All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22



ดารกาเดินกลับเข้ามาในห้อง หยุดยืนอยู่ตรงกลางห้อง ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ใคร ! ใครบังอาจหลอกข้า”
ดารกาหันไปทางกระจก เห็นเงากระจกสะท้อนกลับมาเป็นอสูรสดับ
“พ่อบอกแล้วว่าได้กลิ่นแม่มด”
“หมายความว่ามีแม่มดมาเพ่นพ่านอยู่ที่นี่” ดารกาอึ้ง
“ลูกก็ต้องพอจะเดาออกแล้วว่ามันเป็นใคร...และไม่ได้มีตนเดียว พวกมันพากันเข้าเมืองมนุษย์เพื่อตามหาลูก”
ภาพอสูรเลือนหายกลายเป็นเงาดารกาสะท้อนออกมา สีหน้าดูถมึงทึงน่ากลัว

ภวัตนั่งดูอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับข่าวสารความเคลื่อนไหวทางการแพทย์ แนนนี่ปรากฏตัวขึ้น นั่งบนโต๊ะทำงานภวัต
ภวัตกำลังเพลินๆ ตกใจจนแทบตกเก้าอี้ “แนนนี่”
“สวัสดียามดึกค่ะ พี่ภวัต”
ภวัตยังมีท่าทีลังเล “นี่เธอหายแล้วหรือ”
“ด้วยฤทธิ์ยาของคุณยายค่ะ คุณยายได้ปรุงยาโดยใช้หนอนกระสือ 10 ตัว.....”
แนนนี่ตั้งท่าจะอธิบาย ภวัตยกมือห้ามเพราะสยองส่วนผสม “พอแล้ว”
แนนนี่ยื่นหน้ามาจ้องภวัต “ตอนที่ไม่สบาย แนนนี่ฝันถึงพี่ภวัตด้วย”
ภวัตลุกขึ้น ทำเป็นไม่สนใจ “ไปนอนได้แล้ว”
“แนนนี่ฝันว่าพี่ภวัตบอกรักแนนนี่”
“ฝันเลอะเทอะ”
“แล้วพี่ภวัตพูดจริงหรือเปล่าคะ”
“แนนนี่ก็บอกว่าตัวเองฝัน”
แนนนี่เอียงคอมองล้อๆ “แต่แนนนี่ว่าจริงน้า !”
“ไปนอน”
“พี่ภวัตต้องบอกก่อนว่ารักแนนนี่”
“เราเป็นผู้หญิงเที่ยวบังคับให้ผู้ชายบอกรักได้ยังไง”
“แนนนี่บอกพี่ภวัตคนเดียว ไม่ได้บอกใครสักหน่อย เร็วซิคะ ถ้าไม่บอกแนนนี่ก็ไม่ไป”
“เหลวไหล”
“ถ้าไม่บอก ก็แสดงว่าพี่ภวัตอยากให้แนนนี่อยู่”
ภวัตสะดุ้ง รีบพูด “ก็ได้ พี่รักแนนนี่”
“ขอบคุณค่ะ พรุ่งนี้เช้าพบกันนะคะ”
แนนนี่ไหว้แล้วหายวับไป ภวัตยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเอ็นดูรักใคร่

พอแนนนี่ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องตัวเอง ชิกเก้นรีบรายงาน
“คุณยายเพิ่งกลับคอนโดฯตะเกียงแก้วเมื่อกี้นี้เอง”
“อ้าว ! เหรอ ... แนนนี่เลยยังไม่ได้ขอบคุณคุณยายเลย”
“นางบอกว่ายังไม่ต้อง เพราะนางเคืองที่พอแนนนี่หายปุ๊บก็ไปรายงานตัวกับหมอภวัตปั๊บ แทนที่จะไปหานาง” ชิกเก้นแอบแขวะ
แนนนี่รู้สึกผิด “แนนนี่ลืมคิดไป”
“นั่นละ พรุ่งนี้เช้ารีบไปง้อเสียดีๆ...เพราะหมู่นี้นางชักจะใจน้อย...ชักจะ’ไรบ่อย ตามวัย...เวรก๊ำ... เวรกรรม”
“แล้วตกลงใช่เสียงยายที่ปลอมเป็นพี่ภวัตหรือเปล่า”
“จะมีใคร้...แนนนี่นอนผักผ่อนเถอะ... เพิ่งหายใหม่ๆ เดี๋ยวไข้กลับพรุ่งนี้เช้า ต้องกินยาถอนพิษอีกถ้วยนึง” ชิกเก้นบอกกำชับ
“ขอบใจนะชิกเก้น”
แนนนี่ล้มตัวลงนอน ชิกเก้นนอนหมอบที่ปลายเตียง

ท้องฟ้ามืดครึ้ม บรรยากาศภายนอก มีเสียง ฟ้าฝนร้องครืนครัน ภวัตนอนหลับสนิท ที่หน้าต่างเห็นฟ้าแลบแปลบปลาบเข้ามา ภวัตรู้สึกเหมือนมีใครสักคืนมายืนมองอยู่ รู้สึกตัวลืมตาขึ้น สะดุ้งเฮือก

จากแสงฟ้าแลบ ภวัตเห็นดารกายืนอยู่ปลายเท้า ภวัตขยี้อีกทีให้แน่ใจ ภาพดารกาหายไป
ภวัตถอนใจโล่ง “ตาฝาดไปนั่นเอง”
ภวัตหลับตาลง โดยไม่รู้ว่าดารกาแฝงตัวยืนอยู่ในความมืดมุมห้อง
“ความรักคือจุดอ่อนของเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้าต้องเลิกรัก” เสียงอสูรร้ายกล่าวเตือน
“น้องดาจะตัดใจจากพี่ภวัตได้ยังไง”
สีหน้าดารกาหม่นหมองเศร้าสร้อย ในขณะที่ด้านนอก ฝนฟ้าคะนองครืนครันน่ากลัวอยู่อย่างนั้น

รุ่งเช้าวันต่อมา ดารกาและธานีนั่งทานอาหารเช้าด้วยกันโดยมีผาดคอยดูแลอยู่
“อีกวันเดียวคุณแม่ก็กลับแล้ว น้องดาคิดถึงคุณแม่จังเลย” ดารกาว่า
“เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปดูแนนนี่หน่อย”
“แนนนี่มาแล้วค่ะ” เสียงมาก่อนตัว
ทุกคนหันไปมอง เห็นแนนนี่แต่งตัวชุดลำลองเดินเข้ามา
ผาดมองอย่างแปลกใจ “หายแล้วหรือคะ คุณแนนนี่”
“ค่ะ”
“ไม่น่าเชื่อนะคะ เมื่อวานยังดูป่วยหนักอยู่เลย” ผาดแปลกใจอีก
“ก็แนนนี่เป็นแม่มดนี่คะ แม่มดย่อมมีอิทธิฤทธิ์”
แนนนี่ล้อผาดเล่น ดารกาเหลือบมองแนนนี่แว่บหนึ่ง แนนนี่เห็นยักคิ้วให้
“พูดเป็นเล่น เราน่ะเรียนจบแล้วนะ”
“จริงด้วย แนนนี่เรียนจบแล้ว แฮปปี้ มากๆ พูดแล้วแสนจะเวทนาพี่ดา”
“โอ๊ย ! ไม่ต้องไปเวทนาเขาหรอก เขาเป็นหมอ”
“เป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเป็นคนดี ใช่มั้ยคะ พี่ดา”
ดารกายิ้มนิดๆ

