่งตัวเต็มยศนั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน นลิณาแต่งตัวสวยเดินเข้ามา
“อืม...สวยจังเลยลูกพ่อ แล้วว่าที่เจ้าสาวของเราล่ะ” เสรีถาม
“เดี๋ยวก็ลงมาแล้วหละค่ะคุณพ่อ” นลิณาเหลียวมองให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ แล้วจึงนั่งลงใกล้ๆ เสรีแล้วพูดเบาๆ “แล้วตอนนี้ เอ่อ..เรื่องงานของคุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
เสรีหนักใจ “ก็...อย่ารู้เลยลูก รู้ไปก็ไม่สบายใจเปล่าๆ”
“แต่คุณพ่อขา...นีน่ารักคุณพ่อนะคะ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ขอให้นีน่าได้รับรู้ เผื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาคุณพ่อบ้างน่ะค่ะ”
เสรีกอดลูกอย่างซาบซึ้ง “ขอบใจนะลูก แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพอน้องแพรได้แต่งกับบ้านนั้น สถานการณ์ของเราก็คงจะดีขึ้น”
“แล้วถ้าไม่ได้แต่งล่ะคะ” นลิณาถามกลับ
“พูดอะไรแบบนั้นลูก” เสรีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าทางนั้นกล้าเบี้ยวพ่ออีกที คราวนี้พ่อไม่เอามันไว้แน่”
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพ่อ ยังไงซะ หลุดจากน้องแพรกับนายภัทร ก็ยังมีนีน่ากับคุณณดลอีก”
เสรียิ้มรับแล้วหันไปมองทางหนึ่ง แล้วเขาก็ถึงกับตกตะลึง นลิณาเห็นเสรีชะงักไปจึงหันมองตาม ทั้งสองเห็นแพรวาอยู่ในชุดสวยและเซ็กซี่กำลังเดินมาอย่างขัดๆ เขินๆ
“น้องแพร...นี่ลูกสาวพ่อเป็นสาวเต็มตัวแล้วใช่มั้ยนี่” เสรีเอ่ยขึ้น
“เห็นมั้ยว่าเอาชุดฉันไปใส่แล้วดูเซ็กซี่ขึ้นตั้งเยอะ” นลิณาบอก
แพรวายิ่งเขิน “แต่แพรใส่แล้วไม่มั่นใจเลยอ่ะค่ะ มันโป๊หรือเปล่าคะ หรือแพรไปเปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่า” แพรวาหันไป
เสรีกับนลิณารีบพูดออกมาพร้อมกัน “ไม่ต้อง”
แพรวาหันมามองด้วยสีหน้าที่ยังไม่มั่นใจ
“ลูกพ่อก็สวยเฉี่ยวดีออก” เสรีชม
“หัดแต่งตัวแบบนี้บ้างเหอะย่ะ เลิกทำตัวเป็นยัยบื้อซะที” นลิณาว่า
แพรวาหน้าแหยเพราะรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเอง

ณดล พนารัตน์ และกอบชัยซึ่งแต่งตัวภูมิฐานเรียบร้อยนั่งแกร่วรออยู่ที่ห้องรับแขกอย่างกระวนกระวาย
“นี่!ณดล ขึ้นไปตามเจ้าภัทรมาทีซิ จะไปมั้ยเนี่ย นี่ก็เลยเวลานัดเค้าแล้วนะ” พนารัตน์สั่งลูกชาย
“ครับคุณแม่” ณดลขยับลุกขึ้น
กอบชัยพูดกับพนารัตน์ “หรือเจ้าภัทรมันคงอยากจะแต่งตัวให้ดีๆ สมกับที่จะไปขอลูกสาวเค้า...หา!!” กอบชัยชะงักแล้วมองไปแล้วเห็นณภัทรอยู่ในชุดลำลองปอนๆ ไม่เป็นทางการกำลังเดินเข้ามา
พนารัตน์กับกอบชัยกุมขมับหันมองหน้ากัน ณดลมองพ่อกับแม่แล้วหันไปดุณภัทร
