All Blog
ดุจดาวดิน ตอนที่ 14 จบบริบูรณ์



ภายในห้องผู้ป่วยโรคประสาทของโรงพยาบาลเวลานั้น พยาบาลยิ้มหน่ายๆ ยกยาและน้ำให้ปานดาว

“เดี๋ยวทานยาเสร็จก็พักผ่อนสักครู่นะคะ เขาเหนื่อยกันทั้งโรง พยาบาลมาตั้งแต่เช้าแล้ว เงยหน้าสิคะ...ยาอยู่นี่”
ปานดาวในชุดผู้ป่วย นั่งขัดสมาธิก้มหน้าอยู่บนเตียง ทิ้งผมยาวปกหน้าทั้งหมด ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ตาเหม่อลอยมองช้าๆไปที่พยาบาล เป็นใบหน้าและแววตาที่ไม่ต่างกับปานเดือนครั้งอยู่ในโรงพยาบาล
“ว่าง่ายๆแบบนี้ค่อยยังชั่ว...อ้าปากสิคะ”
ปานดาวค่อยๆอ้าปากตามพยาบาลบอก ทันใดนั้นตาปานดาวก็ผลุนผลันลุกขึ้น กัดเข้าที่ข้อมือพยาบาลเต็มที่ ปัดยาและแก้วน้ำแตกกระจายเต็มห้อง พยาบาลหวีดร้องสุดขีด ถอยกรูด ปานดาวยื่นหน้ามาใกล้
“ไหนล่ะยา”
“ช่วยด้วย ใครอยู่ข้างนอกช่วยที”
พยาบาลร้อง บุรุษพยาบาลวิ่งเข้ามา 2 คน ตามด้วย เติมบุญ สายอุษา ร้องเสียงหลงพร้อมกัน
“ดาว...อย่า...”
ปานดาวยึดมือไปมากับพยาบาล แล้วหัวเราะดังลั่นใส่หน้า
“ฉันไม่กิน...รู้นะว่าพวกแกหวังสมบัติ...เดี๋ยวคุณภูมาจะให้ฆ่าทิ้งให้หมด...หนอย...จะให้กินยาพิษ ฉันไม่โง่หรอก...ไป...จะไปไหนก็ไป...ชิ้วๆ”
พยาบาลค่อยๆมุดตัวสั่นหลบหนีจากห้องไป บุรุษพยาบาลช่วยกันจับตัว ปานดาวดิ้นสุดฤทธิ์ ตั้งเตะทั้งถีบเจ้าหน้าที่ สายอุษาแทบร้องไห้ กับสภาพที่เห็นไม่ผิดกับเติมบุญที่เศร้าใจมาก
“โธ่...ดาว เวรกรรมอะไรทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“ปานดาวสงบจิตใจหน่อย...ใจเย็นๆลูก”
ปานดาวลอยหน้าตาขวาง เดินมาหาสายอุษาและเติมบุญอย่างนอบน้อม สองคนนึกดีใจว่าดาวจำได้ แต่แล้วก็ลั่นโทสะตะโกนลั่น
“แกสองคนไปตามนางพิมมา ฉันใช้มันไปทำงาน คว้าน้ำเหลวตลอด สั่งให้จัดการทินภัทร เด็กตัวแค่นั้น มันก็ไม่มีน้ำยา ตอนแรกกะจะแบ่งสมบัติให้มัน...แต่ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
สายอุษาเอาแต่ร้องไห้จนพูดไม่ออก ช่วยเติมบุญจับยึดปานดาวที่แข็งขืนให้กลับมานั่งที่เตียง
“ลูกดาวนี่พ่อกับแม่เอง จำไม่ได้เหรอ เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็อย่าคิดถึงมันเลย พักผ่อนซะ”
ปานดาวมองตาขวางแล้วดูท่าสงบลงอย่างฉับพลัน พูดเสียงแข็งแต่น้ำตาไหลอาบแก้มเหมือนร้องไห้จากข้างใน
“พ่อแม่รักฉันที่สุดเลย มีอะไรก็ให้ฉันคนเดียว พี่น้องมันขี้อิจฉา คนหนึ่งก็บ้าไปแล้ว อีกคนโดนฆ่าตายไปแล้วมั๊ง” ปานดาวหัวเราะลั่น “เดี๋ยวคุณภูมา จะให้เขาเอาสมบัติมาให้พวกแกดู”
เติมบุญกับสายอุษา หันมองกันเศร้าแทบขาดใจ โอบกอดปานดาวที่น้ำตาไหลอาบแก้มแต่ไม่ร้องไห้ ด้วยความรักลูก ก่อนจะออกมานั่งด้านนอกห้องตามที่พยาบาลบอก ทั้งคู่เศร้าซึม
“คุณคะ...ฉันสงสารลูกดาวเหลือเกิน อาการน่าจะหนักกว่าลูกเดือนที่เคยเป็น...ทำไมชีวิตลูกๆของเราต้องเผชิญชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสขนาดนี้”
“ชีวิตคนเราเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ถึงแม้เราเป็นพ่อแม่ก็รับกรรมแทนลูกไม่ได้ กรรมที่ลูกดาวสร้างไว้กับลูกเดือน ลูกดาวก็ต้องเป็นคนชดใช้เอง มันก็เป็นอย่างที่เราเห็นนี่แหละ”
สายอุษาปล่อยโฮออกมา อย่างสงสารปานดาวมาก

วันต่อมา...ในห้องนั่งเล่น ทุกคนปรึกษาเรื่องธัญวิทย์ ขณะที่เจ้าตัวนั่งเล่นเหงาๆคนเดียว ห่างออกไป
“จนถึงทุกวันนี้พ่อก็ยังเห็นวิทย์เป็นหลานคนหนึ่ง เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก ถึงความจริงอาจจะไม่ใช่หลาน แต่พ่อไม่ใจดำพอที่จะตัดธัญวิทย์ได้” เติมบุญบอก
“ฟ้าเห็นด้วยค่ะ ตอนนี้วิทย์ไม่มีใคร ไม่มีที่ไปแล้ว ทุกอย่างผู้ใหญ่เป็นคนทำทั้งนั้น วิทย์ก็แค่เป็นเหยื่อคนนึง”
สายอุษาลังเลใจ
“แม่บอกตรงๆ แม่ยอมรับยาก ยังทำใจไม่ได้ สงสารเด็กก็ สงสารแต่เขา...”
“ถึงแม้ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเรา แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา แกไม่มีความหมายกับบ้านนี้เลยเหรอคะ เดือนเห็นด้วยกับฟ้าค่ะคุณแม่”
“เลี้ยงไว้เอาบุญเถอะครับ ช่วงหลังนี้วิทย์เปลี่ยนไปมาก ผิดกันคนละคน จิตใจแกคงแย่มาก เราอย่าไปซ้ำเติมเด็กอีกเลยนะครับ” อนิรุทธิ์บอกอีกคน
“ถึงจะรักอย่างหลานไม่ได้ แต่ก็ขอให้สงสารเถอะนะคะคุณแม่” ปานฟ้าขอร้อง
สายอุษามองปานฟ้าอย่างชั่งใจ ถอนใจยาว คิดปลงและคล้อยตามที่ลูกๆพูด

ตุลย์กับภาคินนั่งดูเอกสารการฟ้องร้องก้องภพ ภาคินลังเลครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นึกถึงเรื่องที่เป็นความคราวที่แล้ว
“หลักฐานแน่นขนาดนี้ พยานแวดล้อมอีก คุกเห็นๆ”
“ฉันเบื่อขึ้นโรงขึ้นศาลเต็มที แล้วเรื่องวันนั้น ฉันก็ไปคุยกันเองเฉยๆ ก้องมันก็”
“เล่นงานแกซะแทบสลบ”
“พี่น้องกันก็แบบนี้แหละ อย่าจริงจังสิวะตุลย์”
ตุลย์สบตาภาคิน
“เฮ้ย...พูดแบบนี้...อย่าบอกนะ ว่าจะไม่ฟ้องไอ้ก้องภพ”
ภาคินมองตุลย์แล้วพยักหน้าหนักแน่นอย่างตัดสินใจแล้ว ตุลย์ถอนใจแรงๆ อย่างขัดใจ

พิมอยู่ในห้องขังบนโรงพัก หน้าเศร้า รอยน้ำตายังเป็นคราบ อิดโรยกังวลถึงธัญวิทย์และสิ่งที่ทำไป ไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งนิ่งสายตาระแวงอยู่ตลอดเวลา ผู้ต้องขังหน้าหื่นยิ้มให้ก็มองหวาดๆ ผู้ต้องขังคนหนึ่งขยับมาใกล้ พิมขยับหนี
“คิดอะไรมากน้องสาว เห็นไม่ได้นอนทั้งคืน พี่เป็นห่วง โดนคดีอะไรละ...ขายตัวหรือยาบ้า”
พิมมองตาขวาง ตะหวาดลั่น
“แกนั้นแหละบ้า ไปไกลๆอย่ามายุ่งกับฉัน เดี๋ยวติดเอดส์หรอก”
ผู้ต้องขังหน้าจ๋อยผงะออกไป ตำรวจเดินมาเรียก พิมหันมาเจอปานฟ้าที่เดินมากับตำรวจ ก็กระอักกระอวนใจเพราะความผิดของตน แต่ก็เดินมาเกาะลูกกรง
“เรื่องนี้ต้องเป็นคดีความอีกนาน ถ้าเธออยากผ่อนหนักให้เป็นเบาก็ต้องสารภาพความจริงออกมาทั้งหมด”
พิมครุ่นคิด ยังทำเก่ง เสียงห้วน
“บอกก็ได้ แต่มีข้อแม้ ขอให้คุณวิทย์ ยังคงเป็นหลานของครอบครัวต่อไป เพราะคุณวิทย์ไม่ได้ทำอะไรผิด”
“นี่เธอยังคิดต่อรองอีกหรอ ถ้าเธอจะบอกความจริงก็เพราะเธอควรจะสำนึกผิด ไม่ใช่มาบังคับข่มขู่อะไรอีก ถ้าไม่นึกถึงตัวเองก็นึกถึงลูก...เหลือความดีให้วิทย์เห็นบ้าง”
พิมเห็นปานฟ้าแข็งใส่และคิดถึงลูกมาก คอตกมือสั่นบีบลูกกรงแน่นร้องไห้โฮออกมาอย่างปลดปล่อย มองปานฟ้าพยักหน้าเม้มปากแน่น
“ลูกวิทย์...แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”
พิมร้องไห้อย่างหนัก รูดตัวลงไปนั่งอย่างหมดแรงกับพื้น ปานฟ้ามองด้วยความรันทดใจ

ตุลย์มารายงานความคืบหน้าของคดี ให้ทุกคนฟังที่บ้านปานฟ้า
“ผมทำคดีมาก็พอสมควร แต่เรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านคุณปานฟ้า ซับซ้อนและโยงใยกันหลายคน คนที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคนใกล้ตัวทั้งสิ้น”
เติมบุญนิ่งคิด
“หมวดหมายถึงพิม ที่ร่วมมือกับสามีของเธอลักพาตัวฉันไปใช่ไหม”
“ความจริง พิมคือน้องสาวแท้ๆของภูวดลครับ...สองพี่น้องทำทุกอย่างตั้งแต่ลักพาตัวทินภัทรไปตอนแบเบาะ ทำให้คุณปานเดือน แทบเสียสติ เข้าออกโรงพยาบาลไม่รู้กี่ตั้งต่อกี่ครั้ง”
อนิรุทธิ์พูดอย่างแค้นใจ
“ผมสงสัยพิมมานานมาก ตั้งแต่ตอนที่โดนเขาใส่ร้าย แต่ไม่มีหลักฐาน เพราะภูวดลค่อยช่วยนี่เอง”
ตุลย์อึกอักจะพูดต่อ
“แต่ที่ผมจะบอกต่อไปก็คือ...เกือบทุกเรื่อง คุณปานดาวก็รับรู้ด้วย”
ปานฟ้าฟังอย่างรันทดใจ
“ไม่นึกว่าพี่ดาวจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ ทุกคนดีกับพี่ดาวมาตลอด”
สายอุษาหน้าสลด
“คลานตามกันมาแท้ๆ ดาวชอบคิดน้อยใจไปเองว่าพ่อแม่ไม่รักพื้นฐานดาวเป็นเด็กน่ารัก แต่คงจะเพราะได้คู่ครองที่...”
ปานเดือนแทรกขึ้น
“คนตายไปแล้ว อโหสิกรรมให้ภูวดลเถอะค่ะคุณแม่ เดือนไม่นึกเลยว่าเงินทองจะทำ ให้พี่น้องฆ่ากันได้”
“ตอนที่ภูวดลจะทำร้ายฉัน ลูกดาวนี่แหละที่เข้ามาช่วยชีวิต จนต้องแทงภูวดลตาย...โธ่...ไม่น่าเลยลูกดาวของพ่อ”
เติมบุญแววตาเสียใจเป็นห่วงลูกสาว

อานนท์นั่งคุยกับกัญญาที่ห้องเช่าของเธอ กัญญาดูครุ่นคิด
“นี่เธอยังโกรธฉันไม่หายหรอบุษบา ตลอดเวลาที่เธอหายไปไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงเธอ แม้แต่คำลาสักคำก็ไม่ได้ยินจากเธอ”อานนท์ตัดพ้ออย่างน้อยใจ
“ที่ดิฉันต้องทำแบบนั้น เพราะกลัวคุณหญิงท่าน และห่วงลูกมาก ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ดิฉันก็ผิดที่ไม่ได้บอกลาคุณ แต่ถ้าบอก คุณก็คง...”
“ฉันคงไม่มีวันยอมให้เธอไป มันเจ็บปวดมากนะที่รอใครสักคนมาเกือบยี่สิบปี โดยที่เขาไม่เคยติดต่อมาเลย”
กัญญาเสียงเครือแววตาเศร้า
“ตลอดเวลาดิฉันติดต่อพี่นุ่มคะ ได้รู้เรื่องคุณกับภาคินอยู่ห่างๆ แต่ก็เข้าใกล้หรือเปิดเผยตัวเองไม่ได้” กัญญาน้ำตาร่วง “เคยแอบหวังว่าคุณจะออกตามหา...แต่ไม่มีเลย...มันเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆของผู้หญิงคนนึง ที่ไม่เคยคิดแย่งสามีของคนอื่น”
อานนท์บีบมือกัญญาแน่น
“โธ...บุษบา ฉันขอโทษ...ฉันผิดไปแล้ว ก็หาเธอนะ แต่ทั้งงานทั้งที่บ้านมันยุ่งจนบางทีแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง”
กัญญาร้องไห้ส่ายหน้าอย่างน้อยใจ
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกคะ เพราะดิฉันไม่สำคัญพอต่างหาก แต่ดิฉันไม่ถือโทษโกรธคุณนะคะ เข้าใจและยอมรับในสภาพของตัวเอง”
อานนท์ได้แต่มองกัญญาอย่างเห็นใจเป็นที่สุด หากแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากบีบมือเธอแน่นให้กำลังใจ แต่กัญญากลับดูเรียบเฉย

อานนท์ครุ่นคิดนั่งข้างๆวิมลวรรณที่ไม่กล้าสบตาสำนึกในความผิดของตัวเองที่ทำมาตลอด ก้องภพนั่งพื้น ก้มกราบขอโทษอานนท์แววตาสำนึกผิด
“ที่ผ่านมาผมทำแต่เรื่องให้พ่อต้องร้อนใจ ผมกราบขอโทษครับ”
วิมลวรรณมองอานนท์ ด้วยสายตาสำนึกผิด กราบที่ตัก
“ดิฉันก็สำนึกผิดและขอโทษคุณด้วยนะคะที่ทำสิ่งไม่สมควรกับคุณและภาคิน ต่อไปนี้ฉันจะเป็นภรรยาที่ดีไม่ก่อเรื่องใดๆอีกแล้ว”
“ฉันก็อโหสิให้เธอเหมือนกันวิมลวรรณ ต่อไปอย่าผูกใจเจ็บอีกเลยเรื่องอะไรแล้วก็แล้วกันไป ไฟแค้นไม่ได้เผาไหม้ใครเลย นอกจากตัวคนๆนั้น”
วิมลวรรณแววตาปลงตกร้องไห้
“ที่ผ่านมาฉันไม่ได้อยากเลว ไม่ได้อยากเป็นคนร้ายกาจ ที่ทำลงไปเพราะอยากให้คุณอยู่กับฉัน รักฉันบ้าง...คุณอย่าทิ้งฉันกับลูกไปเลยนะคะ...เราสองคนขอร้อง...”
อานนท์มองวิมลวรรณอย่างเห็นใจ จับที่ไหล่ปลอบโยนอย่างอดใจอ่อนไม่ได้ ภาคินเดินอยู่นอกห้อง มาทันฟังวิมลวรรณพูด ได้แต่ส่ายหน้าถอนใจยาว

ธัญวิทย์นั่งเหงาเดียวดายที่สนาม โยนลูกบอลกลิ้งไป ปานฟ้าเก็บลูกบอลแล้วเดินมาหา ยื่นให้แล้วยิ้มให้ ธัญวิทย์ที่มองกลับด้วยแววตาเศร้า
“น้าฟ้า...ผมคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงพิมด้วย...เมื่อไรพวกเขาจะกลับมาครับ”
ปานฟ้าโอบกอดด้วยความสงสาร
“แม่ของวิทย์ไม่สบายนะ เดี๋ยวค่อยยังชั่วก็จะกลับบ้าน ตอนนี้ วิทย์ต้องเป็นเด็กดี เชื่อฟังคุณตาคุณยายและน้าฟ้า ส่วนเรื่องคุณพ่อไว้วิทย์โตกว่านี้น้าค่อยเล่าให้ฟัง พิมของวิทย์ก็เหมือนกันสักวันเขาก็จะกลับมา เขารักวิทย์มากนะ”
ธัญวิทย์เสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้
“รักแล้วทำไมต้องทิ้งผม ตอนนี้ผมไม่มีใครเลย...ไม่มีใครรักผมแล้ว”
ปานฟ้ากระชับกอดไว้แน่นอย่างเห็นใจ
“มีสิจ๊ะ ลืมน้าฟ้าแล้วเหรอ คุณตาคุณยายก็รักวิทย์มากนะ”
ธัญวิทย์พยักหน้ารับคำอย่างเดียวดาย ยึดปานฟ้าเป็นที่พึ่ง

ในห้องโถงของมูลนิธิภาคิน เด็กๆยืนเรียงแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง บุญทิ้งตั้งวงแขนรำลิเกโชว์
“แขนก็ต้องยกแบบนี้นะ แล้วโค้งให้ได้รูปสวยงาม”
ปานฟ้านั่งยิ้มดูเด็กๆซ้อมลิเกอย่างมีความสุขห่างออกไป ภาคินนั่งกับกัญญา...ไข่ตุ๋น ดัดมือเด็กอ้วนคนหนึ่งที่ตั้งวงแขนไม่ได้เรื่องสักที ไข่ตุ๋นหน้ามุ่ย ตีมือเข้าให้
“นี่แน่ะ...สอนไม่รู้จักจำ...ท่านี้ง่ายสุดแล้วนะ ทำไม่ได้สักที...ให้วิดพื้นซะดีไหมเนี่ย...หรือจะเล่นเป็นก้อนหิน เอาไหม ได้ไม่ต้องรำ”
เด็กคนอื่นๆหัวเราะกันสนุกสนาน ธัญวิทย์ยืนหัวเราะไปกับเขาด้วย วิ่งมาที่เด็กอ้วน
“พุงใหญ่แบบเนี่ย ถ้าเป็นหินก็ก้อนเบ้อเริ่มเลยเนอะ...มานี่ฉันช่วย ก่อนอื่น ดีดหูสักสิบครั้งในฐานะฟังไม่รู้เรื่องสักที แล้วตามด้วยวิดพื้นอีกสัก 10 ที”
ธัญวิทย์หรี่ตาทำท่าจะดีดหูเด็กอ้วนให้หนำใจ เหลือบไปเห็นปานฟ้าตาดุ มองเป็นเชิงปราม เลยยิ้มแห้งๆ รีบเอามือลง
“ล้อเล่น”
ภาคินและกัญญานั่งยิ้มมีความสุขมองเด็กๆซ้อม ภาคินมองกัญญาอย่างสุขใจกุมมือกัญญาไว้
“ผมดีใจที่สุด ที่วันนี้ได้นั่งใกล้ๆแม่ ผมรอวันนี้มาทั้งชีวิต หวังว่าสักวันเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน สามคน พ่อแม่ลูก”
กัญญาลูบหัวภาคิน
“แม่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลย ไม่มีอะไรต้องการมากเท่าได้พบได้เจอได้นั่งใกล้ๆลูกแบบนี้ ตลอดมาแม่ทรมานมาก ถึงรู้และเห็นแต่ก็เข้าใกล้ไม่ได้ เหมือนยิ่งรู้ก็ยิ่งเจ็บ แม่เสียใจนะที่ทำให้ชีวิตภาคินต้องขาดแม่มาตลอด” กัญญเสียงสั่นน้ำตาไหล “ยกโทษให้แม่ด้วยนะ”
ภาคินพูดปลอบใจ
“แม่อย่าพูดแบบนี้สิครับ ต่อไปนี้ผมจะดูแลแม่เอง แม่จะได้เห็นผมทุกวันแล้วครับ แม่กลับมาอยู่กับเรานะ”
กัญญาอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เมื่อภาคินบอกหน้าจริงจัง

หลังโรงลิเก...ถมเอาเสื้อผ้าใส่ลังกระดาษอย่างหมดอาลัยเพราะอกหัก กัญญาเข้ามาเห็นเก็บของก็ถามอย่างแปลกใจ
“อ้าวพี่ถม...เก็บของจะไปไหน...จะย้ายโรงลิเกเหรอจ๊ะ”
ถมหันไปมองแล้วหันหน้ากลับ ตอบเสียงห้วนอย่างน้อยใจ
“ไม่รู้...ก็ไปมันเรื่อยๆ ชีวิตฉันมันก็แค่ลิเกเร่ร่อน มันก็ต้องร่อนเร่พเนจรร่ำไป ส่วนเธอ...ก็คงไม่คิดถึงโรงลิเกอีกแล้วสินะ”
“ใช่จ๊ะพี่ ฉันเจอสิ่งที่ฉันคิดถึงมากที่สุดแล้ว”
ถมสูดหายใจเข้าปอดอย่างอึ้ง ใจเสียกับคำตอบกัญญา
“นึกแล้วไม่มีผิด...ไม่น่าถามเล้ยเรา...”
ถมก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อผ้าต่อ กัญญามองถมอย่างอดขำไม่ได้ ลงนั่งข้าง จับมือถมตีมือเบาๆ ถมตกใจ
“พี่ถมนี่จริงๆนะ ยิ่งแก่ก็ยิ่งขี้น้อยใจ สมแล้วเป็นพระเอกลิเก ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วสิว่าฉันไม่ได้ชอบกินเด็ก แต่ฉันไม่กลับไปอยู่กับพ่อของภาคินหรอก ไม่เคยคิดไปทำลายครอบครัวเขา ฉันจะขออยู่ใกล้ๆ ลูกแบบนี้ แค่นี้ก็สุขใจแล้ว”
ถมมองกัญญาตาแทบเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ จับมือเธอแล้วถาม
“จริงๆนะแม่กัญญา จะไม่กลับไป..คืนดีกับเขาแน่นะ”
กัญญายิ้มพยักหน้า ถมหันรีหันขวาง เอาเสื้อผ้าเทออกจากลังยกใหญ่ จัดเก็บเข้าที่
“งั้นฉันก็ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว จะอยู่ใกล้ๆแม่กัญญานี่แหละ”
กัญญายิ้มขำ ดูถมเก็บเสื้อผ้าจัดเรียงเข้าฉันใหม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างสุขใจยิ่ง
“ถ้างั้นไม่พเนจร แล้ว อยู่มันที่นี่แหละ” ถมยิ้มอย่างมีความสุข

ที่นั่งผู้ชมบรรยากาศเหงาๆ ช้อยนั่งเดียวดายชันเข่าเหม่อมองเบื่อโลก เหมือนมีเรื่องคิดในใจไม่ตก ไข่ตุ๋นนั่งข้างๆ ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“น้าช้อยจะอยู่ท่านี้อีกนานไหม เห็นนั่งแต่เช้าแล้ว ลุงถมเรียกกินข้าวก็ไม่กิน แม่ครูก็มา ไม่ขึ้นไปกินด้วยกันละ”
ช้อยตัดพ้ออย่างน้อยใจ
“กินไม่ลง ก็ให้สองคนนั้นเขากินกันเข้าไป จะขึ้นไปเป็นก้างขวางคอเขาทำไม”
“ไข่ก็เพิ่งอิ่มลงมาเนี่ย ไม่เห็นมีปลา แล้วมันจะมีก้างได้ไง”
ช้อยถลึงตาใส่ ตวาดให้
“ไอ้ตุ๋น...ไอ้นี่วอน...คนยิ่งเบื่อๆโลกอยู่”
“เบื่อโลกมันต้องกินเป๊ปซี่...น้าไม่รู้เหรอ...มันจะทำให้เราซาบซ่าส์”
ช้อยมองไข่ตุ๋นถอนใจยาว
“เออ...ไปๆ ไปเอามาสักสิบขวด เผื่อมันจะช่วยบ้าง หิวน้ำอยู่พอดี”
“ร้องไห้มากก็หิวน้ำซิ รอแป้บนะ เดี๋ยวไข่ไปเอาให้”
ช้อยยกมือจะตบหัว ไข่ตุ๋นวิ่งจู๊ดหนีไป ช้อยชะเง้อคอมองไปข้างบนหลังโรงลิเก ตัดพ้อกับตัวเอง
“คุยไรกันนักหนา ไม่กลับบ้านกลับช่องสักที”
ช้อยถอนใจแรงๆ อย่างสุดจะเซ็ง
“เป็ปซี่หมด...เหลือแต่น้ำใบบัวบก”
เร็วกว่ามือหรือเท้าช้อยจะสัมผัสถึงตัว ไข่ตุ๋นวิ่งหายไปเร็วปานพายุ

ในห้องผู้ป่วย...ปานดาว หวีผมเรียบ ปะแป้ง ยิ้มแย้มนั่งเล่นของเล่นพลาสติกแบ่งสมบัติอยู่ พยาบาลยืนข้างปานเดือน บอกน้ำเสียงอ่อนล้า
“วันนี้สงบหน่อย มีของมาให้เล่น ท่าจะชอบมากเล่นไม่เบื่อเลย”
พยาบาลเดินออกไป ปานเดือนที่รันทดกับสภาพปานดาวเดินเข้าไปใกล้ ปานดาวยิ้มให้ ชูรถเบ็นซ์พลาสติก
“คันนี้ฉันเก็บไว้ให้ลูกวิทย์...โตขึ้นมาจะได้มีรถไปรับส่งที่โรงเรียน…สร้อยนี้ของฉัน...เพชรแท้เลยนะ...สวยไหม”
ปานเดือนน้ำตาไหลรีบปาดออกแล้วยิ้ม
“สวยจ๊ะ...สวยมาก พี่ดาว เดือนให้อภัยพี่ทุกอย่างนะ อโหสิกรรมให้หมดแล้ว พี่ดาวหายเร็วๆนะ”
ปานดาวยิ้มไม่รู้เรื่อง นั่งเล่นของเล่นต่ออย่างมีความสุขในโลกของตัวเอง

หน้าโรงพัก...พิมถูกใส่กุญแจมือหน้าเศร้า กำลังจะขึ้นรถผู้ต้องหาเพื่อย้ายไปฝากขังที่เรือนจำรอขึ้นศาล ปานฟ้าพาธัญวิทย์มาเยี่ยม ทันทีที่เห็นพิมก็วิ่งเข้าไปหาอย่างคิดถึง ไม่ต่างกับพิมที่กลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน
“คุณวิทย์ของพิม”
พิมยกแขนสูงคร่อมกอดวิทย์ไว้ทั้งที่มีกุญแจมือใส่อยู่ ธัญวิทย์ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมเขาใส่กุญแจมือพิม”
พิมร้องไห้
“เราเล่นเกมส์กัน”
“มัวแต่เล่นเพลินดิ ถึงไม่กลับบ้าน พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่ ไม่รู้หายไปไหน คิดถึงแม่จังเลย”
พิมสะอื้นร้องไห้หนัก กอดธัญวิทย์แน่นมาก
“โอย...อย่ากอดแรงสิ”
พิมรีบปล่อย
“คุณวิทย์ต้องเป็นเด็กดีนะ สัญญากับพิม แล้วพิมจะกลับมาหา”
“แล้วพิมจะไปไหน ทำไมต้องทิ้งฉันไปอีกคน ทำไมใครๆ ถึงทิ้งวิทย์ไปกันหมด”
ธัญวิทย์ร้องไห้โฮออกมาโดยไม่ตั้งใจ ตำรวจสะกิดให้พิมเดินตามไปขึ้นรถผู้ต้องขัง พิมไม่ยอมไป ตำรวจต้องลาก ปานฟ้าก็รั้งธัญวิทย์ที่ยื้อจะเข้าไปหาพิม
“คุณวิทย์ของพิม”
ธัญวิทย์ร้องไห้ไปพูดไป
“ไปไม่ได้นะ ต้องอยู่กับฉัน...พิม อย่าไปเลย พิม”
“พิมเขาต้องไปแล้วนะวิทย์ ปล่อยเขาไปเถอะ” ปานฟ้าดึงธัญวิทย์ไว้
พิมขึ้นรถผู้ต้องหาไป ร้องไห้มองวิทย์จนลับสายตา น้ำตาไหลลงลูกกรงรถปานจะขาดใจ
“วิทย์...ลูกแม่...”