เวลาต่อมาบาบาร่ากำลังจัดผลไม้วางลงในจานแก้ว ดารกาเดินเข้ามา แล้วหยุดมองซ้ายมองขวา
“ป้าบานเย็นคะ”
บาบาร่าดีใจ เดินเข้ามากอดด้วยความเอ็นดู “น้องดา..วันนี้ไม่ไปเรียนหรือคะ”
“ไปค่ะ...แต่น้องดาแวะมาหาป้าบานเย็นก่อน วันนั้นป้าบานเย็นไม่ได้ทานเค้กวันเกิดน้องดา...น้องดาเลยเอามาชดใช้ให้ค่ะ”
ดารกายื่นมือที่ไขว้หลังอยู่ ส่งกล่องคัพเค้กให้บาบาร่าบานเย็น
“คัพเค้กค่ะ ... อร่อยที่สุด” ดารกาว่า
“แม่คุณ หนูช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน ... มีน้ำใจกับป้าบานเย็นโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน”
บาบาร่าปลื้มลืมโลก ไม่รู้สักนิดว่าใบหน้าดารกาขณะกอดนั้นยิ้มเยาะ
บาบาร่ากอดดารกาอีก “ป้าขออวยพรให้หนูประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนานะจ้ะ ศัตรูของหนูจงพ่ายแพ้ พินาศยับเยิน”
“ขอบพระคุณมากค่ะ น้องดาไม่ต้องการอะไรยิ่งไปกว่าพรของป้าบานเย็นแล้ว”
“ป้ารู้ ...ป้าไม่เคยดูคนผิด หนูนี่แหละคือความหวัง...คือที่พึ่งพิงของญาติพี่น้อง รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก”
“ค่ะ”
ใบหน้าบาบาร่าชื่นชมโสมนัส ในขณะที่ใบหน้าดารการเย้ยหยันในความเขลาของแม่มดบ้ายอ

ภวัตกำลังนั่งอ่านเวชระเบียนคนไข้ในห้องพัก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ภวัตมองเบอร์อย่างแปลกใจก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล”
“ฮัลโหลครับ นี่หมอภวัต” ปีเตอร์โทร.มา
“นั่นปีเตอรใช่มั้ย”
“ใช่อย่างไม่มีข้อสงสัยเลยครับ ... ผมมีเรื่องที่จะปรึกษาพี่ภวัตในฐานะที่พี่ภวัตเป็นจิตแพทย์”
“เอาซิ มาที่โรงพยาบาลเลย”
“ผมอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วครับ”

สองหนุ่มนัดเจอกันที่ร้านกาแฟ ในโรงพยาบาลบริกรยกกาแฟ และขนมปัง มาเสิร์ฟให้
“ขอบคุณมากครับที่ ที่พี่หมอภวัตกรุณาให้ปีเตอร์พบเป็นส่วนตัวพี่ภวัตจะรับประทานอะไร ที่แพงๆ ก็ไม่ต้องเกรงใจปีเตอร์นะครับ ขนหน้าแข้งปีเตอร์ไม่ร่วงอยู่แล้ว” เรื่องเว่อร์ขอให้บอก
“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง พี่เลี้ยงน้องเอง”
“แต่ปีเตอร์ไม่เคยให้ใครเลี้ยง มันเจ็บปวดมากทีเดียว”
“มีอะไรก็ว่ามา” ภวัตมองหน้า ขณะยกกาแฟขึ้นจิบ
“ปีเตอร์รักแนนนี่”
ภวัตสำลักกาแฟพรวด
“ปีเตอร์รักแนนนี่มานานแล้ว พอเรียนจบก็อยากจะแต่งงาน ปีเตอร์ยินดีทุ่มค่าสินสอด 10 ล้าน” ปีเตอร์ เว่อร์ได้อีก
ภวัตขัดขึ้น “เงินไม่สำคัญสำหรับแนนนี่หรอก”
“แล้วอะไรล่ะครับที่สำคัญ”
“ความจริงใจ”
“นั่นปีเตอร์ก็ให้เต็มร้อยอยู่แล้ว”
“แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรัก”
“ปีเตอร์น่ะรักแนนนี่ชัวร์ แต่ไม่รู้ว่าแนนนี่จะรักปีเตอร์หรือเปล่า” ปีเตอร์เว้นระยะไปอีกนิด “พี่หมอภวัตช่วยปีเตอร์หน่อยได้มั้ยครับ”

เวลาต่อมา แนนนี่อยู่ในสวนกับภวัตผุดลุกขึ้น ปรี๊ดสุดขีด
“เขาให้พี่ภวัตมาพูด แล้วพี่ภวัตก็พูด”
“ปีเตอร์มาขอความช่วยเหลือ พี่ก็ต้องให้อยู่แล้ว”
“แนนนี่ไม่ชอบพ่อสื่อ”
“พี่ไม่....” ภวัตอึกอัก
“บอกมาคำเดียว พี่ภวัตต้องการให้แนนนี่เป็นแฟนกับปีเตอร์หรือเปล่า”
ภวัตอึ้ง นิ่งไป
“ว่าไงคะ”
“ใครจะรักใครชอบใคร มันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่ แนนนี่ไม่ชอบพ่อสื่อ พี่ก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อสื่อให้ใคร”

สีหน้าภวัตเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

............................................

อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22(ต่อ)

แนนนี่กลับขึ้นห้องยังหงุดหงิดไม่หาย ที่ภวัตมาทำตัวเป็นพ่อสื่อให้ปีเตอร์ แถมยิ่งคิดก็ยิ่งยัวะที่ต่อมายังเสียรู้ภวัตอีก
“อีตาพี่ภวัต เจ้าเล่ห์สุดๆ ไม่นึกเลยว่าจะเจ้าเล่ห์เป็นกับเขาด้วย”

เวลาเดียวกันภวัตรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ ที่หลอกแนนนี่ได้สำเร็จ และตัวเองก็ไม่ต้องเป็นพ่อสื่อ
“นึกว่าพี่เป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วจะเก่งสู้แม่มดไม่ได้หรือไงแนนนี่...พี่ก็ต้องเป็นตัวแทนของอัจฉริยะเมืองมนุษย์บ้างซี้....”
ภวัตยิ้มขำๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับแนนนี่

เวลานั้นทั้งสองคนคุยกันอยู่ในสวนหลังบ้าน สีหน้าภวัตจากที่เครียดๆ อยู่ เหมือนคิดอะไรออกมาได้ ค่อยๆ คลายเครียดลง
“เอางี้ แนนนี่”
“เอาไง”
“นี่ ให้พี่พูดเองโดยไม่ต้องถามสวนได้มั้ย”
“ไม่ได้”
“งั้นก็ไม่พูด” ภวัตทำท่าหงุดหงิด
“งั้นก็ไม่ถาม...” แนนนี่ทิ้งระยะ “...ก็ได้.......ค่ะ”

