All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 16 (ต่อ)


อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 16 (ต่อ)

ธานีไปส่งดารกาที่มหา’ลัย ก็กลับเข้าบริษัท และตรงเข้าไปภายในห้องทำงานผู้เป็นแม่ พอปัทมนรู้เรื่องที่โรงพยาบาลก็หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี

“น้องดาน่ะเรอะ” ปัทมนยังขำอยู่
“อ้าว! คุณแม่อย่าหัวเราะสิครับ ผมเห็นกับตาเลย หมอไชยน่ะกลัวน้องดาจนเป็นลมนะครับ” ธานีย้ำสิ่งที่เห็นมากับตา
“จะเป็นไปได้ยังไง”
“นั่นซิครับ น้องดาเองก็ตกใจเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนี้น่าเป็นห่วงน้องดามากกว่า...แกคงจะเสียขวัญ”
“ร้องไห้เลยละครับ” ธานีว่า
“เอาไว้ค่อยถามภวัตก็แล้วกัน ... อ้อ! แล้วเย็นนี้ ธานีไปรับน้องดาเองดีกว่า” ปัทมนกำชับลูกชาย
“ครับ! ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” ธานีลุกขึ้น “เออ .. ถ้ากลัวแนนนี่ยังจะพอฟังได้”
ปัทมนถึงกับชะงัก สีหน้าครุ่นคิด ขณะที่ธานีเดินออกไป

ทางด้านไชยยังคงนอนหลับไปด้วยฤทธิ์ยา ระหว่างนั้นเหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบแผ่วเบา ในขณะที่เปลือกตาไชยขยับไปมาเล็กน้อยเหมือนเริ่มจะรู้สึกตัว ใครคนนั้นกำลังจ้องมาที่ไชยจากมุมหนึ่ง
ไชยค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วกวาดตามองไปโดยรอบ และมองเลยเรื่อยไปจนถึงประตูระเบียง เห็นร่างใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้ ไชยผุดลุกขึ้นนั่งทันที เหงื่อแตกพลั่ก
ร่างนั้นค่อยๆ หันกลับมาอย่างช้าๆ ไชยตกตะลึงอ้าปากจะร้อง
เป็นดารกานั่นเอง ซึ่งเวลานั้นค่อยๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากช้าๆ เป็นเชิงห้าม
“นะ...นะ...น้อง...น้องดา..พะ...พี่ ...พี่กลัวแล้ว” ไชยระล่ำระลัก
ดารกาเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ห้ามพูด...อย่าพูด”
“พี่...พี่จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น” ไชยรับปากในท่าทีหวาดหวั่น
ร่างดารกาค่อยๆ เลือนหายไป ต่อหน้าต่อตา ไชยยังมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างหนัก สักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ไชยถึงกับสะดุ้งโหยง
ภวัตเปิดประตูเดินเข้ามา สีหน้าแปลกใจมากๆ เมื่อมองเห็นสภาพที่ไชยลุกขึ้นมานั่ง
“ตื่นแล้วหรือครับ .... ความจริงยังไม่ทันหมดฤทธิ์ยาเลย”
“ผมจะกลับบ้าน” ไชยโพล่งขึ้นมา
“ผมว่าพี่อยู่ที่นี่สักพักจะดีกว่า..สะดวกทุกอย่าง”
ไชยลืมตัว เผลอหลุดปากจนได้
“สะดวกกับผีน่ะซิ นังนั่นมันตามมาเล่นงานผม”
“ใครหรือครับ” ภวัตอึ้ง ถามอย่างสงสัย ในใจคิดว่าเป็นฝีมือแนนนี่!
ไชยหลับตานิ่ง พร้อมกับที่ใบหน้าดารกายกนิ้วขึ้นแตะปากช้าๆ ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
ไชยค่อยๆ ลืมตาขึ้น “ปละ...เปล่า ไม่มีอะไร”
ไชยพยายามยันกายลุกขึ้นยืน ร่างซวนเซเล็กน้อย
ภวัตรีบเข้าไปช่วย “ระวังครับ”
“ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า...คุณช่วยสั่งให้ใครบอกสุเทพให้เตรียมเอารถออกด้วย”
“ได้ครับ”
ไชยเดินอย่างอ่อนระโหยโรยแรงเข้าไปห้องน้ำ ภวัตรอดูจนเห็นว่าไชยปลอดภัย ก็เดินออกไป
ภวัตเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ นางพยาบาลเดินยิ้มเข้ามาหา
“มีคนไข้ฝากดอกไม้อวยพรย้อนหลังวันเกิดอาจารย์นะคะ...หนูให้แม่บ้านเอาไปไว้ในห้องแล้ว”
“ขอบใจ...เดี๋ยวช่วยไปดูอาจารย์หมอไชยหน่อย...แล้วก็โทร.บอกสุเทพให้เตรียมรถด้วย ท่านจะกลับบ้าน”
“ได้ค่ะ”
ภวัตเดินออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อกลับห้องพัก

ภวัตเดินเข้ามาในห้องพัก แล้วล็อคประตู
“คุณยายครับ คุณยาย”
ทุกอย่างยังเงียบสนิท
“คุณยาย”
เสียงทาฮิร่าฟังก็รู้ว่าหงุดหงิด ดังก่อนร่างเจ้าตัวจะปรากฏ
“ฉันไม่ใช่ Call girl นะยะ ที่จะเรียกเมื่อไหร่ก็ได้”
สิ้นเสียงบ่น ทาฮิร่าก็ปรากฏตัว แต่กะระยะพลาดชนโครมกับประตูระเบียง
“โอ๊ย”
ภวัตหันไปทางประตูหน้าห้อง และเดินมา “คุณยาย”
“อูย...ฉันอยู่นี่”
ภวัตค่อยๆ เปิดประตูระเบียงออกไป แล้วชะงัก
“อ้าว! ทำไมมานอนแอ้งแม้งอยู่นี่ละครับ”
ทาฮิร่ารีบแก้ตัวข้างๆ คูๆ “ฉันอยากจะรู้ว่าพื้นมันเย็นหรือเปล่า”
ภวัตรู้ทันส่ายหน้าแล้วช่วยพยุงทาฮิร่าขึ้น
“ทีหน้าทีหลัง คุณยายกะระยะดีๆ หน่อย”
ภวัตพาทาฮีร่าเข้ามาในห้องแล้วพยุงพาไปนั่ง ทาฮิร่าร้องโอดโอย
“อุย...โอย”
“ทำไมไม่เสกคาถาให้หายเจ็บล่ะครับ” ภวัตแนะ
ทาฮีร่าชะงัก เงยหน้ามองภวัตอาการฉุนๆ
“อ้าว! จริงๆ นะครับ ถ้าเป็นผม เสกให้หายเจ็บไปแล้ว ไม่เห็นจะต้องมาร้องโอดโอยเลย!”
“นายภวิต! จงจำใส่ใจไว้เลยว่า อันความเจ็บความไข้มันเกิดแต่กรรม ไม่มีใครสามารถลบล้างได้” ทาฮิร่าพูดเป็นเชิงสอนด้วยน้ำเสียงฉุนๆ
“อ้อ! ผมนึกว่า มีแต่มนุษย์ที่มีกรรม...แม่มดก็มีกรรมกับเขาเหมือนกัน”
“แล้วเธอเรียกฉันมาทำไม”
“แนนนี่ก่อเรื่องอีกแล้ว คราวนี้ค่อนข้างร้ายแรงด้วย”
น้ำเสียงภวัตฟังดูจริงจัง จนทาฮิร่าชะงัก มองจ้องหน้าภวัตเขม็ง

เวลาเดียวกันบุษบาเดินเข้ามาในห้องคนไข้ ในขณะที่ไชยแต่งตัว โดยมีบุรุษพยาบาลช่วยด้วย
“พี่ไชยจะกลับแล้วหรือคะ”
ไชยหันมาพยักหน้าให้น้องสาว “ใช่! พี่อยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ที่นี่มีทั้งหมอทั้งพยาบาลพร้อม”
“วันนี้กลับบ้านเร็วๆ นะ ยัยบุษ”
ไชยเดินมาที่ประตู แล้วหันมาทางบุษบา
“ยัยบุษ พี่เปลี่ยนใจจากดารกาแล้วนะ ไม่ต้องมาพยายามโปรโมทอีกต่อไป”
ไชยเดินออกไป บุษบาแปลกใจ