กัญญากวาดใบไม้อยู่ที่สนามมูลนิธิ อานนท์ยืนไม่ห่าง
“บุษบา...ขอฉันพูดอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”
“ถ้าจะพูดเรื่อง...กลับไปอยู่หรือไม่กลับ ดิฉันอยู่แบบนี้ก็มีความสุขดีแล้วคะ ได้มาช่วยงาน ได้เห็นหน้าลูกทุกวันก็นอนตาย ตาหลับแล้ว”
“นี่เธอไม่เหลือเยื่อใยให้ฉันแล้วใช่ไหม”
กัญญาส่ายหน้า
“กลับไปอยู่กับครอบครัวของคุณเถอะค่ะ ดิฉันทำร้ายคุณหญิงกับก้องภพมานานแล้ว สิ่งที่ผ่านมาถือว่าชดใช้ให้แล้ว ต่อไปขออยู่อย่างสงบ เป็นแม่ที่ดีของลูก”
อานนท์สีหน้าเจื้อนลง
“เธอรักนายถมใช่มั้ย”
“เกือบยี่สิบปี พี่ถมคอยดูแล ดีกับดิฉันมาตลอด คงไม่มีใครรักและดีกับดิฉันเท่าพี่ถมอีกแล้ว”
อานนท์อึ้งหน้าเสีย เมื่อโดนกัญญาย้อนอย่างเจ็บปวด

ในห้องทำงานภาคิน ปานฟ้านั่งอยู่ด้วย กัญญาถือหนังสือพิมพ์ยิ้มเดินเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น “ภาคิน ลูกเห็นข่าวนี้รึยัง”
ภาคินปานฟ้าอ่านข่าวที่กัญญายื่นให้
“โอ้โห...นายถมทอง เจ้าของคณะลิเกชื่อดัง ผู้ปั้นลิเกเด็ก จอมทอง ศิษย์ถมทองจนโด่งดังทั่วประเทศ ได้รับการแต่งตั้งจากกรมศิลปากร ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนาฎศิลปไทย”
“น้าถมนี่เก่งจริงๆนะแม่”
“แม่เพิ่งโทรไปหาเมื่อกี้ ช้อยก็ได้งานเป็นอาจารย์สอนด้านลิเกด้วยนะ เห็นข่าวนี้แล้วแม่ชื่นใจจริงๆ เดี๋ยวต้องไปเลี้ยงฉลองกันซักหน่อย ไม่ได้ไปหานานแล้ว”
ภาคินอมยิ้มแล้วแซวกัญญา
“นานที่ไหนกันแม่...วันอาทิตย์ที่แล้วแม่ยังไปหาน้าถมอยู่เลย”
“เห็นคุณเล่าว่าคุณแม่ตื่นแต่ตีห้า ทำกับข้าวไปฝากน้าถมด้วยไม่ใช่หรอคะ”
กัญญาทำท่าเขิน
“ล้อเล่นกับผู้ใหญ่เดี๋ยวเถอะ ว่าแต่...เอิด...ลูกสองคนจะรังเกียจพี่ถมมั้ย เขาเป็นแค่ลิเกจนๆคนนึง”
ภาคินยิ้มให้กัญญา
“แม่ครับ คนเราวัดค่าความเป็นคนที่จิตใจนิสัยใจคอนะครับ ผมไม่เคยรังเกียจน้าถม ดีใจด้วยซ้ำที่น้าถมช่วยดูแลแม่ แม่อยู่กับใครแล้วมีความสุข ผมก็รักคนนั้นด้วย”
“แม่ก็เหมือนกันนะ ลูกอยู่กับใครแล้วมีความสุข...แม่ก็รักคนนั้นเหมือนกัน”
กัญญาโอบภาคินและปานฟ้าเข้าหากัน สามคนยิ้มหัวเราะอย่างสดชื่นกอดกันอย่างมีความสุขมาก

งานแต่งงานภาคินกับปานฟ้า จัดขึ้นที่โรงแรมหรู บรรยากาศในงานครึกครื้น สดชื่น ณ มุมหนึ่งที่สวยที่สุดในงาน ปานฟ้าในชุดเจ้าสาวสวย เปิดกล้องไม้เล็กๆบุกำมะหยี่อย่างดีที่ถืออยู่ ข้างในมีดอกกุหลาบแห้งสีน้ำตาลยังคงเก็บรักษาสภาพไว้อย่างดี
ภาคินถือกิ๊ฟติดผมที่เขาเก็บไว้มาโดยตลอด ตั้งแต่พบเธอครั้งแรกที่สนามบิน ยื่นมาวางคู่รวมกันในกล่องดอกไม้ ภาคินโอบกอดปานฟ้ายิ้มอย่างสุขใจ
“วันนี้เจ้าสาวของผมสวยที่สุดเลย”
“เจ้าบ่าวของฟ่าก็เท่ห์ที่สุดเลยคะ”
“ผมสัญญาว่าจะรัก และดูแลคุณไปตลอดปานฟ้า”
“ฟ้าก็เหมือนกันค่ะ จะเป็นภรรยาที่ดีของคุณตลอดไป”

ภาคินกำลังจะจูบปานฟ้า แต่ยังไม่ทันได้จูบ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากเวที เป็นเสียงบุญทิ้งร้องลิเกอย่างเพราะพริ้ง
“จะกล่าวฝ่ายเจ้าชายภาคินและเจ้าหญิงปานฟ้า...”
บุญทิ้งปรากฏตัวออกมาในชุดลิเกงดงาม แพรวพราวระยิบระยับไปด้วยเพชร กำลังร่ายรำอย่างสวยงามอยู่บนตั่งกลางเวที
“คืนนี้มาอภิเษกสมรส...ความหวานดุจน้ำตาลจากอ้อยสด”
ไข่ตุ๋นอยู่ในชุดลิเกแพรวพราวไม่แพ้กันที่นั่งข้างๆ ก็ร้องรับท่อนต่อเนื่องเสียงกังวานใส
“ช่างหวานหอม...จับใจ...ขอให้ทั้งคู่สดชื่น ทุกวันคืนไม่มีลด มีลูกหลานให้ปรากฏ ทั้งหัวปีท้ายปี”
ทุกคนฮาปรบมือลั่น กัญญาในชุดสวยงามยิ้มปรบมือปลื้มปิติ
“ในนามเจ้าภาพคืนนี้ ขอกราบลาด้วยจุมพิต ที่ฟ้าได้ลิขิตทั้งคู่สองมาครองเรือน”
“เตร็ง...เตรง...เตร็ง...เตรง....” ไข่ตุ๋นร้องต่อ
วงมโหรีของคณะลิเกรับลูกลงจังหวะอย่างสนุกสนามครื้นเครง ธัญวิทย์วิ่งมาหาภาคินและปานฟ้า
“ทั้งคู่จูบกันได้แล้วครับ ลิเกจะได้ปิดม่าน...”

ภาคินมองปานฟ้ายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้ามาจูบอย่างหวานซึ้งที่สุดในชีวิต

จบบริบูรณ์











Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2555 9:15:52 น.
Counter : 880 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)



ตุลย์ขับรถมา ปานฟ้านั่งข้างๆ บุญทิ้งกับเติมบุญนั่งอยู่ตรงเบาะหลัง ทั้งหมดช่วยกันมองด้านข้างรอบๆ สลับกับมองมือถือที่จับสัญญาณจากมือถือของภาคินได้

“นี่เราใกล้ถึงที่ที่คุณภาคินอยู่หรือยังคะ”
“ผมว่าคงอีกไม่ไกล แต่เราต้องหารถเขาให้เจอก่อน”
ปานฟ้าพยักหน้าแล้วมองข้างทางอย่างตั้งใจ เติมบุญกับบุญทิ้งก็ช่วยกันเขม้นมองหา
ถมขับรถตามตุลย์มา ไข่ตุ๋นนั่งหลัง ช้อยนั่งหน้าผึ่งแอร์เย็นสบายไม่ยอมช่วยมอง ถมต้องเตือน
“เอ้า...นั่งผึ่งแอร์อยู่นั่นแหละ ช่วยๆกันดูหน่อยสิแม่ช้อย ดูข้างหน้าให้มันดีๆ เผื่อจะเห็นอะไรมั่ง ไอ้ไข่ เอ็งก็ช่วยดูด้วย”
“โอ๊ยพี่ถม ฉันมองจนตาจะแหกอยู่แล้วไม่เห็นใครซักคน ไม่รู้ไอ้คุณตำรวจของพี่มันมั่ว นำทางผิดหรือเปล่าเนี่ย เวรกรรมของนังช้อยจริงจิ๊ง”
ช้อยทำท่ารำคาญสุดๆ

ภาคินค่อยๆปล่อยมือออก แล้วมองหน้ากัญญาบีบมือเอาไว้
“ไม่เป็นไรครับแม่ ต่อไปนี้แม่ไม่ต้องกลัวอะไรหรือใครอีกแล้ว ผมจะดูแลแม่เอง”
ก้องภพโผล่เข้ามาหัวเราะดังลั่น
“ผมจะดูแลแม่เอง เฮอะ...อยากพูดอะไรก็เอาเลย เพราะเดี๋ยวแกจะไม่ได้พูดอีกแล้วไอ้ภาคิน”
ภาคินมองหน้าน้องชาย
“ก้องภพ เลิกทำอะไรแบบนี้สักที”
“ขอโทษที่ขัดฉากซึ้งแม่ลูกพลัดพรากได้เจอกันว่ะ แต่พอดีทั้งแกทั้งแม่ทำบ้านฉันพัง แม่ก็แย่งผัว ลูกก็แย่งคู่หมั้น ฉันคงปล่อยพวกแกได้หรอก เอาไว้ไปคุยกันต่อในนรกแล้วกันนะ”
ก้องภพเอาไม้ฟาดหัว ภาคินล้มลงเจ็บปวด ก้องภพยังฟาดไม้ตามตัวภาคินอีก 2-3 ที กัญญาผวาเข้าไปกอดปกป้อง
“พอแล้วคุณก้อง อย่าทำภาคิน”
“ทำไมฉันต้องเชื่อคนอย่างแก”
ก้องภพเงื้อมือ กัญญาลุกเข้าไปผลักแย่งไม้ออกมา ก้องภพโมโหผลักกัญญาออกแล้วควักปืนออกมาเล็งไปทางภาคิน กัญญาผวาลุกขึ้นยืนบังไว้
“อย่ายิงลูกฉัน ถ้าจะยิงก็ยิงฉัน”
ก้องภพยิ้มแสยะ
“อย่ามาท้าฉันนะ”
กัญญาจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว
“ไม่ได้ท้า แต่ถ้าอยากยิง ยิงเลย...ยิงสิ”
ก้องภพเล็งปืนไปทางกัญญา มือแอบสั่นแต่พยายามควบคุมไว้ ภาคินตกใจ
“อย่านะก้องภพ อย่ายิง”
กัญญาท้าทาย
“เอาสิก้องภพ ถ้าเธอยิงแล้วความแค้นของเธอจะหายไป ก็ยิงมาที่ฉัน แต่อย่าทำร้ายลูกฉันอีกเลย ฉันขอร้อง”
“แกนึกว่าฉันไม่กล้าใช่มั้ย”
ก้องภพเล็งปืน แววตาสับสน ปลายกระบอกสั่นน้อยๆ เขาเม้มปากระงับความกลัว ปลายนิ้วแตะไกเบาๆ

ด้านนอก...ภูวดลกับปานดาวลงจากรถ พิมวิ่งออกมารับ ภูวดลมองเหี้ยมเกรียม
“มันฆ่ากันไปหรือยัง”
“ไอ้ลูกแหง่ติดแม่มันไม่ได้เรื่อง มัวแต่เล็งๆจดจ้องๆไม่ยอมยิงซะที เซ็ง”
ภูวดลเบะปาก
“นึกแล้ว...งั้นฉันจัดการเอง”
ภูวดลยิ้มเหี้ยม มองไปในโกดังร้าง
ก้องภพเล็งปืนไปทางกัญญาที่ขวางภาคินไว้ กัญญายื่นนิ่งพร้อมปกป้องลูก
“ถอยไป”
กัญญาไม่ขยับ
“ฉันบอกให้แกถอยไปไงเล่า”
กัญญามองนิ่ง
“ไม่ ถ้าจะมีใครต้องตาย คนๆนั้นต้องเป็นฉัน ไม่ใช่ภาคิน”
ก้องภพสบตา กัญญามองเยือกเย็น ก้องภพเล็งปืนไปดวงตาแดงก่ำ มือที่เล็งสั่นอย่างห้ามไม่ได้ กัญญาสังเกตเห็นก็ยิ้มอ่อนโยน
“พอเถอะก้องภพ ให้เรื่องมันจบแค่นี้เถอะ ลำพังคดีเก่าเธอก็แย่แล้วถ้า ฆ่าฉันกับลูกอีกเธอไม่ต้องมีโทษหนักกว่าเดิมเหรอ”
ก้องภพมือสั่น พยายามฝืนเล็ง
“ไม่ต้องมายุ่ง แกคิดจะขู่ฉันหรือไง”
“ฉันแค่คิดถึงหัวอกคนเป็นแม่ ถ้าลูกของฉันฆ่าคนตายแล้วต้องเข้าคุก ฉันคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต ลองคิดดูดีๆสิ มันคุ้มไหมที่ จะเอาตัวเองไปอยู่ในคุกเพื่อความสะใจแป๊บเดียว”
ก้องภพน้ำตาเริ่มคลอแต่ยังเล็งปืนอยู่
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันยิงแกแน่”
“เธอไม่ยิงฉันหรอกก้องภพ เธอไม่ใช่ฆาตกร เธอแค่หลงผิดชั่ววูบ อย่าทำร้ายตัวเองเลย อย่าให้พ่อแม่เธอต้องเสีย วางปืนลงซะ”
ก้องภพมองปืนในมือสลับกับหน้ากัญญา แววตาสับสน ภาคินมองระวัง ก้องภพปล่อยปืนลง ปืนค่อยๆร่วงลงพื้น เขาทรุดลงคุกเข่าร้องไห้คุดคู้เหมือนเด็ก กัญญาเข้าไปกอดปลอบ ภาคินมองไปที่ปืน เอื้อมมือไปจะคว้ามาเก็บ แต่มือภูวดลที่เพิ่งเข้ามาคว้าขึ้นไปก่อน ภูวดลคว้าปืนขึ้นเล็งภาคิน
“ไอ้ขี้ขลาดไม่เอาไหนมันไม่กล้ายิงแก แต่ฉันคนนี้ไม่ปล่อยแกแน่”
ภาคินมองภูวดลนิ่ง
“ที่แท้ก็เป็นคุณเอง ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”
ภูวดลยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาเป็นประกาย

รถสองคันแล่นมาจากคนละทางวนมาเจอกันพอดี โรงงานร้างอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ตุลย์เปิดประตูลงมา ทุกคนลงตาม
“ผมว่าต้องเป็นที่โรงงานร้างนั่นแน่ ทุกคนขึ้นไปอยู่บนรถนะครับ อย่าตามมาเด็ดขาด จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของตำรวจแล้ว ย้ำอีกครั้งนะ ครับว่าห้ามมาเด็ดขาด ให้ผมเข้าไปดูคนเดียว ถ้าใช่ ผมจะเรียกกำลังสนับสนุนให้รีบมาช่วยเร็วที่สุด”
ตุลย์เดินหายลับตาไป ปานฟ้ามองตาม แล้วหันมายิ้มหวาน
“ฟ้าจะไปด้วยนะคะ ทุกคนรอที่นี่ ฟ้าแค่จะไปเดินดูใกล้ๆเดี๋ยวกลับมาค่ะ”
ปานฟ้าพูดจบก็ก้าวไปทันที ทิ้งทุกคนที่เหลือไว้ คนที่เหลือมองหน้ากัน ถมร้อนใจ
“ฉันไปด้วย หมวดกับคุณฟ้าคงไม่พอ ยังไงเผื่อมีอะไรช่วยกันได้”
“ให้ผมไปด้วยนะพ่อครู”
ถมมองบุญทิ้ง เติมบุญหัวเราะ
“เออวุ้ย ไอ้หลานฉันนี่มันใจกล้าจริงๆ เอาเป็นว่าไปกันหมดนี่เลยแล้วกัน ดีไหม”
ไข่ตุ๋นยกนิ้วให้
“ไอเดียคุณตานี่เจ๋งเป้งไปเลย ไข่กดไล้ค์”
ทุกคนเดินไป เหลือช้อยที่เดินรั้งท้ายบ่นกระปอดกระแปด
“ถามฉันสักคำยังยะว่าอยากไปหรือเปล่า เชอะ”

ภูวดลเล็งปืนไปที่ภาคิน กัญญาผวาจะลุกเข้าไปกัน แต่ภาคินส่งสายตาห้ามไว้
“คุณต้องการอะไร”
ปานดาวเดินเข้ามา ยิ้มร้าย
“ถามโง่ๆ ก็ต้องการเขี่ยแกออกจากชีวิตและสมบัติของเราไง อย่าคิดว่าเป็นแฟนยายฟ้าแล้ว จะมาฮุบสมบัติบ้านฉันได้ง่ายๆ ฝันไปเหอะ”
“ผมไม่เคยอยากได้สมบัติใคร ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ”
ปานดาวมองหยัน
“อย่ามาโกหก ฉันไม่โง่เหมือนยายฟ้าหรอกย่ะ”
ภูวดลเดินเข้ามาใกล้ เอาปืนจ่อหัวภาคิน ปานดาวมองอย่างสมเพช
“ทำแบบนี้อย่านึกว่าพวกคุณจะรอด ตำรวจต้องไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
ภูวดลหัวเราะ
“รอดไม่รอดก็ช่าง แต่กว่าพวกมันจะเจอศพแก พวกฉันก็เผ่นไปนานแล้วเว้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ภูวดลจิ้มปืนให้เงยหน้าขึ้น ภาคินมองสบตาอย่างไม่ยอมแพ้

ปานฟ้าเดินเลาะเข้ามาในป่า ป่ารกมืดเธอมองหาตุลย์ด้วยหน้าตาเป็นกังวล
“จะเดินเร็วไปไหนเนี่ยคุณตุลย์ หายไปไหนแล้ว”
ปานฟ้าบ่นพึมพำ ทันใดนั้นมีมือมาสะกิดที่ไหล่ ปานฟ้านึกดีใจว่าเป็นตุลย์หันกลับไปมองเห็นเป็นพิมก็ตกใจ
“พิม”
พิมยิ้มแสยะ
“ใช่ ฉันเอง”
พิมตบหน้าปานฟ้าเต็มแรง แล้วลากตัวปานฟ้าเข้ามาในโรงงาน ตุลย์ที่จับตาดูอยู่ถอนหายใจเฮือก
“โหยคุณฟ้า ทำไมต้องตอนนี้ด้วยวะ กำลังเสริมก็ยังไม่มาอีก ผิดแผนเลยตู”
พิมลากเข้ามาแล้วผลักปานฟ้าลง ภาคินตกใจ
“คุณฟ้า”
ภาคินจะถลันเข้ามาดูปานฟ้า แต่ภูวดลเอาปืนกันหน้าไว้ ภาคินเลยต้องชะงัก ปานดาวเดินเข้ามาหา
“แส่ตามมาทำไมยะแม่คนดี อยากตายพร้อมแฟนแกรึไง”
ปานฟ้าตกใจ
“พี่ดาวพูดอะไร นี่คิดจะ...”
“ใช่ ฉันคิดจะฆ่าพวกแก”
ปานฟ้าอึ้ง นึกไม่ถึง
“พี่ดาวอย่าทำอะไรนะคะ นี่เราเป็นพี่น้องกันนะ”
“เป็นใครไม่สำคัญ แต่ถ้ามาแย่งสมบัติฉัน...แกต้องตายอย่างเดียว”
ปานฟ้ามองหน้าพี่สาว อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ถ้า พี่ดาวฆ่าพวกเรา ตำรวจต้องจับพี่แน่ๆ พี่ดาวใจเย็นๆ อย่าทำอะไรวู่วาม ถ้าฟ้าเป็นอะไรไป คิดเหรอว่าพี่จะได้สมบัติ”
“เชื่อแกก็โง่สิ ไม่ต้องมาหว่านล้อมฉัน ไหนๆก็รักกันมากแล้ว ฉันจะสงเคราะห์ให้พวกแกตามไปรักกันในเมืองผีแล้วกัน”
เติมบุญเข้ามา
“พวกเธอทำอะไรกัน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ปานดาวตกใจ
“พ่อ”
ตุลย์ที่ซุ่มอยู่กุมขมับ
“โอย...ตูจะบ้าตาย คูณสองยกโขยงกันมาเลยเปล่าวะเนี่ย”
เติมบุญก้าวเข้าหาภูวดล
“หยุดแค่นี้เลยภูวดล ยายดาว แกอย่าทำผิดไปมากกว่านี้เลย”
ภูวดลแค่นหัวเราะ
“ฮึ สายไปแล้วเว้ย”
เติมบุญมองหน้าลูกเขยอย่างไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไง”
“ตอนแรกฉันก็กะจะเอาแค่สองแม่ลูก แต่ไหนๆก็ยกขโยงตามกันมาก็ช่วยไม่ได้ นึกว่าถึงคราวซวยแล้วกันไอ้แก่”
เติมบุญหน้าเครียด
“นี่แกกล้าว่าฉันว่า ไอ้แก่เลยเหรอ เจ้าภูวดล”
“ยิ่งกว่านี้ ฉันก็กล้าโว๊ย...ไอ้แก่เติมบุญ อยากประเดิมก่อนเลยมั้ย”
ปานดาวชะงัน เข้าไปคว้าแขนภูวดล
“ไม่ได้นะ คุณจะทำอะไรพ่อฉัน”
ภูวดลสะบัด
“ไหนๆก็แก่จวนจะลงโลงแล้ว ก็ตายตอนนี้เลยแล้วกัน” ภูวดลตวาดปานดาว “ถอยไป”
ทุกคนตกใจอึ้งตะลึง พิมยิ้มสะใจร้ายกาจ...ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งหันมาสบตากัน ถมกับช้อยแอบอยู่ใกล้ๆมองไปทางด้านในโรงงาน ไข่ตุ๋นใจเสีย
“คุณตาเสร็จแน่เลยพ่อครู เอาไงดี”
“ไม่เอาไงหรอก ขอข้าคิดหาทางก่อน”
ถมคิดเครียด บุญทิ้งมองอย่างเป็นห่วง...ปานดาวเห็นภูวดลเอาปืนจ่อไปทางเติมบุญก็กรี๊ดลั่น เข้าไปแย่งปืน
“หยุดนะคุณภู จะบ้าเหรอ ห้ามทำอะไรพ่อฉัน”
ภูวดลสะบัดออก
“สายไปแล้ว ไอ้แก่นี่มันรนหาที่ตายเอง ปล่อยไปเราไม่รอดแน่”
ปานฟ้าตกใจ
“อย่านะ นี่พ่อฉันนะ”
ตุลย์ขยับจะเข้าไปช่วยแต่พวกถมเข้าไปก่อน ถมพุ่งเข้าหาภูวดลพยายามแย่งปืนแต่ถูกสะบัดล้มกลิ้ง ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งวิ่งไปหากัญญากับภาคิน ช้อยยืนลังเลไม่กล้าเข้าไปสู้แต่ทำใจกล้าร้องเสียงดัง
“ไอ้พวกโจรตัวร้าย วันนี้จะเอาให้ตายย่อยยับ แอบมาทำร้ายกันลับๆ นังช้อยจะจับเข้าซังเต พุทโธ่พุทถังช่างสิ้นคิด อยากจะติดคุกกันใช่ไหม ได้เลยไอ้พวกวายร้าย วันนี้ไม่ตายฉันไม่ยอม”
พิมที่อยู่ใกล้ๆตบช้อยลงไปกอง ช้อยกรี๊ดลั่น
“หนวกหูเว้ย นังลิเกหลงโรง”
“นังโจร คนชั่ว แกกล้าตบนังช้อยเหรอ...แกตาย”
ช้อยพุ่งเข้าไปหาพิมตะลุมบอน พิมชักมีดมาขู่ ถมเห็นช้อยเสียท่าเลยจะเข้าไปช่วยแต่ถูก ก้องภพดึงไว้ ถมต่อยสวนก้องภพหลบได้แล้วเตะล้ม ถมไม่ยอมยึดขาเอาไว้ สู้กันอุดตลุด
ตุลย์โผล่เข้ามาไปแย่งปืนภูวดลแต่ถูกลูกน้องภูวดลที่เข้ามาใหม่ลากตัวออกมา ตุลย์สู้กับลูกน้องภูวดล ภาคินพยายามลุกไปช่วยแต่ก็เจ็บจนลุกไม่ขึ้น กัญญากอดภาคินเอาตัวบังไว้
“โทษทีที่ให้รอนาน ถึงเวลาตายของแกแล้ว”
ปานดาวตกใจ
“ไม่นะคุณภู”
ภูวดลไม่ฟังเสียงยิงทันที เติมบุญล้มลงไปนอน ปานฟ้ากับปานดาวเรียกพร้อมกัน
“คุณพ่อ”
ปานดาวกับปานฟ้าวิ่งไปประคอง
“คุณพ่อ พ่อต้องไม่เป็นอะไรนะคะ พ่อ...พ่อคะ”
ปานดาวหันมองทางภูวดลที่หัวเราะสะใจ ทุกคนที่สู้กันหยุดค้างอย่างตกใจ ช้อยได้ทีเตะมีดในมือพิมจนหล่นลง ปานดาวโกรธมาก
“ภูวดล...แก...แกฆ่าพ่อฉัน”
ภูวดลยิ้มเยาะ
“ป่านนี้แล้วน่า แค่คนแก่ตายไปคนจะเป็นไรไป”
“ไอ้สารเลว ไอ้เลือดเย็น ไอ้คนชั่ว”
ภูวดลก้าวเข้ามายกปืนจะยิงซ้ำ ปานดาวผวาตัวไปคว้ามีดที่พิมทำตก จ้วงแทงเข้าท้องภูวดล หวังปกป้องพ่อ ภูวดลสะดุ้งเฮือกขาดใจตายล้มลงทับปานดาวทันที ปานดาวกรี๊ดลั่นผลักศพออก สองมือเต็มไปด้วยเลือด ทุกคนอึ้ง ปานดาวยืนตัวสั่น
“ไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณภู ไม่นะ...ไม่”
ปานดาวทรุดลงนั่ง แล้วร้องกรี๊ดอย่างคนเสียสติ พิมได้สติก่อน รีบคว้ามีดขึ้น แล้วลากปานฟ้ามาเป็นตัวประกัน
“หลบไป ไม่งั้นฉันเชือดนังนี่ทิ้งแน่”
ภาคินตกใจ
“ปล่อยคุณฟ้าเถอะพิม ตอนนี้โทษของเธอยังเบา พวกเรายังช่วยได้”
พิมหัวเราะหยัน
“อย่ามาหลอกนังพิมเสียให้ยาก ฉันยอมให้พวกแกกดขี่มานานแล้วคราวนี้นังพิมขอเอาคืนบ้าง” พิมผลักปานฟ้า “ไป...ถ้าใครตามมาฉันจะปาดคอมันทิ้งหมกป่า เข้าใจมั้ย”
พิมลากปานฟ้าจะเดินออก ปานฟ้ามองสบสายตา ภาคินมองอย่างเป็นห่วง...พิมเอามีดจ่อให้ปานฟ้าเดินนำ
“เดินไปนังปานฟ้า อย่ามาสำออย”
ปานฟ้าพยายามดิ้น พิมชักมีดขู่แต่โดนที่แขนเข้าจริงๆ ปานฟ้าเลือดไหล
“โอ๊ย”
“สมน้ำหน้า พวกแกต้องชดใช้ให้ฉันอย่างเจ็บแสบ”
“พวกฉันไปทำอะไรให้เธอ เธอต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง ก่อเรื่องให้ตัวเองต้องเดือดร้อน”
“ทำอะไรเหรอ พวกแกมันเกิดมาสบาย โชคดีกว่าฉันเท่าไหร่ มีกินมีใช้ไม่เคยอด ไอ้พวกเศรษฐีอย่างแก มันต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง อย่าพูดมาก ตอนนี้ชีวิตแกอยู่ในมือฉันแล้ว ได้สนุกแน่...นังปานฟ้า”
ปานดาวนั่งอยู่กับพื้นกรีดร้องเสียสติ ตุลย์เดินเข้าไปหาแล้วจับที่ไหล่ ปานดาวสะบัดออกแล้วกรี๊ดลั่น
“ไม่...ฉันไม่ได้ฆ่า ไม่ใช่...เลือด...เลือด ไม่...ไม่ใช่”
ถมเข้าไปหากัญญา
“กัญญา เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนมั้ย”
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ถม”
ช้อยเบะปาก
“ก็เห็นๆอยู่น่าพี่ถม แม่ครูสุดสวาทของพี่ไม่เป็นไรหรอกน่า”
บุญทิ้งวิ่งไปดูเติมบุญ
“คุณตา...คุณตาเป็นยังไงบ้างครับ”
เติมบุญที่นอนนิ่ง ลืมตาขึ้น ยิ้มให้บุญทิ้ง บุญทิ้งมองอย่างตกใจและดี เติมบุญค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง บุญทิ้งช่วยประคอง
“คุณตาไม่ตายนี่”
เติมบุญยิ้มกว้าง
“ก็ไม่ตายน่ะสิ” เติมบุญหยิบพระที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาดู เห็นกรอบพระโดนกระสุนปาดไป “ไม่เป็นไร คุณพระคุ้มครอง กระสุนโดนพระที่ห้อยคอตาพอดี ไม่งั้นป่านนี้คงได้กลับบ้านเก่าแล้ว ทุกคนรีบไปช่วยยัยฟ้าก่อนเถอะ ไม่รู้นังงูพิษมันพาไปไหนแล้ว”
ไข่ตุ๋นเข้ามาบอก
“ฮู้ย พี่ภาคินเขาวิ่งตามไปตั้งแต่มันพาไปแล้วจ้ะตา”
เติมบุญมองตามอย่างเป็นห่วง สลับกับมองปานดาวที่ตัวเลอะเลือดอย่างเวทนา เติมบุญขยับไปจับแขนปานดาวที่สะบัดแขนออกอย่างช๊อค
“ไม่ ฉันไม่ได้ทำนะ ไม่ได้ทำ”
ปานดาวกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวล

พิมที่บ้าเลือดพร้อมสู้ตาย เอามีดจี้เอวบังคับและลากปานฟ้าให้รีบเดินหนี ภาคินวิ่งตาม พิมหันไปเห็นหันควับกลับมาด้วยความตื่นตระหนก ภาคินชะงักหยุดมองปานฟ้าด้วยสายตาเป็นห่วงมากไม่ต่างกับปานฟ้าที่ร้องไห้มองกลับมาอย่างหวาดกลัว พิมหันมาตะคอกใส่ภาคิน
“ถ้าแกยังตามมา รับรองนังนี่กลายเป็นศพแน่ กลับไปซะ”
พิมกระชากมีดจะแทงปานฟ้า ภาคินรีบห้าม
“อย่า...เธออย่าทำอะไรบ้าๆนะ ปล่อยคุณฟ้าเดี๋ยวนี้ ที่ผ่านมาเธอก็ผิดมากแล้ว...ตอนนี้ยังกลับตัวทัน มอบตัวเถอะพิม”
พิมลังเลแต่ยังไม่ไว้ใจภาคินมากนัก
“บอกให้ถอยไปไง ฉันมันหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอีกแล้ว นึกเหรอว่าฉันไม่กล้าฆ่ามัน...อย่าเข้ามานะ”
ตุลย์วิ่งตามมาหยุดข้างภาคิน จ้องพิมทุกฝีก้าว เพื่อฉวยจังหวะเข้าช่วยปานฟ้า
“ใจเย็นๆ...วางมีดก่อน...ไม่มีใครทำอะไรเธอหรอก อย่าวู่วาม ทุกอย่างจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ถ้าเธอทำอะไรคุณปานฟ้า”
พิมกดดันมากหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี ปานฟ้าดิ้น พิมกระชับคอให้แน่นขึ้น
“อย่าดิ้นสิว่ะ....เดี๋ยวเสียบหลังทะลุ...ลองเข้ามาสิอย่างมากก็ตายทั้งคู่ อย่านึกว่าฉันไม่กล้านะ”
เฟื่องแก้วพาธัญวิทย์เข้ามาอีกด้าน ธัญวิทย์ตกใจ
“พิม...แกจะทำอะไรน้าฟ้า”
พิมหันหน้ามาเห็นวิทย์ที่ยืนมองมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว พิมร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้
“คุณวิทย์...คุณวิทย์ของพิม”
เฟื่องแก้วมองหน้า
“ถ้าเธอตาย ไม่ห่วงเด็กคนนี้หรอไง ตอนนี้เขาไม่มีใครแล้ว”
พิมตะโกนใส่หน้า
“หยุดนะ...อย่าพูด”
พิมร้องไห้ พร่ำเพ้อหนัก ธัญวิทย์เสียงสั่นกลัวกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“พิม แกเล่นอะไร เล่นแบบนี้ไม่สนุกนะ...ฉันกลัว...ฉันกลัวจริงๆ”
พิมเกือบจะปล่อยมือจากปานฟ้าเพื่อเข้าไปกอดลูกแต่ยับยั้งใจไว้ บีบมีดแน่นจนมือสั่นอย่างรันทดใจ ภาคินสังเกตเห็นพฤติกรรมทั้งสงสัยมาตลอดเรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนี้ จึงลองเสี่ยงตะโกนออกไป
“ปล่อยปานฟ้าซะ หรืออยากติดคุกจนแก่ เธอไม่อยากอยู่กับลูกเหรอไง”
พิมอึ้งที่ภาคินรู้ความจริง ปานฟ้าก็พลอยตะลึงไปด้วย พิมสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันจะช่วยพูดกับทุกคนให้ ขอให้เธอเชื่อใจฉัน คนเรากลับตัวกันได้ ขออย่างเดียวอย่าวู่วาม นึกถึงลูกเธอไว้มากๆ”
พิมร้องไห้น้ำตาไหลพราก มองลูกชายอย่างอาลัย ธัญวิทย์ผละจากเฟื่องแก้ววิ่งตรงมายืนตรงหน้าพิม ร้องไห้เสียงสั่น
“อย่าทำอะไรน้าฟ้า พิมไม่รักวิทย์แล้วเหรอ ทำน่ากลัวแบบนี้ทำไม”
พอสิ้นเสียงธัญวิทย์ มีดพิมก็ตกจากมือ โผเข้าไปกอดลูกที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่คิดถึงสิ่งอื่นอีกต่อไปแล้ว
“คุณวิทย์...คุณวิทย์ของพิมพ์...ลูก...”
“ทำแบบนี้ แกติดคุกแน่ๆ ปล่อยน้าฟ้าเถอะ”
พิมพยักหน้ากอดลูกไว้อย่างแรง ร้องไห้ไม่พูดไม่จา ภาคินรีบเข้าไปพยุงปานฟ้าที่ทรุดตัวลงแบบแทบจะหมดสติ ตุลย์เข้าไปจับตัวพิม เฟื่องแก้วเข้ามาอยู่ใกล้ธัญวิทย์อย่างเป็นห่วง

เจ้าหน้าเข็นเตียงที่ปานฟ้านอนอยู่มาจอดท้ายรถพยาบาล ภาคินเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง ปานฟ้าท่าทางเหนื่อยล้าแต่ยังฝืนยิ้มกับเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ฝากดูคุณพ่อด้วยนะคะ ฟ้าไม่เป็นไรแล้ว เจ็บแผลนิดหน่อย เดี๋ยวถึงโรงพยาบาลก็ได้พักแล้ว”
ภาคินลูบหน้าปัดไรผมให้เธออย่างถนุถนอม จับมือให้กำลังใจ
“เจ็บขนาดนี้ ห่วงตัวเองบ้างเถอะ เรื่องทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยว ผมดูแลจัดการให้ คุณพักผ่อนเถอะ หมดเรื่องแล้ว”
ปานฟ้ายิ้มอย่างโล่งอกที่มีเขาช่วยส่งสายตา ที่บอกความหมายในใจ ด้วยเสียงอันเหนื่อยอ่อนแต่หนักแน่น ภาคินยิ้มตอบด้วยความรักและห่วงใย
“รู้ไหมคะ...ทุกครั้งที่เกิดเรื่องกับฟ้า...ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่ฟ้ารู้ว่าจะต้องไม่เป็นไร จะผ่านมันไปได้ เพราะสุดท้าย ฟ้าก็จะได้เห็นหน้าและรอยยิ้มแบบนี้” ปานฟ้าจับแก้มเขา “ของคุณเสมอ”
ปานฟ้ายิ้มแววตาเปี่ยมไปด้วยรักให้ ภาคินลูบที่แก้มเธออย่างแผ่วเบา
“รอยยิ้มและสายตาแบบนี้ของคุณก็เหมือนกัน ผมจำได้ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน...มันมีความหมายมากสำหรับผม ขอบคุณมากนะที่คอยให้กำลังใจกันมาตลอด...ฟ้าครับ...ผมรักคุณ...รักคุณมาก”
“ฟ้าก็รักคุณคะ....ภาคิน”
ภาคินก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของเธอ พยาบาลเดินมาหา
“ต้องนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลแล้วคะ”
ภาคินละมือจากหญิงสาวคนรัก ยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“ผมจัดการอะไรทางนี้เสร็จแล้ว จะรีบตามไปที่โรงพยาบาลนะ”
ปานฟ้าพยักหน้า หลับตาลงช้าๆอย่างเหนื่อยล้า แต่ใบหน้าเปี่ยมด้วยความสุขและรอยยิ้มด้วยรักที่ล้นอยู่ในหัวใจ

ตำรวจจับตัวก้องภพกำลังจะพาออกไปข้างนอก อานนท์กับวิมลวรรณมาถึง วิมลวรรณตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปกอดก้องร้องไห้
“ก้อง...ปล่อยเดี๋ยวนี้นะนี่ลูกฉัน...คุณหญิงวิมลวรรณ ลูกฉันผิดอะไร จับด้วยข้อหาอะไรมิทราบ”
อานนท์งงกับเหตุการณ์ที่พบ
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วภาคินล่ะ”
“ต้องเอาตัวไปสอบสวนที่โรงพัก...มีอะไรตามไปที่นั่นครับ”
ตำรวจไม่สนใจลากตัวก้องไปวิมลวรรณเดินตามไม่ห่าง อานนท์มองไปรอบๆหาตัวภาคิน
“ภาคิน...ภาคิน”
อานนท์เดินตามออกมาอีกมุมในโกดังร้าง เห็นกัญญาซึ่งกำลังให้ปากคำกับตำรวจ ถึงกับอึ้ง แทบไม่เชื่อตาตัวเอง
“บุษบา...”
กัญญาหันมาทางอานนท์ ตะลึงที่พบอย่างไม่คาดฝัน เธอคิดจะหนีเหมือนทุกครั้งแต่อานนท์ไวกว่า ปราดเข้าไปจับแขนไว้ อานนท์ตื้นตันแววตาดีใจมากที่พบคนรักเก่าที่ตามหามานาน กัญญาแท้จริงในใจแล้วก็ดีใจยิ่งที่ได้พบหน้าเขาแต่ยังตื่นกลัว ขยาดกับคำขู่ของวิมลวรรณ
“คุณ”
อานนท์กอดกัญญาอย่างรักเก่าที่รอคอยได้สมดั่งใจ จนเธอยืนตัวแข็ง ใจลึกๆก็อดดีใจไม่ได้
“รู้ไหมว่าฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน...ตามหาเธอมานานขนาดไหน”
ถมเดินเข้ามาอึ้งกับภาพที่เห็นจนพูดอะไรไม่ออก ภาคินที่กลับเข้ามาในโกดังยิ้มแววตาดีใจ ในใจลึกๆมีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน ต่างจากวิมลวรรณที่เดินตามจะมาหาอานนท์ ใจสลาย ขมขื่นกับท่าทางและคำพูดของอานนท์ต่อบุษบายิ่งนัก
อานนท์พากัญญามาคุยกันอีกมุมหนึ่งของโกดังร้าง อานนท์สีหน้าแช่มชื่น มองอย่างคนเคยรัก
“เราคงทำบุญร่วมกันมาจริงๆนะบุษบา ฉันดีใจมากที่เจอเธอวันนี้มีคนบอกว่าเธอ...ไม่อยู่ซะแล้ว ใจชั้นแทบแตก ได้แต่หวังว่าคนบอกจะบอกผิด เธอจะยังมีชีวิตอยู่”
กัญญามองหน้าอานนท์อย่างครุ่นคิด เริ่มรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เพราะห่างเหินกันมานานมาก
“ฉันก็...ดีใจที่เห็นคุณสบายดี สุขภาพแข็งแรง”
อานนท์หน้าซีดยิ้มน้อยลง
“ทำไม ดูเธอ...ห่างเหินกับชั้นแบบนี้”
“เราคงไม่ได้พบกัน...นานเกินไป สิบแปดปี มันนานมาก”
อานนท์เอื้อมมากุมมือไว้ เธอพยายามดึงมือออก
“ปล่อยค่ะ...ฉันขอตัวไปดูลูก”
กัญญาลุกเดินจะออกไปจากห้อง อานนท์ลุกเดินตามไปจับต้นแขนเธอไว้ ถมที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นด้วยความหึงและหวง เดินเข้ามาเห็นภาพพอดี มองอย่างปวดร้าว ส่งสายตาเย็นชาให้กัญญา หันหลังกลับเดินจากไปอย่างน้อยในวาสนา
“พี่ถม...เดี๋ยวก่อน...พี่ถม”
อานนท์ดึงไว้
“ตอนนี้หมดเรื่องร้ายๆ แล้ว กลับบ้านเรากันเถอะ ฉันกับภาคินรอเธออยู่”
กัญญาช้ำใจในปลายคำของอานนท์ หันสบตาแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงน้อยใจยิ่ง
“บ้านเรา...เคยมีบ้านเราที่ไหน มีแต่บ้านของคุณกับคุณหญิง”
อานนท์อึ้งทำอะไรไม่ถูก กัญญาเดินจากไปโดยไม่มองหน้า พอเจอภาคินที่เดินตรงมาหา
ก็ยิ้มให้อย่างอบอุ่น พอจะ เข้าใจว่าสองคนคุยเรื่องอะไรกัน
“คุณ...เออ...ลูกไปส่งแม่ได้ไหมจ๊ะ”
“ได้สิครับ ผมรอวันนี้มานานแล้ว”

ภาคินยิ้มให้พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ เดินโอบแม่อย่างเป็นห่วง อานนท์ได้แต่มองตามบุษบาที่เหมือนสิ้นเยื่อใยต่อเขา











Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 20:55:53 น.
Counter : 287 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 14 อวสาน



ช้อยเห็นถมนั่งหน้าเศร้าอยู่ในโรงแรมม่านรูดราคาถูกก็หมั่นไส้ เดินมากระแทกตัวลงนั่งแรงๆ แต่ถมก็ไม่สน แถมไม่หันมามอง

“นั่งนิ่งเป็นวิญญาณตายซากเชียวนะพี่ถม หาไม่เจอก็กลับบ้านนอก ไปเล่นลิเกทำมาหากินกันเถอะ”
“ใครอยากกลับ ก็กลับไปก่อน”
ช้อยไม่พอใจ
“เอ๊ะ พูดแบบนี้ได้ไง เพราะแม่ครูแก่นั่นคนเดียว พี่ถึงกับจะทิ้งทุกคนในคณะเลยเหรอ แบบนี้เอาตัวรอดนี่หว่า”
“หนอนขึ้นปากรึไง ถึงชอบพูดแต่อะไรเน่าๆ ข้าบอกสักคำมั้ยว่าจะทิ้งใคร แต่ถ้าเอ็งอยากไป ข้าก็ไม่ห้าม”
“ยังไม่ได้บอกสักคำ ว่าจะไป....”
ไข่ตุ๋นถือหนังสือพิมพ์วิ่งมา
“น้าช้อย นอสอพอมาแล้ว รีบตรวจดิ เผื่อถูกหวยจะได้รวยสักที”
“ไม่มีอารมณ์เว้ย ไม่ต้องรวยเรยมันแล้ว อดตายอยู่แถวนี้แหละ นางฟ้านางสวรรค์ คงกลับมาหรอก”
ถมชำเลืองมอง แล้วหันหน้าหนี ไม่อยากทะเลาะด้วย ตุ๋นมองอย่างขัดใจ แบมือตรงหน้าช้อย
“งั้นเอามา เด๋วตุ๋นจัดการเอง”
ช้อยหยิบล๊อตเตอรี่ออกส่งให้อย่างอารมณ์ไม่ดี ไข่ตุ๋นรีบเปิดนสพ.
“ถ้าถูกรางวัลที่หนึ่ง น้าช้อยต้องพาตุ๋นไปเที่ยวดรีมเวิร์ลนะ”
“เออ”
ไข่ตุ๋นยิ้มชอบใจ จะเปิดนสพ.เพื่อตรวจล๊อตเตอรี่ แต่เปิดหน้าผิด เป็นหน้าสังคม พอจะเปิดใหม่ก็ชะงัก เห็นรูปบุญทิ้งยืนอยู่กับปานเดือนและอนิรุทธิ์
“เอ๊ะ...”
“ถูกรางวัลที่หนึ่งจริงๆหรือไง”
“ไม่ใช่”
ช้อยชะโงกหน้ามาดู แล้วอ่าน...
“เจ้าสัวเติมบุญแห่งสหกรุ๊ป เลี้ยงรับขวัญทายาทคนเดียว ทินภัทร...โอ๊ย ไอ้พวกเศรษฐีตังเยอะ ดีแต่เลี้ยงแต่กิน ไม่รู้จักแบ่งให้นังช้อยมั่ง เอ้าไอ้ตุ๋น นั่งจ้องอยู่ได้ เช็คล๊อตเตอรี่สิเว้ย”
“ถูกแล้ว ใช่เลย…น้าช้อยดูให้ดีดิ นี่มันใคร”
ช้อยชะโงกหน้ามาดู แล้วจะหันหน้ากลับ แต่ชะงักจ้องที่รูปบุญทิ้ง
“เฮ้ย นี่มัน...”

บุญทิ้งเตะบอลเล่นอยู่กับอนิรุทธิ์ในสวน โดยมีปานเดือน นั่งยิ้มอย่างมีความสุข ป้าแก้วเดินเข้ามาบอกให้รู้...
“ขออนุญาตนะคะ คุณทินภัทรคะ มีแขกมาพบค่ะ”
บุญทิ้งหยุดเตะบอลสงสัยว่าใครมาหา ขณะเดียวกันในบ้าน...ไข่ตุ๋นยืนร้องและรำลิเกอยู่ กลางห้องรับแขก โดย คนอื่นๆในบ้าน มองอย่างเอ็นดู ไข่ตุ๋นร้องและรำจนจบ ทุกคนปรบมือให้
“เก่งจริงนะ ตัวแค่นี้ เห็นเด็กๆเล่นลิเก แล้วมันน่าเอ็นดู ตบรางวัลให้ไข่ตุ๋นหน่อยสิคุณ”
เติมบุญบอกสายอุษา ช้อยยิ้มแป้น ส่งขยิบตาสัญญาณให้ ไข่ตุ๋นคลานเข้าไปรับรางวัลจาก สายอุษาที่ส่งแบงก์พันให้ไข่ตุ๋น ไข่ตุ๋นมองาตาโตดีใจ
“โห แบงก์พัน...ขอขอบพระคุณ ที่กรุณากับตัวกระผม ไข่ตุ๋นน้อยๆ จะร้องให้ท่านชื่นชม สมดังพระคุณที่กรุณา”
“ขอบใจนะพ่อไข่ตุ๋น ที่อนุรักษ์ศิลปะไทยเราไว้ แสดงลิเกต่อไปนะ”
ไข่ตุ๋นตั้งท่า จะรำป้อ จะร้องลิเกขอบคุณอีก ช้อยรีบบอก...
“พอแล้ว”
ทุกคนขำ ไข่ตุ๋น สะดุ้งแบบตลก เกาหัว ไหว้และรับเงินจากสายอุษา ช้อยหันไปเห็นบุญทิ้ง รีบพูดดีด้วย...
“บุญทิ้ง...เอ้ย คุณทินภัทร ไข่ตุ๋นและพวกเราทุกคน คิดถึง คุณทินภัทรมากเลยนะคะ แม่ยกนี่ถามถึง จอมทอง ศิษย์ถมทอง เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ”
บุญทิ้งยิ้มดีใจช้อยพูดดีด้วย ไข่ตุ๋นมองอย่างตื่นเต้น...
“นี่บ้านเอ็งจริงๆ หรอบุญทิ้ง...เอ๊ย คุณทินภัทร”
“เรียกอย่างเดิมก็ได้”
“ทำไมมันใหญ่โตแบบนี้”
“ท่าจะรวยสุดขีด” ช้อยออกความเห็น
บุญทิ้งมองทั้งคู่อย่างนึกสนุก
“อยากดูมั้ยล่ะ”
ช้อยกับไข่ตุ๋นรีบพยักหน้า อย่างอยากรู้อยากเห็นมาก

ที่มูลนิธิ...ภาคินยิ้มดีใจ ที่ได้ยินข่าวดี จับมือปานฟ้าอย่างตื่นเต้น
“จริงเหรอฟ้า ที่บ้านฟ้า เปิดทางให้ผมแล้ว ถ้าอย่างนั้น ผมจะรีบให้คุณพ่อ เข้าไปพบ คุณพ่อคุณแม่ฟ้าที่บ้านเลยนะครับ”
“โอ้โห ใจร้อนเหมือนกันนะคะเนี่ย” ปานฟ้าขำๆ
“เหรอครับ ไหนคุณฟ้าลองจับสิ”
ภาคินจับมือปานฟ้ามาจับที่หัวใจตัวเอง
“ร้อนจนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว”
“อะไรก็ไม่รู้...นี่คุณกลับมาทำงานที่มูลนิธิอีกเหรอคะ”
“ผมจะทำที่นี่ คู่ไปกับงานบริษัทของคุณพ่อ ผมทิ้งมูลนิธินี่ไม่ได้หรอก ยังมีเด็กๆที่ต้องการความช่วยเหลืออีกมาก”
“ฟ้าดีใจนะคะ ที่รักผู้ชายอย่างคุณ”
ปานฟ้ามองภาคินอย่างภูมิใจ กระชับมือภาคินแน่นขึ้น เดินคู่กันอย่างมีความสุข ไกลออกไป...กัญญาซึ่งแอบมอง ภาคินกับปานฟ้าอยู่น้ำตาซึม ด้วยความปลื้มใจกับภาพที่เห็น
ถมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มองกัญญาอย่างไม่พอใจ คิดว่ากัญญาร้องไห้ เพราะเห็นภาคินอยู่กับหญิงอื่น

ปานฟ้านั่งเซ็นเอกสารที่โต๊ะทำงาน ก้องภพผลุนผลันเข้ามาในห้อง เลขาของปานฟ้าพยายามห้าม
“ฟ้า วันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
เลขาไม่สบายใจ...
“เอ่อ...คือ คุณคะ...”
ปานฟ้าเห็นท่าจะเอาไม่อยู่ ให้สัญญาณเลขาฯออกไป จะจัดการเอง
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
เลขาเดินออกไปจากห้อง ก้องภพหน้าตึง...
“ฟ้า คุณบอกผมมา คุณจะแต่งงานกับไอ้ภาคิน จริงๆใช่ไหม”
“ค่ะ คุณได้ยินมาไม่ผิด ฉันกำลังจะแต่งงานกับภาคิน”
“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง แล้วผมล่ะฟ้า คุณเอาผมไปทิ้งไว้ที่ไหน”
“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้วนะก้อง คุณน่าจะเข้าใจอะไรบ้าง ลืมฉันซะเถอะ”
“ไม่ฟ้า ผมไม่มีทางลืม เพราะไอ้ภาคิน ใช่ไหม ถ้าโลกนี้ไม่มีไอ้ภาคิน คุณก็คงไม่พูดอย่างนี้”
“ภาคินไม่เกี่ยวนะก้อง แต่เพราะคุณเป็นอย่างนี้ไง ฟ้าถึงรักคุณไม่ได้ คุณไม่เคยรู้จักความรัก เพราะถ้าเรารักใคร เราก็พร้อมที่จะให้ ไม่ใช่คิดจะแต่ครอบครองโดยไม่นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย”
“ไม่จริงหรอก เพราะไอ้ภาคินคนเดียว ที่ทำให้ฟ้าต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนฟ้ายังดีกับผมอยู่เลย พอไอ้ภาคินเข้ามา คุณก็เปลี่ยนไปเพราะมันคนเดียว และทางเดียวที่ฟ้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม คือโลกนี้ต้องไม่มีมัน ไอ้ภาคิน”
ก้องภพพูดจบ เดินออกจากห้องไปอย่างโกรธแค้น ปานฟ้ามองตามไปด้วยความกังวลว่าก้องภพจะทำเรื่องไม่ดีอะไรหรือเปล่า

กัญญานั่งซับน้ำตาเบาๆ ถมนั่งมองกัญญา ด้วยความไม่พอใจ
“ถึงกับน้ำตาซึมเลยเหรอ ฉันถามแม่กัญญาตรงๆเลยนะ ว่าแม่กัญญาคิดยังไงกับคุณภาคินกันแน่”
“เค้า เป็นคนที่มีความสำคัญกับฉันมาก เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน”
ถมเสียใจกับคำตอบ
“ไม่นึกเลย ว่าแม่กัญญาจะคิดอย่างนี้ได้ ฉันผิดหวังในตัวแม่ กัญญาจริงๆ”
“พี่ถม”
กัญญาสบตา จะอธิบายความจริงก็พูดไม่ได้ ถมสบตาตอบอย่างแสนจะเสียใจ
แล้วเดินจากไปด้วยความเสียใจและ ผิดหวัง กัญญาน้ำตาหยดอย่างเสียใจ

บุญทิ้ง ไข่ตุ๋น และช้อย เดินในบ้านเติมบุญ ไข่ตุ๋นมองไปทั่วด้วยสายตาตื่นเต้นไม่เคยเห็นบ้านใหญ่ขนาดนี้ ช้อยยิ้มอย่างออกหน้า
“ไอ้ทิ้งเอ้ย อุ้ยโทษ...ไม่ใช่ คุณทินทิ้ง เอ้ย ทินภัทร น้านึกแล้วไม่มีผิด เห็นตั้งแต่แรกก็รู้ว่าลูกคนรวย มันผิดตานังช้อยไหมนั้น ผิวพรรณหน้าตาดูดีไปหมด หมดจดเหมือนกับลูกราชา”
ไข่ตุ๋นยกนิ้วเยี่ยมยอด ยื่นใส่หน้าช้อย
“ยอด...เยี่ยมยอดที่สุด...”
“ใช่แล้ว คุณทินภัทรของเรายอดเยี่ยมที่สุด”
ไข่ตุ๋นส่ายหน้า
“ไม่ใช่...น้าช้อยนั้นแหละ ยอดเยี่ยมที่สุด”
ช้อยงง
“อะไรวะไอ้ตุ๋น”
“พลิกหน้าเก่งไง” ไข่ตุ๋นพลิกฝ่ามือไปมา “หน้ามือเป็นหลังมือเลยนะ แหม...สมแล้วที่เล่นลิเกเก่ง”
ช้อยถกกระโปรง ยกขาจะถีบ ไข่ตุ๋นวิ่งจู๊ดไวอย่างกับลิง ช้อยไล่ไม่ทันชี้นิ้วตาม...
“ไอ้ไข่เน่า เดี๋ยว...เจอหลังมือข้า”
บุญทิ้งหัวเราะชอบใจ
“อ้าวไหนจะให้พาเที่ยวบ้าน หายไปไหนแล้ว...ไข่ตุ๋น”
บุญทิ้งพาไข่ตุ๋นที่วิ่งกลับมา และช้อยเดินชมบ้าน ช้อยเดินแบบวางท่าคุณหญิง คอยหันมาพินอบพิเทาบุญทิ้งไม่ห่าง

ประตูห้องนอนบุญทิ้งถูกเปิด ตุ๋นอ้าปากหว๋อ ช้อยตาค้าง
“แล้วนี่ก็ห้องนอน”
ไข่ตุ๋นมือหนึ่งถือขนมปัง อีกมือถือขนมเค้ก ปากเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย แก้มเลอะเค้ก เดินเข้ามาในห้องอย่างอึ้ง หันมองบุญทิ้งแววตาซึ้ง ทำเสียงลีลาลิเกล้อ
“ทินภัทรเพื่อนรัก...เจ้าคงไม่ทิ้งข้าเมื่อเจ้าจากลามาอยู่ในวังนี้นะ”
บุญทิ้งยิ้มหัวเราะเข้าไปกอดคอไข่ตุ๋น ช้อยมองอย่างปลื้มใจ เข้าไปนวดเฟ้นบุญทิ้งอย่างเอาใจ พูดเสียงออเซาะ
“ขอน้ามานอนหน้าเตียงบ้างนะทินภัทร”
ไข่ตุ๋นสูดหายใจเข้าปอด
“แอร์เย๊น...เย็นเนอะน้าช้อย หอมด้วยเนอะ”
ช้อยยิ้มพยักหน้าให้ไข่ตุ๋น ไข่ตุ๋นกระโดดทิ้งตัวบนเตียงนอนอย่างมีความสุข บุญทิ้งยิ้มหัวเราะอย่างสดชื่น

ที่ห้องเช่า...ถมลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู ช้อยกับ ไข่ตุ๋นอยู่ข้างๆ
“ดีใจด้วยนะพ่อบุญทิ้ง ในที่สุดก็ได้กลับบ้าน ไปอยู่กับพ่อแม่ ที่แท้จริงของเราสักที ส่วนพวกพ่อก็คงได้เวลากลับกันได้แล้ว”
ไข่ตุ๋นแปลกใจ
“อ้าว จะกลับกันแล้วเหรอพ่อครู ทำไมรีบกลับจัง แล้วแม่ครูกัญญาจะกลับด้วยไหม”
ถมพูดอย่างขมขื่น
“แม่กัญญา เค้าไม่กลับกับเราหรอก เค้ามีคนอื่น...อืม..อย่างอื่นที่สำคัญกว่าเราแล้ว”
ช้อยตาโต
“ต้องเป็นเรื่องผู้ชายแน่ๆ ฉันว่านะ ต้องเป็นเพราะพ่อหนุ่มภาคินไรนั่นแน่ๆ แม่นั่นน่ะ ชอบกินเด็ก”
บุญทิ้งไม่เข้าใจ
“แปลว่าอะไร ชอบกินเด็ก”
“แปลว่าชอบหนุ่มๆ น่ะสิ” ช้อยปรายตามองถม “แก่ๆไม่สน”
ช้อยทำหน้าสะใจ ถมเศร้าที่ถูกจี้ใจดำ บุญทิ้งฟังเรื่องราวอย่างครุ่นคิด

หน้าห้องเช่า...บุญทิ้งก้มกราบกัญญาที่ตัก ด้วยความรักและเคารพ กัญญาลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“เป็นบุญของเราแล้ว ที่ได้มีวันนี้ เพราะความดี และ ความกตัญญูแท้ๆ ที่คอยปกป้องบุญทิ้ง เอ๊ย ไม่ใช่สิ ปกป้องทินภัทรจากเรื่องร้ายๆ”
“ขอบคุณแม่ครูมากๆนะครับ ที่คอยดูแลผมมาโดยตลอด แล้ว...แม่ครูจะไม่กลับไปกับ พ่อครู ด้วยเหรอครับ แม่ครูไม่สงสาร พ่อครูเหรอ”
“สงสารสิ พ่อครูเป็นคนดี เป็นผู้ให้โอกาส คอยช่วยเหลือยามที่แม่ลำบากและไม่มีใคร แต่ แม่ครูมีเรื่องสำคัญ ที่จะต้องทำก่อน”
กัญญาสงสารถมจับใจ แต่มีบางอย่างในใจที่จะต้องทำ