ภวัตหยิบกระดาษกับไม้บรรทัดมา แนนนี่มองงงๆ ว่าจะเอามาทำอะไร ภวัตเอาไม้บรรทัดทาบแล้วฉีกกระดาษ
แนนนี่มอง นึกไม่ออกว่าภวัตจะทำอะไรของเขา
ภวัตเอาไม้บรรทัดทาบแล้วฉีกกระดาษเป็นแผ่นเล็กๆ เท่ากัน 2 ชิ้น แนนนี่ดูยังไงก็ดูไม่ออก ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว
“จะทำอะไรคะ”
ภวัตมองด้วยสีหน้าระอาแกมขำในความใจร้อนของแนนนี่ “ถามอีกแล้ว”
แนนนี่ใช้สองนิ้วจากสองมือจับปากตัวเองปิด จนปากเป็นแบบปากเป็ด ทำเป็นเมินทองนองว่า...ไม่ถามก็ได้
“จะทำฉลากให้แนนนี่จับ” ภวัตบอก
แนนนี่ได้ยินก็โวยทันที มือยังหนีบปากเป็นเป็ดอยู่ “จับฉลาก” ปล่อยมือจากปาก “จะเป็นพ่อสื่อหรือไม่เป็นพ่อสื่อเกี่ยวอะไรกับจับฉลากด้วยคะ”
“พี่จะทำฉลากสองใบ ใบนึงเขียนว่าเป็นพ่อสื่อ” ภวัตอธิบาย
แนนนี่พอจะนึกออก รีบพูดต่อทันที “หากแนนนี่จับได้ใบที่เขียนว่าเป็นพ่อสื่อ แนนนี่ต้องยอม
ให้พี่ภวัตเป็นพ่อสื่อ”
“ถูกต้อง” ภวัตว่า
แนนนี่แอบทำตาวิบวับเป็นประกาย หมายจะโกงโดยใช้เวทมนตร์ ภวัตรู้ทัน
“แนนนี่หันหลังสิ แล้วห้ามใช้เวทมนตร์เปลี่ยนข้อความในฉลากด้วย”
“ก็ได้ค่ะ”
แนนนี่หันหลังให้ ภวัตหันไปอีกทาง ขยับตัวยุกยิกๆ แต่ไม่เห็นว่าทำอะไร แนนนี่หลับตาทำปากขมุบขมิบร่ายคาถา
ภวัตแอบขำ ไม่ให้แนนนี่ได้ยิน “ไม่มีทางเลยที่แม่มดน้อยแนนนี่จะไม่ใช้เวทมนตร์”
แนนนี่ร่ายคาถาเสร็จ ยิ้มเจ้าเล่ห์กับตัวเอง
“ทำไมช้าจัง เสร็จหรือยังคะ หันไปได้หรือยังคะ”
ภวัตม้วนฉลากใบหนึ่งเสร็จแล้ว กำลังม้วนฉลากใบที่สอง แต่ยังไม่เห็นอะไรในฉลาก
ภวัตหันกลับมาหาแนน “หันมาได้แล้วจ้ะ”
แนนนี่หันมา ภวัตยื่นมือให้แนนนี่จับฉลาก แนนนี่ชี้ฉลากสองใบกลับไปกลับมา สีหน้ามั่นใจมาก เพราะว่าคาถาสั่งไปแล้ว
“เอ๊...จะเลือกใบไหนดีน้า”
ภวัตอมยิ้ม มองแนนนี่อย่างรู้ทัน
แนนนี่หยิบ “ใบนี้ละกัน”
“ให้เปิดเองเลย เดี๋ยวจะว่าพี่แอบสลับ”

แนนนี่คลี่ฉลากช้าๆ ขยับนิ้วทีละจึ๊ก ละจึ๊ก ยิ้มยั่วภวัตไปด้วย ภวัตยิ้มตอบ รออย่างใจเย็น
แนนนี่มั่นมาก ยิ้มอย่างผู้ชนะโดยไม่ดูกระดาษ “แถ่น แทน แท้น...” เสียงดังอย่างมั่นใจเกินร้อย “ไม่เป็นพ่อสื่อ”
แนนนี่หันฉลากให้ภวัตดู พร้อมกับเต้นหย็องแหย็งด้วยความดีใจ
“เย้ ไม่ต้องรำคาญพ่อสื่อแล้ว เย้ๆๆๆ”
“แน่ใจเหรอ”
แนนนี่ชะงัก มองภวัตเขม็ง ภวัตยิ้มให้ แนนนี่นึกสังหรณ์ใจขึ้นมา ดูกระดาษ แล้วเหวอ
“ฮึ้ย เป็นงี้ไปได้ไง”
ภวัตขำ
แนนนี่อ่านฉลากออกเสียง
“ยายเด็กขี้โกง พี่ไม่ได้เขียนอะไรให้ใครที่ไม่รักษาคำพูดเป่าคาถาใส่หรอก พี่แค่ไม่อยากเสียคำพูด เลยให้กระดาษพูดแทน”
แนนนี่ตาลุกวาวใส่ภวัต ในขณะที่ภวัตยิ้มกริ่ม จับมือแนนนี่เอาฉลากอีกใบใส่มือ
“อ้ะ ให้อีกใบ”
แนนนี่รีบเปิดดู “ฮึ้ย เขียนเหมือนกันเลย”
ภวัตอมยิ้ม
“อย่างนี้พี่ภวัตยืมมือแนนนี่ปฏิเสธแทนนี่”
ภวัตอมยิ้ม ไม่ตอบ

แนนนี่หน้าแตกที่เสียรู้ แต่ไม่ได้โกรธที่ถูกยืมมือ ออกจะสบายใจขึ้นนิดๆที่ภวัตไม่ต้องเป็นพ่อสื่อ
แนนนี่เต้นเร่าๆ ทั้งขำทั้งยัวะที่เสียรู้แถมโดนว่า
“ว่าแต่เขาขี้โกงตัวเองก็ขี้โกงเหมือนกัน เจ้าเล่ห์สุดๆ ทำเราหน้าแตก ฮึ่ เดี๋ยวก่อน..รอก่อน..งานนี้มีเอาคืน ทั้งนายปีเตอร์ทั้งพ่อสื่อตัวดีเลย”

พอทาฮิร่ารู้เรื่องจากปากบาบาร่าก็รู้สึกวิตก ในขณะที่บาบาร่าหงุดหงิดกับท่าทีอีกฝ่าย
“เธอไปหลุดปากเรื่องเมืองเวทมนตร์กับดารกาได้ยังไง”
“ก็มันหลุดไปแล้ว เธอจะว่าฉันไปอีกสามพันปีก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แล้วคุณหนูน้องดาก็เป็นคนดี ไว้ใจได้ ไม่พูดเรื่องนี้กับใครหรอก”
ทาฮิร่ารู้สึกสมเพชบาบาร่า ตัดสินใจพูดขึ้น “ฉันกำลังสงสัยว่าดารกาเป็นอสูร”
บาบาร่าผุดลุกขึ้นยืนทันทีทันใด พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง อย่างไม่มีวันเชื่อคำพูดทาฮิร่า
“ไม่จริง! น้องดาไม่ใช่อสูรแน่นอน เขาไม่มีกลิ่นอสูร ยายแนนนี่หลานเธอนั่นละเป็นอสูร อย่าป้ายความผิดให้น้องดาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากหลานตัวเองเลยย่ะ ไม่สำเร็จหรอก ความจริงคือความจริง”
ทาฮิร่าอึ้งไปชั่วขณะ เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่าแนนนี่ไม่ใช่อสูร
“ใครจะเป็นอสูรไม่เป็นอสูรไว้รอพิสูจน์กัน แต่เธอไม่ควรพูดเรื่องเมืองเวทมนต์กับใครอีกต่อไปแล้ว จะนำอันตรายสู่เมืองของเรา”
คราวนี้บาบาร่าพูดไม่ออกไปเหมือนกัน แต่รู้สึกหงุดหงิดจึงประชดแบบพาลพะโล
“ฉันผิดอีกจนได้สินะ”
ทาฮิร่ารู้สึกปลง ที่บาบาร่า ช่างไม่สำนึก “เฮ้อ”
บาบาร่ายิ่งหงุดหงิด “อย่ามาถอนหายใจใส่ฉันนะ”
ทาฮิร่าไม่อยากทะเลาะด้วยแล้ว ทำท่าจะหายตัวไป บาบาร่าเรียกไว้
“เดี๋ยว”
ทาฮิร่ารอฟัง
“ก่อนจะถึงวันอสูรน้อยอายุครบ 22 ปี เธอจะว่าไงกับอสูรตัวพ่อ” บาบาร่าถามความเห็น
“ฉันยังคิดไม่ออก เธอลองช่วยคิดบ้างสิ”
ทาฮิร่าหายตัวไป
บาบาร่ายัวะกึ่งจิตตกๆ “รู้ว่าฉันไม่ชอบใช้สมอง ใช้แล้วปวดหัว ยังจะแกล้งลอยแพฉันอีกยัยทาฮิร่า”
ไทเกอร์โผล่มาเห็นด้วยกับทาฮิร่า “ก็ใช้ซะบ้างสินาย ไม่ใช้สมองเดี๋ยวเป็นอัลไซเม่อร์นะ”
“หัวฉันไปหนักหัวแกหรือไง ฮะ จุ้นตลอด”
ไทเกอร์บ่นกับตัวเอง “ไทเกอร์หวังดียังโดนอีก”