บุษบารีบตามมาจนทันไชย
“เดี๋ยวค่ะ”
ไชยหยุดเดินหันกลับมามอง
บุษบาพูดถามเบาๆ “ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็หมายความตามนั้น”
ไชยบอกแค่นั้นแล้วเดินเลยไป บุษบามองตามแปลกใจมากยิ่งขึ้น

ทาฮ่ารู้เรื่องการเจ็บป่วยและอาการประหลาดๆ ของไชย จากปากภวัต และพอรู้ว่านายภวิตคิดว่าเป็นฝีมือหลานสาวสุดที่รักก็ฉุนๆ
“อ้อ นี่เธอหาว่าหลานสาวฉันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด”
“แล้วคุณยายคิดว่า จะมีคนอื่น สามารถทำได้ขนาดนี้ไหมครับ” ภวัตแย้ง
“จะมีหรือไม่มี ฉันไม่รู้ แต่ยืนยันได้ว่า แนนนี่คงไม่สร้างภาพขนาดนั้น...ไม่ใช่วิสัย” ทาฮิร่าพูดอย่างมั่นใจ
“ผมว่าใช่แน่นอนเลยครับ” ภวัตดูจะมั่นใจมากว่าเป็นฝีมือแนนนี่
ทาฮีร่าถอนหายใจด้วยความรำคาญ
“ลองคิดทบทวนให้ดีซิ แนนนี่จะร้ายก็ร้ายตรงๆ ไม่ซับซ้อนแบบที่เธอเล่า แล้วก็ไอ้คนที่เธอบอกน่ะ” ทาฮิร่าอธิบายพลางตั้งข้อสังเกตให้ฟัง
“เขาชื่อหมอไชยครับ”
“จะหมอไชย หมอไม่ไชยอะไรฉันไม่รู้ ....ฉันรู้แต่ว่าเขาไว้ใจไม่ได้ เรื่องทั้งหมดนี่เขาอาจจะแต่งขึ้น”
“คุณยายต้องไปเห็นสภาพ แล้วจะถอนคำพูด” ภวัตเว้นจังหวะไปอีกนิด “ที่จริง...การที่ได้รู้ว่าพ่อแม่แนนนี่เป็นใครก็มีประโยชน์นะครับ...เพราะจะทำให้เรารู้สาเหตุของพฤติกรรมแนนนี่ได้” ภวัตอธิบาย
“เป๊ะ” ทาฮิร่าบอกเสียงดัง
“อะไรเป๊ะครับ”
ไม่มีคำตอบจากคุณยายแม่มด พร้อมๆ กับที่ร่างทาฮิร่าหายวับไป

เย็นย่ำในวันเดียวกันนั้น แนนนี่และปีเตอร์เดินคุยกันเข้ามาในบริเวณที่จอดรถ
“แนนนี่อาจจะไม่อยู่สัก 2-3 วัน...ปีเตอร์ช่วยดูเรื่องเรียนแทนแนนนี่หน่อยได้ไหม” แนนนี่พูดท่าทีจริงจัง
“แนนนี่จะไปไหน ปีเตอร์ขอไปด้วย ปีเตอร์จะออกค่าเครื่องบินค่าที่พัก อาหาร แถมด้วย พ็อกเก็ต มันนี่ ไม่จำกัด” ปีเตอร์อวดรวยตามความเคยชิน
“โฮ้ย! แนนนี่ไม่ได้ไปเครื่องบิน” แนนนี่ชักรำคาญ
“อย่าบอกนะว่าแนนนี่จะไปรถทัวร์” ปีเตอร์สงสัย
“แนนนี่ขี่ไม้กวาดไป
ได้ฟังคำพูดแนนนี่ ปีเตอร์ก็ระเบิดหัวเราะอย่างขบขัน

ระหว่างนั้น จู่ๆ รถคันหนึ่ง แล่นตรงมาประมาณเบรกแตก หยุดไม่อยู่
แนนนี่และปีเตอร์ยังหัวเราะแหย่เย้ากันเล่นไป รถคันนั้นพุ่งเข้ามาหาแนนนี่ ผู้คนในบริเวณนั้นกรีดร้องด้วยความตกใจ...บ้างชี้ให้หลบ แนนนี่และปีเตอร์ได้ยิน หันกลับมาดู...ทั้งคู่เบิกตากว้าง รถพุ่งเข้าใส่
ไวเท่าความคิด แนนนี่ผลักปีเตอร์ไปให้พ้นอีกทาง ส่วนตัวเองกลิ้งไปอีกทาง รถยนต์คันนั้นแล่นไปชนรั้วข้างๆ เครื่องยนต์ดับหยุดสนิท
แนนนี่และปีเตอร์มองกันอย่างตระหนก

เรื่องราวอันน่าตื่นเต้น หวาดเสียว ถูกปีเตอร์และแนนนี่ ถ่ายทอดให้ผาดและพรฟัง ทั้งสองคนเล่าอย่างออกรส
“นี่ถ้าหากแนนนี่ไม่หันหลังไปดู มีหวังแบนแต๊ดแต๋ทั้งคู่เลย” ปีเตอร์เล่า
ผาดและพรทำท่าหวาดเสียว
แนนนี่เรียกปีเตอร์ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ปีเตอร์”
ปีเตอร์หันมามอง
“ปีเตอร์จำที่เคยเตือนแนนนี่ได้ไหม”
ปีเตอร์นึกได้รีบทบทวน “ระวังหลัง”
แนนนี่พยักหน้า “นี่มัน 2 ครั้งแล้วนะ ลองพยายามคิดซิว่าใครเป็นคนบอกปีเตอร์”
“ปีเตอร์คิดไม่ออก” ปีเตอร์บอก
ระหว่างนั้นดารกาเดินลงมา พร้อมถุงผ้าในมือ
“วันนี้พี่ดาเลิกเร็วจัง” ปีเตอร์ทักทาย
“นานๆ ทีจ้ะ ขอบใจนะปีเตอร์ที่พาแนนนี่มาส่ง” ดารกายิ้มเยื้อน หน้าตาใสซื่อ
“แนนนี่มีปาก พูดเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาขอบใจแทน” ที่สุดแนนนี่ก็ยังทนไม่ได้อยู่ดี
ดารกาทำหน้าเหยๆ ขณะที่ปีเตอร์กระทุ้งแนนนี่
“แล้วนี่พี่ดาจะไปไหน”
“ไปหาคุณแม่บ้านบานเย็น...น้องดามีของไปฝากแก” แล้วดารกาก็เดินออกไป
แนนนี่มองตามแล้วเบ้ปากประชดออกมา “คุณหญิงสุดจะดี”

บาบาร่าในร่างแม่บ้านบานเย็นรับถุงมาจากดารกาพลางเปิดออกดู
“ผ้ากันเปื้อน”
“ค่ะ น้องดาเห็นป้าบานเย็นชอบใช้ผ้ากันเปื้อน เลยฝากเพื่อนซื้อ”
บานเย็นบาบาร่าเป็นปลื้มเอามาก “น้องดาช่างมีน้ำใจจริงๆ ป้ามาอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีใครนึกถึงเล้ย”
“เขาคงไม่ทันนึกกันมั้งคะ”
บาบาร่ามองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีใครจึงถามออกมา
“น้องดา...ป้ามีอะไรจะถามเรื่องคุณหนูแนนนี่หน่อย”
“แนนนี่เป็นเด็กดีน่ารักมากค่ะ” ดารกาพูดขึ้นทันที
“เชิญทางนี้” บานเย็นเดินนำดารกาไป

