|
คุณเคียวกับข้าวแฝ่ (๓ มั้ง)
คุณเคียวพบร้านกาแฟในฝัน (ของตู) คือร้านนี้ //www.roytawan.com/forum/index.php?topic=7667.0 ชอบว่ะ
อยู่นิมมานซอย ๑ ให้ความรู้สึก สงบ - สบาย ดี ร้านไม่เปิดแอร์ แต่อากาศก็ยังสบาย ๆ ร้านไม่ตบแต่งมากเกินไป ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าปรุงแต่ง ไม้สาก ๆ โต๊ะกับเก้าอี้ต่อเอง (ส่วนใหญ่) กาแฟอร่อย ราคาไม่เว่อร์เกินไป (อยู่ที่ลาเต้ร้อนแล้วละ 45) มีแมวอ้วนร้านข้าง ๆ ที่ชอบมานอนแช่บนเก้าอี้ ยกออกไปก็โมโห เดินกลับมานอนใหม่ เห็นแขกคนหนึ่งยกแมวไปทิ้งสามที มันกลับมาทั้งสามที เลยต้องยกเบาะให้มันไป (แมวชอบเบาะนี่เอง) แมวชื่อข้าวสุก มีแมวอีกตัว รู้สึกจะชื่อชูใจ
คนของร้านก็อัธยาศัยดี เป็นชายหนุ่มหนึ่งจริงจังหน่อยแต่ช่างคุย จำได้แม่นยำว่าตูชอบลาเต้ อีกหนึ่งหนุ่มเป็นคนทำเค้ก ออกแนวกวนแต่จริงใจ
ข้อเสียอย่างเดียวของร้านคือ ทุกคนสูบบุหรี่ เลยต้องหนีไปนั่งข้างใน ในเวลาที่ทุกคนพ่นควันกัน - -''
แต่ไปทีไรก็ได้งานทุกที เจอร้านที่ชอบแล้วก็เลยฝังรากได้เสียที
Create Date : 22 มกราคม 2554 | | |
Last Update : 22 มกราคม 2554 21:07:10 น. |
Counter : 538 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รู้มากก็เป็นบ้า
ช่วงนี้กลับไปอ่านโอโช (หรือควรอ่านว่าโอโช่?) แกเป็นคนเพี้ยนพิลึกคนหนึ่งที่น่าสนใจมาก เป็นกูรูอินเดียสไตล์ที่ฝรั่งเคยชอบกัน (และบัดนี้ก็ยังมีคนชอบอยู่) อย่างไรก็ตาม บล็อคนี้ไม่ได้เล่าเรื่องโอโช เพราะงั้นก็ปล่อยแกไป
พออ่านโอโชแล้วนึกถึงใครจำไม่ได้ ที่แกเคยพูดถึง เป็น "หญิงบ้า" และ "นักบุญ" แห่งอินเดียที่สุดยอดมาก คือชีศรัทธาพระกฤษณะถึงที่สุด แม้จะเกิดมาเป็นเจ้าหญิง แต่ก็อุทิศชีวิตเพื่อเต้นรำให้พระกฤษณะ เต้นไปทุกหนทุกแห่ง แบบว่าโคตรบ้า ญาติพี่น้องนี่จากที่พยายามห้ามก็อายจนจะฆ่า และในที่สุดก็เลิกฆ่ากลายเป็นศรัทธา ว่าอีกอย่างคือความบ้า ความศรัทธา และความอะไรก็ไม่รู้มันช่างผสานกันได้อย่างน่าสนใจ ว่ากันตรง ๆ จขบ. อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง แบบรู้สึกถึงความสะใจ และอารมณ์ประมาณเดียวกับบันจี้จัมพ์ แต่อันนี้ไม่ใช่จัมพ์ไปพ้นจากพื้นดิน ทิ้งตัวลงกลางอากาศว่างเปล่า แต่จัมพ์ไปจากกรอบทั้งหมดทั้งปวงที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ทิ้งตัวเองลงไปในความว่างเปล่าที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้าไปง่าย ๆ ทิ้งลงไป แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เพราะคนเราบางทีมันก็กลัวอยู่แค่นั้นเอง
มันแบบ โอ จ๊อด T^Tb
เถอะ ที่จะเขียนก็ไม่เกี่ยวไรกับเจ๊คนนั้นอยู่ดี