แนนนี่นัดปีเตอร์ที่ร้านน้ำแข็งไส พอเจอหน้าก็เปิดฉากต่อว่าปีเตอร์ฉอดๆ ทันที
“ปีเตอร์หมิ่นน้ำใจแนนนี่มากนะ เห็นกันอยู่เกือบจะวันละ 24 ชั่วโมง มีอะไรแทนที่จะพูดกับแนนนี่เอง กลับไปวานคนอื่นพูดแทน”
“คนอื่นที่ไหน ก็พี่ภวัต แนนนี่ก็รู้จักดีน่ะ” ปีเตอร์พูดเสียงอ่อยๆ
“อย่าแถ”
ปีเตอร์รีบอ้อน “ก็ปีเตอร์พูดเองแล้วแนนนี่ไม่ยอมรับข้อเสนอสักทีนี่ ปีเตอร์ก็ต้องหาตัวช่วยสิ”
“ต่อจากนี้ไปหยุดขอความรักแนนนี่ หยุดขอแนนนี่แต่งงาน ไม่งั้นแนนนี่จะไล่ออกจากความเป็นเพื่อน เข้าใจ๋ ?” แนนนี่เสียงซีเรียส
ปีเตอร์รีบเปลี่ยนเรื่อง จะไม่ยอมตอบรับ “เออ วันที่เราสองคนกินขนมของพี่ หมอภวัตแล้วเกือบตายน่ะ เราหายได้ยังไงล่ะแนนนี่”
แนนนี่ดันเผลอออกนอกเรื่องด้วย “กินยาของยาย”
“ปีเตอร์ก็กินเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ฮื่อม์ ปีเตอร์ก็กิน ยายบริการดิลิเวอรี่ไปกรอกปากปีเตอร์ถึงโรงพยาบาลเลย”
“ยาไร”
“ยาที่ปรุงจากหนอนกระสือ 10 ตัว” แนนนี่บอกอย่างภาคภูมิใจ
ปีเตอร์สำลักพรวด วิ่งเข้าห้องน้ำไปอ้วก
แนนนี่ตามจิก “นี่ ไม่ต้องมาทำเนียน ตอบมาว่าเข้าใจที่แนนนี่พูดมั้ย”
“คนใจร้าย ให้กินหนอนแล้วยังขู่เข็ญทำร้ายจิตใจกันอีก” ปีเตอร์ครวญ
“ตอบมา” แนนนี่คาดคั้น
ปีเตอร์ตอบแบบงอนๆ “เข้าใจก็ได้ แล้วจะขอแต่งงานกับแนนนี่ได้อีกเมื่อไหร่”
“แน่ะ พูดไม่รู้ฟัง เดี๋ยวเอาหนอนกระสือให้กินอีกหรอก หรือไม่ก็...ตาย”
แนนนี่ไล่ตี ปีเตอร์วิ่งหนี

เวลาเดียวกัน บาบาร่ากำลังเสกเปลี่ยนสีดอกไม้ในแจกันเป็นสีต่างๆ ไปมา แต่ยังไม่ถูกใจสักที
“เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดอกไม้เครียดหมด” ไทเกอร์ว่า
“ใช่เรื่องของแกมั้ย เครียดก็เรื่องของดอกไม้”
จังหวะนั้น ดารกายิ้มสดใสเข้ามา ไทเกอร์รีบหลบไป บาบาร่าชะงักไปหน่อยหันมายิ้มทักทาย
“คุณหนูน้องดา เชิญนั่งคะ”
“น้องดามาเรื่องเมืองวิเศษที่วันก่อนเรากำลังจะไปกันอะค่ะ”
บาบาร่าเริ่มยุกยิกนิดๆ คิดหาทางบ่ายเบี่ยง
“วันนี้น้องดาว่าง ป้าบานเย็นพาน้องดาไปนะคะ”
“เอ่อ...คือ...เอ่อ..” บาบาร่าอึกอัก
ดารกามองหน้าบาบาร่าอย่างจริงใจแน่วแน่ แววตามีริ้วรอยบังคับนิดๆ แต่ยังปั้นหน้ายิ้มสวย
“เรามีเวลาอีกนานกว่างานลุงจักรกับพี่ภวัตพี่เกล้าจะเลิกงาน หรือถ้ากลับไม่ทัน น้องดาจะพูดให้เองค่ะ”
“เอ่อ...คือ...ป้าอยากจะสารภาพว่า...จริงๆแล้ว...ป้าเองก็ไม่เคยไปค่ะ แฮ่ะๆ”
วูบหนึ่งดารการู้สึกผิดหวัง ทำทีเป็นโกรธหน้าบึ้ง “อ้าว”
“ป้าฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าแค่นั้นเอง แฮ่ะๆ มันคงเป็นนิทานอย่างที่คุณหนูน้องดาว่าจริงแหละค่ะ แฮ่ะๆ แฮ่ะๆ ป้าขอโทษด้วยนะคะที่โกหก แหะๆ แหะๆ” บาบาร่ากลบเกลื่อน กลัวโดนจับได้ “ป้าขอตัวไปเอาเสื้อผ้าคุณๆ ที่ร้านซัก
แห้งก่อนะคะ”
บาบาร่ารีบเดินไปทันที ดารกาผิดหวังสุดๆ
“ไม่อยากจะเชื่อ ฉันว่าครั้งนี้ยัยป้าบานเย็นโกหกมากกว่า อยากรู้นักว่าใครมายุ”
พอเห็นดารกาเดินกลับไป บาบาร่าค่อยๆ โผล่หน้ามาจากที่ซ่อน แอบมอง สีหน้ายังกังวล
“แล้วจะมาอีกมั้ยเนี่ย”

พอใช้บาบาร่าไม่สำเร็จ ดารกากลับมาที่ห้องพยายามเพ่งสมาธิ นึกที่ตั้งเมืองเวทมนตร์ พร้อมกับนึกถึงตอนที่ที่ตัวเองจดบันทึกพิกัดที่ตั้ง แต่กลับเห็นแบบไม่ค่อยปะติดปะต่อ
ดารกาเดินงุ่นง่านมาถึงบริเวณหน้าต่าง หงุดหงิดไม่หายที่คิดไม่ออก
“โอ๊ย” ดารกาโมโหตัวเอง “นึกที่ตั้งเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
ดารกากอดอกพิงกรอบหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปภายนอก ไม่ได้ตั้งใจจะมองหา
จู่ๆ ก็เกิดฟ้าแลบอยู่ที่ขอบฟ้าไกลๆ เห็นคล้ายอาคารแปลกตาอยู่ในแสงฟ้านั้น
ดารกาชะงักกึก ตั้งใจเพ่งดู “เมืองเวทมนตร์หรือเปล่า”
ดารกาเขม้นมองที่ขอบฟ้าตาแทบไม่กระพริบ ทันใดนั้นเกิดฟ้าแลบอีกครั้ง คราวนี้ภาพเมืองเวทมนต์ปรากฏค่อนข้างชัดเจน ดารกามั่นใจ และดีใจสุดๆ “เมืองเวทมนต์จริงๆ ด้วย” ดารกาผุดยิ้มอย่างอาฆาตมาดร้ายออกมา
“แกมาเมืองมนุษย์มาตามล่าฉันใช่มั้ยนังแม่มด ฉันก็จะตามล่าแกถึงถิ่นเลย”

ฟ้าแลบอีกครั้ง ดารกาหันขวับมองเขม็ง ภาพเมืองเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในกรอบสายตาของดารกา
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22(ต่อ1)

พริบตาเดียว ดารกาอยู่ชุดทะมัดทะแมง เป็นชุดแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากชุดพ่อมดแม่มดชาวเมืองเวทย์ วิ่งลงบันไดมา เจอผาดกับพรในห้องรับแขก ดารการีบหันไปบอก
“น้องดาไปค้างที่หอพักมหา’ลัยสัก 3-4 วันนะคะ ต้องติววิชาที่จะสอบกับเพื่อนค่ะ” จากนั้นก็วิ่งออกไปเลย “ค่ะ” ผาดกับพรตอบรับแทบไม่ทัน
“ไปติวทำไมต้องรีบขนาดนี้ด้วย” พรบ่น
“ไม่รู้สักเรื่องน่าจะดีสำหรับแกนะพร”
“ดียังไงพี่”
“สมองจะได้เหลือที่ว่างไว้คิดอะไรที่มีประโยชน์น่ะสิ”
ผาดด่าจบก็เดินออกไป พรค้อนไล่ตามหลังผาด