บานเย็นบาบาร่าจูงดารกาเดินเข้ามาในห้องตัวเอง พร้อมถุงใส่ผ้ากันเปื้อน
“นั่งซิคะ”
“ขอบคุณค่ะ ป้าจะถามอะไรเกี่ยวกับแนนนี่หรือคะ”
“คืองี้ค่ะ คุณอิงบ้านใกล้ๆ นี่แกเล่าให้ฟังว่า เคยเห็นคุณหนูแนนนี่ขี่ไม้กวาด! ป้าบานเย็นงี้ขำกลิ้ง” บาบาร่าทำทีเป็นหัวเราะขำ
“อุ๊ย...คุณอาอิงไปเอามาจากไหนกันคะ” ดารกาไม่เชื่อ
“เจ้าโป่งก็เล่าเหมือนกันนะคะ” บาบาร่าสำทับ
“ตายละ ไปกันใหญ่แล้ว” ดารกาว่า
“ถามจริงๆ น้องดาไม่เคยเห็นอะไรเลยหรือ”
“ป้าบานเย็นขา...แนนนี่เป็นน้องสาวคนเดียวของน้องดา ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ต่างคนต่างมา แต่น้องดาก็รักแนนนี่มาก”
“โถ ...แม่คุณ” บาบาร่าซาบซึ้งในความแสนดีของดารกา
“น้องดายังดีกว่าแนนนี่ เพราะแนนนี่ไม่รู้จักคุณพ่อคุณแม่เลย แต่ของน้องดาแม่เอามาทิ้งไว้”
ขณะฟังดารกาสีหน้าบาบาร่าคิดใคร่ครวญตาม
แม่มดสามพันปี กับอสูรน้อยตัวร้าย ที่ไม่รู้สถานภาพกันและกัน ทั้งคู่ต่างคนต่างหลอกกันอย่างมีชั้นเชิง
ดารกาพยายามจะให้บาบาร่าเข้าใจว่าแนนนี่เป็นอสูรเต็มร้อย ส่วนบาบาร่าเองจะหาข่าว และความเป็นไปของแนนนี่

ครู่ต่อมา รัดเกล้าเพิ่งกลับจากที่ทำงานเดินเข้ามา มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นบาบาร่าเดินออกมากับดารกาอย่างสนิทสนม
“อ้าว! น้องดา” รัดเกล้าร้องทัก ดารกายกมือไหว้
“วันนี้ น้องดาเห็นผ้ากันเปื้อนสวยๆ ก็เลยซื้อมาฝากป้าบานเย็นค่ะ ของพี่โป่งมีผ้าขาวม้า ส่วนพี่พรกับน้าผาดเป็นเสื้อ” ดารกาความความดีเป็นชุด
“โห! ซื้อมาฝากทั่วถึงเลย น้องดาไปไหนมาล่ะ” ดารกาแซวพลางถาม
“เพื่อนน้องดาเขาไปงาน โอท็อป ค่ะ น้องดาฝากซื้อมั่วๆ ปรากฏมีครบทุกอย่าง”
“ขอบใจแทนป้าบานเย็นกับโป่งนะจ๊ะ” รัดเกล้ายิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องดากลับละนะคะ ไปละค่ะ ป้าบานเย็น” ดารกาไหว้รัดเกล้าและบานเย็นบาบาร่า
“จ้ะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” บาบาร่ายิ้มปลื้ม
ดารกายิ้มอย่างน่ารักและอ่อนหวานให้ทั้งคู่ แล้วเดินออกไป

บาบาร่าเดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ยิ้มไม่หุบเลยนะ คุณป้าบานเย็น” ไทเกอร์แซวขึ้น
“แน่นอน! นานๆ จะมีใครมาสนใจใยดีฉันซักทีนึงนี่!...ขนาดแกอยู่กับฉันมาตั้งไม่รู้กี่ร้อยปี ยังเอาใจใส่ฉันไม่ได้ครึ่งของน้องดาเลย!” บาบาร่าด่ากระทบชิ่ง
“ใหม่ๆ ก็เงี้ย!” ไทเกอร์ว่า
“ฉันชักอยากมีหลานเป็นของตัวเองแบบทาฮิร่าบ้างแล้วซิ!...แต่ทาฮิร่ามันโง่ไปเอาอสูรมาเลี้ยง! ไม่รู้เกิดเป็นแม่มดได้ไง! ดูไม่ออกไหนอสูรไหนแม่มด! สู้ฉันก็ไม่ได้...มองปร๊าดเดียวรู้เลย!” บาบาร่าไม่รู้ว่าที่แท้ตัวเองนั่นแหละโง่!
“ฉลาดซ้า!...” ไทเกอร์เหมือนจะชม
“นังอสูรแนนนี่มันพยายามจะรังแกหลานน้องดาของฉัน! ฉันต้องคอยปกป้องสุดชีวิต”
บาบาร่าพูดด้วยสีหน้าหนักแน่นจริงจัง

กลับจากแวะเอาของไปให้บานเย็น ดารกาเดินกลับเข้ามา ในขณะที่แนนนี่และปีเตอร์นั่งคุยกันอยู่
“ยังไม่กลับอีกเหรอ ปีเตอร์! อยู่ทานข้าวเย็นกันเลยซิ” ดารกาเอ่ยขึ้น
“ทำไมต้องมากระทบกระแทกแดกดันกันด้วย” แนนนี่เริ่มหงุดหงิดอีก
ดารกาหน้าเหวอ “อะไรกันจ๊ะแนนนี่!...แค่พี่ดาชวนปีเตอร์ทานข้าวเย็นเท่านั้นเอง”
“ก็นั่นแหละ...ไป! ปีเตอร์! ออกไปนั่งรถเล่นกันดีกว่า” แนนนี่หันมาชวนปีเตอร์
“ไปซิ!...” ปีเตอร์กับแนนนี่ขยับตัวลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวแนนนี่ไปเอาตังค์ก่อน!”
“ไม่ต้อง!...ปีเตอร์เลี้ยงเอง! อยากได้อะไรเดี๋ยวจัดให้” ปีเตอร์น้ำเสียงระรื่น
“ปีเตอร์จะทำให้แนนนี่เสียเด็ก!” ดารกาพูดแทรกขึ้นมา
แนนนี่กำลังจะเดินไป หันขวับกลับมา ตาลุกวาว ขณะที่ปีเตอร์เหวอๆ
“คุณแม่ท่านสอนให้เรารู้จักกินรู้จักใช้ แต่ปีเตอร์กำลังทำให้แนนนี่ฟุ่มเฟือย” ดารกาทำทีเป็นห่วงแนนนี่จึงต่อว่าปีเตอร์
“แล้วมันเรื่องอะไรของพี่ดา! อิจฉาละซี้”
“พี่น่ะหรืออิจฉาแนนนี่” ดารกาแสนดีอธิบาย
“ไปเถอะ ปีเตอร์! ขี้เกียจฟังยัยแก่บ่น! รำคาญ!”

แนนนี่ดึงแขนปีเตอร์ลากออกไป ในขณะที่สีหน้าดารกาค่อยๆ กลับเป็นใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึกตามเดิม

ครู่ต่อมาแนนนี่ก็เดินนำปีเตอร์เข้ามาภายในร้านก๋วยเตี๋ยว ปีเตอร์บ่นอุบ
“ร้อนตายชัก ไปกินเสต็กในโรงแรมดีกว่า ได้จ่ายเงินเป็นกอบเป็นกำ กินแบบนี้ไม่ถึงร้อยมั้ง”
“ถ้าอยากจ่ายเงินเป็นกอบเป็นกำเดี๋ยวจัดให้” แนนนี่ประชด
“จริงนะ...ต่ำกว่าแสนปีเตอร์ไม่ยอมนะ” ปีเตอร์ดี๊ด๊าถูกใจเป็นที่สุด
“เออ!” แนนนี่หันไปสั่งก๋วยเตี๋ยว “เส้นใหญ่ราดหน้าทะเล”
“มีเป๋าฮื้อมั้ย” ปีเตอร์เว่อร์ตล๊อด
“อย่าเว่อร์น่า ปีเตอร์” แนนนี่เอ็ดแล้วหันไปสั่งต่อ “เพิ่มเป็น 2 แล้วน้ำบ๊วย 2”
บริกรจดออร์เดอร์ แล้วเดินไป
“เมื่อกี้ปีเตอร์ว่า พี่ดาแปลกไปนะ ปกติเขาจะไม่ตำหนิแนนนี่ต่อหน้าใครแต่เมื่อกี้เขาตำหนิเราทั้ง 2 คนเลย” ปีเตอร์ไม่รู้ว่าตัวเองแหย่รังแตนเข้าแล้ว
“ธาตุแท้คงเริ่มจะออก” แนนนี่ว่า
“แต่จะว่าไป เขาก็พูดด้วยความหวังดี” ปีเตอร์บอก
“ดีตายละ” แนนนี่ประชด
ถึงตอนนี้ บริกรก็ยกราดหน้านำมาเสิร์ฟให้ แนนนี่เริ่มปรุงก๋วยเตี๋ยว เช่นเดียวกับปีเตอร์