สายอุษาทาบสร้อยคอเพชรชิ้นใหญ่ที่คอปานฟ้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บนโต๊ะมีเครื่องเพชร 3-4 กล่องวางระรานตา ปานดาวหมั่นไส้แต่เก็บความรู้สึก หยิบสร้อยเพชรเส้นอื่นดู เติมบุญนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ห่าง
“เส้นนี้ก็งาม เพชรของดีมากจากยุโรปเชียวนะ งานนี้นักข่าวมากันเยอะแน่ ฟ้าใส่เอาใจเขาหน่อย ถ่ายรูปออกมาแสงจะได้แว๊บวาบจับตาผู้ชม” สายอุษาบอก
ปานฟ้ามองสร้อยเส้นใหญ่ ทำหน้าเบ่
“ใหญ่ไปมั๊งคะคุณแม่ หนักจะตายคอหักกันพอดี ฟ้าว่าหาเส้นเล็กกว่านี้หน่อยดีกว่าคะ”
เติมบุญเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์
“เอาแค่พองามก็พอคุณ ไม่ใช่ใส่จนกลายเป็นตู้เพชรเคลื่อนที่ ลูกฟ้าเรางามยิ่งกว่าเพชรพวกนี้เป็นไหนๆ ไม่ต้องใส่อะไรยังได้”
ปานดาวมองอย่างหมั่นไส้ หยิบสร้อยเส้นที่โตที่สุดจากมือสายอุษา
“งั้นเอามานี่...ของดีๆไม่รู้จักใช้ เดี๋ยวใส่ให้เองคะคุณแม่ ดาวขอก็แล้วกันเส้นนี้ ดาวชอบหนักๆเพชรเม็ดโตๆ”
สายอุษาคว้าสร้อยคืน
“สร้อยเส้นนี้แม่ตั้งใจเก็บไว้ให้เดือนใส่ออกงาน แต่เดือนก็มาไม่สบายเสียนาน พอฟ้าแต่งก็เอามาให้น้องใส่ก่อน ดาวจะยึดไปแบบนี้ไม่ถูกนะลูก”
“คุณแม่ลำเอียง ดาวไม่เคยได้ของอะไรดีๆเลย”
“อะไรกันไม่เคยได้ ที่ให้ไป เคยนับไหมว่ากี่ร้อยเส้นแล้ว”
“แต่คุณแม่ก็ยังมีอีกเยอะ ดาวรู้ แค่ที่เอาออกมานี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ ก็ฟ้าไม่เอา เดือนก็เป็นบ้า ดาวเลยเอามาใส่แทน มันเสียหายตรงไหนคะ”
เติมบุญมองปานดาวอย่างหยั่นๆ
“ดาวเอาไปใส่ทีไร พ่อไม่เห็นแม่เคยได้คืน”
ปานดาวค้อนควับ
“เอาเถอะ ตอนนี้ได้เท่าที่แบ่งไปก่อน อย่าโลภนักเลยยัยดาว แค่นี้ก็มีจนไม่มีตัวจะใส่แล้ว”
ปานดาวกอดอก ด้วยความผิดหวังที่อดได้สร้อยเพชร มองสายอุษาตาเขียวปั้ด ตะบึงตะบอน

ภูวดลยืนคุยกับปานดาวที่นั่งอยู่ที่เตียง มือขยี้หมอนอย่างเจ็บใจที่สายอุษาไม่ยอมให้เครื่องเพชร
“เป็นผมผมไม่ยอม ขืนเป็นแบบนี้ ไม่นานหมดแน่ นี่ขนาดยังไม่แต่งนะ คุณแม่ยังอวยฟ้าขนาดนี้ ผมละเห็นใจคุณจริงๆ”
ปานดาวกระฟัดกระเฟียด
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงละ ก็คุณแม่ไม่ยอม คุณพ่อก็พลอยเข้าข้างยัยฟ้าไปด้วย เห็นแล้วหมั้นไส้จริง โอ๊ยกลุ้ม... ฉันมันหมาหัวเน่านี่ ยิ่งมีไอ้บุญทิ้ง ยิ่งกลายเป็นหมาหัวเฟะไปแล้ว”
ปานดาวเขวี่ยงหมอนใส่ ภูวดลหลบทัน
“เอ้า...คุณก็ดีแต่มาลงกับผมแบบนี้ทุกที พูดโวยวายไม่เข้าท่า ไม่เห็นมีปัญญาทำอะไร”
ปานดาวแผดเสียงลั่นอย่างอารมณ์ค้าง
“แล้วจะให้ทำไง ...ให้ไปฆ่านังปานฟ้าหรือไง”
ภูวดลตาถลึง...
“แล้วทำได้มั้ยละ อย่าเก่งแต่ปาก”
ปานดาวนิ่งคิดแววตายังกรุ่นโกรธ
“ฉันไม่ได้เลวขนาดฆ่าน้องตัวเองหรอก เอาแค่ให้มันบ้าแล้วกัน จะได้เป็นเพื่อนยัยเดือน”
ภูวดลแค่นยิ้ม
“เอาจริงแน่นะ”
“คุณจะทำอะไรฟ้า”
“ไม่ทำหรอก ทำคนที่น้องสาวคุณ...รักดีกว่า”
ปานดาวมองหน้าอย่างสงสัย อยากรู้แผนของภูวดล
“ผมจะส่งคนไปจัดการไอ้ภาคิน ทำให้เหมือนเป็นการปล้นทรัพย์ มันตายเมื่อไหร่ ปานฟ้าได้บ้าแน่”

ภูวดลบอกด้วยน้ำเสียงเหี้ยมๆ
ภาคินกับบุญทิ้งถือถุงขนมที่จะซื้อกลับไปมูลนิธิ ภาคินยกถุงที่หิ้วล้นมือขึ้นดู

“วันนี้เด็กๆที่มูลนิธิได้อิ่มแปล้กันแน่ เสี่ยบุญทิ้ง เอ้ย...คุณทินภัทรมาเอง ว่าแต่เราเถอะทำไมคุณเดือนถึงยอมปล่อยตัวมาได้ ปกติไม่ยอมให้ห่างตา”
“ผมบอกว่าคิดถึงพี่ภาคินคิดถึงพี่แก้วกับเพื่อนๆ ขอมาเยี่ยม คุณแม่เลยให้ตังค์มาซื้อขนมเลี้ยงทุกคนครับ ให้มาตั้งหลายพัน แต่ให้มาแค่ชั่วโมงเดียว”
ภาคินหัวเราะชอบใจ
“แหม...เดี๋ยวนี้เวลาบุญทิ้งมีค่าจริงๆนะ ยิ่งกว่าดาราหนังสะอีก ตังค์เก็บไว้ดีๆระวังหาย”
ทันใดนั้น คนร้ายสองคนเดินเข้ามาปะจันหน้ากับภาคิน มองหน้าอย่างหาเรื่อง
“ได้ยินไม่ค่อยถนัด...ใครมีเงินเยอะว่ะ...ใครจะไปฉลองกันที่ไหน”
ภาคินงงๆ
“คือ...คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วครับ”
คนร้ายหันไปคุยกับเพื่อน
“ดูมันซื้อของไปฉลองกัน...เอ้ย มีตังค์เยอะก็เอามาแบ่งกันบ้างสิวะ”
บุญทิ้งมองถุงขนม แล้วยื่นให้
“ถ้าพี่หิว แบ่งเอาไปกินก็ได้ครับ แต่ตังค์ ผมซื้อขนมหมดไปแล้ว”
คนร้ายกระฉากถุงขนมในมือบุญทิ้ง หล่นกระจายเต็มพื้น
“หัดโกหกแต่เด็กนะเอ็ง เมื่อกี้ยังได้ยินว่ามีตั้งหลายพัน เฮ้ย...ควักดูสิ”
คนร้ายอีกคนถึงตัวบุญทิ้งแล้วล้วงในกระเป๋ากางเกง เด็กชายหลบไปมา ภาคินรีบเข้าไปคว้ามือออก
“พวกคุณอย่าหาเรื่องกันดีกว่า อย่าทำอะไรเด็กเลย ผมขอร้อง”
“ไม่ทำร้ายเด็ก...ได้ งั้นทำร้ายเอ็งแล้วกัน”
คนร้ายสองคนรุมอัดภาคิน ผลัดกันชกต่อยไปมา สู้กันอย่างชุลมุน บุญทิ้งไม่รู้จะทำยังไง มองซ้ายขวา เอาขนมที่กระจายเต็มพื้น หยิบมาปาใส่คนร้าย โดนที่ตาบ้าง หน้าบ้าง เลอะเทอะไปหมด
“ไอ้พวกหมาหมู่ ไม่แน่จริงนิหว่า ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยที”
คนร้ายอีกคนวิ่งมาจะคว้าตัว บุญทิ้งมุดตัวหลบอย่างคล่องแคล้วว่องไว ปากก็ตะโกนให้คนช่วย คนร้ายจับตัวบุญทิ้งไว้ได้ บีบคอ ล้วงกระเป๋า
“ไอ้เด็กเวรเอ้ย...หาเรื่องเจ็บตัวแล้วเอ็ง...มีเท่าไรเอามาให้หมด”
บุญทิ้งเอาขนมใส่ไส้ที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา ปะเข้าที่ลูกตาคนร้ายอย่างจัง คนร้ายเหวี่ยงบุญทิ้งกระเด็นลงพื้น
“บอกแล้วว่าตังค์ไม่มี มีแต่ขนมใส่ไส้ แล้วทำไมเอาไปใส่ตาไม่ใส่ปาก แบบนั้นจะอิ่มเหรอ”
คนร้ายเอามือป้ายเช็ดหน้า ขนมยิ่งเละเต็มหน้า คนร้ายโมโห วิ่งไล่ บุญทิ้งหลบจ้าละหวั่น
“ไอ้...ไอ้ตัวแสบ...อย่าให้จับได้นะเอ็ง...”
ขณะเดียวกัน ตุลย์เบรครถกระทันหัน หยิบนกหวีดมาเป่าแล้วชี้ที่คนร้ายที่ทำร้ายภาคินและบุญทิ้ง
“เฮ้ยทำไรกัน...หยุดนะ นี่ตำรวจ...บอกให้หยุด”
คนร้ายมองไปทางตุลย์ ตกใจเห็นตำรวจก็โกยแนบ ตุลย์รีบวิ่งมาหาภาคินที่สู้จนเหนื่อยหอบไม่ต่างจากบุญทิ้ง

ภาคิน ปัดเสื้อผ้าให้บุญทิ้งที่เลอะเทอะไปหมด ตุลย์มองแล้วส่ายหน้า
“ดีนะที่พวกมันไม่มีอาวุธ คงเป็นพวกเมายา เดี๋ยวนี้เกลื่อนเมืองไปหมด ยิ่งหลังน้ำท่วม ไม่มีงานทำ ข้าวของก็แพงเหลือเกิน ไอ้ขยะสังคมพวกนี้ เยอะยิ่งกว่ายุงอีก จับกันไม่ไหว”
“ตำรวจก็ต้องเร่งปราบยาบ้าให้หมด ไม่งั้นคนเดินถนนไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างฉันหรือบุญทิ้งถึงคราวซวยก็แย่ดิ ดีนะมันไม่เมายา แล้ว จี้คอบุญทิ้งเหมือนในข่าว”
บุญทิ้งหน้าตื่น ปิดคอตัวเอง
“ไม่เอา...ผมเก็บคอไว้กินขนมอร่อยๆดีกว่าครับ”
ปานฟ้าเดินเข้ามาหายิ้มให้ภาคินและบุญทิ้ง
“พี่เดือนโทรหาฟ้าตลอดว่ามารับทินภัทรหรือยัง เขาเป็นห่วงมาก ฟ้าก็บอกไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
ภาคินกับตุลย์และบุญทิ้งมองหน้ากัน ปานฟ้าสังเกตเห็นท่าทางที่อ้ำอึ้ง ผิดสังเกต
“มี...อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ ทำไมเงียบๆกัน” ปานฟ้ามองตามตัวบุญทิ้งเห็นแผลถลอก “แล้วนั้นไปโดนอะไรมา”
บุญทิ้งอ้ำอึ้งมองหน้าภาคิน
“คือ...เมื่อกี้เล่นกับเพื่อนแล้วสะดุดล้มครับพี่ฟ้า”
ปานฟ้ามองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ติดใจอะไร
“เดินไหวไหมเนี่ย...แล้วตามพี่ออกมานะไปเจอที่รถ พี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะจ๊ะ”
ปานฟ้าเดินออกไป ภาคินหันมองบุญทิ้ง
“ทำไมไม่บอกพี่ฟ้าไปว่าเกิดเรื่องอะไร”
บุญทิ้งหน้าเศร้า
“ถ้าผมบอกไป ทางบ้านก็คงจะรู้กันหมด แล้วผมก็คงอดมาที่นี่อีก”
ตุลย์ยิ้มขำ
“ฉลาดมาก เสี่ยทินภัทร”
ภาคินลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู

อานนท์กับภาคินแต่งตัวมาเต็มยศ เดินผ่านประตูบ้านเติมบุญ แต่เจอ ไข่ตุ๋นกับ บุญทิ้ง เอาสร้อยทองมากั้นประตู เสียก่อน อานนท์กับภาคิน ทั้งตกใจ ทั้งขำ
“มีกั้นประตูด้วยเรอะ รู้สึกจะมีหลายประตูนะ”
ไข่ตุ๋นยิ้มแย้ม
“ขออภัยนะขอรับ บังเอิญว่า วันนี้เป็นวันพิเศษ ของคนพิเศษสุดๆ กระพ้มจึงขอโอกาสจัดโปรโมชั่นพิเศษม๊ากให้ท่าน ด้วยประการฉะนี้ เอ้า...”
ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งช่วยกันร้องรำ ท่อนบรรเลงลิเก ปิดประโยค พร้อมกัน
“เตรง เตรง เตร่ง เตร้ง เตรงๆๆๆๆ”
สองพ่อลูกหัวเราะร่า อานนท์ควักซองในกระเป๋า ยื่นซองให้เด็กชายทั้งสอง
“ดีนะ ว่าพกมาเผื่อ”
ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้ง เปิดทางให้ อานนท์ กับ ภาคิน เดินต่อไปไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักเมื่อ ตุลย์ กับเฟื่องแก้ว พุ่งมาพร้อม สร้อยทอง กั้นอีกด่าน ภาคิน หน้าเหวอ
“เฮ้ย...นายตุลย์ แก้ว เอากับเขาด้วยหรอ”
ตุลย์ยิ้มแย้ม
“วันนี้ถือว่าซ้อมใหญ่แล้วกัน”
เฟื่องแก้วยิ้มร่าแบมือขอ
“ถูกต้องค่ะ ซ้อมใหญ่ เหมือนจริงเลยนะคะ มามะๆ”
อานนท์ ควักซองแจกทั้งสองคน ภาคินส่ายหน้า ขำอารมณ์ดี ตุลย์กับเฟื่องแก้ว เปิดทางให้ ภาคินเดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอ ไข่ตุ๋นกับ บุญทิ้ง ดักอีกรอบ อานนท์งงๆ
“อ้าว ได้ไปรอบนึงแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
ไข่ตุ๋นยิ้มกว้าง
“อย่างที่บอกขอรับ คนพิเศษ ก็ต้องจัดพิเศษใส่ไข่ เอ้ย...เบิ้ลสอง ให้ขอรับ”
สองพ่อลูกหัวเราะร่า ด้วยความสุข ธัญวิทย์โผล่มา
“ผมอยากกั้นประตูด้วย แต่ไม่รู้จะคู่กับใคร”
บุญทิ้งหันไปเรียก
“มากั้นด้วยกันสามคนก็ได้”
ไข่ตุ๋นทำหน้าหน่ายธัญวิทย์ แต่ก็จำยอม
“โปรโมชั่นพิเศษจริงๆ”

ในห้องรับแขก...ปานฟ้ากับภาคิน นั่งที่พื้นก้มลงกราบสายอุษาและเติมบุญที่ตัก
“ผมกราบขอบคุณท่านมากนะครับ ที่ไว้ใจ ให้ผมได้ดูแลคุณฟ้า”
เติมบุญยิ้มแย้ม
“สิ่งที่เธอทำ พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้ว ว่าเธอสามารถปกป้องและดูแล ลูกสาวฉันได้ดีขนาดไหน” เติมบุญหันไปทางอานนท์ “คุณอานนท์ เด็กสองคน ก็รักกันมานานแล้ว ผมว่าเราอย่าให้เค้าต้องเสียเวลาอีกเลยนะ”
อานนท์ยิ้มอย่างเข้าใจ
“ภาคิน สวมแหวนหมั้นให้ปานฟ้าเสียสิ เตรียมมาด้วยไม่ใช่เหรอ”
ภาคินดีใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก ที่ผู้ใหญ่เปิดทาง เอามือล้วงกระเป๋า เพราะเตรียมแหวนมาจริงๆ ตุลย์เห็นเพื่อนเตรียมแหวนมาพร้อมก็เชียร์อย่างถูกใจ
“มันต้องอย่างนี้สิเพื่อน รวดเร็วทันใจ”
ปานดาวพูดลอยๆหมั่นไส้
“แหม ทำหยั่งกับท้องโต ถึงต้องรวบรัดซะขนาดนี้”
สายอุษาไม่พอใจส่งเสียงปราม
“พูดอะไรน่ะดาว”
ปานดาวเบ้หน้า
“ก็หรือไม่จริงคะ”
ปานเดือนมองหน้าพี่สาว
“ก็รู้ว่าไม่จริง แล้วพูดทำไมจ้ะ”
ปานดาวมองหน้า
“แหมยัยเดือน หายบ้าเร็วดีจังนะ”
ปานเดือนสบตาตอบ บอกยิ้มๆ
“จะถือเป็นคำชม”
ปานดาวสะบัดหน้า เติมบุญเปลี่ยนเรื่อง
“ความจริงใจ สำคัญกว่า พิธีการโก้หรู ทำกันเรียบง่ายอย่างนี้แหละดีแล้ว”
ภาคินบรรจงสวมแหวนหมั้นให้ ปานฟ้ายกมือไหว้ สบตากับภาคินด้วยความรักทุกคนรอบข้างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยกเว้นปานดาวกับภูวดล

ไข่ตุ๋นดึงแบงก์ห้าร้อย แบงก์พันออกมาจากซอง แล้วนับอย่างตื้นเต้น มือสั่น บุญทิ้งนั่งไม่ห่างนับเงินด้วย
“พันห้า...ก็สองพัน...นี่อีก สามพัน โอย ไม่รวยวันนี้แล้วไอ้ตุ๋นจะ ไปรวยวันไหน เอ้า...เท่าไรแล้วว่ะเนี่ย...ลืมเลย ต้องนับใหม่อีก” ไข่ตุ๋นมองบุญทิ้ง “รีบนับสิไอ้ทิ้ง...เอ้ยคุณ...ทิน...นะ...พัด...เรียกยากจัง ชื่อพวกเศรษฐีเนี่ย”
บุญทิ้งยิ้มขำ
“เรียกเหมือนเดิมเถอะ ยังไงฉันก็เป็นบุญทิ้งคนเดิม”
ไข่ตุ๋นยิ้มให้ บุญทิ้งรีบนับเงินด้วย ยิ้มกันไปมาอย่างมีความสุข ธัญวิทย์เดินมาฉวยดึงเงินไปจากมือบุญทิ้ง ไข่ตุ๋นเงยหน้าขึ้นโวยวาย
“เอ้ยนั้นแกทำอะไร นั้นมันตังค์ของบุญทิ้ง มาแย่งไปแบบนั้นได้ไง”
ธัญวิทย์ยักคิ้วอย่างกวนสุดๆ หยิบเงินมาพัดให้หายร้อน
“ไอ้พวกเด็กขอทานเอ้ย...เห็นเงินแค่นี้ตื้นเต้นตัวเนื้อสั่น เงินทั้งหมดต้องเป็นของฉันคนเดียว พวกแกมาแย่งไป ฉันเอาคืนมันก็ถูกแล้ว”
ไข่ตุ๋นเริ่มมีน้ำโห ขึ้นเสียงจะใส่
“ถูกที่ไหน ไอ้ขี้โกง แย่งไปเห็นๆ เอาคืนมาเดี๋ยวนี้ อยากโดนเตะไง”
ไข่ตุ๋น ยกขาขึ้นจะเตะ บุญทิ้งต้องรีบยกขาไข่ตุ๋นลง เกือบห้ามไม่ทัน
“อย่า...ฉันขอร้อง อย่ามีเรื่องกันเลย” บุญทิ้งมองธัญวิทย์ “อยากได้ก็เอาไปเถอะ”
ไข่ตุ๋นหน้าเหวอ ธัญวิทย์ยิ้มล้อเลียนหัวเราะลั่น
“ถึงแกไม่บอก ฉันก็เอาอยู่แล้ว” ธัญวิทย์มองไข่ตุ๋นเย้ยๆ “เป็นไงเอ็งจ๋อยไปเลยดิ เห็นหรือยังว่าใครแน่กว่ากัน”
ธัญวิทย์เดินเข้าใกล้ไข่ตุ๋น ทำเป็นแบมือเรียกเงินไข่ตุ๋นต่อ ยักคิ้วอย่างกวน
“ของเอ็งด้วย...มีเท่าไรเอามาให้หมด แบงก์ห้าร้อย แบงก์พันเอ็งเอาไปก็ใช้ไม่เป็น เกิดมาเคยเห็นยัง”
ไข่ตุ๋นฉุน กำหมัดแน่นจะชก จนธัญวิทย์ผงะกลับไป
“ลองเข้ามาดิ...ได้ตาเขียววิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งไปฟ้องแม่แน่”
ไข่ตุ๋นแลบลิ้นกวนอย่างไม่กลัว
“ไม่เอาก็ได้ว่ะ ไม่อยากได้จากเด็กขอทาน”
ธัญวิทย์วิ่งหนีไป ไข่ตุ๋นหัวเสียหันมามองบุญทิ้ง
“ไปยอมมันทำไม...นั่นมันตังค์ของเอ็งนะ”
บุญทิ้งหน้าเศร้า
“ไม่อยากทะเลาะให้คุณตากลุ้มใจ”
“ใจดีแบบนี้ ต่อไปไอ้ตาตี่หัวกลมไม่หยุดแค่นี้แน่”
ไข่ตุ๋นกำหมัดเช็ดปลายจมูกอย่างเจ็บใจแทนบุญทิ้ง
ธัญวิทย์เดินนับเงินเพลินมา พิมท่าทางโทรมๆ แอบอยู่หลังต้นไม้กวักมือเรียก ธัญวิทย์หยุดมองแล้วยิ้ม วิ่งไปหา
“นังพิม...แกหายไปไหนมา ไม่มีใครเล่นกับฉันเลย”
พิมยิ้มกอดธัญวิทย์อย่างคิดถึง
“คุณวิทย์ของพิม พิมคิดถึงคุณวิทย์ทุกวัน อยากมาหาจะแย่ แต่วันนี้ทุกคนยุ่งกันหมด พิมเลยแอบเข้ามาได้” พิมกอดรัดแน่น หอมแก้ม “คิดถึงเหลือเกินคุณวิทย์ของพิม”
ธัญวิทย์อึดอัดที่พิมกอด ทำจมูกย่น
“ทำไมตัวแกเหม็นแบบนี้ อาบน้ำหรือเปล่า แต่งตัวก็สกปรกไงไม่รู้พอแล้วอย่ากอดมาก กลิ่นติดตัวฉันหมด”
พิมดมตัวเอง ทำหน้างง
“ไม่เห็นเหม็นเลยคุณวิทย์ พิมอาบน้ำทุกวัน”
“เหม็นสาบคนจนไง”
ธัญวิทย์หัวเราะชอบใจ พิมมองลูกชายในสายเลือดอย่างขมขื่น
“คุณวิทย์อย่าดูถูกคนจนแบบนี้สิคะ ถ้ามีแม่เป็นคนจนทำไง”
ธัญวิทย์ส่ายหน้ายิ้มหยิ่ง
“แม่ปานดาวออกจะรวย เงินเยอะแยะ ไม่มีวันจนหรอก ฉันไม่มีทางเป็นลูก คนจนอยู่แล้ว ขืนจนได้ลำบากตาย จ้างก็ไม่เอา”
พิมฟังอย่างเศร้า ที่บอกความจริงกับลูกไม่ได้

ในห้องอาหารถูกจัดเป็นปาร์ตี้ เล็กๆ แบบอบอุ่น ผู้ใหญ่นั่งกินอาหารกันอยู่ที่โต๊ะ บุญทิ้งกับ ไข่ตุ๋น วิ่งเล่นไปทั่วงาน ภาคินกับปานฟ้า ยืนต้อนรับแขกคนพิเศษ สิริโสภาเดินยิ้มมาหา
“ยินดีด้วยนะคะ ภาคิน และ คุณฟ้า เนี่ยพอหมวดตุลย์โทรไปบอกว่ามีเซอร์ไพรซ์ ภา ก็รีบมาทันทีเลยค่ะ และนี่...”
สิริโสภา หันไปแนะนำแขกพิเศษ อีกคน เป็นชาวต่างชาติสูงหล่อ ภูมิฐาน
“แพทริค เซอร์ไพรซ์ของภา ค่ะ”
สิริโสภา ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แพทริค ทักทาย ทั้งสอง ภาคินยิ้มยินดีกับสิริโสภา
“ดีใจด้วยนะภา”
“เสียดาย ที่ภาคงไม่ได้อยู่ร่วมงานแต่งนะเพื่อนรัก เพราะเดือนหน้าภาต้องตามแพทริค ไปที่นิวยอร์คแล้วค่ะ กว่าจะได้กลับมาอีกที ก็คงตอนที่ คุณฟ้า มีตัวเล็กแล้วล่ะมั้งคะ”
ปานฟ้ายิ้มเขิน
“ฟ้าต้อง ขอบคุณคุณสิริโสภา สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยนะคะ”
ปานฟ้า มอง สิริโสภาด้วยความซาบซึ้งใจ เฟื่องแก้วมองสิริโสภา และแพทริค
“อื้อหืออ หล่อจัง”
ตุลย์แอบได้ยินโผล่มาด้านหลัง
“อะห๊า...มาดแมน”
เฟื่องแก้วสะดุ้งงอนใส่
“นี่คุณแก้ว ฝรั่งถึงจะกรอบ แต่...จืด นะคร้าบ สู้ หล่อ เข้ม เต็มร้อยอร่อยทุกคำ อย่างผม ไม่ได้หรอก ทูนหัว”
“ทะลึ่งละ มาเรียกทูนหัว”
“เอ้า ฝึกพูดให้คล่องปาก เค้าบอกว่ารักเมีย เคารพเมียเจริญทุกคน นะทูนหัว”
“อีกแล้วนะ”
เฟื่องแก้วตีแขนตุลย์ ทั้งขำ ทั้งรำคาญ สบตาเขาเขินๆ

เวลาผ่านไป ปานเดือนนั่งคุยกับ ปานฟ้าอยู่มุมหนึ่ง
“นางฟ้าของพี่ ได้พบเทพบุตรตัวจริงสักที ดีใจด้วยนะจ้ะ”
ปานฟ้า ยิ้มหัวเราะ ร่า ปานดาวเข้ามาเห็นพอดี
“ทำเป็นหัวเราะร่า หน้าระรื่น เดี๋ยวก็ได้กลับไปเป็นบ้าอีกรอบหรอก”
ปานฟ้าเหนื่อยใจ
“พี่ดาวคะ อย่าพูดอะไรอย่างนี้อีกเลย พี่เดือนอาการดีขึ้นมากแล้วนะคะ”
“จะไปรู้ได้ยังไงว่าคนบ้า หายจากโรคบ้าจริงๆ อาการพวกนี้บางทีมันก็เก็บเอาไว้ ถ้ามีอะไรมากระตุ้นต่อมบ้า มันก็ระเบิดออกมาอีก”
เติมบุญแทรกเข้ามา
“คำก็บ้า สองคำก็บ้า เลิกว่าน้องสาวแกได้แล้ว แทนที่จะช่วยกันเยียวยา แต่นี่กลับซ้ำเติม นี่น้องสาวของแกนะ ฉันว่าคนที่เป็นบ้าเป็น แกมากกว่า”
ปานดาวไม่พอใจ
“ใช่สิ ดาวมันหมาหัวเน่า ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจคุณพ่อ ไม่ใช่ลูกรักเหมือนยัยเดือน กับ ยัยฟ้านี่ ดาวไม่อยู่ขวางหูขวางตา คุณพ่อก็ได้ค่ะ เชิญมีความสุขกันไปเถอะ”
ขาดคำปานดาว สะบัดหน้าเดินจากไป เติมบุญส่ายหน้าระอากับลูกสาวคนนี้

ปานดาวนั่งหน้าเครียด เซ็ง น้อยใจที่ทุกคนในบ้านไม่เคยเห็นว่าตัวเองดีและมีค่า ปานฟ้าเดินมาเห็น ก็เดินมาหายิ้มให้อย่างปลอบโยน
“คุณพ่อคงไม่ค่อยชอบใจที่พี่ดาวไปพูดว่าพี่เดือนแบบนั้น อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลยคะ”
“ลูกที่ไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด พี่แค่แซวยัยเดือนเล่นๆ คุณพ่อก็เอ็ดทันที แกก็อีกคนยัยฟ้า ไม่ต้องทำตัวดีเพื่อให้ฉันดูเลวหรอกนะ เพราะเธอคนเดียว ถ้าไม่มีเธอสักคน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องรักฉัน”
ปานฟ้าระอาใจ
“ถ้าตราบใดพี่ดาวยังคิดแบบนี้ ชีวิตพี่ดาวจะไม่มีวันมีความสุขเลยเผลอๆอาจจะบ้าไปก่อนคนอื่นด้วย”
ปานดาวฉุนกึกเสียงเครือ
“นี่แกหลอกด่าฉันเหรอ ทำไมแกต้องเกิดมาแย่งทุกอย่างไปจากฉัน ทำไมต้องเรียนเก่ง ต้องดีไปหมดสะทุกอย่าง ทำไม...ทำไม”
ปานดาวผลุนผลัน เดินลงส้นเท้าจากไปอย่างโกรธและน้อยใจ ปานฟ้าได้แต่ถอนใจ
ปานฟ้าเดินหน้าม่อยกลับมา มองผ่านสวนเห็นใครคนหนึ่งคล้ายๆจะเป็นพิมแอบหลังต้นไม้ลับๆล่อๆ จะเดินไปหา พอดีสิริโสภาเดินผ่านมาทักเสียก่อน
“ยินดีด้วยนะคะ ว่าที่เจ้าสาว”
ปานฟ้าหันมายิ้มให้
“ขอบคุณค่ะ”
ปานฟ้าเหลือบมองไปทางพิม ไม่เห็นใครแล้ว ก็หันกลับมาทางสิริโสภา
“คุณฟ้าโชคดีมากนะคะที่เอาชนะใจภาคินได้ หนุ่มแสนดีคนนี้ ไม่ปักใจกับใครง่ายๆนะคะ ภาคบกับภาคินมานาน สนิทกันมาก รู้ใจเขาดี”
ปานฟ้าฟังอย่างแปล่งๆ ฝืนยิ้ม
“คุณสิริโสภาก็โชคดีเหมือนกันเรื่องคุณแพทริค”
สิริโสภานิ่งคิดแล้วยิ้ม
“ก็คงงั้นน่ะคะ ก็ต้องดูใจกันไป แต่ถึงไงก็ไม่ดีเท่าภาคินแน่นอน”
สองคนยิ้มให้กันและพากันเดินไป พิมโผล่จากที่แอบอยู่ มองตามฟ้าอย่างเกลียดชัง เคียดแค้น
ปานฟ้ากับภาคิน เดินมาส่งสิริโสภา
“ขอบคุณมากนะภาที่มาวันนี้”
“ถ้าไม่ได้มาภาคงเสียใจแย่ วันที่ภาคินมีความสุขที่สุด ภาก็อยากอยู่ใกล้ๆได้ชื่นชม สองคนเหมาะสมกันจริงๆนะ”
ปานฟ้าฟังอย่างแปล่งหูแต่ฝืนยิ้ม ไม่แน่ใจว่าคำพูดของเธอมีความหมายอื่นซ่อนอยู่หรือไม่ ภาคินไม่ได้คิดอะไรหันไปถาม
“แล้วคุณจะแต่งงานที่ไหน เมืองไทยหรือนิวยอร์ก”
สิริโสภาถอนใจอย่างครุ่นคิด
“เป็นเรื่องของอนาคต ภายังไม่อยากคิดอะไรมาก แต่งหรือไม่แต่งภาไม่ค่อยสนหรอก แต่งไปถ้าใจผู้ชายไม่อยู่กับเราก็เท่านั้น มันเป็นแค่พิธีการ คุณฟ้าว่าจริงไหมคะ”
ปานฟ้ากระพริบตาอึ้งๆ พยักหน้า
“ก็คง...เป็นแบบนั้น”
สิริโสภาจับมือภาคินกุมไว้ สบตาตรงๆ
“ดีใจด้วยจริงๆนะภาคิน ขอให้มีความสุขมากๆ แค่ภาเห็นคุณมีความสุขภาก็สุขด้วย”
สิริโสภารั้งตัวภาคินมากอดอย่างแนบสนิทอย่างนึกเสียดาย เป็นกอดที่ปานฟ้าไม่กล้ามองเต็มตา ครั้นเหลือบไปเห็นก็เบือนหน้าไปทางอื่น อย่างไม่อยากคิดมาก แพทริคเองก็มองมาอย่างพอดูออก ว่าสิริโสภาคิดยังไง