เช้ามืดวันต่อมา ดารกาอยู่ในป่า มุ่งหน้าไปทางเมืองเวทมนตร์ที่เห็นในแสงฟ้านั้น ดารกาเดินอย่างไม่รู้เหนื่อย แม้เวลาจะผ่านไปแล้วครึ่งค่อนวัน ด้วยพลังแห่งอสูร

ดารกาเดินหลุดจากป่าออกมายังลานกว้าง สวยงามเหนือธรรมชาติ ดารกาสังหรณ์ใจว่าจะเป็นที่ตั้งเมืองเวทมนตร์ แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็นเมือง
“ต้องที่นี่แน่ๆ ที่ดูแปลกๆ”
ดารกามั่นใจ เดินต่อไปอีกหน่อย เพราะนึกว่าเป็นลานโล่งตลอดแนว
สักครู่ก็ชนเข้ากับอะไรแข็งๆ ดารกาไม่รู้ว่าอาณาเขตแห่งนครเวทมตร์ มีครอบแก้วมนตรา หรือกำแพงมนตรา ป้องกันการบุกรุก ดารกากระเด็นออกมา ล้มก้นกระแทก
“อุ๊ย” ดารกาลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปที่จุดเดิมอย่างระมัดระวังไม่ให้ชนอีก
“ต้องใช่แน่ๆ แต่มีอะไรกั้นเนี่ย ทำไมมองไม่เห็นเลย”
ดรกาาแตะเจอครอบแก้วมนตราที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ จึงเดินโดยใช้มือทั้งสองไล่ครอบแก้วที่มองไม่เห็นไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะพบประตูทางเข้า

หากมองจากภายในอาณาบริเวณเมืองเวทมนตร์ จะเห็นดารกากำลังแตะกำแพงมนตราไปเรื่อย สักครูแม่มดผ่านมา เห็นเพ่งมองอย่างตกใจ เพราะดารกาแต่งกายแตกต่างจากชาวเมืองเวทย์ และเข้าเมืองเวทมนตร์ไม่ได้ยิ่งแสดงว่าไม่ใช่พวกแม่มด
“บรรพชนแม่มดช่วยด้วย ผู้แปลกหน้าล้ำถิ่น” แม่มดนางหนึ่งร้องบอกเพื่อน
“ไปรายงานท่านผู้นำเร็ว”
สองแม่มดวิ่งกลับไป ดารกายังคงหาทางเข้า

ดารกาสัมผัสยังคงสัมผัสไปเรื่อย เพื่อหาทางเข้าไปตามแนวครอบแก้ว สักครู่ชะงักกึกเพราะได้ยินอะไรแว่วๆ มาที่ยังจับคำพูดได้ไม่ชัด ดารกานิ่งฟัง

เวลาเดียวกันปัทมนกลับจากวัดมาถึงบ้าน แนนนี่ออกไปรับ แม่ลูกกอดหอมแก้มกันและกันด้วยความคิดถึงมาก ผาดกับพรช่วยถือกระเป๋าไปเก็บ
“แนนนี่คิดถึงคุณแม่ที่สุดในโลก”
“แม่ก็คิดถึงแนนนี่ที่สุดในโลกจ้ะ” ปัทมนไม่เห็นดารกาจึงถามหา “พี่ดาล่ะลูก”
แนนนี่หน้างอขึ้นมาทันควัน

ส่วนดารกายังอยู่ที่ลานหน้าเมืองเวทมนตร์ ได้ยินทุกคำพูดของเหตุการณ์ที่บ้าน
สีหน้าดารกาไม่เชิงดีใจ หรือผิดหวัง แต่รู้ว่าต้องรีบกลับ “คุณแม่กลับมาแล้ว”

ปัทมนขำกับท่าทีของแนนนี่
“เด็กขี้อิจฉาตัวแม่เลย” ธานีสัพยอก
ปีเตอร์ยกมือสนับสนุน “เห็นด้วย”
แนนชี้หน้าปีเตอร์คาดโทษ ปีเตอร์ทำทีเป็นจ๋อย แต่จะแสดงออกต่อธานีด้วยความเคารพ
“เดี๋ยวเถอะปีเตอร์ พี่ธานีก็เข้าข้างแต่พี่ดาทั้งปี”
“เข้าข้างที่ไหน พี่มีน้องสาวสองคน พี่รักเท่ากันทั้งสองคนแหละ” ธานีบอก
แนนนี่กอดอ้อนแม่
“แนนนี่อย่างอแงนักสิลูก แม่รักลูกทุกคนเท่ากันจ้ะ ถ้าวันนี้แม่ไม่เจอแนนนี่แม่ก็ถามถึงแนนนี่เหมือนกัน”
ดารกาดผล่เข้ามา หน้าตาดีใจสุดๆ วิ่งมากอดปัทมน
“คุณแม่กลับมาแล้ว
ดารกากับปัทมนสวมกอดกันอย่างรักใคร่
“คิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ”
“แม่ก็คิดถึงลูกดาจ้ะ”
แนนนี่ปรายตามองดารกา อย่างหมั่นไส้ แนนนี่พูดเบาๆ “ชิ ยัยจอมปลอม”
แนนนี่ไปลากมือปีเตอร์ออกไปด้วยกัน
“ไปยกของว่างมาให้คุณแม่กันปีเตอร์ อยู่แถวๆนี้คันปาก เดี๋ยวเผลอกัดใครเข้า”
“ได้เลยจ้ะ” ปีเตอร์เห่าเล่นๆ น่ารักๆ เอาใจแนนนี่ “บ๊อกๆ”
แนนนี่กับปีเตอร์เดินไป คนอื่นๆ มองตามขำๆ เว้นแต่ดารกาที่แอบเขม้นมองแนนนี่
“เดี๋ยวน้องดาอยู่คุยกับคุณแม่ให้หายคิดถึงแล้ว น้องดาต้องกลับไปหอนะคะ ไปติวต่อ”
“จ้ะลูก ธานีไปส่งน้องนะจ๊ะ”
“ครับ”

ค่ำคืนนั้น ดารกายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองสายตาไปบนท้องฟ้าอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด ทั่วท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดาว ดารกากัดปากแน่น นึกถึงวันที่เมืองเวทมนตร์ปรากฏขึ้น
“เกือบจะรู้พิกัดนครเวทมนตร์อยู่แล้วทีเดียว”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น...ดารกาหันมามองครู่หนึ่ง จึงเดินไปเปิดประตู
“อ้าว! ปอย ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“ยังจ้ะ ปอยมาขอยืม ชีทพาโถฯหน่อย”
“ได้ซิ”
ดารกาเดินนำปอยมาที่โต๊ะหนังสือ เปิดแฟ้มที่จัดไว้อย่างเรียบร้อย
“ผมน้องดาสวยจังเลย” ปอยจับผมดาลูบเบาๆ อย่างชื่นชม
ใบหน้าดารกายามนี้ นัยน์ตาประกายวาวโรจน์อย่างไม่พอใจ ดารกาเบือนหน้ากลับมา ปอยตกใจ จนมือเกี่ยวเอาที่คาดผมเลื่อนหลุดออกมาด้วย เขาบนหัวดารกาโผล่ทิ่มแหลมขึ้นมาเห็นชัดเจน
ปอยตกใจมาก “น้องดา น้องดามีเขา”
ใบหน้าแสนหวานของดารกาเริ่มเปลี่ยนเป็นถมึงทึงดุร้าย น่ากลัวมากๆ ดวงตาเป็นประกายเขียวเรือง
ปอยผงะถอยหลัง “นะ...น้อง....น้องดา...ไม่ใช่คน”
ดารกาก้าวพรวดเดียวเข้ามาถึงปอย คว้าคอปอยด้วยมือข้างเดียวแล้วยกขึ้น ปอยตาเหลือกลาน จะร้องก็ร้องไม่ออก เท้าห้อยต่องแต่ง ใบหน้าดารกากลายเป็นใบหน้าอสูรร้าย สักครู่หนึ่งปอยก็ขาดใจตาย