ค่ำคืนนั้น ดารกานุ่งผ้าขนหนูกระโจมอก เข้ามาในห้องอาบน้ำ ดารการู้สึกเหมือนว่าตัวเอง ถูกจับตา และแอบมองอยู่ จากสายตาลึกลับคู่หนึ่ง
ดารกาหันไปมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นมีใคร จึงหันกลับไป แต่ดวงตาวาววับอย่างระแวดระวังตัว ไม่ใช่แววตาของอสูรร้าย แต่เป็นความร้ายกาจในตัวดารกานั่นเอง สีหน้าดารกายังบ่งบอกว่ารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง
ระหว่างนั้น มีกลุ่มควันสีดำลอยเลื้อยผ่านหลังดารกาไป บรรยากาศในห้องน้ำดูวังเวงและน่ากลัว

เวลาเดียวกันภายในห้องพระของบ้าน ปัทมนกำลังถวายแจกันดอกบัวก่อนไหว้พระตามปกติ อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน
ปัทมนก้มลงกราบสามที แล้วเริ่มสวดมนตร์ คาถาชินบัญชร อธิษฐานจิตให้ลูกๆ ทุกคน และแผ่เมตตาให้บรรดาเจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทุกชีวิตทั้งดี ร้าย ในสามภพ โลก-สวรรค์-นรก

เสียงสวดมนตร์ของปัทมนฟังดูเยือกเย็น สุขุม และเปี่ยมสุขยิ่งนัก

“ดารกา” เสียงเรียกของอสูรสดับฟังดูแหบแห้งโหยหวนมากกว่าทุกครั้ง
ดารกาหันขวับ “ใครน่ะ”
สายตาดารกาจ้องเขม็งที่แผ่นกระจกกั้นภายในห้องน้ำ ซึ่งค่อยๆ ปรากฏใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวเต็มขั้นของอสูรสดับ แทนที่เงาใบหน้าของเธอ
ดารกาเห็น ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ข้าเอง..อสูรน้อยลูกรักของพ่อ เห่อๆๆๆ” อสูรร้ายหัวเราะเสียงเย็นเย็นและยานคาง
“ฉันไม่ใช่ลูกของแก ไอ้ปีศาจร้าย” ดารการ้องลั่นอย่างตกใจ
“ไม่มีใครหนีความจริงพ้นหรอก คนที่วิ่งหนีความจริงก็เหมือนกับวิ่งหนีเงาของตัวเอง เหนื่อยซะเปล่าๆ” อสูรสดับพยายามเกลี้ยกล่อมโน้มน้าว
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ! ฉันไม่อยากฟัง” ดารกายกสองมืออุดหู
อสูรร้ายได้ฟังก็โกรธแค้น “ยอมรับซะเถอะ ว่าเจ้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขเผ่าพันธุ์อสูรของข้า”
“ไม่!! ฉันไม่ใช่อสูร”

จังหวะนั้นเสียงสวดของปัทมน มาถึงช่วงแผ่เมตตาดังลอดขึ้นมาพอดี

เหตุการณ์ในห้องน้ำ ดารกา คว้าเอาขวดแชมพูที่อยู่ใกล้มือ เขวี้ยงใส่กระจกอย่างสุดแรงเกิด กระจกแตกละเอียดดังเพล้ง กระจายใส่ใบหน้าดารกา!!
“อ๊าย” ดารกากรีดร้องสุดเสียง
ราวกับว่าอสูรร้ายได้ถูกพลังแห่งพุทธคุณ คุณงามความดีที่ปัทมนแผ่เมตตาให้ อัดกระแทกจนร่างอสูรสดับจนกระเด็นออกไป
ปัทมนได้ยินเสียงเหมือนของตกแตกอย่างแรง ชะงัก แล้วหันไปสวดมนตร์ต่อ

ระหว่างดารกาโผล่พรวดพ้นขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำที่ตัวเองนอนแช่อยู่
อสูรสดับกระอัก สีหน้าเจ็บปวด ร้องครวญครางอยู่สักพัก อสูรร้ายกล่าวอาฆาตอย่างคั่งแค้นแล้วหายตัวไป ในขณะที่กลุ่มควันสีขาวนวลตา คลื่นแห่งความดียังลอยวนล้อมอาณาบริเวณบ้านปัทมนไว้ ก่อนจะค่อยๆจางหายไปในที่สุด

พลังแห่งพุทธคุณนั่นเองที่เป็นแรงต้าน ไม่ให้อสูรร้ายเข้าครอบงำดารกาได้ดั่งใจหมายเหมือนทุกคราครั้ง

ทางด้านดารกายังคงหายใจหอบถี่ๆ
“ชีวิตฉันกำลังจะสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และความรัก อีกไม่นานพี่ภวัตจะพาฉันหลุดพ้นจาก...” ดาร
กาชะงักงัน หยุดคำพูดไว้ทันที ดวงตาฉายแววทั้งเจ็บใจ และดูร้ายกาจ “ฉันไม่มีวันยอมให้พังเด็ดขาด”
ดารกาสบถอย่างเดือดดาล แล้วเอาฟองน้ำถูแขนตัวเองแรงขึ้นๆ และแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอยากจะลบล้างความเป็นอสูรออกจากตัว
“ฉันไม่มีวันยอมรับสายเลือดอสูร...ไม่มีวัน!” ดารกาขัดแรงขึ้นอีก “ไม่มีวัน”
ใบหน้าของดารกาเวลานี้ แววตาแข็งกร้าวดุร้ายขึ้นกว่าเดิม พลังอสูรร้ายในตัวตนของดารกายิ่งแก่กล้าขึ้นทุกทีๆ

ครู่ต่อมาปัทมนสวดคาถาชินบัญชรจบ ออกจากห้องพระ เดินมาเคาะห้องดารกา
“น้องดา...น้องดา...เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
พักหนึ่งประตูเปิดออก ดารกาอยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำ
“อะไรหรือคะ คุณแม่”
“เมื่อกี้แม่ได้ยินเหมือนเสียงอะไรตกแตก” ปัทมนถามอย่างร้อนใจ
“อ๋อ...กระจกน่ะค่ะ น้องดาซุ่มซ่ามนิดหน่อย” ดารกาเล่าเรื่องเท็จ
“งั้นเดี๋ยวแม่ให้พรมาช่วยเก็บกวาดนะลูก”
“ค่ะ”
ปัทมนจ้องมองอย่างสำรวจลูกสาวแสนดี “ดีนะที่หนูไม่โดนบาด พรุ่งนี้เช้า แม่จะเรียกช่างมาดูให้”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณแม่”

มีเสียงแตรรถดังขัดจังหวะขึ้นจากหน้าบ้าน
“ยัยแนนนี่คงจะกลับแล้ว แม่จะลงไปดูหน่อย”
“คุณแม่อย่าไปดุแนนนี่นะคะ” ดารกาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแนนนี่
“แม่ไม่ดุต่อหน้าปีเตอร์หรอกจ้ะ แต่ยังไงก็ต้องเตือนบ้าง ริอ่านออกไปกินข้าวกับเพื่อนผู้ชายตอนค่ำ”
น้ำเสียงปัทมนไม่พอใจ ส่ายหน้าแล้วเดินลงไป
ดารกามองตามสีหน้าเย็นชานิ่งสนิท แววตายังลึกล้ำเช่นเดิม