อ่านโอโชเรื่องที่โอโชวิเคราะห์เต๋า ตูก็ไม่รู้หรอกว่าอาจารย์เต๋าจริง ๆ แกคิดยังไง แต่ตูคิดว่าโอโชแกเข้าใจไปได้ลึกมาก ๆ แถมยังสามารถอธิบายให้คนที่ไปลึกเท่าแกไม่ได้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ด้วย
โอโชบอกว่าคนเต๋ามักแอบหัวเราะเยาะคนนับถือขงจื๊อ ซึ่งอันนี้จริง เพราะเต๋าคือธรรมชาติ คือการไม่ปรุงแต่ง คือการเป็นหนึ่งเดียวกับโลก เป็นแนวคิดที่เป็นหยินมาก แต่ขงจื๊อนั้นคือการกำหนดกรอบ คือคนเราต้องเป็นงี้ ๆๆ หนึ่งสองสาม ไม่ได้งี้คือผิด คือเป็น "คนต่ำ" ไม่เป็นจวินจื่อ (วิญญูชน) เต๋าหัวเราะเยาะสิ่งเหล่านั้น เพราะเต๋าเห็นว่ามันว่างเปล่า พวกเราสร้างปราสาทอลังการบนพื้นทราย
แน่นอนว่าถ้าเต๋ามาก ๆ (แบบเต๋าจริง ๆ ไม่ใช่เต๋าปล่อยแสง) บ้านเมืองคงไม่ "เจริญรุ่งเรือง" เท่าไหร่ แต่เราคิดว่าคนจะนับถือเต๋าแบบนั้นก็คงไม่มีเท่าไหร่เหมือนกัน คนเราก็มี drive ต่าง ๆ มากมาย
โอโชบอกว่าขงจื๊อเป็นคนฉลาด เป็นคนคิดลึกซึ้งมาก และคิดซับซ้อน โอโชบอกว่าก็เหมือนนักวิชาการฝรั่งบางคน "รู้มากก็บ้า" เพราะในที่สุดแล้วก็คิดไปคิดมาจนซ้อนไปไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น แต่ว่าไปถึงไหนจริงหรือเปล่า มีความสุขไหม "เข้าใจ" อะไรจริง ๆ ไหม และในความเป็นจริง "ช่วย" ใครได้ไหม
ว่ากันจริง ๆ จขบ.ก็เคยรู้สึกว่าทุกอย่างแตกเละไปหมดต่อหน้าต่อตา ตอนที่เรียนวรรณคดีเปรียบเทียบ โดยเฉพาะ Post-Modern โลกแตก ๆ อันว่างเปล่าดึ่งดึ๋ยนั่น ซึ่งที่จริงแล้วตั้งอยู่บนความคิดของคนที่ฉลาดสุด ๆ ยิ่งกว่า จขบ.ไม่รู้กี่เท่า ไม่รู้ว่ากี่สิบคน
เพื่อนจขบ.เคยบอกว่าเพราะเขา "รู้มากเกินไป" เลย "เขียนหนังสือไม่ได้"
จขบ.คิดว่าไม่ใช่ แต่เพราะรู้มากเกินไป ทว่ายังไม่ได้ยินเสียงของตัวเองจริง ๆ ต่างหาก ยังไม่รู้จักตัวเองพอ เลยได้ยินแต่เสียงคนอื่นมากมายที่ขัดกันไปมา ซึ่งแต่ละคนก็ "ฉลาด" และ "มีเหตุมีผล" ทั้งนั้น ยิ่งตัวเองฉลาดมากเท่าไร ก็ยิ่ง "เข้าใจ" แต่ละฝ่ายได้มากเท่านั้น แล้วก็เลยไม่สามารถเลือกข้างได้ บังเกิดความแตกอยู่ข้างใน และจะส่งความแตกไม่กล้าตัดสินข้างไหนนี่ไปสู่คนอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นคนดีอย่างเพื่อน จขบ. คนนี้ เพราะยิ่งเป็นคนดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากจะให้ทุกคนมีความสุขทั้งนั้น ก็เลยเห็นอกเห็นใจคนอื่นไปหมดทุกฝ่าย นักวิชาการสายโพสต์โมเดิร์น (และหลังจากนั้น) เป็นอย่างนี้เสียมาก ไม่ก็พยายาม "หาตัวร้าย" เอาจากสิ่งที่ดูน่าจะร้ายให้ได้
เพราะงั้นในที่สุด จขบ.ก็เลยคิดว่ารู้มากก็ดีเหมือนกัน แต่ก่อนอื่นควรรู้จักและได้ยินเสียงของตัวเอง ตัวเองเป็นคนสำคัญ เพราะว่ามีคนเดียวในโลกนี้ แถมยังมาให้ศึกษาตลอดเวลา ไม่รู้จักตัวเองก็บ้า เป็นเรื่องธรรมดา
Create Date : 21 มกราคม 2554 | | |
Last Update : 21 มกราคม 2554 22:08:48 น. |