ปานฟ้านั่งเป็นประธานในที่ประชุม มีอนิรุทธิ์ นั่งอยู่ข้างๆเอารีโมท ปิดเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ หลังจากพรีเซนท์งานจบ
“สำหรับโปรเจ็คนี้ ผมเชื่อมั่นว่า จะสามารถทำรายได้ให้กับห้างของเรา และ ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร ของเราด้วยนะครับ”
ผู้ร่วมประชุมทุกคนปรบมือ ปานฟ้าปรบมือ ยิ้มและมองอนิรุทธิ์ด้วยความชื่นชม หลังจากการประชุมผ่านไปด้วยดี ปานฟ้ายืนคุยอยู่กับอนิรุทธิ์ ในห้องทำงาน
“ฟ้าต้องขอบคุณพี่รุทธิ์มากนะคะ สำหรับความทุ่มเทในการทำงาน พี่รุทธิ์ช่วยฟ้าได้มากๆเลยค่ะ”
“พี่ต้องขอโทษ ที่เข้าใจฟ้าผิดมาโดยตลอด คิดว่าฟ้าให้พิมมาใส่ร้ายพี่ ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว มันเป็นแผนของพิมทั้งหมด”
“ฟ้า ไม่เคยคิดโกรธพี่รุทธิ์เลยคะ”
“ขอบใจนะ แต่พี่ว่า ฟ้าต้องระวังพิมให้มาก ผู้หญิงคนนี้ ไม่หยุดแค่นี้หรอก อีกอย่าง พี่ไม่คิดว่างานนี้จะมีพิมกับสามีเขาเท่านั้น”
ปานฟ้าชะงักไป
“พี่รุทธิ์หมายความว่า”
อนิรุทธิ์บอกอย่างไตร่ตรอง
“ต้องมีคนอื่นอีก คนที่อยู่เบื้องหลังพิม”
ปานฟ้าครุ่นคิด กังวล

พิมคุยกับภูวดล ด้วยความร้อนใจอยู่มุมหนึ่งในสวนสาธารณะ
“โอ้ย...นี่ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วนะพี่ภู ฉันคิดถึงลูก ไม่รู้นังปานดาวมันทิ้ง ขว้างวิทย์บ้างรึเปล่า”
“วิทย์มันสบายดี แกอย่าโวยนักเลย”
“แล้ว เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับไปบ้านนั้น”
“ใจเย็นๆหน่อยได้ไหม ขืนใจร้อนอย่างนี้ ที่ทำกันไว้ก็ได้พังกันหมด”
“นั่นลูกฉันทั้งคนนะ พี่ก้านก็มาถูกพวกมันฆ่า ฉันไม่เหลือใครแล้วขืนใจเย็น อินังคุณหนูปานฟ้าได้ขนสมบัติไอ่แก่ไปจนหมดน่ะสิ”
ภูวดล คิดแผนอะไรบางอย่าง

ปานดาวโวยวายอย่างขัดใจ เรื่องปานฟ้าและภาคิน ภูวดลนั่งอ่านหนังสือสบายๆ
“อะไรมันจะแย่ไปกว่านี้อีกไหม นอกจากนังฟ้าแล้ว ยังมีไอ้ภาคินมาคุมสมบัติอีกคนนึง ทำเป็นหน้าซื่อ ถ้าได้เห็น สมบัติบ้านเรา มันคงแทบเป็นบ้าด้วยความดีใจ”
ภูวดลเหมือนไม่แยแส
“คงไม่ขนาดนั้นมั้งคุณ นายอานนท์เขาก็มีฐานะรวยเหมือนกัน”
“แต่ก็น้อยกว่าบ้านฉัน ที่มาแต่งเนี่ย คิดว่ามันรักยัยฟ้างั้นหรอ มันจะเอาสมบัติไม่ว่า กะอีแค่ ลูกเมียน้อยนางเอกลิเก จนๆ คงไม่พ้นกำพืดแม่มันหรอก โอ้ยย...คิดแล้วปวดหัว คุณไม่เห็นจะ มีปัญญาทำอะไรเลย”
“ที่ผมไม่พูด ไม่ได้แปลว่าไม่ทำ ผมใช้สมอง ไม่ได้ใช้ปากเหมือนคุณ”
ปานดาวอึ้งโกรธ
“ไม่ต้องห่วง งานนี้ เราไม่ต้องเหนื่อยออกแรงเองหรอก”
ภูวดลยิ้มมั่นใจในแผนการของตนเอง

ค่ำนั้น...ในร้านอาหาร ก้องภพ พรางตัวใส่หมวกปกปิดใบหน้านั่งคุยอย่างระวังตัว หลังจากได้ฟังแผนจาก ปานดาวและ ภูวดล เข้าครุ่นคิดอย่างไม่ไว้วางใจนัก
“พวกคุณต้องการอะไรกันแน่”
“ผมว่า เราพูดชัดเจนทุกคำแล้วนะ คุณก้องภพ”
ปานดาวยุเสริม
“ถ้าไม่มีภาคิน คุณก็จะได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
“คิดจะยืมมือผมกำจัดไอ้ภาคิน เพราะกลัวปานฟ้าจะได้ดูแลสมบัติทั้งหมด พวกคุณก็ คงได้ส่วนแบ่งน้อยลง ใช่ไหมล่ะ”
“ก็แล้วแต่จะคิด ฉันรู้แค่ว่า ตอนนี้ เรามีศัตรูคนเดียวกัน และถ้าไม่มีไอ้ภาคิน ก็เป็นเรื่องดี ของเราทั้งสองฝ่าย”
ภูวดลมองหน้า
“หรือจะไม่ทำ คิดให้ดีๆนะ คุณก้องภพ”
ก้องภพ ไม่อยากวางใจสองผัวเมียแต่ก็อยากกำจัดภาคิน เขาคิดหนัก ว่าจะทำอย่างไรดี

เย็นวันใหม่...กัญญา กำลังจัดกระเป๋า และ ข้าวของในห้องเช่าช้อยหิ้วถุงอาหาร เปิดประตูเดินเข้ามา
“นี่ มีหนุ่มหล่อ มาหาแน่ะ”
กัญญาดีใจรำพึงเบาๆ
“ภาคิน”
กัญญาดีใจมาก คิดว่าภาคินมาหา รีบผลุนผลันออกจากห้องไป ช้อยเบะปากมอง อย่างหมั่นไส้
กัญญาเดินเข้าไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้อยู่ที่รถ กัญญาดีใจรีบเดินเข้าไปเรียก
“คุณภาคิน”
ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามาหา กัญญาตกใจกลัวเมื่อเห็นว่าเป็นใคร...ขณะเดียวกันนั้นริมถนนเปลี่ยวอีกฝั่ง ไข่ตุ๋น เดินกินไอติมอย่างสบายอารมณ์ มองมาอีกฝั่งถนน เห็นผู้ชายคนหนึ่งเอาปืนจี้เอวกัญญา บังคับให้ขึ้นรถ แล้วขับรถออกไป ไข่ตุ๋น ขยี้ตาตัวเอง อย่างไม่เชื่อสายตาเกาหัวแบบงง กับสิ่งที่ได้เห็น
ถมกับช้อยช่วยกันเทกับข้าวใส่จาน เตรียมกินข้าวเย็น ไข่ตุ๋นเข้าห้องมาพอดี
“มาได้เวลากินเลยนะ ไอ่ตุ๋น แล้วแม่ครูเอ็งหล่ะ”
ไข่ตุ๋นเล่าอย่างตื่นเต้น
“ตะกี้นะ ไข่เห็นแม่ครูอ่ะ ขึ้นรถเก๋งไปกับ...”
ช้อยพูดแทรก
“ผู้ชายหล่อ”
“เออ...ใช่ๆๆ แล้วไข่ก็ยังเห็น...”
ไข่ตุ๋นยังพูดไม่จบถมไม่พอใจรีบห้าม
“พอๆๆ ไม่ต้องเล่า”
“แต่ว่าผู้ชายคนนั้น...”
ถมบอกเสียงหนัก
“บอกว่าพอไง ไม่อยากฟังต่อเว้ย”
ถม กระแทกจาน แล้วลุกจากวงข้าวอย่างหัวเสีย ไข่ตุ๋นผิดหวังไม่ได้เล่าต่อ เกาหัวตัวเอง งงๆ
บุญทิ้งนั่งรอกัญญากับไข่ตุ๋นอยู่ ด้านหน้าห้องเช่า ภาคินมาพอดี
“อ้าว...ทินภัทร มาเหมือนกันเหรอ”
“ผมมาหาแม่ครูกับไข่ตุ๋นครับ พรุ่งนี้พวกเค้าจะกลับต่างจังหวัดกันแล้ว”
“เหรอ พี่มาหาน้ากัญญาน่ะ”
ไข่ตุ๋นเดินมาพอดี รีบปรี่เข้ามาหา ภาคินกับ บุญทิ้ง อยากเล่าเรื่องที่เห็นกัญญา
“แม่ครูไม่อยู่ แต่...ไข่นะ เห็นแม่ครูออกไป กับผู้ชายแล้ว...”
ไข่ตุ๋นยังเล่าไม่จบเสียงโทรศัพท์มือถือของภาคิน ดังแทรกเข้ามาพอดี ภาคินส่งสัญญาณให้ไข่ตุ๋นหยุดเล่า ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือ แล้วหันไปอีกด้าน ไข่ตุ๋นเกาหัวตัวเอง แกรกๆ อารมณ์เสียที่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เห็นสักที ภาคินตกใจเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร
“ฮัลโหล...ก้องเหรอ มีอะไร...”
ไข่ตุ๋นสะกิด บุญทิ้ง ยิกๆๆ อยากจะเล่าเรื่องที่เห็น บุญทิ้ง หันไปจุ๊ปากให้เงียบแล้วพยายามเงี่ยหูฟังภาคินคุย
“อะไรนะ...แม่บุษบา...ที่ไหน”
บุญทิ้งพยายามแอบฟังว่าภาคิน ว่าอย่างไร ไข่ตุ๋นยุกยิกๆ อยากจะเม้าท์ให้ได้
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ภาคินกดวางสายแล้วรีบออกไปทันที บุญทิ้งเรียกจะตาม แต่ไม่ทัน
“พี่ภาคินๆ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่ภาคินแน่ๆเลย”
“เอ้อ...ต้องมีอะไรเกิดกับ แม่ครูกัญญา แน่ๆเลย”
“ว่ายังไงนะ”
“ก็ไข่พยายามจะบอกว่า แม่ครูกัญญา ถูกผู้ชายคนนึงเอาปืนจี้ให้ขึ้นรถไปด้วย...ว้อย...ได้เล่าสักที...โล่งอก”
ไข่ตุ๋นโล่งใจที่ได้เล่า บุญทิ้งคิดว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ

ภาคินจอดรถหน้าโกดังร้างตามที่นัดหมาย หยิบโทรศัพท์มือถือ ขึ้นมา กำลังจะกดแต่ เสียงก้องภพที่กำชับทางโทรศัพท์ เข้ามาเสียก่อน
“ห้ามบอกใครเด็ดขาด ไม่งั้น แม่บุษบาของแกได้กลายเป็นศพแน่”
ภาคินตัดใจ วางโทรศัพท์มือถือ แล้วเปิดประตูลงรถไป ขณะเดียวกันทางด้านตุลย์ มองหน้า บุญทิ้งที ไข่ตุ๋นทีแบบไม่อยากจะเชื่อ
“ผมได้ยินเต็มสองหู เลยนะครับ ว่าคนชื่อ ก้องภพโทรหาพี่ภาคิน”
“ไข่ก็เห็นเต็มสองตาหวานๆของไข่เลยนะครับ ว่าแม่ครู ถูกผู้ชายเอาปืนจี้ไป”
ตุลย์ไม่อยากจะเชื่อเต็มร้อยแต่ก็รู้สึกแปลกๆ
“เแหม..มั่นใจกันจริงๆ เดี๋ยวพี่โทรหาภาคินมันก่อน”
ตุลย์กดโทรศัพท์หาภาคิน รอสายสักพัก แต่ไม่มีคนรับสาย ตุลย์ส่ายหน้าไม่สบอารมณ์
“ไม่รับสาย อะไรของมันวะเนี่ย”
ตุลย์คิดอะไรบางอย่างออก กดโทรศัพท์หาอานนท์ทันที ครู่หนึ่งอานนท์รับสาย
“ภาคินออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนบ่าย เห็นว่าจะไปหาผู้หญิงที่ชื่อกัญญา”
อานนท์ชะงัก ย้อนถามตุลย์ในสายอีกที
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ตุลย์บอกว่า คนที่โทรหาภาคินคือ ก้องภพ งั้นเหรอ”
อานนท์ เป็นกังวลเมื่อรู้เรื่อง ตุลย์ คุยสายกับอานนท์ ไข่ตุ๋นกับ บุญทิ้ง ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ
“ครับผม...ผมจะพยายามหาเบาะแสเพิ่มเติม ไม่รู้เด็กแถวนี้จะเชื่อถือได้ขนาดไหน สวัสดีครับ”
ตุลย์กดวางสาย ไข่ตุ๋นทำหน้ากวนใส่ตุลย์
“ถึงพวกไข่จะเป็นเด็ก แต่ไม่ได้หูหนวกตาบอดนะครับ เล่นลิเกเก่งด้วยนะเอ้า”
ว่าแล้ว ไข่ตุ๋นตั้งวงจะร้องรำลิเกโชว์ ใส่ลีลาบทโจรเต็มที่ ตุลย์รีบห้าม
“พอเหอะๆเล่นบทโจรซะด้วย แล้วจะให้เชื่อเนี่ยนะ ทำไงล่ะทีนี้ ไอ้ภาคินก็ไม่รับสาย คุณอานนท์ก็ไม่รู้เรื่อง”
“พอดี ผมแอบได้ยิน พี่ภาคินเค้าพูดถึงที่ที่นึงครับ มันเป็น...”
บุญทิ้งพูดถึงสถานที่ ที่แอบได้ยินภาคินคุยโทรศัพท์กับก้องภพ ตุลย์รับฟังอย่างตั้งใจ ชักเชื่อว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นจริงๆ

กัญญานั่งอยู่กับพื้นในโกดังร้าง มือถูกจับมัดด้วยเชือกหนา เธอมองก้องภพด้วยความหวาดกลัว ก้องภพมองหน้ายิ้มเยาะ
“นี่เหรอ แม่บุษบา นางลิเกเมียน้อยของพ่อ...แม่ของไอ้ภาคิน”
กัญญาหลบสายตาด้วยความกลัว ก้องภพจับหน้าให้หันมาสบตา
“แกรู้ไหม เพราะแก ทำให้ครอบครัวฉันต้องแตกแยก ทำไมแกกับลูกไม่ตายโหงไปสักที”
“ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใครทั้งนั้น”
“แต่แกก็ทำไปแล้วไง แล้ววันนี้แกกับลูกของแก ต้องชดใช้”
กัญญาตกใจที่ก้องภพ ขู่อาฆาตถึงภาคิน
“อย่านะคะ คุณอย่าทำอะไรภาคินนะคะ จะทำอะไรก็ทำฉันคนเดียว”
ก้องภพ ยิ้มเยาะ สายตาเหี้ยมโหดอาฆาต
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ภาคินค่อยๆเดินเข้ามาในโกดังอย่างระวัง มองไม่เห็นอะไรเท่าไหร่เพราะค่อนข้างมืด จึงตะโกนเรียก
“ก้องภพ ฉันมาแล้วนายอยู่ไหน”
ก้องภพเดินมาจากมุมมืด
“มาแล้วเหรอ ไอ้ลูกแหง่ พอได้ยินชื่อแม่ก็รีบมาทันทีเชียวนะ”
“แกมีลูกเล่นอะไรอีก แม่จริงๆของฉัน ตายไปแล้ว”
ก้องภพหัวเราะสะใจ
“ฮ่าๆๆ ไอ้โง่เอ๊ย ไปโดนใครเค้าหลอกมาล่ะ แม่แกยังไม่ตายโว้ย”
ภาคินไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่เชื่องั้นเหรอ เอ้านี่”
ก้องภพ กระชากกัญญา ออกมาจากมุมมืด ภาคินตกใจ
“น้ากัญญา แกจับน้ากัญญามาทำไม น้ารู้เรื่องแม่ผมเหรอ”
ก้องภพ หัวเราะสะใจเข้าไปอีก
“ฮ่าๆๆ เลิกโง่ได้แล้วไอ้งั่ง แม่บุษบาของแก ก็อยู่ตรงหน้าแกนี่แล้วไง”
ภาคินตกใจคาดไม่ถึงรำพึงออกมา
“แม่…”
กัญญาก้มหน้าร้องไห้ ทั้งกลัว และ เสียใจที่ลูกชายต้องมารู้ความจริงแบบนี้

ที่สถานีตำรวจ ตุลย์กับปานฟ้านั่งหน้าเครียดจ้องเครื่องจับสัญญาณ ทุกคนที่เหลือนั่งอยู่ด้านหลัง ไข่ตุ๋นชะเง้อมองขยับตัวยุกยิกจนโดนช้อยตี ไข่ตุ๋นทำตัวนิ่งไปสักพักแล้วขยับตัวอีก ช้อยมองเอือมๆ ตุลย์เห็นสัญญาณกระพริบ
“นี่ไง เราจับสัญญาณมือถือของภาคินได้แล้ว อยู่แถวๆชานเมืองนี่เอง”
“งั้นเรารีบไปหากันเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกมันจะพาหนีไปอีก”
ช้อยถอนหายใจเฮือก
“โอ๊ย สรุปว่าของจริงใช่มั้ยเนี่ย แม่ครูของพี่ถมนี่ก็เหลือเกิน อยู่ดีๆไม่ชอบดันหาเรื่องใส่ตัว ไปยุ่งกับคุณภาคินมากเลยโดนลูกหลงพลอยโดนจับกับเขาไปด้วยซะงั้น กรรมเวรของคนชอบกินเด็ก”
ถมรีบปราม
“เงียบบ้างก็ได้ ไม่มีใครเขาว่าพูดไม่เป็นหรอก”
ช้อยค้อนขวับ ไข่ตุ๋นมองช้อยแอบหัวเราะแต่ช้อยหันไปเห็นเลยถลึงตาใส่
“เดี๋ยวผมจะล่วงหน้าไปก่อนแล้วขอกำลังเสริมตาม พวกคุณรออยู่ที่นี่นะครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจดีกว่า”
“ฟ้าขอตามไปด้วยคนค่ะ”
บุญทิ้งรีบแทรก
“ผมไปด้วยครับ ผมจะไปช่วยพี่ภาคิน”
ไข่ตุ๋นยกมือขึ้นชูสุดแขน
“ไข่ไปด้วย ไปไหนไปกัน”
ตุลย์มองหน้าเหรอหรา
“เอาแล้วไง ผมว่าเชื่อผมเถอะนะครับ อย่าไปกันเลย”
ถมลุกขึ้น
“ฉันไปด้วย ไม่เคยได้ยินเหรอ คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย นี่เรามีตั้งหลายคน สบายแน่นอน”
ตุลย์กุมขมับ ช้อยอึกอัก
“ฉัน...เอ่อ ฉัน...ไม่ค่อย”
ไข่ตุ๋นสะกิด
“น้าช้อยไม่ต้องเกรงใจจ้ะ จะไปก็ไป ไข่นั่งไม่กินที่หรอก”
ช้อยกลัวเสียหน้ารีบพยักหน้า
“เอ้า ไปก็ไปวะ…สู้โว๊ย”
“ไหนๆก็ห้ามไม่ได้แล้ว เอาเป็นว่าเอารถไปสองคันแล้วกัน แยกย้ายปฎิบัติครับพ้ม”
เติมบุญโผล่เข้ามา
“จะไปกันแล้วเหรอ ลืมฉันได้ยังไง เอ้า ให้ฉันไปคันไหนล่ะ”
ปานฟ้าปราดเข้าไปหา
“คุณพ่อรออยู่ที่บ้านดีกว่าค่ะ มันอันตราย”
“เออวุ้ย ทีเด็กไปไม่เป็นไร ที่คนแก่ทำห้าม อย่ามาห้ามพ่อเลยยัยฟ้า ตอนพ่อถูกจับตัว เขายังตามไปช่วย คราวนี้ถึงทีว่าที่ลูกเขยพ่อ เอ๊ย...ภาคินโดนจับบ้าง พ่อจะนิ่งดูดายได้ยังไง”
ปานฟ้ามองค้อนที่ถูกแซว ยิ้มออกมาได้หน่อยนึง

ภาคินค่อยๆทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วเข้าไปหากัญญาที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด เขามองแม่อย่างดีใจ และคิดไม่ถึง
“ทำไมคุณน้าไม่บอกผม ทำไมไม่บอกความจริงว่าคุณเป็น...แม่ผม”
กัญญาเงยหน้าขึ้นมอง สะอื้น
“แม่...แม่ไม่กล้า ถ้าแม่บอกความจริงคุณวิมลวรรณจะฆ่าลูก”
กัญญานึกถึงอดีต...ในขณะนั้น วิมลวรรณตบเธอลงไปกองกับพื้นนอกรั้วบ้าน กัญญาเงยหน้ามองวิมลวรรณที่ยืนตีหน้าถมึงทึงใส่
‘มองฉันทำไมฮึนังเมียน้อย ตีหน้าเศร้าไปก็เท่านั้นแหละ ถ้าแกกลับมาให้คุณอานนท์เห็นหน้า หรือคิดอยากจะทำหน้าที่แม่ของไอ้ลูกตัวมารของแกล่ะก้อ ฉันจะฆ่าลูกแกทิ้ง อย่ามาลองดี คิดว่า ฉันไม่กล้า ฉันไม่มีทางให้พวกชอบแย่งผัวชาวบ้านอย่างแกได้ เสวยสุขหรอก จำใส่กะลาหัวเอาไว้’
วิมลวรรณพูดใส่หน้า แล้วเดินไปปิดประตูรั้วเสียงดัง กัญญานิ่งน้ำตาไหลพราก
กัญญานั่งน้ำตาไหล
“แม่กลัวว่าเขาจะฆ่าลูก เลยไม่กล้าบอกความจริง ได้แต่พยายามอดทน เวลาที่ลูกอยู่ใกล้ อยากจะกอดก็กอดไม่ได้ อยากจะบอกว่า แม่ไม่ได้อยากทิ้งลูก แต่ก็พูดไม่ได้ แม่ขอโทษนะลูก ภาคิน แม่ขอโทษ”
ภาคินโผเข้ากอด
“แม่...แม่ครับ”
สองแม่ลูกกอดกันแน่น ภาคินน้ำตาไหลเงียบๆ กัญญากอดลูกชายแน่น น้ำตาไหลออกมาด้วยความซาบซึ้ง

ก้องภพมองอย่างแสนจะคลื่นไส้ เดินหนีไปเพราะทนดูไม่ไหว










Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 20:54:49 น.
Counter : 328 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 13 (ต่อ)


ทุกคนในห้องรับแขกถึงกับตะลึง เมื่อเห็นว่าทินภัทรที่พ่วงบอก คือบุญทิ้งนั่นเอง และต่างอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน

“บุญทิ้ง”
บุญทิ้งกลัวไปหมด ทุกคนสับสน สายอุษาทำท่าจะเป็นลม ป้าแก้วคอยดูแล ปานดาวจูงธัญวิทย์เข้ามาพอดี
“แกโกหก! ไอ้พวก 18 มงกุฎ หนอยเอาไอ้เด็กบุญทิ้งมาสวมรอยเป็นทินภัทร คิดว่าพวกฉันโง่รึไง ทินภัทรน่ะ ตายไปแล้วได้ยินไหมว่า ทินภัทรตายไปนานแล้ว”
พ่วงโต้ทันที...
“ยัง ทินภัทรยังไม่ตาย ยังยืนอยู่ตรงนี้”
ปานดาวมองบุญทิ้งอย่างสุดทน
“ไม่ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่ บ้านนี้มีหลานคนเดียวคือลูกชายฉัน คนอื่นไม่ใช่”
“ดาว พอแล้ว” เติมบุญมองพ่วง “เล่ามาให้หมด ว่าเรื่องจริงมันคืออะไร”
ปานดาวมองพ่วง อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แต่พ่วงไม่สนใจ เล่าเรื่องราวที่ผ่านมา...
“เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผู้หญิงในบ้านนี้ ขโมยเด็กมาให้ผม มันบอกให้เอาไปขายแถวชายแดน แต่ผมเห็นเด็กหน้าตา น่ารักดีเลย เลี้ยงไว้ พอโตขึ้นหน่อยก็ให้ไปขอทาน หาเงิน เด็กคน นั้น ก็คือ...ไอ้บุญทิ้ง”
บุญทิ้งก้มงุดๆด้วยความกลัว ปานดาวโวยทันทีที่ฟังเรื่องจบ
“ไม่จริง แกโกหก จะเป็นไอ้บุญทิ้งไปได้ยังไง ดูหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่หลานฉัน พวกแกรวมหัว กันมาหลอกเอาสมบัติบ้านนี้ใช่ไหม”
เติมบุญขัดขึ้น...
“ยัยดาว...นายพ่วง บอกฉันมาสิ ผู้หญิงที่เอาทินภัทรไปให้ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว คือใคร ใครมันเป็นคนที่ขโมยหลานฉันไป”
พ่วงมองไปรอบห้อง สบตาปานดาวที่ทั้งโกรธทั้งกลัว หลบตาพ่วงอย่างมีพิรุธ จังหวะนั้นพิมเดินเข้ามาในบ้านพอดี ธัญวิทย์ร้องขึ้น...
“พิมมาแล้ว พิมหาข้าวให้ฉันกินเลย หิวมาก”
พิมเห็นพ่วงก็ชะงักด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง พ่วงหันไปเห็นพิม ยิ้มสะใจ ชี้นิ้วไปที่พิม แล้วบอกกับทุกคน
“นังตัวแสบนี่ไง มันนี่แหละที่เป็นคนเอาตัวทินภัทรมาให้ผม”
พิมตกใจ ทำอะไรไม่ถูก

ภาคินขับรถพาปานฟ้าที่ยังอ่อนเพลีย เพราะเพิ่งฟื้นจากถูกวางยา ภาคินพูดโทรศัพท์ มือถือ...
“ขอบคุณมากครับคุณอนิรุทธิ์ อีกไม่เกินห้านาที เราไปถึง” ภาคินกดวางหู แล้วหันมาบอกปานฟ้า “ตอนนี้ ทินภัทรอยู่ที่บ้านฟ้าแล้วนะครับ”
ปานฟ้ารีบถามตื่นเต้น
“แสดงว่า ทินภัทรยังมีชีวิตอยู่จริงๆหรอคะ แล้วใช่ ทินภัทรตัวจริงรึเปล่า หลานฟ้าเป็นยังไงบ้าง หน้าตาเหมือนใคร แล้วใครเป็นคนพามา”
ภาคินยิ้มนิดๆอย่างเอ็นดู
“ถามหลายอย่างจริง เดี๋ยวไปดูเองดีกว่าครับ...เราอาจจะเจอเรื่องที่นึกไม่ถึง”
ปานฟ้าฟังอย่างสงสัยแปลกใจ แต่ก็ตื่นเต้น อยากถึงบ้านโดยเร็ว