เช้าวันต่อมา ดารกานั่งอยู่ที่ชิงช้าในสวนหลังบ้านคนเดียว ในมือถือตำราเรียนวิชาแพทย์เล่มหนา แต่นั่งใจลอย
มองเหม่อ จนไม่รู้ตัวว่าเวลานั้นที่หลังมีมือใครคนหนึ่งจับบ่าตัวเองอยู่
ดารการู้สึกตัว สะดุ้งเฮือก หันขวับไปมอง
“น้องดา” ที่แท้เป็นภวัตนั่นเอง
“พี่ภวัต มาไม่ให้สุ้มให้เสียง น้องดาตกใจหมด”
ภวัตยิ้มให้อย่างเอ็นดู “ขวัญอ่อนจริง มัวใจลอยคิดอะไรอยู่หรือว่า.... โดนแนนนี่เหวี่ยงใส่เอาอีก”
ดารการีบทำทีปฏิเสธแบบมีพิรุธ “ปละ... เปล่าค่ะ หรือต่อให้มี น้องดาเป็นพี่ก็ต้องเสียสละให้น้องเสมอค่ะ”
“น้องดาให้ท้ายแนนนี่เกินไป แนนนี่เป็นเด็กหัวแข็ง ผิดก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด ทำไมพี่จะไม่รู้” ภวัตว่า
“พี่ภวัตอย่าว่าแนนนี่เลยนะคะ แนนนี่เป็นเด็กที่เชื่อมั่นในตัวเอง” ดารกายิ้มอย่างเอ็นดูน้องสาว “แกเป็นเด็กพิเศษของครอบครัวเราค่ะ”
ภวัตอี้งไป นึกถึงหน้าแนนนี่ แล้วยิ้มๆออกมา ภวัตนึกถึงเหตุการณ์ระหว่างตัวเองกับแนนนี่ตอนที่ใช้เวทมนตร์
“ใช่ ! พิเศษจริงๆ เราคงไม่ได้พบใครแบบนี้อีกแล้ว” ภวัตพลั้งปากออกมา
“พิเศษขนาดนั้นเลยหรือคะ” ดารกาถามซักทันที
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...ก็แค่เป็นเด็กดื้อพิเศษกว่าใครในโลกไงล่ะ”
ภวัตรีบแก้ต่าง พร้อมกับเอามือโยกหัวขยี้ผมดารกาเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อน แต่ดูท่าจะไม่ได้ผลนัก เพราะดารกาชักตงิดๆ ในคำพูดเมื่อครู่ของภวัต
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของภวัตดังขัดจังหวะขึ้น ภวัตกดรับสาย
“ครับ บุษ”
ได้ยินว่าใครโทร.มา แววตาดารกาวาววับโกรธขึ้นมา แต่ภวัตไม่เห็น!!

บุษบากำลังขับรถอยู่บนถนน แสร้งทำเป็นร้องห่มร้องไห้สะอื้นฮักๆ
“ภวัตคะ...เที่ยงนี้คุณว่างไหมคะ..บุษทนอีกต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ”
ภวัตคุยโทรศัพท์กับบุษบาอยู่ในสวนที่เดิม ภวัตรู้สึกตกใจกับน้ำเสียงของบุษบา
“ใจเย็นนะครับ บุษ ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข”
“บุษมีเรื่องร้อนใจมาก อยากจะปรึกษาคุณ”
“งั้นผมจะรีบไปหาบุษเดี๋ยวนี้” ภวัตบอก
ดารกาได้ยินทุกประโยค ไม่พอใจอย่างมาก แต่รีบซ่อนไว้ ปั้นหน้ายิ้มใสซื่อแสนดีให้ภวัต

ทางด้านบุษบาพอกดสาย ก็เลิกแสร้งร้องไห้ ฉีกยิ้มอย่างพอใจ ยักไหล่พรึ่ด “สำเร็จ”

ภวัตวางหูโทรศัพท์แล้วหันมาพูดกับดารกา
“เดี๋ยวพี่มานะครับ น้องดา”
ภวัตรีบปลีกตัว ลุกออกไปอย่างร้อนรน ดารกามองตามหลัง กำมือเกร็งอย่างไม่สบอารมณ์
“นังบุษบา! มารยาร้ายร้อยเล่มเกวียนนักนะฉันไม่มีวันปล่อยแกเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงหัวใจฉัน”

ดารกาไม่สบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปาก เหมือนมีแผนการร้ายในใจ
แนนนี่เพิ่งเรียนเสร็จ ออกมาจากห้องเรียน เดินมาตามทาง แนนนี่เริ่มสังเกตเห็นว่าตามทางที่เดินอยู่ มีช่อดอกไม้เต็มไปหมด และที่พื้นโรยด้วยกลีบกุหลาบ แนนนี่รู้สึกประหลาดใจ

จังหวะนั้น บรรดาเพื่อน รุ่นพี่นักศึกษาคนอื่นๆ ต่างมามุงดูกันใหญ่ ตื่นเต้นไปหมด
สักพักหนึ่ง ปีเตอร์ก็เดินเข้ามาหาพร้อมตุ๊กตาหมีสีขาวตัวใหญ่เว่อร์ๆ ปีเตอร์หมายมาดว่าจะให้แนนนี่กอดตุ๊กตาหมีตัวนี้นอน แทนการกอดตัวเอง
ปีเตอร์คุกเข่ายื่นตุ๊กตาหมีให้แนนนี่
“ตุ๊กตาหมีแทนใจ เอาไว้กอดอุ่นๆ คืนนี้ครับ แนนนี่”
ออฟชั่นความหวานเว่อร์ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะตุ๊กตาหมีตัวนั้นใส่เสื้อยืดปักชื่อว่า “PETER”
นักศึกษาสาวกรี๊ดลั่น “อร๊ายยย.... น่ารั๊กอ่ะ”
“เนื่องในวโรกาสอะไรไม่ทราบ” แนนนี่ถามเสียงขุ่น
“ผมคิดถึงแนนนี่ทุกวินาที ไม่มีโอกาส”
สีหน้าแนนนี่ไม่ยินดีสักนิด แถมออกอาการเลี่ยนๆ กับความหวานเว่อร์ของปีเตอร์
“ให้ปีเตอร์ขับรถสปอร์ตคันใหม่ ไปส่งแนนนี่ที่บ้านนะ รถใหม่ของปีเตอร์ทุกคันต้องแนนนี่นั่งเป็นคนแรก ปีเตอร์ไม่ยอมให้ใครตัดหน้านั่งให้เบาะช้ำ เป็นอันขาด แม้แต่ป่าป๊าหม่าม้า” ปีเตอร์สาดลูกอ้อนใส่แนนนี่เต็มๆ
สุดจะทนไหวแล้ว แนนนี่ชี้จิ้มหน้าผาก “หยุด” ปีเตอร์หุบปากทันที “ไม่ต้องพูดมาก รู้แล้วว่าซุปเปอร์เว่อร์”
ปีเตอร์ส่งยิ้มหวานให้แนนนี่ ไม่ได้สำเหนียกสักนิดว่า...ไม่ได้ผล

จู่ๆ แนนนี่ก็รู้สึกร้อนรน เหมือนมีกระแสอะไรบางอย่างกวนใจ
“รู้สึกเขม่นตาตึ๊กๆๆ สงสัยมีใครรบกวนป่วนของสุดรักสุดหวงของแนนนี่อีกและ” แนนนี่หมายถึงภวัต หันมาทางปีเตอร์ “อ้ะ” ยัดตุ๊กตาหมีคืนใส่มือปีเตอร์
แนนนี่รีบไปที่รถของปีเตอร์ ในขณะที่ปีเตอร์ยังเหวออยู่
“เอ้า จะอึ้ง ทึ่ง เหวออีกนานมั้ยปีเตอร์ จะให้แนนนี่ขับไปเองใช่มั้ย”
“อะจร้า จ้ะๆๆๆ” ปีเตอร์รีบตามแนนนี่ไปทันที

เวลาเดียวกันภายในร้านอาหารญี่ปุ่นหรูหรา บนโต๊ะเบื้องหน้ามีอาหารญี่ปุ่น เช่น กุ้งทอดเทมปุระ ปลาดิบ ฯลฯ
ภวัตเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกับบุษบาที่มานั่งรอก่อนแล้วอย่างใจเย็น ไม่ได้ร้อนรนอย่างที่ภวัตเป็นห่วงสักนิด
“บุษเรียกผมมา มีธุระอะไรหรือครับ”
“มาหาบุษ ต้องมีธุระด้วยหรือคะ”
ภวัตทำหน้ากระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้า คายไม่ออก
บุษบาลุกขึ้นมานั่งเบียดฝั่งเดียวกับภวัต
“บุษก็แค่....มีเรื่องร้อนใจ อยากปรึกษาคุณเรื่องแต่งงาน” บุษบาโพล่งออกมา ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ภวัตกระเถิบออก แต่บุษบาก็ยิ่งเบียดเข้าไปอีกจนแทบจะนั่งตักกันอยู่แล้ว
“บุษครับ...อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้ ตอนนี้เลยนะครับ ผมว่าเราทานอาหารกันก่อนเถอะ”
บุษบาไม่สนใจฟัง ยังคงเอามือโอบกอดภวัต ซบภวัต ด้วยท่าทีออดอ้อน ออเซาะ อย่างไม่เกรงสายตาประชาชี
“แต่บุษยังไม่หิวนี่....อยากกอดคุณไว้แบบนี้นานๆ”
บุษบาหอมแก้มภวัตฟอดใหญ่ โดยที่ทันตั้งตัวภวัตอายจนหน้าแดง
“เราแต่งงานกันเถอะนะคะ บุษรอคุณมาตั้งหลายปีแล้วอยากสวมชุดเจ้าสาวเต็มแก่ ลูกเพื่อนบุษบางคนน่ะอายุตั้ง 3-4 ขวบแล้ว” บุษบาเพ้อ
ภวัตแกะมือบุษบาออก และขยับตัวห่าง
“ผมเพิ่งเริ่มทำงาน ยังไม่พร้อมจะมีชีวิตครอบครัว”
“คำก็ไม่พร้อม สองคำก็ไม่พร้อม นี่คุณจะปล่อยให้บุษแห้งเหี่ยว เป็นเรือขึ้นคาน หินปูนเกาะกรัง อย่างนั้นเหรอคะ” บุษบาเพ้อต่อ