ร่างของปอยถูกอสูรดารกาเหวี่ยงลงมาจากหอพักชั้น 4 ลอยละลิ่วลงมากระแทกพื้นถนนเบื้องล่างตายสนิท
ดารกาบังตัวยืนมองลงไป เห็นผู้คนต่างวิ่งเข้าไปมุงดู ดารกามองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าเฉยเมยและเย็นชา

เช้าอันแสนสดใส สมาชิกของสองบ้านบวกกับอิงอร รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากข่าวว่าปอยเครียดหนักจนกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขกบ้านปัทมน
“น้องดาแกขวัญเสียมากเลยค่ะ ปัทเลยให้กลับมาอยู่บ้านดีกว่า ถ้าไม่จำเป็นจริง ก็ไม่ต้องค้างที่หอ” ปัทมนเอ่ยขึ้น
“ควรจะเปลี่ยนหอให้ใหม่ด้วยนะครับ” จักรวาลแนะนำอย่างเป็นห่วง
“ค่ะ” ปัทมนเห็นด้วย
“ขนาดคุณอิงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ยังสยองเลยค่ะ เห็นเขาว่าเด็กคนนั้นเรียนหนักจนเครียดจัดใช่มั้ยคะ”
“ก็น่าจะอย่างนั้นแหล่ะค่ะ” ปัทมนว่า
“ผมขออนุญาตขึ้นไปดูน้องดาหน่อยนะครับ” ภวัตขออนุญาตปัทมน
“เชิญจ้ะ”
“ไป ...ธานี ...ยัยเกล้า”
ธานีเดินคุยกับภวัตขึ้นไป ขณะที่รัดเกล้าเงียบ สีหน้ายังดูสยองๆ

ทั้ง 3 คนมาถึงประตูหน้าห้องดารกา ธานีเคาะประตูเรียก
“น้องดา ... ภวัตกับเกล้ามาเยี่ยมแน่ะ”
“เชิญค่ะ” เสียงดารกาดังมาจากด้านใน
ธานีเปิดประตู เดินนำ 2 คนเข้าไป

ธานีปิดประตูลงเบาๆ ขณะที่ภวัตและรัดเกล้าเดินมาที่เตียงซึ่งดานั่งซึมอยู่
ภวัตทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “น้องดา”
ดารกาซึ่งนั่งนิ่ง...อาการเหม่อลอย ค่อยๆ เบือนหน้ามาหาภวัต ใบหน้าสวยนั้นมีหยดน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา
“พี่ภวัต”
ภวัตโอบไหล่ดารกา ดึงรั้งเข้ามา ดารการ้องไห้สะอึกสะอื้น
รัดเกล้าลูบหลังดาอย่างเวทนา และสงสารจับใจ “...โถ...น้องดา”
“มันน่ากลัวเหลือเกินค่ะ!...น้องดาคงไม่มีวันลืมตลอดชีวิต...ทำไม...ทำไมปอยเขาต้องทำอย่างนั้น”
ดารกาสะอึกสะอื้นอีก
“พี่รู้ว่ายาก...แต่น้องดาต้องพยายามลืมมัน...ชีวิตต้องดำเนินต่อไป” รัดเกล้าปลอบ
ดารกาส่ายหน้าอยู่กับอกภวัต ธานีเดินมานั่งข้างๆ รัดเกล้า
“พูดจาสมเป็นน้องสาวจิตแพทย์!”
รัดเกล้าหันมาค้อนควับ
“คุณอาปัทบอกว่า น้องดายังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมือคืน”
“น้องดาทานไม่ลงค่ะ!”
“ยังไงก็ต้องพยายาม...ไป...พี่จะทานเป็นเพื่อน”
ดารกายังคงนั่งนิ่ง
ภวัตโอบเอวดารกาให้ลุกขึ้น แล้วพาเดินออกไป รัดเกล้ากอดเอวดารกาอีกข้างไว้ โดยมีธานีเดินตามมา

โป่งฟังจากพร และกำลังเล่าเรื่องดารกาแสนดีขวัญเสียให้บาบาร่าฟัง พอได้ฟังบาบาร่าก็มีสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเวทนาสงสารดารกา
“พรบอกว่าคุณน้องดาน่ะ ช็อกไปเลย...เป็นโป่ง..โป่งก็ช็อก!”
“พวกมนุษย์อ่อนไหวเกินไป! ไม่เหมือนแม่มด” บาบาร่าบอก
โป่งสะดุ้งโหยง “แม่มด”
“เออ!..” บาบาร่าทอดระยะเว้นไปนิด “โดยเฉพาะน้องดาคนดี..” เว้นวรรคอีกนิดแล้วเบิกตากว้างนึกขึ้นได้ “...ฉันรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร!”

พริบตาต่อมาสองแม่มดเรืองเดชแห่งเมืองเวทย์ ก็เปิดฉากทะเลาะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ไม่ใช่แนนนี่!” ทาฮิร่า อาจารย์ที่ควบตำแหน่งยายของแนนนี่โต้ลั่น
“ใช่ แนนนี่!” บาบาร่า อาจารย์ของดารกาเถียงลั่น
“ถ้าใช่! ฉันจะกินหัวของฉันเลย!” ทาฮิร่าท้า
“เออ! แล้วฉันจะคอยดู!”
“ไอ้ความที่ไม่รู้ว่าเป็นใครนี่แหละ ทำให้เราต้องไม่ประมาท!” ทาฮิร่าเตือนสติ
“ขอค้าน! เธอประมาทเพราะเธอไม่เชื่อว่าจะเป็นแนนนี่!” บาบาร่าโต้
“และเธอก็ประมาทเพราะเธอไม่คิดว่าจะเป็นดารกา”
บาบาร่าหัวเราะร่วน “เด็กสาวที่บอบบาง อ่อนหวาน และอ่อนไหวอย่างนั้นไม่มีทางที่จะเป็นอสูรได้!...” เปลี่ยนเป็นเสียงเข้ม “แต่เด็กร้าย เด็กเจ้าอารมณ์ ...เด็กพาลเกเร อย่างแนนนี่นั่นเข้าทางทุกข้อ”
ทาฮิร่าฉุน “เราเห็นจะคุยกันไม่รอด! ขอเชิญกลับไปได้”
“เราต้องคุย เพราะตอนนี้ แนนนี่อายุ 21 แล้ว”
“ดารกาก็อายุ 21 เหมือนกัน!”
“ให้ตายซิ พอฉันพูดเรื่องแนนนี่ ทำไมเธอต้องพูดเรื่องดารกา!”
“ฉันจะเลิกพูดถึงดารกา ก็ต่อเมื่อเธอเลิกพูดถึงแนนนี่”
“โอ.เค! ที่ฉันยอมอ่อนข้อให้ก็เพราะมันเหลืออีกแค่ปีเดียว... น. ก็จะกลายเป็นอสูรเต็มตัว” พูดชื่อเต็มไม่ได้บาบาร่าใช้อักษรย่อซะงั้น
“ด. ก็จะกลายเป็นอสูรเต็มตัวเช่นกัน” ทาฮิร่าก็เลยต้องใช้อักษรย่อเช่นกัน
บาบาร่าสะบัดหน้าไปทาง ทาฮิร่าสะบัดหน้าไปอีกทาง ต่างคนต่างเชิดลืมอายุไปครู่หนึ่ง แล้วหันมา
“ก็ได้!” ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างชะงัก
“เธอก่อน” ทาฮิร่าว่า
“เธอแก่กว่าฉัน 200 ปี ฉันให้เกียรติเธอก่อน! เห็นแก่อาวุโส” บาบาร่าเกี่ยงงอน
ทาฮิร่าฉุนที่บาบาร่ายกอายุมาอ้าง “ดูเหมือนเธอจะยอมแพ้ฉันอยู่เรื่องเดียวคืออายุ”
“ฮื้อ! แน่นอน”
ทาฮิร่าสะบัดหน้า “เราต้องหาคัมภีร์พิฆาตอสูรให้พบ”
“ยังไง?” บาบาร่าสงสัย
“ฉันพอจะเห็นทางอยู่บ้างถึงแม้จะริบหรี่เต็มทน!” ทาฮิร่าหนักใจมากๆ