ในบ้านบุญเติม...ป้าแก้วมองพิมอย่างแค้นใจ
“นึกแล้วว่าต้องมีเกลือเป็นกลอน แค่ออกไปเอาของแป๊บเดียวกลับมาคุณหนูก็หายไปแล้ว ถ้าไม่ใช่คนในทำ แล้วจะเป็นใคร แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแก...นังพิม ทำไมแกถึงใจร้ายอย่างนี้”
พิมหน้าตาตื่น
“ไม่จริง ทุกคนอย่าไปเชื่อมัน แกใส่ร้ายฉัน ใครเชื่อโจรอย่างแกก็โง่แล้ว ไอ้โกหก”
อนิรุทธิ์ที่ฟังอยู่นาน หันไปถามพ่วง
“นั่นสิ มีหลักฐานอะไรยืนยันสิ่งที่นายพูด”
ปานดาวขัดทันที
“จะไปเอาหลักฐานอะไรกับหัวขโมยอย่างมัน อมพระมาพูดฉันก็ไม่เชื่อ แต่งเรื่องมาหลอกเอาเงินพวกเราไม่ว่า เรียกตำรวจมาจับมันเลยคุณรุทธิ์ ไอ้พวกหลอกลวงแบบนี้ต้องให้ติดคุก”
บุญทิ้งมองพ่วงที่กำลังโดนรุม
“ถ้าไม่ได้ขโมยตัวทินภัทรไป....แล้วทำไมพี่พิมถึงได้ จับตัวคุณตาไปขัง แล้วยังจะฆ่าผมอีก
เติมบุญชะงัก นึกถึงตอนที่โดนจับตัวไป”
พิมมองบุญทิ้งอย่างโกรธแค้น
“แกพูดอะไรของแกไอ้ทิ้ง ใครไปจับใคร ใครจะฆ่าแก”
เติมบุญยิ้มนิดๆ แต่แววตาโกรธ
“จริงด้วย ขอบใจนะบุญทิ้ง ตานึกตั้งนาน ว่าลักษณะท่าทางของนังโจรที่จับฉันไปวันนั้น เหมือนใคร”
พิมหน้าเสีย พยายามแก้ตัว
“ไอ้ทิ้งมันปั้นเรื่องโกหก พูดจาเลอะเทอะเหมือนไอ้พ่วง อย่าไปเชื่อนะคะ มันสองคนเป็นพวกเดียวกัน”
เติมบุญมองพิมนิ่ง
“เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาชื่อพ่วง ฉันยังไม่ได้เอ่ยชื่อเขาเลย”
พิมชะงัก หน้าเสีย อ้ำๆ อึ้งๆ พูดต่อไม่ออก ปานดาวเห็นพิมจะแย่ เลยรีบช่วย
“นี่คุณพ่อเชื่อพวกมันเหรอคะ พิมจะไปทำเรื่องเลวๆอย่างนั้นได้ยังไง”
พ่วงเล่าต่อ...
“นังพิมมันไม่ได้ลงมือทำคนเดียวนะครับ มันรวมหัวกับไอ้ก้าน ผัวมันอีกคน”
ตุลย์ ปานฟ้า และ ภาคิน เดินเข้ามาถึงบ้านพอดี
“ตอนนี้ นายก้านตายแล้วะครับ มันกับพวก พยายามลักพาตัวคุณปานฟ้า เลยถูกยิงตาย” ตุลย์เล่า
พิมหน้าเสีย รีบปฎิเสธพัลวัน
“ไม่จริง ฉันไม่รู้จัก ไอ้ก้านไหน...เป็นใคร ไม่รู้จัก”
พ่วงมองพิมอย่างสะใจ เดินย่ามเข้าไปหาพิม
“เลิกสะตอได้แล้วอินังพิม” พ่วงหันไปมองธัญวิทย์ “เด็กนี่อีกคน อยากรู้ไหม ว่าจริงๆเป็นลูกใคร”
ปานดาวจับตัวธัญวิทย์ไว้ รีบแก้ตัว
“อะไรของแก นี่ลูกฉัน อย่ามาพูดอะไรบ้าๆ อีกนะ”
พิมมองพ่วงตาเหี้ยม ค่อยๆ ถอยมาจนติดโต๊ะ เอื้อมมือไปคว้ามีดปลายแหลมที่วางไว้บนถาดผลไม้ พ่วงไม่ได้สังเกต เดินเข้าไปใกล้พิมอีก หวังให้พิมกลัว จนตรอกแล้วยอมพูดความจริง
“จริงเหรอ...แต่ที่รู้มา ไอ้เด็กนั่น มันเป็นลูกของ...”
ยังไม่ทันที่พ่วงจะได้พูดต่อ พิมเอามีดปอกผลไม้ จ้วงท้องพ่วง 2-3 ที ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พิมผละออกจากตัวพ่วง มองร่างพ่วงล้มลงกับพื้น ทำเป็นตกใจ ปล่อยมีดในมือทิ้ง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันจะฆ่าฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแทงมันนะ”
ตุลย์รีบวิ่งมาจับชีพจรพ่วง เงยหน้าบอกทุกคน
“ตายแล้ว”
ทุกคนฟังอย่างตกใจ หันมามองพิมเป็นตาเดียว

บุญทิ้งนั่งร้องไห้ เสียใจที่พ่วงจากไป สายอุษาเป็นลม ป้าแก้วต้องคอยบีบนวด ปานฟ้าคอยพยาบาลให้ดมยาดม จิบยาหอม
“อยู่ดีไม่ว่าดี มีคนมาตายในบ้าน เราต้องทำบุญใหญ่กันแล้ว ทำไมถึงมีแต่เรื่องวุ่นวายนักนะ” สายอุษาคร่ำครวญ เมื่อฟื้นขึ้นมา
“ทำใจดีดีไว้ค่ะคุณแม่ เรื่องร้ายๆมันกำลังจะผ่านไปแล้วค่ะ” ปานฟ้าพยายามปลอบ
เติมบุญมองบุญทิ้งอย่างสงสารจับใจ พยุงให้บุญทิ้งลุกขึ้นมานั่งโซฟาข้างตัว กอดปลอบใจบุญทิ้ง
“อย่าร้องไห้ไปเลยบุญทิ้ง นายพ่วงไปดีแล้ว อย่างน้อย ก่อนตาย นายพ่วงก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง และดีที่สุด สำหรับเราทุกคน ต่อไป ตาจะดูแล หลานเอง”
บุญทิ้งมองสบตาเติมบุญ
“คุณตาเชื่อที่ลุงพ่วงพูดเหรอครับ”
“เชื่อตัวตาเองต่างหาก สายตาคนแก่ มองอะไรไม่ผิดหรอก ต้องคนมีสายเลือดเดียวกันเท่านั้น ถึงจะยอมตายแทนกันได้ ไม่งั้นเจ้าคงไม่เสี่ยงชีวิตช่วยตาหรอก จริงมั้ย ตาดีใจที่สุดนะ ที่บุญทิ้ง คือทินภัทร หลานชายที่แท้จริงของตา”
บุญทิ้งกอดเติมบุญ ด้วยความตื้นตัน สายอุษาน้ำตาคลอด้วยความสุข อนิรุทธิ์มองบุญทิ้ง อย่างทั้งดีใจ นึกไม่ถึง เอื้อมมือมา บุญทิ้งสบตาแล้วส่งมือให้จับ อนิรุทธิ์ดึงบุญทิ้งมากอด แล้วร้องไห้ดีใจ
“คุณอนิรุทธิ์”
“เรียกพ่อสิลูก”
บุญทิ้งมองหน้านิ่ง เรียกอย่างไม่ค่อยกล้า
“พ่อ...” บุญทิ้งนิ่งไปแล้วเรียกเสียงดัง “พ่อครับ”
“ลูกพ่อ”
ทั้งคู่กอดกัน ร้องไห้อย่างดีใจ

พิมให้ปากคำกับตุลย์ โดยมีปานดาว ยืนดูอยู่ด้วย ภูวดล เพิ่งกลับเข้าบ้านมายืนฟังอย่างร้อนใจ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ามันนะหมวด มันจะมาทำร้ายฉันก่อน ฉันป้องกันตัวต่างหาก” พิมพยายามแก้ตัว
ตุลย์มองอย่างไม่เชื่อ
“แน่ใจ ว่าไม่ใช่การฆ่าเพื่อปิดปาก”
พิมอึ้ง ภูวดล ส่งสายตาให้ปานดาวช่วย
“ก็เห็นกันอยู่ว่ามันเดินเข้าไปหานังพิม นี่ถ้าคนของฉันไม่เฉลียวใจ เอามีดแทงมันซะก่อน ป่านนี้คนที่ไปเฝ้ายมบาล ก็เป็นนังพิมไปแล้ว”
“คุณปานดาวพูดเหมือนพยายามปกป้อง ทั้งที่พวกเราทุกคนก็เห็นว่านายพ่วงมามือเปล่า ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายใครเลย “ตุลย์สบตาปานดาวตรงๆ “แค่มาพูดเรื่องจริง ให้พวกเรารู้เท่านั้น”
ภูวดเห็นจะไม่รอดจึงรีบแก้แทน
“พูดอย่างนี้ก็เกินไปนะหมวด พิมทำงานกับเรามานาน เลี้ยงลูกผมมาตั้งแต่เกิด ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหมวดล่ะก็ ผมคงต้องให้ทนายมาช่วยจัดการ”
พิมยิ้มเยาะอย่างสะใจ ตุลย์เอะใจ คิดว่าภูวดลและปานดาว ท่าทีแปลกๆที่เข้าข้างพิมเกินเหตุ

ภาคินยืนคุยอยู่กับปานฟ้าอีกด้านหนึ่งของบ้าน...
“ป้องกันตัว ผมว่าเป็นข้ออ้างที่อ่อนมาก พ่วงไม่ได้จะทำร้ายพิมเลยนะ พิมก็ไม่น่าจะตกใจขนาดแทงพ่วงจนตาย” ภาคินออกความเห็น
“นั่นสิคะ...ตอนนั้น...พ่วงเค้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง”
ปานฟ้านึกถึงคำพูดพ่วงก่อนโดนแทง ภาคินพบักหน้ารับ...
“เหมือนพ่วงกำลังบอกว่า ธัญวิทย์เป็นลูกคนอื่น ไม่ใช่ลูกของคุณปานดาว”
ปานฟ้าคิดหนัก
“เป็นไปไม่ได้หรอกคะ อย่างพี่ดาวเนี่ยนะ จะเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยง ขนาดลูกตัวเองยังไม่ค่อยดูแลเลย ตั้งแต่วิทย์เกิด ก็มีแต่พิมนี่แหละที่ดูแลมาตลอด...คงไม่ใช่หรอกค่ะ”
พูดจบปานฟ้าก็คิดขึ้นมาได้ถึงท่าทีแปลกๆของพิมที่แสดงออกต่อธัญวิทย์ แต่ก็สลัดความคิดทิ้ง ไม่อยากเชื่อตัวเอง ภาคินเองก็ยังข้องใจ

หลังจากตุลย์สอบสวนพิมเสร็จแล้ว เติมบุญบอกกับทุกคนในห้องรับแขก...
“ฉันคงให้พิมอยู่บ้านหลังนี้ต่อไปไม่ได้”
ปานดาวตกใจ
“คุณพ่อคะ แต่ตำรวจก็ยอมให้พิมประกันตัวแล้วนะคะ คุณพ่อก็น่าจะ...”
“น่าจะยอมให้ฆาตรกร ที่ฆ่าคนต่อหน้าต่อตาเนี่ยนะ อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน นี่ยังไม่รวมกรณีเป็นผู้ต้องสงสัยที่จับฉันไปเรียกค่าไถ่ และพยายามฆ่าทินภัทร อีกนะ”
พิมพยายามเก็บสายตาโกรธแค้น ปานดาวยังพยายามช่วย
“แต่พิมเค้าก็บอกแล้วว่าไม่ได้ทำ ไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น คุณพ่อไม่เชื่อใจคนในบ้าน แต่ไปเชื่อพวกโจร อย่างนั้นเหรอคะ”
“ฉันเชื่อว่า ใครทำอะไรไว้ จะได้อย่างนั้น เวรกรรมมันมีจริง ให้พิมเค้าออกไปพิสูจน์ตัวเองก่อน ว่าเค้าบริสุทธิ์ จากนั้นค่อยมาพูดกัน”
ธัญวิทย์ร้องไห้ทันที...
“ฮือๆๆ พิม จะให้พิมอยู่ที่นี่ ให้พิมอยู่ที่นี่”
พิมมองธัญวิทย์ ร้องไห้ ด้วยหัวใจปวดร้าว สายอุษา สงสารหลานเรียกธัญวิทย์เข้าไปกอด
“ตาวิทย์ ไม่งอแงนะหลานยาย”
ธัญวิทย์กอดยายร้องไห้ เติมบุญลูบหัวหลานปลอบใจ
“พิม เขาเป็นแค่คนใช้ วันนึงเค้าก็ต้องไป แต่เราต้องอยู่กับพ่อกับแม่ตลอดชีวิตนะ”
พิมทนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หันหน้าหลบไปร้องไห้อีกมุมไม่ให้ใครเห็น ภูวดลเห็นจึงเดินไปกระซิบด้วยเบาๆ
“ช่วงนี้แกก็หลบไปไหนสักที่ก่อน รอให้เรื่องเงียบ แล้วฉันจะทำให้แกกลับมาเอง”
พิมพูดกระซิบตอบภูวดลทั้งน้ำตา
“ก็ลองฉันไม่ได้กลับมาที่นี่อีกสิ ธัญวิทย์ก็ต้องไม่อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน”
พิมอาฆาตแค้น ทั้งน้ำตา

เติมบุญจับธัญวิทย์กับบุญทิ้งมายืนตรงหน้า มองทั้งสองคนอย่างเมตตา
“ธัญวิทย์ ทินภัทร หลานทั้ง 2 คน เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันนะเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องรู้จักให้และ แบ่งปันกัน เป็นพี่น้องกันต้องรักกัน...ไหน จับมือกันซิ”
บุญทิ้งยื่นมือไปหา ธัญวิทย์เอามือปัดออก ปานดาว มองอย่างสะใจ ภูวดลทำเป็นดุ
“ธัญวิทย์ จับมือกับพี่เค้าดีๆ”
ธัญวิทย์ หน้างอที่ถูกพ่อดุ เอามือไปจับบุญทิ้งอย่างแรง กระชากตัวบุญทิ้งมาทำเหมือนกอดแรงๆ แล้วกระซิบที่ข้างหู
“ไอ้ขอทาน ฉันเกลียดแก”
บุญทิ้งผละตัวออกมา ก้มหน้าด้วยความเสียใจ

กลางดึก...ปานดาวฝันถึงเหตุการณ์ที่พิมจ้วงมีดแทงพ่วง แล้วเห็นพ่วงที่ตัวเต็มไปด้วยเลือดถลึงตาให้ พ่วงยื่นมือทั้งสองข้างมาตรงหน้าเธอ
“เอาไอ้เด็กคนนี้มา...มันไม่ใช่ลูกแก...ไอ้วิทย์ต้องไปกับข้า ตัดแขนตัดขามัน เอาไปนั่งขอทาน บาปกรรมมันตามทันแกแล้ว นังปานดาว แก...ต้องช้ำใจจนตาย”
พ่วงหัวเราะสุดเสียงอย่างสะใจ ปานดาวที่นอนบนเตียงกรีดร้อง หลับตากระสับกระส่ายด้วยความหวาดกลัว
“อย่า...อย่าเอาลูกฉันไป...ไม่นะ....วิทย์...”
ปาดดาวสะดุ้งตื่น รีบหันไปหาวิทย์ที่นอนหลับนิ่งไม่รู้สึกตัว เธอรีบคว้าตัวธัญวิทย์มากอดไว้แน่น มองซ้ายขวา ล่อกแล่กอย่างระแวง
“วิทย์...วิทย์ตื่นเร็วลูก ตื่น ตื่น...”
ธัญวิทย์งัวเงียตื่น ลืมตา อึดอัดที่ดาวกอดรัดอย่างแน่น
“อาไร...แม่ หายใจไม่ออก ปล่อยก่อน...”
ปานดาวรู้สึกตัวได้สติ ว่าตัวเองฝันไป ค่อยๆคลายธัญวิทย์ออก
“เออ...แม่ขอโทษจ๊ะ แม่ฝันร้าย โธ่เอ๊ย นึกว่ามันเรื่องจริง นอนต่อเถอะ เดี๋ยวแม่ไปเข้า ห้องน้ำก่อน”
ธัญวิทย์งัวเงีย หันกลับไปนอนต่อ ปานดาวลุกจากเตียง นึกได้ก็หันมาหาแล้วเขย่าตัว
“วิทย์ลุกมาก่อน อย่าพึ่งหลับ ไปเป็นเพื่อนแม่นะ”
ปานดาวผวาหันซ้ายขวาด้วยความกลัว ธัญวิทย์พูดอย่างงัวเงียไม่สบอารมณ์
“วิทย์ง่วง ไม่เอา...เดินสองก้าวก็ถึงห้องน้ำแล้ว ให้วิทย์ไปทำไม”
ปานดาวลังเลใจ ทั้งห่วงลูกทั้งกลัวผีพ่วง
“แม่ไม่กล้าไปคนเดียว...ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยสิ ตื่นเร็วๆ เอ๊ะ พึ่งพาอะไรไม่ได้เลยไอ้ลูกคนนี้”
ภูวดลกลับมาจากข้างนอก เปิดประตูห้องเข้ามา
“ยังไม่นอนกันอีก แม่ลูกคู่นี้”
ปานดาวอุ่นใจขึ้น เมื่อเห็นภูวดลแต่ยังไม่ถอดสีหน้าหวาดกลัว
“กลับมาซะดึกเลย...ฉันฝันร้าย ไอ้พ่วงมันไม่ยอมไปผุดไปเกิดจะมาเอาตัววิทย์ไป กลัวแทบแย่...ผีบ้าผีบออะไรไม่รู้”
ภูวดลมองอย่างขำๆ
“ป่านนี้ไอ้พ่วงลงนรกขุมไหนไปแล้วไม่รู้ คุณก็กลัวเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไอ้ที่ควรกลัวมากกว่าผีกลับไม่กลัว”
“คุณพูดถึงอะไร”
“ก็ไอ้พวกผีฮุบสมบัติไง น้องสาวคุณกับคู่รักมัน น่ากลัวกว่าผีไอ้พ่วงเยอะ”
ปานดาวมองค้อนแล้วถอนใจ นิ่งคิดที่ภูวดลพูด

เช้าวันใหม่...อนิรุทธ์จูงมือบุญทิ้งมาที่โรงพยาสบาล เดินมาหยุดมองปานเดือนที่นั่งเหม่อ หน้าเศร้าคิดถึงลูก อนิรุทธิ์ก้มลงบอกบุญทิ้ง
“ไปหาแม่สิลูก”
บุญทิ้งสบตาแล้วยิ้ม เดินมาตรงหน้าปานเดือน มองนิ่ง แล้วเอื้อมมือไปจับมือ ปานเดือนหันมามอง บุญทิ้งสบตา เรียกเสียงดังอย่างดีใจที่ได้เรียกแม่อย่างเปิดเผยสักที
“แม่ครับ”
ปานเดือนนิ่งไป แล้วยิ้มดีใจ
“ทินภัทร”
ปานเดือนนั่งกอดบุญทิ้ง อย่างมีความสุข
“ในที่สุดลูกก็ได้กลับมา อยู่ในอ้อมกอดของแม่”
“เดือน ต่อไปนี้เราสามคนพ่อแม่ลูก ได้อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างเดิมแล้วนะจ้ะ”
ปานเดือนยิ้มรับ
“แม่จะไม่ให้ใครมาเอาลูกไปไหนอีกแล้ว”
“พ่อก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
อนิรุทธิ์กอดบุญทิ้งและปานเดือนอย่างปกป้อง บุญทิ้งยิ้มดีใจ กอดพ่อแม่อย่างมีความสุข
“ผมก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

เติมบุญมองไปที่สนามหญ้าที่บ้านเห็น ปานเดือน อนิรุทธิ์ และบุญทิ้ง อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หันมาคุยกับสายอุษาและปานฟ้า
“พอทินภัทรกลับมา ยัยเดือนก็อาการดีขึ้นทุกวันๆ”
สายอุษาพยักหน้ารับ
“ฉันว่าแล้ว เด็กบุญทิ้งมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนแม่เดือน กับพ่ออนิรุทธิ์ แล้วมันก็ใช่จริงๆ โถ หลานยาย ไประหกระเหินซะตั้งนาน”
“ดาวต่อให้ตกลงมาบนพื้นดิน ก็ยังส่องแสงให้คนเห็น เพราะดาวก็คือดาววันยังค่ำ” ปานฟ้าพูดอย่างสบายใจ
“บ้านเราได้กลับมาปกติสุขเสียทีนะคะ”
“แล้วเราล่ะยัยฟ้า พาคุณภาคินเค้ามาบ้านบ่อยๆสิ” เติมบุญพูดแล้วหันไปทางสายอุษา “ลูกเขยบ้านนี้ ไม่ต้องรวยหรอก ขอให้เป็นคนดีก็พอ แต่ตอนนี้ คนดีเค้าก็รวยแล้วซะด้วยสิ คุณแม่ยายเค้าคงไม่รังเกียจแล้วมั้ง”
สายอุษาค้อนเติมบุญ
“แหม ฉันไม่ได้งกนะคุณ ผิดเหรอ ที่กลัวลูกสาวจะลำบาก เอาเข้าจริง ลูกรักใคร ฉันก็รักด้วยค่ะ”
ปานฟ้ายิ้มดีใจเข้าไปกอดแม่
“คุณแม่ ไม่รังเกียจคุณภาคินแล้วใช่ไหมคะ”
“คนดีที่ช่วยชีวิตคุณพ่อ ช่วยครอบครัวเราไม่รู้จักกี่ครั้ง แม่จะรังเกียจเค้าลงเหรอจ๊ะ ยัยฟ้า”
“ฟ้าดีใจที่สุดเลยค่ะ”
ปานฟ้าดีใจ กอดแม่ด้วยความรัก

ก้องภพโกรธจัด คลั่ง ทำลายข้าวของในบ้าน กระจุยกระจาย วิมลวรรณกับอานนท์ เข้ามาเห็นตกใจ กับภาพที่เห็นรีบเข้าไปห้ามก้องภพ
“ก้อง...อย่าทำแบบนี้ลูก พอเถอะ ทำของพังหมดบ้านมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ใจเย็นๆก่อน เรื่องมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ คนอย่างคุณสายอุษาเหรอ จะยกลูกสาวให้ไอ้ลูกเมียน้อย”
ก้องภพโวยวายไม่เลิก
“แม่เลิกหลอกผมสักที เลิกหลอกตัวเองด้วย ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น ว่าฟ้ากำลังจะแต่งงานกับไอ้ภาคิน”
อานนท์ส่ายหน้า
“รู้อย่างนี้แล้วแกจะยังโวยวายทำไม ผู้หญิงเค้าไม่ได้รักเรา จะยังไปรั้งไปอะไรนักหนา เลิกบ้าสักที”
“ไม่ได้ ฟ้าต้องรักผม ผมคอย ดูแล เอาใจฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างผมผิดตรงไหน ทำไมฟ้าไม่รักผม”
วิมลวรรณพูดเข้าข้างลูก
“แกไม่ผิดหรอกตาก้อง แต่มันผิดที่โลกนี้มีไอ้ภาคิน มันเกิดมาเพื่อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของลูก เหมือนแม่ของมันที่เกิดมาเพื่อทำลายแม่”
อานนท์ปราม
“ไปกันใหญ่แล้วคุณ แทนที่จะสอนลูกให้รู้จักมองตัวเอง แล้วยอมรับความจริง นี่กลับโทษคนอื่น”
“ก็ฉันเป็นของฉันอย่างนี้ ไม่เหมือน แม่แสนประเสริฐอย่างนังลิเก ชั้นต่ำ ที่ทิ้งลูกในไส้ ไว้ให้คนอื่นเลี้ยงหรอก”
อานนท์ไม่พอใจ
“พอได้แล้ว ผมเบื่อที่จะทะเลาะกับคุณเต็มที จะทำอะไรก็ทำกันไปเถอะ”
อานนท์เดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย ก้องภพยังนั่งคร่ำครวญ ถึงปานฟ้า
“ทำไม ทั้งพ่อ ทั้งฟ้า ถึงไม่รักผม พ่อไม่ยอมเข้าข้างผม ฟ้าก็ไม่เคยจะเหลียวแลผมเลย”
“ถ้าไม่มีมัน พวกเราคงไม่ต้องเป็นแบบนี้ เพราะไอ้ภาคินคนเดียว” วิภาวรรณบอกอย่างแค้นใจไม่น้อยกว่ากัน...
ก้องภพอาฆาตแค้น
“คอยดูนะ ผมจะไม่ยอมแพ้ ฟ้าจะต้องเป็นของผมให้ได้ ผมจะทำทุกอย่าง กำจัดมันให้พ้นทาง”
วิมลวรรณคิดแผนร้าย
“ดี แต่จะทำอะไร อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงหรือออกหน้านะ จะทำลาย คนอย่างมัน ต้องคิดแผนให้รอบคอบ รับรอง มันเสร็จเราแน่”

ก้องภพคิดแผนร้าย ด้วยความอาฆาตแค้น










Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 20:53:21 น.
Counter : 222 Pageviews.

0 comment
ดุจดาวดิน ตอนที่ 13


ภูวดลสูดหายใจ แล้วบอกพิมกับก้านด้วยแววตาเหี้ยมโหด

“ฉันไม่ต้องการเห็นไอ้แก่นั้นมีชีวิตอีกต่อไป”
พิมกับก้านสบตากัน
“จะ...เอากันขนาดนั้นเลยเหรอพี่...งานใหญ่นะ”
“ทำเนียนๆหน่อยสิวะ ให้เหมือนอุบัติเหตุมันตายเอง...แล้วฉันจะให้พวกแก...สิบล้าน”
ก้านบอกเสียงเรียบ
“แค่สิบล้าน...นายเติมบุญมันมีเป็นพันล้าน”
“ทำงานนี้ให้สำเร็จก่อน ต่อไปจะได้อีกเยอะ” ภูวดลสบตาก้าน “แต่ต้องทำเท่าที่ฉันบอก ห้ามทำเกินคำสั่ง อย่าทำอะไรเองอีก...เป็นครั้งที่สอง”
ภูวดลบอกหน้าเหี้ยม เอาจริง พิมอึ้ง ก้านฟังหน้าขรึม ครุ่นคิดถึงงานใหม่ที่ได้รับจากภูวดล

ในห้องผู้ป่วย...ปานฟ้าดูจัดผ้าห่มคลุมให้เขาที่เริ่มจะง่วงเพราะฤทธิ์ยา เธอยิ้มให้
“จะหลับแล้วสิคะ”
ภาคินหาวตาปรือ
“กินยาแล้วง่วง คุณกลับบ้านเถอะ อย่าขับรถดึก อันตราย”
“ค่ะ งั้นฟ้าไปก่อน นอนพักมากๆนะคะ จะได้หายเร็วๆ”
ปานฟ้าหยิบกระเป๋าและมือถือ ยิ้มให้หันหลังจะไป ภาคินเอื้อมมือไปจับแขน
“คุณฟ้า...ให้กำลังใจคนเจ็บหน่อยสิครับ” ภาคินชี้ที่แก้มป่อง “นิดนึง...ตรงนี้อยากให้ผมหายเร็วๆไม่ใช่หรอ”
ปานฟ้ายิ้มเขิน ทำท่าจะไม่ยอม
“ง่วงขนาดนี้ยังจะเล่นอีกคุณนี่...”
“น่า นิดนึงนะ”
“คนเจ็บคนนี้ ได้ทีเอาใหญ่เชียวนะ”
ปานฟ้าอดยิ้มไม่ได้กับสายตาออดอ้อนของเขา เธอวางมือถือที่ปลายเตียง เดินมาใกล้ส่งความรักที่มีเต็มเปี่ยมด้วยจุ๊บที่แก้ม
“อะ...พอยังคะ”
“อีกข้าง...”
“คนขี้โกง...ไม่เอาแล้ว...ไหนว่าให้กลับเร็วๆ ไง ฟ้าไปล่ะ”
ภาคินพยักหน้าส่งด้วยรอยยิ้ม ปานฟ้ากลับไปอย่างอารมณ์ดี มีความสุข โดยไม่รู้ว่าลืมมือถือไว้
ปานฟ้าเดินออกจากห้องแล้วกดลิฟต์ เข้าลิฟต์ไป ก้องภพอยู่ในมุมลับตาพับหนังสือพิมพ์ที่ทำเป็นอ่าน มองปานฟ้าที่เข้าลิฟต์ไปอย่างแค้นๆ ก่อนจะหันกลับไปทางห้องที่ภาคินอยู่อย่างหมายมาด กำมือแน่นจนสั่นขย้ำหนังสือพิมพ์
ประตูห้องภาคินเปิดออก ก้องภพย่องเข้ามา ภาคินนอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา ก้องภพหน้าเครียดแค้น หยิบหมอนที่วางบนโซฟาเดินเข้าไปใกล้เตียง
“แกเป็นมารฉันมาตั้งแต่เกิด...แย่งพ่อ แย่งตำแหน่งลูกชายคนโตแย่งทุกอย่างแม้แต่ผู้หญิงที่ฉันรัก ถ้าไม่มีแกสักคน ฉันก็จะได้ทุกอย่าง อย่าอยู่ร่วมโลกกันต่อไปเลย”
ก้องภพกดหมอนปิดหน้าภาคินอย่างแรงหวังให้ตาย ภาคินเริ่มรู้สึกตัว ดิ้นรน พยายามสู้เท่าที่แรงจะมี
ทางด้านปานฟ้าที่เดินมาขึ้นรถปิดประตู เธอเปิดกระเป๋าถือจะหยิบมือถือ แต่หาไม่เจอ
“เอ๊ย...มือถือล่ะ”
ปานฟ้าพยายามคิด ว่าไปลืมไว้ที่ไหน