ทันใดนั้น ทั้งคู่ต้องสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นแนนนี่กำลังเดินตรงเข้ามา
ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นดารกาที่แปลงร่างเป็นแนนนี่ แต่ยังคงกิริยาท่าทางของดารกาครบถ้วย ทั้งไม่วีน แต่ร้ายลึกเชือดเฉือน
“คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอคะ” ดารกาในร่างแนนนี่ถาม
“แนนนี่” ภวัต กับบุษบาอุทานออกมาพร้อมกัน
“นังมารคอหอย”
แนนนี่ดารกาถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามบุษบา เห็นบุษนั่งกอดก่ายนัวเนียภวัตอยู่ จึงพูดเชือดเฉือนนิ่มๆ “ท่าทางอากาศที่นี่จะหนาวนะคะ ถึงต้องนั่งกอดก่ายกันซะขนาดนั้น”
ภวัตแกะมือปลาหมึกของบุษบาออก
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน เพราะถึงยังไง ฉันก็ได้ชื่อว่า เป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณภวัต เด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอ
อย่าเจ๋อ”
“เสียใจ! พี่ภวัตเป็นของฉันมาตั้งแต่เกิด! เธอนั่นแหละห้ามเจ๋อ ...Don’t !” ดารกาในร่างแนนนี่สวนกลับ
“แก! นังแนนนี่! ปากดีนักนะ”
“พอได้แล้ว...พอทั้งคู่นั่นแหละ โดยเฉพาะเธอ...แนนนี่”
บุษบายิ้มระรื่นที่เห็นภวัตโกรธจัด ยิ้มเหยียด ก่อนจะกรีดนิ้วใช้ตะเกียบคีบเทมปุระใส่ปาก ลอยหน้าลอยตาเคี้ยวกร้วมๆ เย้ยที่ภวัตให้ท้าย
ดารกาในร่างแนนนี่โกรธจนตัวสั่น พึมพำ ร่ายคาถาใส่บุษบา “คาเว อินิมีคัม”
พลันบุษบาที่เคี้ยวเทมปุระ ก็รู้สึกพะอืดพะอมเหมือนมีอะไรอยู่ในปาก จนต้องคายออกมา บุษากรี๊ดที่เห็นกุ้งเทมปุระ กลายเป็นกุ้งเป็นๆ ตัวโตๆ กระโดดดิ้นไปมา
“อ๊าย... กุ้งเทมปุระ กลายเป็นกุ้งเต้นได้ยังไงเนี่ย แหวะๆๆๆ”
แนนนี่ดารกาลอยหน้า “ทานให้อร่อยนะคะ” ยิ้มเจ้าเล่ห์ยั่วประสาทบุษบา “คำต่อไปภูมิใจนำเสนอ...แถ่น แทน แท้น
...รถด่วนขบวนสุดท้าย”
ภาพเห็นการในงานเลี้ยงที่บ้านปัทมน ตอนที่บุษบากินขนมแล้วกลายเป็นหนอน จนต้องพ่นออกจากปากมา
เกลื่อนโต๊ะผุดขึ้นมาในขณะที่บุษบาเต้นเร่าๆ
“แก! แกปล่อยของใส่ฉันอีกแล้ว อี๋ๆๆๆ อ๊าย...น้องสาวคุณทำคุณไสยใส่บุษอีกแล้วค่ะ ภวัต บุษไม่ไหวแล้ว”
ดารกาในร่างแนนนี่ไม่ตอบ เดินเชิดหน้าออกจากร้านไป
“แนนนี่! เดี๋ยวก่อน แนนนี่”
ภวัตลุกตามแนนนี่ไป ปล่อยให้บุษบานั่งสติแตก พะอืดพะอมอยู่คนเดียว

ภวัตวิ่งตามแนนนี่ออกมาที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น ตะโกนเรียก “แนนนี่”
ภวัตกวาดสายตาเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นแนนนี่อยู่บริเวณนั้นแล้ว
ในมุมลับตาผู้คน ร่างแนนนี่เหยียดยิ้ม เยาะเย้ยอย่างสะใจ ร่างแนนนี่ที่เห็น ค่อยๆกลายเป็นดารกาแทน
“ยิงปืนนัดเดียว ได้นกถึงสองตัว ฮึๆๆ สมน้ำหน้า”
ดารกาหายวับไปทันที

ทางด้านปีเตอร์ขับรถสปอร์ตป้ายแดง ซิ่งมาจอดที่หน้าบ้านปัทมนอย่างปลอดภัย
“ปีเตอร์ดิลิเวอรี่ ส่งคุณแนนนี่ถึงกลางหัวใจ”
“ขอบใจ แล้วหยุดพูดอะไรชวนอ้วกซะที เอาไว้พูดจีบหญิงสูงวัยไก่แก่แม่ปลาลิ้นหมาเหอะ” แนนนี่ดับฝันปีเตอร์กลางแสกหน้า
ปีเตอร์ชี้หน้าแนนนี่แบบอาย หน้าเขินๆ แค้นๆ แบบตลกๆ
แนนนี่ชอบใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า กระแทกกลางใจดำละสิ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แนนนี่เปิดประตู อุ้มหมีตัวใหญ่ ลากออกมาด้วยแบบขำๆ
“ กระผมกลับก่อนนะคร้าบ...หมีน้อยจะคอยเตือนใจว่า ปีเตอร์จะอยู่ในใจแนนนี่เสมอ จุ๊บุๆๆ”
“ไอ้ปีเต้อออออ จะพอมั้ย ไม่งั้นฉันจะฆ่าหมีแกเดี๋ยวนี้”
ปีเตอร์ทำนิ้วท่า ไอเลิฟยู แตะที่ปากตัวเอง แล้วโปรยส่งให้แนนนี่ ก่อนกระชากรถออกไป

จังหวะนั้นภวัตเข้าเดินเข้ามา สีหน้าเครียดอย่างจะเอาเรื่อง
“แนนนี่”
“พี่ภวัต”
แนนนี่ทั้งแปลกใจ และไม่เข้าใจว่าภวัตโกรธอะไร