“ไอ้ภัทร ฉันรู้นะว่าแกไม่เต็มใจ แต่แกจะไปแบบนี้จริงๆ เหรอ”
“ก็ตัวตนจริงๆ ผมเป็นแบบนี้ ทำไมถึงต้องคอยคาดหวังจะให้ผมเป็นอย่างที่ทุกคนต้องการด้วยล่ะครับ” ณภัทรบอก
“แต่ถึงยังไงแกก็ควรจะแต่งตัวให้เกียรติทางบ้านโน้นเค้าบ้าง รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะไป๊” ณดลเดินเข้ามาพูดใกล้ๆ อย่างเข้าใจณภัทรถ้าแกมีอะไรจะพูดหละก็...เก็บไว้ก่อน แล้วค่อยไปพูดที่บ้านโน้น”
ณภัทรมองณดลอย่างประหลาดใจ ณดลยิ้มขยิบตาเหมือนส่งซิกให้กำลังใจให้น้องชายตัวเอง

เสรีนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก โดยมีนลิณาขนาบข้าง พนารัตน์ กอบชัย ณดลนั่งด้วยกันที่โซฟาตรงข้าม ณภัทรซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยภูมิฐานนั่งอยู่ข้างๆ แพรวา ทุกคนนั่งเกร็ง มีเพียงเสรีกับนลิณาที่ยิ้มแย้มอย่างสบายใจ
“เอ่อ...วันนี้ดูเหมือนทุกคนจะเกร็งๆ เงียบๆ กันไปหมดนะ” เสรีเอ่ย
“งั้นคุณพ่อสรุปเลยดีกว่ามั้ยคะ แล้วเดี๋ยวจะได้ออกไปทานมื้อกลางวันกัน” นลิณาพูด
“อืม...งั้นผมขออนุญาตสรุปนะ คุณกอบ คุณรัตน์” เสรีเข้าเรื่อง
กอบชัยกับพนารัตน์รับคำพร้อมกัน “ครับ / ค่ะ คุณเสรี”
“คือผมอยากจะรวบรัดให้พิธีหมั้นตอนเช้า แล้วก็แต่งในคืนนั้นไปเลย ดูฤกษ์ไว้คร่าวๆ ในปลายเดือนหน้าก็มีวันที่ดีๆ อยู่”
“ปลายเดือนหน้าเลยเหรอคะ” พนารัตน์ถาม
“ไม่รีบร้อนไปหน่อยเหรอครับคุณเสรี” กอบชัยท้วง
“รีบร้อนอะไรกัน จะว่าไป...สำหรับผม เรารอวันนี้มานานเกินไปแล้ว” เสรีบอก
“ขอโทษนะครับ...เรา” ณดลหันหน้าไปมองทางณภัทรกับแพรวา “จะไม่ถามเจ้าตัวเค้าบ้างเลยเหรอครับ”
“ถ้าจะต้องถามกันขนาดนั้น แล้วเราจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ไว้เป็นแค่หัวตอรึไง” เสรีว่า
ณดลผงะเพราะไม่ค่อยพอใจกับคำพูดเสรี แต่ก็พยายามสะกดอารมณ์ไว้ พนารัตน์ขยับจะพูดปกป้องณดล แต่กอบชัยส่ายหน้าปรามเอาไว้
“งั้นสรุปตามนี้ มีใครจะคัดค้านอะไรมั้ย” เสรีถาม
ทุกคนนิ่งเงียบ ณภัทรกับแพรวาหลบตานั่งนิ่ง แต่ในใจของทั้งคู่แทบระเบิดออกมา เพราะอยากจะเอ่ยปากคัดค้าน แต่ก็ไม่กล้า ณภัทรเหลือบมองไปทางณดล ณดลก็ลอบมองณภัทรเหมือนจะเชียร์ให้ณภัทรคัดค้านออกมา
“ถ้างั้นผมขอพูดต่อเรื่อง....” เสรีพูดต่อ
ณภัทรโพล่งออกมา “ผมคัดค้านครับ”
เสรีกับนลิณาถึงกับหันขวับ พนารัตน์กับกอบชัยก็ช็อคแล้วหันมองไปที่ณภัทร ณดลส่งยิ้มและพยักหน้าให้ณภัทร
เสรีไม่พอใจอย่างแรง “เมื่อกี้ว่าไงนะ”
ณภัทรรวบรวมความกล้าพูดออกมา “คือ...ผม แล้วก็น้องแพร...เราสองคนไม่ได้อยากจะแต่งงานกันหรอกครับ”
“ภัทร นายจะมาพูดแทนน้องสาวฉันได้ไง ใครบอกว่าน้องแพรไม่ได้อยากแต่งงานกับนาย” นลิณาท้วง