Counter : 582 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Once and again
การมาทำงานออฟฟิศสอน จขบ. ว่า ตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล
ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เมื่อก่อนนี้จขบ.เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลอะไรจะปานนั้น แต่ว่ากันจริง ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ จขบ.ทำงานที่ตัวเองชอบและทำได้ดี ดังนั้นจึงมีความพออกพอใจในชีวิตและมีอีโก้ระดับหนึ่งทีเดียว ต่อมาเมื่อทำงานออฟฟิศ แน่นอนตูย่อมเลือกทำงานที่ตูทำได้ดีแหละ แต่มันก็มีงานอื่น ๆ ด้วย และงานบางอย่างในนั้นตูก็ถึงขั้น handicap ทำไม่ได้ ไม่เป็นเลย คือถ้าคนอื่นปรกติทั่วไปเริ่มที่ห้า จขบ.อาจจะเริ่มที่ศูนย์หรือติดลบ (ซึ่งเป็นชะตากรรมของตูมานานแล้ว)
ชวนให้นึกถึงความทรงจำเลวร้ายสมัยเด็ก ๆ เรียนพละ จขบ.เกลียดวิชาพละอย่างอิบอ๋าย เพราะเริ่มที่ติดลบ ในขณะที่คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่เริ่มที่ประมาณห้าเช่นกัน มันทำให้ตูเกลียดตัวเอง และครูก็เกลียดตูด้วย (เพราะจขบ.มีข้อเสียหายอย่างยิ่งว่าบ้าคำชม ถ้าอะไรที่ทำไม่ดีย่อมไม่ถูกชม = ชีไม่อยากทำ = ชีไม่ยอมทำ = ครูไม่ชอบว่าอีนี่ไม่เก่งแล้วยังไม่พยายาม)
การพบงานที่ไม่ถนัดนั้นเป็นสิ่งที่บั่นทอนอีโก้อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องเข้าท่าดีเหมือนกัน เพราะบั่น ๆ ไปมันจะได้เห็นความจริงของชีวิต แม้ว่าความจริงของชีวิตจะทำให้หมดแรงชั่วครั้งชั่วคราว ก็ทำให้แข็งแรงดีในทีหลัง (หรือหวังว่าจะแข็งแรง) ว่าอีกอย่างคือ จขบ.คิดว่ารสชาติของ disillusion นั้นแม้จะแห้งแล้งไม่อร่อย แต่เป็นยาที่ดี มันบอกว่าเราไปไกลจากความจริงแค่ไหน ยิ่งถ้า disillusion แล้วมีอาการบาดเจ็บสาหัสมาก ยิ่งแสดงว่าไปไกลจากความจริงมาก กลับมาได้แล้ว เจ็บก็ถูกแล้ว เมิงกำลังหลงทาง จะได้เข้าใจ จะได้หัดเห็นอกเห็นใจคน
แต่ จขบ.มักคิดว่าในขณะเดียวกัน การมองโลกในแง่บวกก็เป็นเรื่องสำคัญด้วย มันทำให้รับยาแรงได้ ไม่อย่างนั้นจะเด้งกลับไม่ขึ้นเลย
ที่จริงพีเรียดนั้นผ่านมาแล้ว จขบ.กำลังถึงกลาง ๆ ช่วงปรับตัว (จะปรับสำเร็จเมื่อไรไม่ทราบได้) แต่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วมองกลับไป ถึงเพิ่งจะเห็นอีเวนท์เหล่านั้นว่าอะไรเป็นอะไรชัดเจนขึ้น
Create Date : 20 มกราคม 2554 | | |
Last Update : 20 มกราคม 2554 0:10:47 น. |
Counter : 488 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ขึ้นใหม่
จริง ๆ หลัง ๆ นี้ไม่ได้เขียนบล็อคมานานแล้ว เพราะไปอยู่ที่เฟสบุ๊คกับที่อื่น ๆ มากกว่า ประกอบกับชีวิตไม่มีอะไรให้เขียนมากเป็นพิเศษนอกจากงาน ที่จริงก็อธิบายไม่ถูกว่าอยู่ในสภาพ "นิ่ง" หรือ "เนือย" หรือ "กำลังรอให้อะไรบางอย่างมา" จขบ.คิดว่าจขบ.กำลังรอให้อะไรบางอย่างมา และน่าจะมี transition period ในไม่ช้านี้ แต่จขบ.ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร
ตอนนี้กำลังเปื่อยหน่อย ๆ อาจจะเขียนแบบป่วย ๆ
ปีนี้จะอายุสามสิบแล้ว เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่เริ่มรู้สึกแก่ และเริ่มรู้สึกกลัว คนไหนที่ยังไม่ settle down ก็เริ่มลงหลักปักฐาน เพราะเลขสามสิบเป็นเลขสุดท้ายที่บอกว่าหมดเวลาเป็นเด็กแล้ว "จริง ๆ" ถ้าหลังจากนั้นไปยังเสือกทำตัวเป็นเด็กอีกควรเรียกว่าเฒ่าทารก (มันก็เป็นกรอบของสังคมอย่างหนึ่งน่ะนะ คนไม่ทำตามกรอบก็จะต้องจ่ายราคาประมาณหนึ่งดังนี้เอง)
แต่ละคนก็ตีความช่วงอายุไปต่าง ๆ กัน สำหรับจขบ. ยังจำได้สมัยที่เด็กมาก (อายุยังไม่เป็นแม้แต่เลขสองหลัก) ก็คิดว่าสามสิบเป็นสิ่งที่ห่างไกลไปอยู่บนสวรรค์ และตอนที่อ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง พระเอกกับนางเอกอายุห้าสิบกว่าทั้งคู่ จขบ.ในตอนนั้นตะลึงมากว่าเว้ยเฮ้ย เหมือนกับมันอยู่ห่างไกลจากสโคปความคิดมากเกินไปจนนึกไม่ออกว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ซึ่งเมื่อคิดดูดี ๆ แล้วก็เป็นสิ่งเปรียบเทียบที่ดีที่แสดงว่าเราเดินมาไกลแค่ไหนจากความไม่รู้ในตอนนั้นแล้ว
จะว่าจขบ.ไม่มีความกังวลของอายุสามสิบเลย ก็ว่าไม่ถูก เพราะมีความกังวลหลายอย่าง แม้ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร ไม่ว่าเรื่องครอบครัว การงาน เงินเก็บ อนาคต และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ความรู้สึก "กลัว" นั้นไม่มี หรือมีก็น้อยมาก คือจขบ.เลิก panic ไปแล้วประมาณหนึ่ง คาดว่าคงเพราะตอนนี้ชีวิตมันนิ่งดี และอาจจะเพราะสองปีที่ผ่านมาก็สนใจเรื่อง spiritual มากขึ้น (ในแง่หนึ่ง ที่จริงคำนี้เป็นคำต้องห้ามเพราะคนจะมองมันบ้าไปแล้ว เนื่องจากสังคมของเรานั้นถูกครอบงำด้วยโลกทัศน์วิทยาศาสตร์มาก ๆ ในระดับที่เราไม่รู้ตัว)
จขบ.จะทำยังไงกับชีวิต จขบ. จขบ.ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่บางทีการรู้ว่าไม่รู้ก็คือการรู้ เหมือนที่ขงจื๊อบอก ตอนนี้จขบ.เริ่มคิดว่าเป้าหมายในชีวิตของจขบ.คือการ "เข้าใจ" แม้แต่การเขียนหนังสือก็มีขึ้นเพื่อ "ความเข้าใจ" อันนั้น (และเพื่อสนองอีโก้ตลอดจนความต้องการอ่านเรื่องปล่อยแสงของข้า) ยังมีอะไรอีกมากมายที่ไม่เข้าใจ และมีอีกมากมายที่คิดว่า "เข้าใจ" แต่ที่จริงแล้วไม่เข้าใจ เพียงแค่ "รู้" เท่านั้นเอง
ปีนี้ก้าวหน้าไหมนะ หรือไม่ก้าวหน้าเลย หรือที่จริงแล้วก้าวหน้าไปมากกว่าที่คิด ไม่แน่ใจเหมือนกัน
Create Date : 12 มกราคม 2554 | | |
Last Update : 12 มกราคม 2554 11:30:59 น. |
Counter : 424 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|