พอได้ฟังสิ่งที่ภวัตเล่า แนนนี่ผุดลุกขึ้นโวยวายลั่น
“โอ๊ยย บอกว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำไง เลิกใส่ร้ายป้ายสีแนนนี่สักทีได้มั้ย”
“นี่จะไม่ยอมเลิกนิสัยแย่ๆ ใช่มั้ย ทำผิดแล้วไม่เคยยอมรับผิด”
“ก็แนนนี่ไม่ได้ทำ พี่ภวัตปรักปรำแนนนี่ พี่ภวัตใจร้าย”
“ใครกันแน่ที่ใจร้าย ใช้คาถากลั่นแกล้งบุษจนสติแตก พี่เห็นกับตา”
“แนนนี่แมนพอ กล้าทำก็กล้ารับ แต่นี่บอกว่าไม่ได้ทำก็แปลว่าไม่ได้ทำ”
“เสกเทมปุระให้กลายเป็นกุ้งเต้น ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วใครจะทำได้”
แนนนี่กอดอก เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ขี้เกียจแก้ตัว ทำปากบ่นเบาๆ “อู้ย...ใครจะไปรู้”
“เธอใช้เวทมนต์ในทางที่ผิด...และถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป จะไม่มีใครรักเธอ”
“ใครไม่รักก็ช่าง พี่ภวัตรักคนเดียวพอ” แนนนี่พูดย้อนเสียงดัง
“ โดยเฉพาะพี่ พี่ไม่ชอบเด็กเกเร เอาเปรียบ ใช้เวทมนต์รังแกคนไม่มีทางสู้”
แนนนี่กำมือแน่นจะทุบอกภวัต “พี่ภวัตต้องชอบแนนนี่”
ภวัตจับมือแนนนี่ไว้ “ไม่ และถ้าเธอยังขืนทำนิสัยแบบนี้ พี่จะเกลียดด้วยซ้ำ”
“พี่ภวัตจะเกลียดใครก็ได้ แต่เกลียดแนนนี่ไม่ได้”
“ได้สิ! ในเมื่อนับวัน นิสัยของเธอก็ยิ่งร้ายกาจ เข้าขั้นอสูรมากขึ้นทุกที เธออยากเป็นอสูรนักนักใช่ไหม แนนนี่”
“พี่ภวัต” แนนนี่ตกใจผสมโกรธที่ถูกด่าว่าเป็นอสูร
ภวัตพูดไปด้วยอารมณ์โกรธ “ไม่ต้องมาพูดกับพี่อีก”
ภวัตรู้สึกเหลืออดกับแนนนี่ เดินออกไป อย่างไม่ใยดี แนนนี่น้อยใจ เริ่มใจเสีย แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
แนนนี่ตะโกนไล่หลังแบบพาลๆ
“พี่ภวัต ต้องรักแนนนี่ ถ้าพี่ภวัตเกลียดแนนนี่ แนนนี่จะสาปทุกคนรวมทั้งพี่ภวัตให้กลายเป็นกิ้งกือไส้เดือนให้หมด คอยดู”
ในมุมลับตาภายในบ้าน ดารกาแอบมองแนนนี่อยู่ แสยะยิ้ม อย่างสะใจ

ภวัตหงุดหงิดไม่หาย ออกมาสงบสติอารมณ์อยู่ที่บริเวณบ่อปลาคราฟ ในสวนหลังบ้าน ดารกาเดินเข้ามา ทำทีเป็นเห็นอกเห็นใจ
“ยิ่งนับวัน แนนนี่ก็ยิ่งก้าวร้าว”
“จะโทษแนนนี่เลยทีเดียวก็ไม่ได้หรอกค่ะ แกเป็นน้องคนสุดท้อง ซ้ำยังน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนเราทุกคนพากันตามใจ แต่จริงๆแล้ว แกเป็นเด็กจิตใจดีนะคะ น้องดาไม่เคยโกรธแนนนี่ลงสักที ไม่ว่าแนนนี่จะแผลงฤทธิ์ใส่แค่ไหน”
“ถ้าแนนนี่จิตใจอ่อนโยนได้สักครึ่งของน้องดาก็ยังดี” ภวัตบอกเสียงฉุนๆ
ดารกายิ้มใสซื่อให้ภวัต “เราต้องช่วยกันค่ะ...แนนนี่น่ะมีพื้นฐานจิตใจที่ดีอยู่แล้ว”
“พี่ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ปราบพยศแนนนี่ให้ได้”
พูดจบภวัตขมวดคิ้ว สีหน้าครุ่นคิดหนัก ดารกาลอบมองด้วยความระแวงและหึงหวง

คืนนั้นแนนนี่ นอนคุยกับตะเกียงแก้วอยู่บนเตียง
“ไม่มีใครเข้าใจแนนนี่เลย แม้แต่...พี่ภวัต”
“เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้อง อธิบายให้มากความ เมื่อถึงเวลา ความจริงก็จะปรากฏเอง เหมือนอย่างคำพังเพยเมืองแม่มดที่ว่า...ความจริงเป็นเพชร ความเท็จเป็นกรวด” ตะเกียงแก้วว่า
“แปลว่าอะไร ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน” แม่มดน้อยหัวรั้นงง
“เพชรน่ะ เป็นแร่ที่คงทน แข็งแกร่งที่สุด ต้องใช้เวลานาน กว่าจะเกิดขึ้นมาได้แต่ละเม็ด และมีค่าสูง กรวดไม่มีทางเทียบ” ตะเกียงแก้วอธิบาย
“กว่าความจริงจะปรากฏ แนนนี่คงชักแหง็กๆๆๆๆ ตายซะก่อน”
สีหน้าแนนนี่ เศร้าลง รำพึงรำพันกับตะเกียง จังหวะหนึ่งแนนนี่เอากำปั้นทุบมือตัวเอง อย่างเอาเรื่อง
“ชะอุ้ยยย...อารมณ์เปลี่ยนไว ยิ่งกว่าติดไฮสปีด !!!!
“แนนนี่ไม่เคยยอมใครมาตั้งแต่เกิด”
“โห ! เท้าความไปไกลโน่นเลย”
“มีพี่ภวัตคนเดียวที่แนนนี่พอจะหยวนๆ บ้าง”
“นี่ขนาดหยวนๆ นะ” ตะเกียงแก้วเยาะ
“เพราะพี่ภวัตเป็นของแนนนี่”
“เผด็จการชะมัด”
แนนนี่ตะโกนดังลั่น “ใครมาแย่งพี่ภวัตของแนนนี่ไป คอยดู๊”
แนนนี่เอากำปั้นทุบมือตัวเองอย่างหมายมาด

คืนเดียวกันนั้น ภวัตอยู่ในห้องนอนตะโกนเรียกทาฮิร่าอยู่ในห้อง
“คุณยาย คุณยาย อยู่แถวนี้หรือเปล่าครับ”
ทาฮิร่ากับชิกเก้นปรากฏตัวขึ้น ในชุดเชียร์ลีดเดอร์ ในมือมีพู่ปอมๆ อยู่ มาถึงทาฮิร่าก็บ่นอุบ
“แหม...กำลังเชียร์กีฬาสีที่เมืองเวทมนตร์อยู่มันส์ๆ ดันขัดจังหวะซะได้ เรียกหายาย มีอะไร ฮะ พ่อภวิต”
ภวัตบอกอย่างเซ็งๆ “ผมชื่อภวัตครับ”
“เออๆๆๆ นั่นแหละ บอกให้เปลี่ยนชื่อเป็นภวิตซะแต่แรกก็หมดเรื่อง”
“เชื่อชิกเก้นเถอะ...ต่อให้พ่อหนุ่มนี่เปลี่ยนชื่อเป็นภวิต คุณยายก็ต้องเรียกผิดอยู่ดี พนันกันมั้ยล่ะ” ชิกเก้นกัด
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ เจ้าชิกเก้น อย่า“เกรียน” ให้มันมากนัก”
ชิกเก้นอึ้ง “ไอ๊ ย่ะ เดาะพูดภาษาเด็กแนว กระชากวัยซะด้วย”