ในขณะที่มาลีกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านท้ายซอย ก็มีเสียงเรียกที่ประตูหน้าบ้าน
“ก๊อก! ก๊อก!” เสียงนั้นพูดขึ้นเองโดยไม่ได้เคาะประตู
“ใครมา!”
มาลีวางจานข้าวลง แล้วลุกไปเปิดประตู เห็นทาฮิร่าในชุดสวย หรู ไฮโซยืนอยู่ มาลีจดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“...มาบ้านผิดหรือเปล่าคุณนาย”
“ฉันมาหาเธอ...แม่มาลี!”
ทาฮิร่าร่ายคาถา ร่างทั้ง สองหายวับไปจากตรงนั้น

ทั้งสอง มาปรากฏขึ้น ณ สถานที่ว่างเปล่า ลึกลับแห่งหนึ่งมาลีกวาดตามองไปโดยรอบ
“ที่ไหนเนี่ย! นี่คุณนายเล่นกลหรือเปล่า!” มาลีถาม
“ฉันมีอะไรจะถามเธอเล็กน้อย!” ทาฮิร่าพูดเสียงอ่อนโยน
“ฉันไม่ตอบ ! พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้! ไม่งั้น แม่ด่าไม่ซ้ำคำเลย!” มาลีฉุนจัด

ทาฮร่าชักจะฉุนบ้าง “หน็อย.. แม่คนนี้ ..ชาตินี้มีเวรมีกรรมเป็นเมียอสูรยังไม่รู้สำนึก!”
“เมียอสูร!” มาลีตกใจ
ทาฮิร่าร่ายคาถาสะกดมาลี จ้องมองตาเป็นประกายสีเหลืองวาบขึ้น แล้วแสงนั้นพุ่งเข้าสู่นัยน์ตา มาลีตกอยู่ใต้มนต์สะกดทันที
“ฟังให้ดี! เจ้าเคยเห็นสามีของเจ้าซ่อนหนังสือแปลกๆ ไว้ตรงไหนในบ้านหรือเปล่า!”
“ไม่เคย!”
“งั้นจงฟังข้า!..เจ้าจะต้องพยายามหาหนังสือที่ชื่อว่า “คัมภีร์พิฆาตอสูร” ซึ่งข้าเชื่อว่าสามีเจ้าคงไม่เอาไว้ไกลตัวแน่!”
มาลีทวนคำช้าๆ ด้วยท่าทีเบลอๆ “พิฆาตอสูร….พิฆาตอสูร”
แล้วทุกอย่างในที่แห่งนั้น ทั้งทาฮิร่าและมาลีเลือนหายไป

เวลาต่อมามาลีนั่งพิงประตูบ้านหลับอยู่ ปากมาลียังบ่นพึมพำ “คัมภีร์พิฆาตอสูร... พิฆาตอสูร...”
สดับขี้เมาเดินเข้ามา แล้วเงี่ยหูฟัง ทว่ามาลีพึมพำเบามากและเสียงค่อยหายไปกับอาการหลับลึกเพราะถูกทาฮิร่าสะกดจิต
ในที่สุดสดับก็ไม่ได้ยินอะไร “พูดอะไรของมัน” สดับตะโกนเรียกเสียงดังลั่น “นังมาลี”
มาลียังหลับอยู่ แต่อาการส่อเค้าว่าเริ่มจะได้ยิน
เสียงตะโกนโหวกเหวกของสดับเรียกขึ้นดังกว่าเดิม “นังมาลี!”
มาลีสะดุ้งพรวด “จ๋า”
“ข้าวปลาทำเสร็จรึยัง มานั่งหลับเนี่ย หิวแล้วโว้ย นังนี่...อ้อนหน้าแข้งตลอด”
มาลีเหลียวไปรอบๆ งงว่ามาหลับอยู่ได้อย่างไร จำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากต้องหาคัมภีร์
“ฉันมาหลับอยู่นี่ได้ไง”
“จะไปรู้แกเรอะ รีบไปหาอะไรมาให้ฉันกินเร็วๆ เดี๋ยวโมโหหิวแล้วเหนื่อยฉันหวดแข้งใส่แกอีก” สดับขี้เมาตวาดใส่
“จ้ะๆ” มาลีรีบลนลานออกไป

มาลีจัดอาหารไปเหม่อ นึกไป พร้อมกับพึมพำออกมา
“คัมภีร์พิฆาตอสูร...อย่าให้ใครรู้...ดารกากำลังตกอยู่ในอันตราย...” มาลีรู้สึกตกใจมาก “ลูก...ลูกดารกากำลังตกอยู่ในอันตราย!”
มาลีนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“นี่มาเล่านิทานอะไรกัน” มาลีถามทาฮิร่าขึ้นน้ำเสียงไม่พอใจ
“นี่เรื่องจริง เธอต้องหาคัมภีร์นั่นให้พบ ดารกาลูกสาวเธอตกอยู่ในอันตราย อยู่ในเงื้อมมืออสูร” ทาฮิร่าพูดอย่างจริงจัง
มาลีตกใจสุดๆ “ห๊ะ”

มาลีเอาแต่นั่งร้องไห้ แทบไม่มีแรงทำอะไร
“ดารกาลูกแม่...หนูไปเกี่ยวอะไรกับอสูรมัน” มาลีฮึดสู้ขึ้นมา “แม่ไม่ยอมให้อสูรทำอะไรลูกของแม่ แม่จะหาคัมภีร์นั่นให้เจอ!”
ใบหน้ามาลีเวลานี้ ดูเด็ดเดี่ยวทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาเปื้อนใบหน้า

ค่ำวันนั้นดารกาอยู่ในห้อง นั่งหน้านิ่งแต่แววตาร้ายกาจยิ่งนัก เพราะหลังจากได้ปลิดชีวิตคนไปแล้ว ก็เหมือนเติมเชื้อความโหดเหี้ยมในใจ
ดารกาหงุดหงิดงุ่นง่าน คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี
“จะไปเมืองเวทมนตร์อีกก็ไปไม่ได้ งานชะงักหมดเพราะไปฆ่ายัยปอยแท้ๆ เลย มันน่าโมโหจริงๆ”

ความโกรธทำให้อารมณ์ดารกาพุ่งพล่าน หน้าตาบิดเบี้ยวเป็นอสูร มีเสียงฟ้าร้องฟ้าคะนอง จนสักครู่หนึ่งเมื่อควบคุมอารมณ์ได้ ใบหน้าดารกาจึงกลับคืนตามเดิม ดารการู้สึกเป็นกังวล
“นี่ถ้าเราอายุครบ 22 สภาพเราจะเป็นไงนี่”

สดับอยู่ในห้องพิธีกรรม กำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาเพ่งจิตตามหาแม่มด

ภาพบิดเบี้ยวแว้บไปแว้บมา สดับยังจับคลื่นได้ไม่ดีนัก เห็นภาพบาบาร่าในคราบบานเย็นชัดขึ้นมาก ส่วนทาฮิร่ายังไม่เห็นหน้าชัด อสูรสดับเห็นเป็นแค่ภาพเงาสลัว เพราะยังไม่เคยเจอกัน และอสูรสดับยังไม่รู้ที่อยู่ของทาฮิร่าและบาบาร่า อสูรสดับลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด
“มันต้องเป็นแม่มดมีระดับไม่น้อย มันถึงปิดบังที่อยู่ของมันจากจิตของข้าได้”
อสูรสดับหลับตาลงอีก จะส่งภาพแม่มดไปให้ดารกา