ณภัทรมองไปที่แพรวา “ก็น้องแพรบอกเองน่ะสิ จะมีใครล่ะ”
นลิณาผุดลุกขึ้นถามเสียงกรรโชก “จริงเหรอยัยแพร”
“เอ่อ...คือ... “ แพรวายังไม่กล้าพูดความจริงต่อหน้าพ่อและพี่สาวของเธอ
“เอาหละ...เอาหละ นั่งลงก่อนนีน่า” เสรีปราม
นลิณายอมนั่งลง
“เด็กๆ เงียบๆ ก่อน ให้ผู้ใหญ่คุยกันเองดีกว่า” เสรีหันไปหากอบชัยกับพนารัตน์ “คุณสองคนควรจะว่ากล่าวตักเตือนทางคนของคุณบ้างนะ”
กอบชัยกับพนารัตน์ก้มหลบตา “เอ่อ...ค..ครับ / ค่ะ”
“แล้วทางคุณจะสรุปว่าไง” เสรีถาม
“ก็...แล้วแต่ค่ะ” พนารัตน์บอก
“แล้วแต่ทางผม?” เสรีถาม
พนารัตน์เงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงเข้ม “แล้วแต่เด็กๆ เค้าสิคะ ถ้าลูกชายฉันกับลูกสาวคุณเสรีไม่ได้อยากจะแต่งงานกัน แล้วจะให้ฉันไปบังคับเค้าเนี่ยนะคะ”
“ใช่...ทางผมบังคับคนของผมได้” เสรีมองไปทางแพรวา
“แต่ทางฉันคงไม่กล้าไปบังคับจิตใจลูกขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ณภัทรมองพนารัตน์อย่างรู้สึกใจชื้นที่แม่ให้การสนับสนุนเขา
เสรีตบโต๊ะดังเปรี้ยง! พร้อมยื่นหน้าตวาดใส่พนารัตน์ทันที “นี่คุณกล้าพูดต่อหน้าผมแบบนี้เหรอ”
กอบชัยออกตัวปกป้อง “ขอโทษนะครับคุณเสรี เราคุยกันดีๆ ไม่ต้องแสดงท่าทางคุกคามกันก็ได้นะครับ”
เสรีหันมาตวาดใส่กอบชัย “คุณก็อีกคนเหรอ”
“ผมกับคุณรัตน์นอนคุยปรึกษากันมาทั้งคืน” กอบชัยบอก “โลกยุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว กระทั่งคู่ที่รักกัน อยากแต่งกันยังหย่าร้างเป็นว่าเล่น แล้วคิดว่าคู่ที่ถูกบังคับคลุมถุงชนจะไปกันรอดเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ชีวิตคู่น่ะ เป็นส่วนสำคัญของชีวิต ฉันไม่ยอมให้ลูกชายฉันต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไม่มีความสุข เพราะต้องใช้ชีวิตคู่กับคนที่เขาไม่ได้รักหรอกนะคะ” พนารัตน์สนับสนุนสามี
“ใช่ครับ ผมต้องขอโทษทุกคน ผมมีคนที่ผมรักแล้วน่ะครับ” ณภัทรบอก
“ใครกันยะ นี่อย่าบอกนะว่า...” นลิณาตะหงิดใจ
“ผมรักเม” ณภัทรเอ่ยออกมา
“หา?! ฉันนึกว่ายัยอะนาซะอีก” นลิณางง
ณดลเห็นโอกาสจึงพูดออกมา “คนที่ชอบอะนา จริงๆ คือผมต่างหาก”
นลิณาช็อค “คะ..คุณณดล”
ทุกคนอึ้งและหันมามองณดลเป็นตาเดียว นลิณาเสียใจ ฟูมฟายจะเป็นลม เสรีรีบประคองลูกสาวไว้ “นีน่า!”
ณภัทรก็ตกใจ เขาหันมามองหน้าณดล ณดลสบตาตอบ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ที่ต่างคนก็ต่างได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้ว










Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:07:29 น.
Counter : 212 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]