ภวัตทรุดลงนั่งบนโซฟา ปรึกษาทาฮีร่า
“ผมไม่รู้จะห้ามเธอยังไงครับ ขนาดผมกับคุณบุษยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แนนนี่ยังเล่นงานคุณบุษซะน่วม”
ทาฮิร่าเหล่มอง “แล้วเธอจะแต่งกับแม่บูดนั่นแน่เรอะ”
“เจ๊ เค้าชื่อบุษ ไม่ใช่บูด โฮ้ย อยากจะลาออกจากตำแหน่งโฆษกประจำตัวนางวันละหลายๆ รอบ” ชิกเก้นเซ็ง
“ผมจะแต่งหรือไม่แต่งกับใคร ผมยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ผมเห็นหลานสาวคุณยายเล่นงานคุณบุษ”
“ฟังภวิต พ่อภวิต....” ลากเสียง “ฉันน่ะ Confirm ได้เลยว่าแนนนี่ไม่ใช่อันธพาล หลานสาวฉันมีเหตุผล เธอก็รู้” ทาฮิร่าย้ำครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
“ผมไม่รู้ครับ” ภวัตพาล
“เอากับ He สิ” ชิกเก้นบ่นออกมา
ทาฮิร่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เท่าที่เห็นมา แนนนี่มีเหตุผลน้อย ..ย... ถึงน้อยมาก ...หรือจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้” ภวัตเยาะ
“เค้าก็พูดจริง ‘ไรจริงเหมือนกันนะ คุณยาย”
“แกอย่ามาชักเรือใบให้เสีย” ทาฮิร่าหันมาดุชิกเก้น
“โฮ้ย เขาเรียก ชักใบให้เรือเสีย เวรก๊ำ...เวรกรรม”
“เท่าที่ผมสังเกตดู...ส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนี้เพราะแนนนี่มีเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นเราต้องจำกัดการใช้เวทมนตร์ของแก”
“ลืมไปได้เลย คุณหมอ” ชิกเก้นบอก
“เห็นด้วยกับชิกเก้น” ทาฮิร่าเห็นตรงกับชิกเก้น
“คุณยายครับ ผมไม่อยากเห็นแนนนี่เป็นคนไม่ดี ไม่น่ารักถึงยังไงแนนนี่ยังต้องอยู่ในสังคม ถ้าแนนนี่ใช้อารมณ์ ใช้เวทมนตร์ทำร้ายคนที่แนนนี่ไม่พอใจ นอกจากจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกด้วย แนนนี่จะอยู่ในโลกนี้ลำบาก”
“อยู่ในโลกนี้ลำบาก ก็ไปอยู่โลกโน้น” ทาฮิร่าบอกเริดๆ เชิดๆ
“เห็นหรือยัง คุณหมอว่าแนนนี่ นิสัยไม่มีเหตุผลมากจากใคร” ชิกเก้นว่า
“เงียบเลย ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าหันมาทางภวัต “แล้วเธอมีวิธีเรอะ”
“ผมจะพยายามใช้ไม้อ่อนก่อน ถ้าไม่สำเร็จ ก็คงต้องใช้ไม้แข็ง ขออย่างเดียว คุณยายอย่าให้ท้าย”
ทาฮิร่าพยักหน้า เห็นความตั้งใจจริงของภวัตที่จะช่วยหลานสาว ก็รู้สึกดี ภวัตค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“ถ้าทำได้ มันก็ดี ฉันขออวยพรให้เธอทำสำเร็จ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก”
ชิกเก้นหันมาป้องปากเมาท์ “นางชักจะซีเรียสแล้ว”

แนนนี่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงในตะเกียงแก้ว
“แนนนี่.... แนนนี่....”
ตะเกียงสั่นไหว และในตะเกียงแก้ว ร่างแนนนี่ถูกเขย่าอย่างแรง จนกลิ้งตกเตียง
“อ๊าย”
แนนนี่ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“เสียงยายนี่นา”
แนนนี่ยิ้มแต้ รีบร่ายคาถาออกจากตะเกียงทันที

แนนนี่ปรากฏกายขึ้น ปรี่เข้าไปกอดทาฮีร่า อย่างตื่นเต้น
“ยายจ๋า แนนนี่คิดถึงยายที่สุดเลย”
“เบาๆหน่อย ยายหายใจไม่ออก”
“คิดถึงยายจัง” แนนนี่หอมฟอดใหญ่ “แก้มยายยังหอมเหมือนเดิม”
“หอมเหิมอะไร้....น้ำท่าไม่ยอมอาบ เหม็นสาบ” ชิกเก้นกัดอีกดอก
“เจ้าชิกเก้น !! รู้ไม่จริง อย่าพูด ฉันน่ะใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวที่มีสารสกัดจากไม้หอมในป่าหิมพานต์พันๆ ชนิด จะเหม็นสาบสางได้ยังไงกัน รูดซิปปากซะ ขืนพูดอีกคำ ฉันจะเอาเข็มมาเย็บปากแก”
ชิกเก้นรีบเอาเท้าหน้าปิดปากตัวเอง แบบหวาดๆ
“กึ๋ยยยยย...ถอยดีกว่า...ไม่อาววววว ดีกว่า…ชิกเก้นไปหัดซ้อมเต้น บี-บอย แก้เซ็งดีกว่า”
ชิกเก้นโชว์สเต็ปเต้นบีบอย ก่อนเดินออกไป

กลางดึกคืนนั้น แนนนี่กับทาฮิร่านั่งอยู่บนหลังคาบ้าน บนฟ้ามีดวงดาวกลาดเกลื่อนสวยงาม แนนนี่ทำหาวเอนลงนอนหนุนตักทาฮิร่า
จังหวะนั้นทาฮิร่าทำเสียงเข้ม “ลุกขึ้นมาพูดกันดีๆ”
แนนนี่ผุดลุกขึ้นนั่ง ทำหน้ากระเง้ากระงอด
“ยายจ๋า ขอแนนนี่นอนหนุนตักนุ่มๆของยายหน่อยเถอะนะ” แนนนี่ลงนอนบนตักยาย ทำตาแบ๊วขณะจ้องมองยาย “ยายมาหาแนนนี่ แสดงว่ายายคิดถึงแนนนี่ใช่ไหมจ๊ะ”
ทาฮิร่าทำเสียงเข้มอีก “เปล่า...ยายจะมาดุ”
“ทำไมยายต้องทำเสียงดุ หน้าดุ ด้วยล่ะจ๊ะ อ้อ รู้แล้ว อีตาพี่ภวัตต้องมาฟ้องอะไรยายแน่ๆ ผู้ชายอา
ไร้ขี้ฟ้อง ขี้ปรักปรำ ขี้กล่าวหา ขี้...เหม็น” แนนนี่ยกส้วมมาไว้ทั้งหลัง
ทาฮิร่ารีบห้าม “พอๆๆๆ ยายเชื่อว่าคนดีของยายไม่ได้ใช้เวทมนตร์รังแกแม่บุษบาพาฝันอะไรนั่น คงเป็นเรื่องเข้าใจ
ผิดกัน”
แนนนี่เอนตัวลงนอนบนตักทาฮีร่า นิ่งฟัง
“ถ้างั้น คุณยายจะมาดุแนนนี่เรื่องอะไรไม่ทราบคะ”
ทาฮิร่ามีสีหน้าจริงจัง และเข้มขึ้นไปอีก “แนนนี่”
“ขา.....” แนนนี่ทำหน้าอ้อนๆสุดฤทธิ์
“ต่อไปนี้แนนนี่ต้องเชื่อฟังนายภวิต ยายรู้ว่าเขาปรารถนาดีกับหลาน”
แนนนี่นัยน์ตาพราว วิบวับ ย้อนถามทันที “...แล้วก็รักแนนนี่ด้วยใช่มั้ยคะ” รีบต่อเองทันที “ดีละ แนนนี่จะให้ยายไปสู่ขอพี่ภวัต”
ทาฮิร่าดุ “ฟังพูดเข้า เราเป็นสาวเป็นนาง”
“อีกละเรื่องเดิมๆ” แนนนี่แอบเซ็ง
“แนนนี่...ความอ่อนน้อมเป็นเสน่ห์ที่จะทำให้เราเป็นที่รัก ไม่มีใครชอบคนแข็งกร้าว หยาบกระด้างหรอกนะลูก ความอ่อนน้อมดุจดังต้นข้าวที่เกิดในผืนนาที่อุดมสมบูรณ์ ข้าวออกเมล็ดเต็มรวง รวงข้าวจึงอ่อนน้อมลง ส่วนต้นข้าวที่เติบโตในผืนนาที่แห้งแล้ง รวงข้าวจึงมีไม่กี่เมล็ด เมื่อรวงข้าวไม่มีเมล็ดสมบูรณ์ จึงชูรวงตั้งตรงอยู่อย่างนั้น แนนนี่อยากเป็นรวงข้าวแบบไหนล่ะ หืมมมม”
แนนนี่หลับปุ๋ยอย่างมีความสุขไปนานแล้ว ทาฮิร่าส่ายหน้า
“หลับไปซะละ เลยใม่ต้องดุกันพอดี”
ทาฮีร่าเอามือลูบหัวแนนนี่เบาๆ อย่างทะนุถนอม มองหลานกำพร้าด้วยความสงสารจับหัวใจ
ทาฮิร่ารำพึง “แนนนี่เอ๊ย หลานของยายจะมีอนาคตหรือเปล่า อนาคตวันนั้น ยายอาจไม่เห็นอะไรอีกแล้ว หากแนนนี่เป็นอสูรจริงตามคำทำนาย เมืองเวทมนตร์ก็คงราพณาสูร ยายก็ต้องตาย แต่ถ้าหากอสูรวอดวาย ก็แสดงว่า หลานของยายต้อง....”
ทาฮิร่าชะงัก มองหน้าหลานสาวที่หลับปุ๋ย น้ำตารื้นขึ้น ค่อยๆ ไหลออกมา จนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“ยายควรจะทำยังไงดี....”











Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2555 2:13:48 น.
Counter : 378 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]