ภาคินผลักหมอนออก ถีบจนก้องภพเซไปเขาหอบหายใจถี่ ไม่คิดว่าก้องภพจะทำถึงขนาดนี้
“ก้อง...แก...จะทำอะไรฉัน”
ก้องภพหน้าเหี้ยมลุแก่โทสะแรงหึง
“แกแย่งพ่อยังไม่พอ ยังแย่งฟ้าไปจากฉัน ถ้าแกตาย ฟ้าก็ต้องกลับมา”
“แกมันบ้าไปแล้ว ฉันไม่ได้แย่งคุณฟ้าไปจากแก เราสองคน...”
ก้องภพไม่อยากได้ยินคำพูดที่ภาคินจะพูด เขากระโจนไปกระชากสายน้ำเกลือที่ให้ยา ชกต่อยภาคิน ชุลมุน
“ไม่ต้องแก้ตัว ไอ้ชั่ว...แกมันไอ้ตัวมาร”
ภาคินพยายามสู้แต่ยังเจ็บมาก เขากุมแผลที่ถูกชก ก้องภพฉวยหมอนปิดหน้าเขาให้ขาดอากาศหายใจ ภาคินดิ้นอย่างอ่อนแรง
เวลาเดียวกันนั้น ปานฟ้าออกจากลิฟต์ เห็นพยาบาลหน้าตื่นวิ่งผ่านมาจะไปทางห้องภาคินก็ตกใจ
“เกิดเรื่องอะไรหรอคะ”
พยาบาลชี้ไปที่ห้องภาคินที่อยู่ห่างออกไป
“ไม่รู้ในห้องเกิดอะไร เสียงดังเหมือนคนตีกันเลยค่ะ”
ปานฟ้าหน้าเสียตกใจ รีบวิ่งตามพยาบาลไปอย่างเร็ว
ก้องภพกดหมอนปิดหน้าจนภาคินชักแย่ แต่แล้วก้องภพก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเอะอะของพยาบาล...ทันใดนั้นพยาบาลกับปานฟ้าเปิดประตูเข้าห้องมา เห็นภาคินนอนนิ่ง ไม่ได้สติ แต่ไม่มีวี่แววของก้องภพ สภาพห้องกระจัดกระจาย
“ว๊าย...ตายแล้ว”
ปานฟ้าตกใจมาก รีบวิ่งมาดูภาคิน
“ภาคินคะ คุณภาคิน....เกิดอะไรขึ้นเนี่ย...ใครมาทำอะไรคุณ”
พยาบาลเข้าดูอาการ
“คุณ...รู้สึกตัวไหมคะ...คุณภาคิน”
ปานฟ้ามองไปทั่วแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเกิดเหตุขึ้นกับภาคิน ก้องภพแอบอยู่ที่ระเบียง แววตาแค้นลุกโชนแสยะยิ้มสะใจมาก กับสภาพที่เห็นปานฟ้า กับพยาบาลช่วยภาคิน วุ่นวายไปหมด

วันใหม่...อานนท์ และ ปานฟ้า มองภาคิน ผ่านกระจกห้องไอซียู ด้วยความเป็นห่วง เฟื่องแก้วเดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ เห็นอานนท์ จึงยกมือไหว้
“ทำไมอาการคุณภาคินถึงแย่ลงแบบนี้ ไหนหมอว่า อาการดีขึ้นแล้ว”
อานนท์หน้าเครียด
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ฟ้าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พอเข้าไปในห้อง ก็เห็นคุณภาคินนิ่งไปแล้ว”
ตุลย์ เดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณพ่อ...ถ้าคุณฟ้า คุณพ่อและที่รัก”
เฟื่องแก้วถลึงตาใส่
“เอ่อ...และ คุณเฟื่องแก้ว อยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าภาคิน เชิญตามผมมาทางนี้เลยครับ”
ปานฟ้า เฟื่องแก้วและอานนท์ สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาคินกันแน่
ทั้งหมดเข้ามาในออฟฟิศของโรงพยาบาล ภาพที่กล้องวงจรปิดเห็นก้องภพซึ่งใส่หมวก เดินเข้าไปในห้องภาคิน โดยไม่เห็นหน้าก้องภพ เพราะกล้องจับภาพด้านหลัง เฟื่องแก้วครุ่นคิด
“ใครเข้าไปในห้องคุณภาคิน ทำท่าแปลกๆ”
อานนท์มองอย่างสงสัยว่าใคร ตุลย์บอกยิ้มๆ
“ชมกันต่อครับ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงช่วงชุลมุนล่ะครับ พยาบาลวิ่งกันให้ควั่กเลย เพราะได้ยินเสียงโครมครามจากห้องภาคิน และคุณปานฟ้ากลับมาอีกครั้ง เพราะลืมโทรศัพท์มือถือ”
ภาพวิดีโอ เห็น พยาบาลและ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิ่งวุ่นเข้าไปในห้องแล้วเข็นเตียงพาร่างภาคิน ออกจากห้องเพื่อไปห้องไอซียูด่วน ปานฟ้า วิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง...เฟื่องแก้วหันมาถาม
“นั่น ตอนพาคุณภาคินไปห้องไอซียูใช่มั้ยคะ”
“ครับผม เห็นอะไรแปลกๆบ้างไหมครับ”
อานนท์นึกได้
“ผู้ชายคนที่เข้าห้องภาคินเมื่อกี้ ไม่ได้ออกมาด้วย”
ตุลย์หันมาหาปานฟ้า
“ครับผม คุณฟ้าลองคิดสิครับ ว่าตอนเข้าไปในห้องภาคิน เห็นใครบ้างไหม”
ปานฟ้าคิดถึงเหตุการณ์
“ไม่ค่ะ เห็นแต่ ภาคินนอนไม่ได้สติ สายน้ำเกลือขาด ข้าวของกระจุยกระจายเต็มไปหมด”
อานนท์หน้าตื่น
“ผู้ชายคนนั้น เข้าไปทำร้ายภาคิน”
ปานฟ้า อานนท์ ตกใจ เฟื่องแปลกใจ
“แล้วมันหนีไปไหน หนีไป ตอนไหนคะ”
“ไม่ได้หนีไปไหนครับ...เดินออกมานั่นแล้วไง”
ตุลย์ชี้ไปที่ภาพวงจรปิด เห็นผู้ชายคนหนึ่งออกจากห้องภาคินเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น เดินย้อนกลับมาทางเดิม ทำให้หันหน้าเข้าหากล้องวงจรปิดพอดี แต่เป็นภาพระยะไกล ตุลย์หันไปบอกเจ้าหน้าที่
“หยุดภาพตรงนี้ครับ”
เฟื่องแก้วเพ่งมอง
“นั่น...ใครน่ะ”
“อยากรู้ใช่มั้ยครับว่าใคร...” ตุลย์บอกเจ้าหน้าที่ “ซูมภาพเลยครับ”
กล้องวงจรปิด ซูมภาพผู้ชายในกล้อง เห็นใบหน้า ชัดเจนว่าคือ...ก้องภพ อานนท์ตกใจสุดขีด รำพึงชื่อลูกชายตัวเองออกมาอย่างคาดไม่ถึง
“ก้องภพ”
ตุลย์หันมาหาอานนท์
“คุณอานนท์ครับ ผมต้องขออนุญาต ออกหมายจับก้องภพในข้อหา...พยายามฆ่า ครับ”
อานนท์ มองภาพ ก้องภพในจอด้วยความเสียใจ และ ผิดหวัง อย่างที่สุด

ก้องภพ หิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ลงจากชั้นบนมาอย่างร้อนใจ ถามแม่ที่นั่งอ่านหนังสือ จิบชา อย่างสบายใจ
“แม่ มีเงินสดสักแสนไหม ผมอยากได้ด่วนตอนนี้”
“เอาไปทำอะไร บัตรเครดิตมีก็รูดไปสิ และหิ้วกระเป๋านี่ แกจะตะลอนไปไหนอีก”
“อย่าถามตอนนี้เลย ผมต้องการเงินสด ถ้ามีไม่ถึงแสน ตอนนี้มีเท่าไหร่ก็เอามาก่อน ผมรีบ”
“แกไปทำอะไรมารึเปล่าเนี่ย ทำไมดูลุกลี้ลุกลนชอบกล บอกแม่มาเดี๋ยวนี้เลยนะ จะไปไหน เอาเงินไปทำอะไร”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น วิมลวรรณ ชะเง้อออกไปทางหน้าต่าง
“ตำรวจนี่...ตำรวจ มาทำอะไรที่นี่”
ก้องภพตกใจ
“อย่าเปิดประตูนะแม่”
วิมลวรรณมองหน้าลูกชายอย่างสงสัย
“ไปทำอะไรมาใช่มั้ย ตำรวจถึงตามมาที่บ้าน”
ก้องภพหน้าเครียด ร้อนรน ทำอะไรไม่ถูก

ตุลย์ และ ตำรวจ เดินเข้ามา บริเวณโถงหน้าบ้าน วิมลวรรณเดินออกไปรับ ตุลย์ชูหมายจับให้ดู
“นี่ครับ...หมายจับคุณก้องภพ ข้อหาพยายามฆ่าคุณภาคิน”
วิมลวรรณ อ้าปากตาโต ด้วยความตกใจ
“อย่ามาพูดพล่อย ลูกชายฉันจะไปฆ่าไอ้ภาคินทำไม มีหลักฐานรึเปล่า ถ้าไม่มีฉันจะฟ้องกลับ”
“ถ้าไม่มีหลักฐาน ผมคงออกหมายจับมาไม่ได้หรอกครับ ขอเชิญคุณก้องภพที่โรงพักเถอะครับ”
ก้องภพเดินตามมาโวยวาย
“ฉันไม่ไป...ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ตุลย์มองไปที่กระเป๋าเดินทาง เหมือนรู้ทัน
“ถ้าไม่ไปไหน ก็คงไม่เตรียมกระเป๋าเดินทางไว้หรอกมั้ง ผมเกรงว่า ที่ที่คุณควรจะไป จะเป็นห้องขัง ซะมากกว่า...”
ตุลย์ส่ง สัญญาณให้ตำรวจอีกคนเข้าไปจับก้องภพ วิมลวรรณไม่พอใจ
“นี่จะมาจับลูกฉันไปเหรอ ไม่ได้นะ ฉันไม่ให้แกเอาลูกฉันไป”
ตำรวจ อีกคน เดินเข้าไปจับตัว ก้องภพสะบัดตัวโวยวาย ไม่ยอมให้จับแล้วเสยหมัดใส่ตำรวจไปเต็มแรง จนตำรวจเซ ล้มลง ตุลย์เข้าไปช่วย วิมลวรรณเข้าไปดึงแขนตุลย์ ไม่ยอมให้ตุลย์เข้าไปช่วย ก้องภพหันมาเสยใส่ตุลย์ อีกหมัดจนตุลย์เซ
“รีบหนีไปสิ ก้องภพ ไป”
ก้องภพ คว้ากระเป๋าเดินทาง วิ่งออกประตูบ้านทันที ตุลย์ลุกขึ้นมาถลาจะใส่ก้องภพ แต่วิมลวรรณ เอาตัวเข้าไปขวางทั้งตัว จนตุลย์เบรกเกือบหน้าหงาย ตุลย์จะผลัก วิมลวรรณให้พ้นทาง
“จะทำร้ายร่างกายฉันเหรอ”
ตุลย์หัวเสียอย่างแรง
“โธ่เอ้ย...จำไว้นะคุณวิมลวรรณ ลูกชายคุณ ไม่มีวันจะหนี รอดไปไหนได้เด็ดขาด คนทำความผิด ต้องได้รับโทษ”
พูดจบตุลย์และตำรวจอีกคน เดินออกไป อย่างหัวเสีย วิมลวรรณทั้งหอบทั้งเหนื่อยและ คิดหนักเรื่องก้องภพ

ปานฟ้าในชุดเยี่ยมผู้ป่วยไอซียู นั่งกุมมือภาคินน้ำตาไหลด้วยความรักและเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ ที่กระจกด้านนอกห้องไอซียู เฟื่องแก้ว มองด้วยความเห็นใจในความรักของทั้งสองคน
เวลาผ่านไป...ปานฟ้ายืนเหม่อมองออกไปนอกสนามหญ้าในโรงพยาบาล น้ำตาซึม ด้วยความเป็นห่วงภาคิน เฟื่องแก้ว เดินเอากาแฟร้อนมาให้
“กาแฟค่ะคุณฟ้า”
ปานฟ้ามองเฟื่องแก้วแปลกใจที่ทำดีด้วย และรับแก้วกาแฟมา
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณภาคินคงไม่เป็นไรมาก อีกไม่นานก็คงดีขึ้น คุณอย่าเป็นทุกข์เลยนะ”
ปานฟ้ามองเฟื่องแก้วอย่างครุ่นคิด
“มองฉันแปลกๆทำไมคะ คุณฟ้า”
“ฟ้านึกว่า คุณแก้ว จะไม่ชอบหน้าฟ้าซะอีก”
“ทั้งไม่ชอบ ทั้งหมั่นไส้ เลยล่ะค่ะ...” เฟื่องแก้วหัวเราะ “แต่นั่นเมื่อก่อนนะคะก็ช่วยไม่ได้ะ อยู่ดีๆ คุณภาคินผู้ชายที่แสนดีของฉัน ก็มาตกหลุมรัก คุณหนูไฮโซ อย่างคุณ...ทีแรกคิดว่าคุณโปรยเสน่ห์เล่น แต่ตอนนี้ถึงรู้ว่า...คุณก็รักคุณภาคิน”
ปานฟ้ายิ้มรับ
“ค่ะ ฟ้ารักคุณภาคินมาก มากสุดหัวใจเลยแหละ และก็จะรักเค้าคน เดียว ตลอดไป”
เฟื่องแก้วยิ้ม มองปานฟ้าอย่างนับถือในความรัก และเข้าใจ ปานฟ้ายิ้ม แต่สายตาเศร้า เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ก้องภพยืนแอบฟังอยู่ ด้วยความรู้สึกโกรธแค้น

ค่ำนั้น...บุญทิ้งกำลังร้องและรำ ลิเก ตรงข้างเตียงพยาบาลเนื้อหาเกี่ยวกับแม่และลูก ที่ได้กลับมาพบกัน ปานเดือนนั่งฟังอยู่บนเตียง ยิ้ม มีความสุข ยกมือจีบ ฟ้อน เอียงคอไปมา อย่างมีความสุข บุญทิ้งร้องจบท่อน ปานเดือนปรบมือ อย่างมีความสุข
“เก่งที่สุดเลยทินภัทร มาให้แม่กอดทีลูก”
ปานเดือนทั้งกอดทั้งหอมบุญทิ้ง
“แม่ ชอบดูลิเกเหรอครับ”
“จ้ะ แม่ชอบดูลิเก โดยเฉพาะลิเกที่ลูกชายของแม่แสดง แม่มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ทินภัทร สัญญากับแม่นะ ว่าจะไม่หนีไปไหนอีก จะอยู่กับแม่อย่างนี้ตลอดไป”
บุญทิ้งไม่ให้คำตอบ แต่กลับกอดปานเดือนแน่นขึ้นไปอีก ด้วยความรัก ทันใดนั้นมีเสียงประตูเปิด บุญทิ้งสะดุ้งผละจากอ้อมกอดของแม่โดยอัตโนมัติ อนิรุทธิ์ เปิดประตูเข้ามา เห็น
“บุญทิ้ง!”
เด็กชายทำท่าจะวิ่งหนีออกไปทางประตู อนิรุทธิ์จับตัวไว้
“จะไปไหนอีก”
“คือว่า...”
อนิรุทธิ์ยิ้มอย่างเอ็นดู
“เพราะเรานี่เอง สองสาม วันมานี่ เดือนถึงอาการดีขึ้นมาก”
“ทินภัทร จะไปไหนอีกลูก อย่าไปไหนนะ ข้างนอกมันอันตราย คุณคะอย่าไปบอกใครเรื่องลูกนะคะ มีคนใจร้าย มันจะจับลูกเราไป อย่าให้ลูกไปไหนอีกนะ”
อนิรุทธิ์ มองบุญทิ้ง ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรกับเด็กตัวน้อยๆคนนี้

อนิรุทธิ์พาบุญทิ้งมานั่งคุยกันที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล
“ไปทำอะไรมา ถึงได้ต้องหนีหัวซุกหัวซุน แล้ว ทำไมถึงมีคนคอยไล่ล่า ตามล้างตามเช็ดขนาดนี้”
บุญทิ้งอ้ำอึ้ง
“คือ...”
“อืม...ถ้าไม่ไว้ใจฉัน งั้นไปแจ้งความกัน ไปบอกให้ ตำรวจช่วยดีไหม”
บุญทิ้งมองนิ่ง เพราะรู้ว่าเป็นพ่อ อนิรุทธิ์สบตาสงสัยแต่ด้วยสัญชาติญาณ ทำให้เขารู้สึกอ่อนโยนลง
“ผม...ผมไม่อยากให้ทุกคนมีอันตราย”
อนิรุทธิ์แปลกใจ
“ทุกคน...หมายถึงใคร ทุกคนในบ้านฉัน หรือใคร”
บุญทิ้งเงียบไม่ตอบ
“บุญทิ้ง ฟังนะ ถ้าสิ่งที่เธอทำ มันไม่ได้ผิด ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายเธอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ความจริง และ สิ่งที่ถูกต้อง จะไม่ทำร้ายใคร”
“แต่ความจริง จะทำร้ายทุกคน”
อนิรุทธิ์ชะงักติดใจสงสัยกับคำพูดของเด็กชาย
“ผม...ขออะไรได้ไหมครับ”
“อะไรล่ะ”
“อย่าบอกใคร ว่าผมมาหา...คุณเดือน ได้ไหมครับ”
อนิรุทธิ์ ถอนหายใจ พยักหน้าอย่างเข้าใจมองอย่างสงสัยว่า เด็กชายคนนี้เก็บความลับอะไรบางอย่างไว้กันแน่

วันใหม่...ก้องภพ ใส่เสื้อผ้าพรางตัวท่าทีมีพิรุธ เดินลิ่วๆ กำลังจะเข้าไปในห้องไอซียู แต่ต้องชะงักเสียก่อนเพราะเห็น ปานฟ้าเดินมากับกัญญา เขาจึงยืนหลบมุมอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง ปานฟ้ากับกัญญา มาถึงหน้าห้องไอซียูพบกับคุณหมอเจ้าของไข้พอดี จึงทักทายด้านหน้าห้องไอซียู
“สวัสดีค่ะคุณหมอ”
“สวัสดีครับ ตอนนี้ อาการคุณภาคินดีขึ้นมากเลยนะครับ อีกไม่นานคงได้ออกจากไอซียูแล้ว”
ปานฟ้ากับกัญญา ยิ้มอย่างดีใจ
“นี่ครับคุณฟ้า ผมมีฟิล์ม...”
หมอชวนปานฟ้าคุยต่อถึงอาการภาคินกัญญา เดินไปยืนชิดกระจกห้องไอซียู เพื่อจะได้เห็นลูกชายชัดๆ
เห็นภาคินกำลังนอน สายระโยงระยางอยู่ในห้องไอซียูด้วยความรัก และ สงสาร ลูกชาย จึงรำพึงกับตัวเอง
“ลูกเอ๋ยลูก ทำไมต้องมาเจ็บหนักอย่างนี้...ลูกแม่อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ”
ก้องภพที่แอบอยู่ได้ยินกัญญารำพัน ถึงกับตกตะลึงที่ได้รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้คือแม่ของภาคิน

ปานดาวกำลังจะเดินผ่านที่ห้องรับแขก แอบเห็นทนายนั่งคุยกับเติมบุญ จึงยืนแอบฟัง ทนายยื่นซองเอกสารให้
“นี่ครับท่าน เอกสารและ พินัยกรรมที่ท่านให้ผมจัดการ”
“ขอบใจมาก ตอนนี้ที่บ้านมีแต่เรื่องวุ่นวายมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่ฉันถูกจับตัวไป ก็คิดว่าฉันควรจะทำอะไรอย่างที่ควรทำ จริงๆจังๆเสียที ยัยเดือนอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ส่วนยัยดาว ก็...เฮ้อ คงมีแต่ยัยฟ้านี่แหละ ที่ฝากฝังอะไรได้ ถ้าฉันตายวัน ตายพรุ่ง ขึ้นมาจริงๆ ก็คงมีแต่ยัยฟ้านี่แหละ ที่จะให้เป็นผู้ดูแลและจัดการมรดกของฉันทั้งหมด”
“ครับท่าน”
“ขอบใจมากนะคุณทนาย”
เติมบุญยิ้มพอใจ ปานดาวแอบฟังอย่างสุดแค้น จนทนไม่ไหวแล้ว

เติมบุญ เดินมาส่งทนายกลับ เจอปานดาวที่ กำลังกระฟัดกระเฟียดไม่รับไหว้ทนายโวยวายกับ เติมบุญเสียงดังลั่น
“นี่คุณพ่อยกมรดกให้ฟ้าคนเดียวเหรอคะ”
“แกได้ยินผิดไปแล้ว พ่อให้ฟ้าเป็นผู้จัดการมรดกต่างหาก”
“นั่นแหละค่ะ ก็ความหมายเดียวกัน อย่างนี้ ยัยฟ้ามันจะผลาญเงินยังไงก็ได้ทุกอย่างสิคะ คุณพ่อทำไมทำอย่างนี้ได้ยังไง นี่ดาวอยู่ทั้งคนนะคะ”
“ก็แล้วไง”
“ก็ดาวเป็นพี่ ถ้าจะมีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก คนคนนั้นก็ต้องเป็นดาว ไม่ใช่ฟ้า คุณพ่อทำอะไรทำไมไม่เห็นหัวดาวมั่งทำเหมือน ดาวไม่ใช่ลูก”
เติมบุญมองลูกสาวอย่างปรามๆ
“พอได้แล้ว ปานดาว พ่อทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง และ เหมาะสมดีแล้ว”
“ดีแล้วเหรอคะ นี่คุณพ่อเอาอะไรมาคิด คุณพ่อลำเอียงตลอดเวลาไม่เคยเห็นดาวเป็นลูก จนวันที่ใกล้จะตาย ก็ยังไม่คิดถึงดาว”
“เลิกพูดอย่างนี้สักทีได้ไหม ฉันไม่เคยคิดลำเอียงเข้าข้าง ใคร แกโตจนเป็นแม่คนแล้ว น่าจะเข้าใจบ้างนะ”
“ดาวไม่รู้ ดาวไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น คุณพ่อและทุกคน รวมหัวกันทำร้ายดาว ต่อจากนี้ไป ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่าหาว่าดาวร้ายมั่งแล้วกัน คุณพ่อจำไว้ด้วย”
ปานดาวเดินออกมาด้วยความโกรธ เติมบุญ ส่ายหน้า ทอดถอนใจ ในพฤติกรรมของลูกสาว

ภาคิน นอนหลับอยู่บนเตียง ในห้องพักกัญญา นั่งมองหน้าลูกชายด้วยความรักและเป็นห่วงใย ภาคิน ขยับตัวช้าๆ และ ค่อยๆลืมตาขึ้นกัญญา ตื่นเต้นดีใจมากรำพึงเบาๆ
“ลูก...ลูก...เอ่อ คุณภาคิน คุณฟ้าคะ คุณฟ้า คุณภาคิน รู้สึกตัวแล้วค่ะ”
ปานฟ้าที่จัดของอยู่อีกมุมหนึ่ง โผเข้ามาจับมือเขาด้วยความดีใจ
“คุณภาคิน คุณฟื้นแล้วเหรอคะ ฟ้าอยู่นี่ค่ะ ฟ้าอยู่นี่”
ภาคินลืมตามอง ปานฟ้า และ กัญญา
“ฟ้า...คุณน้า”
กัญญา เห็นภาคินรู้สึกตัว ดีใจมาก ถึงกับน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปานฟ้ามอง กัญญาด้วยความแปลกใจ
“คุณน้ากัญญามาหาคุณที่มูลนิธิ พอรู้เรื่องก็รีบมาเยี่ยมเลย เป็นไงบ้างคะ ตอนคุณนอนไม่ได้สติ พวกเราทุกคนห่วงคุณมากเลย แต่ตอนนี้หมอว่าปลอดภัยแล้วอีกหน่อย เทวดาคนเก่งของฟ้า ก็ลุกขึ้นมาบินได้แล้วล่ะค่ะ”
ภาคินยิ้มบางๆ
“ผมหายเร็ว เพราะมีนางฟ้าอย่างคุณ คอยดูแลนี่แหละ”
ปานฟ้ายิ้มด้วยความปลื้มใจมองกัญญาที่ซับน้ำตา
“คุณน้ากัญญา ก็ห่วงคุณมากเหมือนกันนะคะ หน้าซีดพอๆ กับฟ้าเลย”
“เห็นคุณภาคินเจ็บ น้าก็เจ็บไปด้วย อย่าเป็นอะไรไปอีกนะคะ”
ปานฟ้ามองกัญญาอย่างสงสัย
“ขอบคุณครับคุณน้า ผมไม่เป็นอะไรแล้ว เอ้อ...ฟ้า แล้ว ก้องภพ”
“ตำรวจรู้แล้วคะ ว่าคนที่เข้าไปทำร้ายคุณคือก้องภพ แต่ ตอนนี้เขาหนีไปได้ หมวดตุลย์กำลังตามหาตัวอยู่”
“ถึงเขาจะไม่เคยนับผมเป็นพี่ แต่เราก็มีพ่อเดียวกัน ทำไมพี่น้องถึงต้องทำร้ายกันแบบนี้ด้วย”
ภาคินบอกอย่างขมขื่น เศร้าใจ กัญญา มองภาคินด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าจะเกิดอะไรไม่ดี กับลูกชายอีก

หลังจากออกมาจจากห้อง ปานฟ้ากับกัญญาเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล อย่างสบายใจในอาการภาคิน
“เห็นคุณภาคิน อาการดีขึ้นอย่างนี้ ฟ้าสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ”
“คุณภาคิน แกเป็นคนดี คุณพระคุณเจ้า คุ้มครอง”
“คุณน้า เป็นห่วงภาคินมากเลยนะคะ นี่ถ้าคุณแม่ของเขามาเยี่ยมแบบนี้ คุณภาคินคงดีใจมาก”
กัญญาฟังอย่างขมขื่น ปานฟ้าหันไปเห็น อานนท์ เดินมาไกลๆพอดี
“อ้าว...คุณอามา คุณพ่อของคุณภาคินคะ คุณน้า”
ปานฟ้ารีบเดินไปรับอานนท์
“สวัสดีค่ะ คุณอา”
“เมื่อกี้ ภาคินเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นมากแล้วคะ หมดห่วงได้ คุณอาคะ นี่คุณน้ากัญญา...อ้าว”
ปานฟ้าหันมา แต่ไม่เห็นกัญญาแล้ว
“หายไปไหน เมื่อกี้ยังอยู่ด้วยกันอยู่เลย”

กัญญาแอบดูปานฟ้าคุยกับอานนท์ อยู่อีกมุมหนึ่งด้วยความขมขื่น ที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวได้
พิมหัวเราะเยาะภูวดล เสียงดังลั่น ด้วยความสมเพช

“เมียพี่ นี่โง่ จริงๆเลยนะ นอกจากโง่ แล้วยังปากมากอีกด้วย พอรู้ว่าไอ้แก่ ยกสมบัติให้นังฟ้าจัดการ ก็ทำจะเป็นจะตาย ก็มันทำตัวอย่างนี้ไง๊ พ่อมันถึงไม่ยกสมบัติให้ ใครจะโง่ ยกสมบัติให้คนบ้า คุ้มผีคุ้มคน อย่างมัน”
ภูวดลยิ้มเยาะ
“หึ...ให้ออกอาการไปเหอะ ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจะได้คิดว่าเป็นฝีมือปานดาว”
พิมสะใจ
“เออ จริงด้วย...สะใจแม่จริงๆโว้ย คนบ้านนี้ มีแต่คนบ้า กับ คนโง่”
“ตอนนี้ ไม่ใช่ไอ้แก่เติมบุญคนเดียวที่เราจะต้องจัดการ แต่ยังมีนังปานฟ้า อีกคน ที่จะต้องไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้”
พิมยิ้มชอบใจ
“ได้เลย หมั่นไส้มันมานานแล้ว คราวนี้ ไม่รอด ทั้งพ่อทั้งลูกแน่ๆต่อไปสมบัติทั้งหมดต้องเป็นของธัญวิทย์คนเดียว”
พิมยิ้มอย่างสะใจ ภูวดล ทำหน้าหมายมาด ว่าจะจัดการพ่อลูกคู่นี้ได้

ปานฟ้าเข็นรถเข็นภาคิน มาที่ใต้ตึก โดยที่ฝั่งตรงข้าม เป็น สนามหญ้าของโรงพยาบาล
“เป็นยังไงบ้างคะ คนป่วย สบายขึ้นมั้ยคะ ได้ออกมาข้างนอก บ้างโชว์ความหล่อ”
“ผมไม่ค่อยหล่อหรอกครับ แต่พยาบาลประจำตัวของผมสิครับ สวยที่สุด”
“โหย...พูดงี้ จะหลอกให้ฟ้าเป็นพยาบาลให้ตลอดไปเลยใช่มั้ยคะ”
“ตลอดชีวิตเลยล่ะ”
ปานฟ้ายิ้มเขิน
“มาค่ะ ข้ามไปสนามหญ้ากัน”
ปานฟ้ากับภาคิน ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ด้านนอก...ก้านนั่งอยู่ในรถกระบะ มองปานฟ้าที่เข็นรถภาคินเตรียมจะข้ามถนน ไปสนามหญ้าฝั่งตรงข้าม ก้านยิ้มอย่างมีแผน สายตาเยือกเย็น แล้วสตาร์ทรถ เร่งคันเร่งอย่างแรง หมายจะขับรถพุ่งชน ปานฟ้า เข็นรถเข็น ภาคิน กำลังข้ามถนนในโรงพยาบาลช้าๆ ก้านเร่งเครื่องสุดแรง
ทันใดนั้นมีรถยนต์คันหนึ่งเลี้ยว ตัดหน้า เสียก่อน ก้านรีบหักหลบรถโดยเร็ว รอดการชนกันอย่างหวุดหวิด จน เสียงเบรค ล้อรถ ดังลั่น จังหวะนั้นปานฟ้า เข็นรถภาคิน ข้ามฝั่งเสร็จพอดี หันมามองรถก้าน อย่าง งงๆ แล้วไม่สนใจ เข็นรถภาคิน ชมสวนต่อไป อย่างมีความสุข ก้าน ตบพวงมาลัยรถ อย่างหัวเสีย ที่พลาดโอกาส