เวลาเดียวกันแนนนี่กำลังคุยเล่นหัวอยู่กับชิกเก้นในตะเกียงแก้ว
“ชิกเก้นไม่คิดจะมีแฟนกับเขาบ้าเหรอ”
“โอ๊ย...โดน...โดน คำถามโดนกลางใจเลย ชิกเก้นเป็นคน..เอ๊ย..เป็นแมวเนื้อหอมมากในเมืองเวทมนต์ ระดับคาสโนชิกเลยน้า....” แขวะทาฮิร่าทุกทีที่มีโอกาส “แต่เพราะนางนั่นละ เป็นโสดสนิทมิตรส่ายหน้า ชิกเก้นเลยโดนบังคับห้ามมีคู่”
ขาดคำ ทาฮิร่าหายตัวเข้ามา หน้าตาเครียดจัด กังวลเรื่องอสูร ไม่ใช่เรื่องชิกเก้น
“อุ๋ย พูดถึงทีไรมาทู้กกกกกกก....ที เวรก๊ำ...เวรกรรม” ชิกเก้นบ่นอุบ
“มุสาหน้าไม่อาย แกแหละโดนหญิงส่ายหน้า”
แนนหัวเราะชอบใจ ตะเกียงแก้วพลอยหัวเราะด้วย
ชิกเก้นอายมากมาย เอาสองขาปิดหน้า
“ไงล่ะคาสโนชิก” แนนนี่แซว
“อาย อ๊าย อาย” ชิกเก้นอับอายขายขี้หน้า
“มานี่เจ้าชิกเก้น มาพูดเรื่องสำคัญ”
แนนนี่มาสมทบ หน้าตาจริงจังไม่เหลือแววขี้เล่น
“เรื่องอะไรจ๊ะยาย ยายเครียดจัง”
“อสูรกำลังหาที่อยู่ของยายกับอาจารย์บาบาร่าของหลาน แล้วต่อไปอาจลามมาถึงแนนนี่ด้วย” ทาฮิร่าบอกเสียงร้อนรน
“อุ๊ย อย่างนี้ตะเกียงแก้วก็ต้องโดนด้วย” ตะเกียงแก้วตกใจ
“เราต้องย้ายตะเกียงแก้ว” ทาฮิร่าปรารภ
“รับแซ่บ เป็นหน้าที่ชิกเก้นอยู่แล้ว” ชิกเก้นว่า
“แนนนี่ออกไปจากตะเกียงกับยายก่อน”
ทาฮิร่า แนนนี่ และชิกเก้น หายตัวออกไป

อสูรในร่างสดับยังหลับตาเพ่งจิตส่งภาพแม่มดไปให้ดารกา
“ดารกา” อสูรสดับส่งเสียงเรียกในใจ

ดารกากำลังจดบันทึกเกี่ยวกับการเรียน ได้ยินเสียงอสูรสดับเรียกดังแว่วมา
“ดารกา”
ดารการีบวางปากกา
“จงหาตัวนางแม่มดคนนี้ให้พ่อ”
ดารกาจะตรงไปดูภาพแม่มดที่กระจก แต่แล้วก็เหมือนได้ยินเสียงอะไรหล่นหน้าห้อง
“ตะเกียงแก้ว อย่าดิ้นมากสิ หล่นเลยเห็นมั้ย” เสียงชิกเก้นนั่นเอง
ดารกาตื่นเต้น และดีใจมาก “ตะเกียงแก้ว”
ดารกาวิ่งไปที่ประตู รีบออกไป โดยไม่ได้ดูที่กระจก ภาพที่อสูรสดับส่งมา ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ จนเห็นว่าเป็นบาบาร่าในร่างบานเย็น นั่นเอง
“หาที่อยู่มันให้เจอ...เอาตัวมันมาให้พ่อ”
ชิกเก้นอยู่หน้าห้องดารกากำลังจะคาบตะเกียงแก้วขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวดารกาพรวดพราดเข้ามา
“ว้าย คุณน้องดา แย่แล้ว”
ชิกเก้นจะรีบคาบตะเกียงแก้ว ดารกาตวัดมือเกิดเป็นพลังแรงสูง ปัดร่างชิกเก้นลอยไปกระแทกผนังอย่างแรง ชิกเก้นสลบเหมือด ไม่ไหวติง ดารการีบหยิบตะเกียงแก้วขึ้นมา ผุดยิ้มร้ายกาจบนใบหน้า จ้องมองตะเกียงแก้ว หัวเราะอย่างสาสมใจ
“พยายามแทบตายไม่ได้แกมา แต่บทจะได้ก็ง่ายซะเหลือเกิน”
ดารกาแสยะยิ้มผุดหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมา
“แกเป็นเสี้ยนหนามแรกที่จะถูกกำจัดพ้นทางฉัน”
ดารกาใช้สองมือหมายจะบดขยี้ตะเกียงแก้วจะให้แหลกคามือ แต่ตะเกียงแก้วเปล่งพลัง มีแสงเรืองรองออกมาพร้อมกับคลื่นความร้อน ดารการ้อนวูบที่มือ สะบัดสุดแรงด้วยพลังแห่งอสูร ตะเกียงแก้วลอยหวือออกไปนอกตึก ลอยละลิ่วไปไกลมากๆ และหายไปในความมืด
ดารกาเจ็บใจสุดๆ หน้าตาเริ่มบิดเบี้ยว
“ทำไมฉันถึงยังควบคุมพลังตัวเองไม่ได้สักที”
ตั้งใจจะกลับเข้าห้อง เสียงปัทมนเรียกมาจากด้านหลัง “น้องดาจ๋า”
ดารกาหันหน้ากลับมาเป็นลูกสาวแสนดีทันที ปัทมนยิ้มแย้มหิ้วถุงที่ไปซื้อของมา เอ่ยทักทายขึ้น
“ทานข้าวหรือยังลูก มาดูนี่สิ แม่ซื้อของมาฝากน้องดาด้วย”
“ดีจังค่ะ” ดารกาเดินเคียงไปกับปัทมน

เวลาเดียวกันนั้นภายในห้องดารกา ภาพบาบาร่าในร่างบานเย็นในกระจกเงาค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นกลุ่มควัน พอควันจางหายกลายเป็นกระจกใสสะอาดตามเดิม

สองยายหลานอยู่ในห้องแนนนี่ ทาฮิร่ารู้สึกกังวลใจ มีอาการร้อนรน
“ทำไมป่านนี้เจ้าชิกเก้นยังไม่มา ยิ่งรีบๆ อยู่”
“แนนนี่ไปดูให้ค่ะ” แนนนี่เดินออกไป

แนนนี่เดินหาจนเจอชิกเก้นนอนสลบ น้ำเสียงแนนนี่ตกใจมาก “ชิกเก้น...”
ไวเท่าความคิดแนนนี่ถลาไปที่ชิกเก้น ซึ่งเหมือนไม่หายใจแล้ว แนนนี่ซีด ต่อมน้ำตาแตก
“ชิกเก้น ตายหรือเปล่า อย่าตายนะ อย่าตายนะชิกเก้น”
แนนนี่ร้องไห้ไป เรียกชื่อชิกเก้นไป ทาฮิร่าปรากฏกายขึ้น หน้าตาเครียดมาก
“ยาย...ช่วยชิกเก้นด้วย...อย่าให้ชิกเก้นตายนะยาย”
ทาฮิร่าพิจารณา และประเมิณสถานการณ์แล้วเครียดสุดๆ
“ชิกเก้นโดนพลังอสูร ตะเกียงแก้วก็หายไป เราต้องรีบไปแนนนี่
ทาฮิร่าตัดสินใจพาแนนนี่กับชิกเก้นหายตัวไป
ดารกาเดินถือถุงออกมาจากทางห้องปัทมน พอมาถึงจุดที่ชิกเก้นสลบอยู่ ดารกาชะโงกมอง ไม่เห็นชิกเก้นอยู่ตรงนั้นแล้ว ดารกายิ้มเยาะ
“ฟื้นแล้วเหรอเจ้าชิกเก้น แน่เหมือนกันนี่ โดนพลังฉันไปไม่ใช่น้อยยังลุกไหว”

ดารกาเดินต่อไปที่ห้องตัวเอง








Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 2:39:24 น.
Counter : 345 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]