พิมทำความสะอาดเช็ดถู อยู่บริเวณห้องโถง ได้ยินเสียง ปิดประตูรถ รีบชะเง้อออกไปดูว่าใครมา แล้วเธอก็มองด้วยสายตาอาฆาต
“นังฟ้า”
พิมมองซ้ายมองขวา หาอาวุธ ใกล้ตัว เห็นโคมไฟ จึงหยิบขึ้นมา แล้วไปแอบที่ หลังประตู รอจังหวะให้ปานฟ้าเดินเข้าบ้าน ตั้งใจจะฟาดใส่ พอปานฟ้า กำลังเดินก้าว เข้าประตูบ้าน พิมที่หลบอยู่หลังประตู ตามจากด้านหลังยกโคมไฟ หวังฟาดใส่เต็มแรงแต่ตัวเองพลาด เหยียบพรมบนพื้นบ้านแล้วสะดุดล้ม หงายหลังลงไปซะก่อนร้องกรี๊ดเสียงดัง ทั้งตกใจ ทั้งเจ็บ ปานฟ้า หันไปเห็นด้วยความตกใจ รีบเข้าไปประคอง
“อ้าวพิม เจ็บไหม เป็นอะไรมากรึเปล่า”
พิมหน้ามุ่ยโอดโอยเพราะเจ็บ
“ล้มจริง เจ็บจริง สิคะ ถามได้”
“ฉันถาม ก็เพราะว่าเป็นห่วง เพราะรุ่นพิมเนี่ย กระดูกหักขึ้นมา หมอหาอะไหล่มาซ่อมให้ไม่ได้แล้วนะ”
ปานฟ้าพูดแล้ว ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไป พิมเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ แถมเจ็บตัว แล้วต้องมาโดนเหน็บอีก

อานนท์มาเยี่ยมป้านุ่ม ที่โรงพยาบาล เขานั่งอยู่ข้างเตียงมองป้านุ่มที่นอนไม่ได้สติด้วยความเป็นห่วง
“นุ่ม เมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมาสักที นี่แม่นุ่มรู้ไหม ตอนนี้ ฉันกับภาคิน เราเข้าใจกันขึ้นมากเลยนะ ฉันอยากให้นุ่มได้มาเห็น ว่าคุณผู้ชายกับ คุณหนูของแม่นุ่ม เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เสียดาย ที่แม่นุ่มไม่ตื่นขึ้นมาเห็น และก็...เสียดาย ที่ครอบครัวนี้ ขาดบุษบา ไปอีกคน...”
พูดถึงบุษบา อานนท์ถึงกับจุกจนแทบจะพูดไม่ออก
“รีบฟื้นขึ้นมานะแม่นุ่ม คุณหนูของนุ่ม รออยู่นะ”
อานนท์ ลุกขึ้นจะกลับ หันไปคุยกับพยาบาล
“ฝากดูแลแม่นุ่ม ให้ดีที่สุดด้วยนะครับ แล้วผมจะแวะมาอีก”
ขณะที่ อานนท์กำลังจะก้าวเดินออกไป เสียงแผ่วเบา ของนุ่มก็ดังขึ้น
“คุณผู้ชาย”
อานนท์ หันมาที่เตียง ด้วยความดีใจและคาดไม่ถึง

ภาคินอาการดีขึ้นกลับมาพักที่บ้านได้แล้ว อานนท์เข้าไปนั่งคุยด้วยในห้อง
“ตอนนี้นุ่มรู้ตัว ได้สติแล้วลูก”
ภาคินยิ้มดีใจ
“เป็นข่าวดีจริงๆครับพ่อ”
“ใช่ ฟื้นขึ้นมา ก็พยายามพูดหลายๆอย่าง แต่ยังพูดไม่ได้มาก หมอบอกว่า อีกไม่กี่วัน ก็คงจะดีขึ้น”
“แม่นุ่ม กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ดีสิครับ ผมมีหลายเรื่องเกี่ยวกับแม่บุษบา ที่อยากจะถาม”
อานนท์นิ่งไป
“อืม...มีแต่นุ่มคนเดียว ที่เคยติดต่อกับบุษบา”
“ถึงแม่เค้าจะจากไปแล้ว แต่ผมก็อยากรู้ว่าตอนที่ ท่านยังมีชีวิตอยู่เป็นยังไงบ้าง เคยพูดถึงผมบ้างไหม”
ภาคินหน้าเศร้า อานนท์ตบไหล่ลูกชายให้กำลังใจ หมายมาดบางสิ่งบางอย่าง
“ภาคิน พ่อมีเรื่องจะขอแรงลูก ให้ช่วยหน่อย”
ภาคินหันไปมองหน้าพ่อ ด้วยความสงสัยว่าคืออะไร

ภาคินกับปานฟ้า มองรอบๆห้องทำงานใหม่
“เป็นยังไงครับคุณฟ้า ที่ทำงานใหม่ของผม”
“ห้องทำงานสวย โอ่อ่า เท่สุดๆไปเลยค่ะ ท่านผู้จัดการ”
ภาคินยิ้มขำ
“ถ้าไม่มีคุณพ่อ ผมก็คงไม่ได้รับโอกาสดีๆ อย่างนี้หรอกครับ”
วิมลวรรณเข้ามาขัด
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่ มูลนิธิยังร่อแร่ แล้วนี่ยังมีหน้าจะมาบริหารงานที่นี่อีกงั้น เหรอ ฉันไม่ยอมให้แกมาทำบริษัทฉันเจ๊งแน่ๆ มาทางไหนออกไป ทางนั้นเลย ไป๊”
อานนท์เข้ามาพอดี
“คุณนั่นแหละ มาทางไหน ออกไปทางนั้น”
“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง ฉันไม่ยอมให้คุณเอาไอ้ลูกเมียน้อยมา ชูคอที่นี่เด็ดขาด”
“นี่บริษัทของผมนะคุณหญิง”
“แต่มันไม่ใช่บริษัทของคุณคนเดียว อย่าลืมสิ ว่าฉันก็มีส่วนทำให้บริษัทนี้ ใหญ่โตขึ้นมา”
“คุณก็ได้รับในส่วนที่คุณต้องได้อยู่แล้วไง ส่วนของการบริหารเป็นหน้าที่ผม และ ผมได้ตัดสินใจไปแล้ว”
“ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมเด็ดขาด...” วิมลวรรณหันไปหาภาคิน “ไอ้ภาคิน แกกับแม่ของแก เป็นมารจริงๆ เกิดมาเพื่อทำลาย และ แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันรึไง”
อานนท์ปรามอย่างโกรธๆ
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ คนที่เป็นมาร แย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากภาคิน คือคุณเองต่างหาก”
วิมลวรรณโกรธสุดชีวิต

อานนท์เดินหนีไปที่ห้องทำงานของเขา วิมลวรรณเดินตามเข้ามา พูดฉอดๆ อย่างโกรธจัด
“คุณมันใจร้ายมาก ทำกับฉันกับลูกได้ยังไง บริษัทนี้ต้องเป็นของก้อง ไม่ใช่ไอ้ภาคิน”
“คุณยังคิดว่า ก้องจะได้อยู่นอกคุกงั้นหรอ”
วิมลวรรณ สะดุดเพราะนึกถึงสถานการณ์ของก้องภพ
“ผมมีลูกชาย 2 คน เลี้ยงดู ให้ความรู้ มาแต่เล็ก คนหนึ่งโตมาเลือกที่จะทำงานเพื่อสังคม กับอีกคนหนึ่ง เลือกที่จะเป็น ฆาตรกร คุณคิดว่าผมควรจะไว้วางใจคนไหน”
“หยุด...หยุดพูดเดี๋ยวนี้คุณอานนท์ คุณรักลูกไม่เท่ากัน ..ไม่สิ คุณไม่เคยรักลูกของฉันเลย เพราะอะไร เพราะฉันเหรอ...แล้วฉันล่ะ ตัวฉัน คุณเคยรักฉันบ้างมั้ย”
อานนท์ไม่ตอบได้แต่ถอนใจ
“ผมว่าแทนที่คุณจะยืนโวยวายอยู่ตรงนี้ คุณควรจะหาทางพาก้องภพไปมอบตัว ก่อนที่จะมันหมดอนาคตมากไปกว่านี้”
“ไม่มีทาง ไม่มีวันที่ฉันจะยอมให้ลูกฉันเข้าคุก ติดตารางโดยเด็ดขาดไม่มีทาง”
อานนท์ส่ายหน้า แล้วเดินจากไป ด้วยความระอา วิมลวรรณทั้งกรีดร้อง ด้วยความเสียใจและโกรธแค้น

ปานฟ้า เดินรอบๆห้อง พยายามชวนอานนท์คุย เพื่อจะได้สบายใจ
“ห้องทำงานของคุณภาคิน ดี เป๊ะ ตามหลักฮวงจุ้ย จริงๆนะคะ โต๊ะทำงาน ไม่ได้อยู่ใต้คาน และ ไม่ควรหันหลังให้กับประตู ที่สำคัญ เก้าอี้นั่งท่านผู้บริหารไม่ควรมีล้อ และ ต้องแข็งแรงสุดๆ”
ภาคินยิ้มรู้ทัน
“ป้องกันคนมาขโมย หรือ เลื่อยขาเก้าอี้ ใช่ไหมครับ”
ปานฟ้าหน้าง้ำที่เขารู้ทันมุก
“ใครบอก ก็คุณตัวโต กลัวเก้าอี้จะพัง หรือ หักต่างหาก”
“คุณฟ้าว่า ผมอ้วนเหรอ”
ปานฟ้า หัวเราะขำ รีบแก้ตัว อานนท์เดินเข้าห้องมาพอดี
“ภาคิน...อย่าคิดมากเลยนะลูก”
“พ่อครับ ถ้าการที่ผมมาทำงานที่นี่ จะทำให้พ่อต้องลำบาก ผม...”
“ไม่มีคำว่าลำบาก...ลูกต้องทำงานที่นี่ ทำให้ทุกคนเห็นว่าพ่อตัดสินใจถูกแล้ว ลูกเป็นลูกคนโตของพ่อ ก็ต้องดูแลทุกอย่าง พ่อเชื่อว่าลูกจะไม่ทำ ให้พ่อผิดหวัง”
อานนท์มองลูกชายด้วยความมั่นใจ ภาคินซึ้งใจที่พ่อเห็นความสามารถ ปานฟ้ามองพ่อลูกด้วยความปลื้มใจ

ภาคินกับปานฟ้า ชมวิว สวยงามบนดาดฟ้า
“ได้ขึ้นมาอยู่ที่สูงๆ ได้เห็นท้องฟ้า กว้างๆ ช่วยให้หายเครียดไปเย๊อะเลยนะคะ”
ปานฟ้ายิ้มกว้างมองไปสุดขอบฟ้า ภาคินมองหญิงสาวคนรักยิ้มอย่างมีความสุข ปานฟ้าหันมาหา
“แน่ะ...กำลังจะบอกว่า ท้องฟ้าที่สดใส ก็ไม่ทำให้สุขใจได้เท่า คุณปานฟ้า ที่อยู่ข้างๆผมตอนนี้หรอกครับ...ใช่ไหมคะ”
ภาคินหัวเราะที่ปานฟ้ารู้ทัน
“ไม่ได้จะพูดอย่างนี้สักหน่อย ใครจะพูด น้ำเน่าขนาดนั้น”
“โหย คุณภาคินอ่ะ ขี้แกล้ง”
ทั้งสองพากันหัวเราะ
“อ่ะ พูดจริงก็ได้ แค่เห็นคุณยิ้ม ผมก็มีความสุขแล้วครับ”
หญิงสาวยิ้มปลื้ม
“ที่ฟ้ายิ้ม ก็เพราะว่าฟ้า เห็นคุณมีความสุขไงคะ คุณพ่อของคุณ ท่านดีกับคุณ และ รักคุณมากเลยนะคะ”
“ครับ...ผมยังเสียใจมาถึงตอนนี้ ที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าใจท่านผิดมาตลอด แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ว่าท่านรักผม และ แม่ของผมมากแค่ไหน...เสียดายที่ตอนนี้ แม่ไม่ได้อยู่กับเรา ไม่งั้น ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้”
ปานฟ้ามองภาคินด้วยความรักและเข้าใจ เอื้อมมือไปคล้องแขนและลูบแขน เพื่อปลอบใจ เอียงคอซบไหล่ ให้กำลังใจ ภาคินมองปานฟ้าด้วยความรัก

กัญญาเดินอยู่ในตรอกซอกซอย เพื่อตามหาห้องเช่า ชายคนหนึ่ง แอบเดินตามหลัง กัญญา รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามจึงหันหลังไปดู แต่ไม่พบใคร จึงเดินต่อ ผู้ติดตาม ยังแอบเดินตามหลังอย่างใกล้ชิด กัญญา เริ่มระแวง เดินอย่างระวังตัวมากขึ้น จังหวะนั้น มีเสียงกระป๋องโดนเตะเธอตกใจหันกลับไปมอง ไม่เจอใคร จึงรีบวิ่งเพื่อจะหนีไปจากตรงนั้น แต่ออกวิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็เจอผู้ชายคนหนึ่งโผล่มาจากมุมตึก กัญญาเห็นแล้วถอนใจเฮือก เมื่อเห็นว่าเป็นใคร
กัญญานั่งดูดน้ำแดงจากถุง ด้วยความกระหาย ถมนั่งดูด โอเลี้ยงอยู่ข้างกัน
“พี่ถมตามหาฉันเจอได้ยังไง”
“ก็ตามมาเรื่อยแหละ ถามพวกคนรู้จัก เขาว่าแถวนี้มีห้องพักเยอะเลยคิดว่าแม่กัญญาอาจจะมามั่ง ก็ได้เจอกันจริงๆ ก่อนจะมา ทำไมไม่บอกกันสักคำ”
“ฉันสงสารบุญทิ้ง เด็กตัวแค่นั้นถ้ามาคนเดียวก็ลำบาก เลยตามมาด้วยไม่นึกว่าจะหลงกันอีก ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไงบ้าง”
“มันก็คงเอาตัวรอดได้ แม่กัญญาก็ กลับไปคณะของเราเถอะนะ...ฉันยังรอนางเอกของฉันอยู่นะ”
ถมมองด้วยความรัก กัญญามองสายตาของเขาด้วยความเกรงใจ
“ขอบใจพี่มากจ้ะ พี่ถมดีกับฉันเหลือเกิน แต่...แต่ฉันคงยังกลับไปตอนนี้ ไม่ได้”
“ทำไม...ทำไมไม่กลับไปกับฉัน...หรือ แม่กัญญา มีคนอื่นให้ห่วงแล้ว”
กัญญาไม่ตอบ รู้สึกผิดที่ทำให้ถมต้องผิดหวัง แต่ในใจห่วงภาคิน จึงไม่อยากกลับคณะลิเก

พ่วง นั่งคุยกับบุญทิ้ง ในห้องเช่าโทรมๆ
“เอ็งจะมีชีวิตด้วยการหนีอยู่ตลอดอย่างนี้ได้ยังไง ลำบากมามากแล้ว กลับไปบ้านนั้นเหอะ ข้าจะพา เอ็งไปหาเศรษฐีเติมบุญเอง”
“ไม่นะ ถ้าฉันไป พวกนั้นมันต้องฆ่าฉันทิ้งแน่ๆ ผู้หญิงชื่อพิมอยู่ในบ้านนั้น”
“นังพิมหน่ะเหรอ นังนี่ใจคอมันโหดเหี้ยมดีแท้ ข้ารู้จักมันดี นังตัวแสบเนี่ย เดี๋ยวข้าจัดการเอง คนบ้านนั้นรวยจะตายชัก เค้าไม่ยอมให้เอ็งถูกฆ่าตายหรอกน่า”
บุญทิ้งยังหวาดกลัวไม่หาย
“ไม่นะ ถ้าผมกลับไป ก็มีแต่จะทำให้คนที่บ้านนั้นลำบาก ผมไม่กลับไปหรอก”
พ่วงถอนหายใจ มองบุญทิ้งอย่างไม่เข้าใจ

เติมบุญนั่งอ่านหนังสือ เสียงโทรศัพท์มือถือ ดังขึ้น เติมบุญกดรับ
“ฮัลโหล...ใช่ ผมเติมบุญพูด...นั่นใคร”
พ่วงพูดโทรศัพท์อยู่ในตู้สาธารณะ
“ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน”
“เรื่องอะไร”
“ทินภัทรยังมีชีวิตอยู่”
เติมบุญตกใจ
“อะไรนะ ว่าอะไรนะ แล้วนั่นใคร”
“ผมบอกว่า ทินภัทรหลานชายของท่าน ยังมีชีวิตอยู่ ท่านอยากเจอเขาไหมล่ะ”
เติมบุญตกใจ และ คิดไม่ถึง รำพึงคำพูดที่ว่า...ทินภัทรยังมีชีวิตอยู่

ภาคินนั่งทานอาหารกับปานฟ้าอยู่ใน ร้านอาหาร หญิงสาวหน้าตาเป็นกังวล
“ทินภัทรยังมีชีวิตอยู่... ฟ้าว่ามันแปลกๆนะคะ ที่ ทินภัทร หายไปตั้ง 6 ปี อยู่ดีดี ก็โผล่มาตอนนี้”
“นั่นสิ...ทินภัทร มีความสำคัญกับครอบครัวฟ้ามาก อาจมีคนสวมรอยเพื่อจะหาประโยชน์จากตรงนี้ได้”
“พวกสิบแปดมงกุฎหรอคะ”
“เป็นไปได้”
ปานฟ้า ครุ่นคิดอย่างกังวล ก้านและลูกน้องกำลังนั่งจับตาดู ปานฟ้ากับภาคินอยู่อีกมุมของร้านอาหาร

พ่วง ขับรถแท็กซี่ พาบุญทิ้ง มานั่งสังเกตการณ์ ที่ประตูหน้าบ้านเติมบุญ
“อย่าเข้าไปเลยนะ” บุญทิ้งบอกอย่างไม่สบายใจ
“เฮ้ย ไอ้ทิ้ง มาถึงขนาดนี้แล้วจะถอยทำไมอีก เอ็งคิดจะหนีอยู่ตามถนนตลอดชีวิตหรือไง เอ็งหน่ะเป็นหลานๆแท้ๆของคนบ้านนี้นะโว้ย...จะได้อยู่สุขสบายกับเค้าสักที”
บุญทิ้งหน้าเครียดหวาดๆ
“แต่...แต่”
“ฮึ่ย...จะไปกลัวอะไรกับนังพิม กับ ผัวมัน ข้าบอกแล้วไง ว่าเดี๋ยวข้าจัดการให้เอง”
บุญทิ้งมองหน้า
“ผมถามจริงๆ ว่าทำไมถึงคิดช่วยผมล่ะครับ”
พ่วงถอนใจมองบุญทิ้งจริงจัง
“ข้าน่ะ ทำลายชีวิตของเอ็งมาตั้งแต่เอ็งเกิดได้ไม่กี่เดือน กี่ปี แล้ว ที่เอ็งต้องมาลำบากเร่ร่อน ยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนเพราะข้า ทั้งๆที่...” พ่วงมองไปที่บ้าน “นี่ คือ บ้านของเอ็ง...มันได้เวลาแล้วล่ะ ที่เอ็งควรจะได้กลับบ้าน ข้า ต้องชดใช้ให้เอ็ง...ไอ้บุญทิ้ง”
พ่วงมองไปที่บ้านเติมบุญ อย่างตั้งใจจริง

ภาคินโทรหาตุลย์ แล้วกดวางโทรศัพท์มือถือ
“หมวดตุลย์กำลังมา เดี๋ยวจะไปอยู่ด้วย ตอนที่มีคนพาทินภัทรมาที่บ้าน”
“ดีค่ะ ได้ช่วยกันดูว่าใช่หลานของฟ้าจริงรึเปล่า คิดแล้วตื่นเต้น ขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านกันเลยนะคะ”
“ครับ”
ภาคินรับคำ ปานฟ้าลุกจากที่นั่งเดินไปห้องน้ำ ก้านที่มองมาที่ปานฟ้า อย่างเหี้ยมโหด คิดจัดการ
ปานฟ้า ล้างมือ ตรวจความเรียบร้อยจากกระจก แล้วเดินออกจากประตูห้องน้ำหญิง ก้านที่ดักอยู่หน้าประตู ทำสายตาอาฆาต ปานฟ้าเห็นท่าไม่ดี รีบหันหลังจะหนีไปอีกทาง ก้านคว้าคอปานฟ้าจากด้านหลัง แล้ว โปะผ้ายาสลบ ปานฟ้า พยายามดิ้นขัดขืน แต่นิ่งไปในที่สุด ก้านและพวก ช่วยกันกึ่งลากกึ่งพยุงปานฟ้าออกไป
ภาคินนั่งคุยโทรศัพท์มือถือ อยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ตุลย์...ผมว่านะ ตอนนี้คุณน่าจะรีบเข้าไปที่บ้านคุณเติมบุญก่อน เดี๋ยวผมกับฟ้าจะรีบตามไป เพราะไม่รู้ว่า ไอ้พวกที่บอกว่าหวังดี มันจะเป็นพวกเดียวกับที่เคยจับคุณเติมบุญไปรึเปล่า”
ขณะเดียวกันนั้นสายตาของเขา ก็มองออกไปด้านนอกผ่านกระจกร้าน เห็น ผู้ชายกำลังช่วยกันพยุงร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง จึงลุกขึ้นดูให้ชัดขึ้น เห็นผู้หญิงแต่งตัวเหมือนปานฟ้า ถูกแบกร่างขึ้นรถอย่างทุลักทุเล
“เออ...พวกที่จับตัว...จับตัว เฮ้ย นั่น คุณฟ้า คุณฟ้า ถูกจับตัวไป”
ภาคินรีบวิ่งออกจากร้าน ไล่ตามรถของก้านที่เพิ่งขับออกไป แต่ไม่ทัน จึงรีบวิ่งไปขึ้นรถตัวเอง และ ขับตาม

พิมยืนคุยโทรศัพท์มือถือ กับก้าน ทำตาโต ตื่นเต้น สมใจ
“ได้ตัวมันแล้วเหรอพี่...โฮะๆๆ สะใจข้าจริงๆโว้ย อย่าเพิ่งไปทำอะไรมันนะ ขอฉันตามเข้าไปก่อน อยากจะดูน้ำหน้าอินังคุณหนูมันหน่อย ว่าสภาพนางฟ้าตกสวรรค์ มันน่าสมเพชขนาดไหน”
พิมวางสาย ยิ้มสะใจ ป้าแก้วได้ยินแว่วๆ โผล่มาพอดี
“ใครตกสวรรค์เหรอ”
“ไม่รู้ รู้แต่ว่า คนที่ชอบแส่เรื่องคนอื่น อาจจะตกนรกไม่รู้ตัว จบมั้ย...”
พิมเชิดใส่ป้าแก้ว เจอ ปานดาว เดินเข้ามาพอดี
“เดินหน้าเชิด จะไปไหนอีกนังพิม”
พิมอารมณ์เสีย
“ไปทำธุระ”
“ธุระอะไร คนใช้อย่างแก มีธุระกับเค้าด้วยเหรอ”
พิมลอยหน้าลอยตาใส่ปานดาวอย่างไม่กลัว
“ใช่ ธุระสำคัญ ด้วย”
“อะไรจะสำคัญกันหนักกันหนา บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
“สำคัญม๊ากก ก็แล้วกัน เอาเป็นว่า มันเป็นธุระของพี่ เอ้ย...ของคุณภูวดล ส่วนจะทำอะไร ยังไงนั้น...ป้าแก้ว ไหนป้าแก้วลองบอก คุณนายของป้าซิ ว่าพวกที่ชอบแส่ เอ้ย...อยากรู้เรื่องคนอื่น จะเจออะไร”
ว่าแล้วพิมก็เชิดหน้าเดินจากไป ปานดาว โกรธแต่พูดไม่ออก ป้าแก้วมองพฤติกรรมของพิม และ ปานดาว อย่างสงสัยอะไรบางอย่าง

ตุลย์ขับรถไปด้วย และคุยโทรศัพท์ใช้ บลูทูธคุยกับ ภาคินอย่างร้อนใจ
“นี่ฉันกำลังตามไปอย่างด่วนเลยนะภาคิน พวกมันไปทางไหน...ได้ ได้ เดี๋ยว ฉันจะขับลัด ไปอีกทางนึง ระวังตัวด้วยนะเว้ย”
ตุลย์ กดวางสาย เร่งสปีดรถ ตามไปด้วยความร้อนใจ ทางด้านลูกน้องก้านขับรถอย่างเร่งรีบ ก้านหันหลังไปดู เห็นรถ ภาคินกำลังขับตามมารีบสั่งให้ลูกน้องขับหนี
“เฮ้ย ผัวอินังนี่ ตามมานั่นแล้ว เหยียบให้มิดเลยโว้ย”
ก้านยิ้มกระหยิ่มสะใจ

พ่วงยังนั่งซุ่มอยู่ในแท็กซี่กับ บุญทิ้ง เห็นพิมกำลังออกจากบ้านด้วยความเร่งรีบ
“นั่นนังพิมนี่หว่า รีบร้อนจะไปไหนของมัน หึ...มันไม่อยู่ ก็ดีไป...ได้เวลาเข้าไปกันแล้ว ไอ้ทิ้ง”
บุญทิ้งยังหวาดกลัว
“ฉันกลัว”
“บ๊ะ...เอ็งเลิกงอแงได้แล้ว ไม่อยากอยู่กับพ่อกับแม่ แท้ๆ รึไง ข้าไม่อยากเป็นพ่อของเอ็งแล้วนะโว้ย”
“แล้ว แล้วถ้า...พวกเค้า ไม่เชื่อ ว่าผมคือทินภัทรล่ะ”
พ่วงถอนหายใจ หนักใจที่บุญทิ้งทั้งดื้อ ทั้งคิดมาก

ก้านคุมลูกน้อง ที่กำลังพยุงร่างปานฟ้า เข้าไปในบ้านกลางสวน ทันใดนั้นเสียงตุลย์ดังขึ้น
“ถ้าไม่อยากตาย ปล่อยคุณปานฟ้าเดี๋ยวนี้”
ก้านและลูกน้อง หันไปตามเสียง เห็นตุลย์ และตำรวจ อีกคน กำลังเล็งปืน มาทางพวกของตน
ลูกน้องก้านกลัวแทบทรุด ก้านส่งสัญญาณให้วางปานฟ้าลง ที่แคร่ หน้าบ้าน พิมเดินยิ้มแฉ่งมาถึงพอดี พอเห็นเหตุการณ์ รีบหลบ ไปแอบดู อยู่อีกมุมหนึ่ง ภาคินเข้าไปหาปานฟ้าพยายามปลุก
“คุณฟ้า คุณฟ้า”
ตุลย์รีบสั่ง
“ภาคิน รีบพาคุณฟ้าออกไป”
ภาคินพยุงตัวปานฟ้าออกไป
“พวกแกใช่ไหม ที่ลักพาตัวคุณเติมบุญไปเรียกค่าไถ่ ทำไมถึงจงใจทำร้ายคนในครอบครัวนี้ บอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าใครเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด”
ก้านไม่ตอบ แอบเอามือจะควักปืนออกมายิงต่อสู้ แต่ลูกน้องตุลย์พุ่งเข้าไปเตะสกัดเสียก่อน ก้านเซไปอีกทาง หันไปเห็นพิม ที่แอบยืนดู สบตากัน ต่างคนต่างไม่พูด ก้าน ตัดสินใจ ควักปืน แล้วหันมาตั้งใจยิงสู้ แต่ ไม่ทัน ตุลย์ยิงสวนเข้ากลางอก และ ลำตัว ไป 2-3 นัดจนร่างก้านล้มลง พิมเห็นเหตุการณ์ ทั้งหมด ตกใจแทบสิ้นสติอุดปากตัวเองไว้ไม่ให้ส่งเสียงกรี๊ดออกมา

ในห้องรับแขก...คนในบ้านนั่งอยู่ที่โซฟามองพ่วงที่ยืนอยู่กลางห้อง ด้วยสายตา สงสัย และ ไม่ไว้วางใจ
พ่วงยืนกลางห้องทำท่าไม่ยี่หระต่อสายตาที่มองตนเองอยู่
“ผมรู้ ว่าสภาพอย่างผม พูดอะไรไป ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ที่ผมจะเล่าให้พวกคุณฟัง เป็นความจริงทุกอย่าง...ทินภัทร ถูกคนในบ้านลักพาตัว มาให้ผม เพื่อให้ไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน แต่พอดีผมเห็นว่ามัน ผิวพรรณหน้าตาดี ก็ไม่อยากจะขาย เลยแอบเลี้ยงมันไว้ให้เป็นขอทาน”
สายอุษาจะเป็นลม ป้าแก้วรีบเข้าไปบีบนวด
”โอย ฉันจะเป็นลม”
เติมบุญมองภรรยาอย่างห่วงใยก่อนจะหันไปถามพ่วง
“ใจเย็นๆน่ะคุณ แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอกพวกเราตอนนี้”
พ่วงยักไหล่
“ก็ผมเพิ่งรู้ ว่าไอ้เด็กนี่คือทินภัทร ลูกหลานเศรษฐี”
อนิรุทธิ์สงสัย
“แล้วทำไมแกเพิ่งมารู้”
“ก็อินังโหดนั่น ไล่ล่าตามฆ่าเด็กมันอย่างกับเกลียดกันมาจากชาติไหน นี่มันก็ตามฆ่าปิดปากผมด้วยนะเอ้า...แต่ผมดวงแข็ง รอดมาได้ทุกที”
อนิรุทธิ์มองอย่างไม่เชื่อ
“ทำไมพวกเราต้องเชื่อสิ่งที่นายพูดด้วย เรื่องอย่างนี้ ใครจะโกหกเพื่อหาเงินจากการหายตัวของทินภัทรยังไงก็ได้”
พ่วงแสยะยิ้ม
“เงินน่ะผมก็อยากได้ แต่บอกตามตรงนะ ว่าผมได้เงินจากการเป็นขอทาน ของไอ้ทิ้งมันมามากแล้ว มันน่ะตัวทำเงินเลยนะคุณหน้าตามันน่ารัก ใครเห็นก็สงสาร”
สายอุษาจะเป็นลมอีก เติมบุญสะดุดกับคำว่าไอ้ทิ้งรำพึงเบาๆ
“ไอ้ทิ้ง...แล้วไหนล่ะ ทินภัทร”
พ่วงหันไปเรียก
“เอ้า...เข้ามาได้แล้ว...นี่ไง ทินภัทรของพวกคุณ”

บุญทิ้งค่อยๆ เดินก้มหน้าเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยความกลัวผสมประหม่า เพราะกังวล และคิดว่าจะไม่มีใครเชื่อ ทุกคนมองอย่างตกตะลึงนึกไม่ถึง









Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 15:57:32 น.
Counter : 248 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]