The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

อะไรหายไป ได้อะไรมา

ช่วงก่อนนี้ติดคอลัมน์ตอบปัญหาคาใจในสกุลไทยมาก เป็นปลื้มคุณน้ำผึ้งป่า ถึงขนาดซื้อรวมเล่มตอบปัญหาทั้งสองเล่มมา อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าคุณน้ำผึ้งป่าคนนี้นอกจากจะเป็นผู้ใหญ่มาก ฉลาดมาก และดูเหมือนจะเห็นอะไรมามากจนเฉยไปแล้ว แต่ก็มีฤทธิ์คล้าย ๆ ยาชาด้วย แบบว่าอ่านแล้วทุกอย่างรอบตัวอาจจะดูจริงจนชาไปเลยได้หลายวัน เพื่อนตูเรียกว่าเกิดอารมณ์ชราภาพ ปลงอายุสังขารขึ้นมา

คุณน้ำผึ้งป่า นักตอบปัญหาประจำคอลัมน์เป็นใครไม่รู้ แต่อ่านมาเรื่อย ๆ ก็จะเห็นแพทเทิร์นการคิดของแก ซึ่งจขบ.ก็บอกไม่ได้ว่าถูกหรือไม่ถูกแค่ไหน แต่คนเราผ่านโลกมามากแล้ว ประสบการณ์ที่ได้มาก็คงบอกอะไรได้อยู่

- แกเห็นว่าวัยหนุ่มสาวเป็นวัยของอุดมการณ์ มีอุดมคติมาก และความรู้สึกนี้จะเจอจางไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
- แกเห็นว่าผู้หญิงช่วงวัยยี่สิบปลายถึงสามสิบปลาย เป็นช่วงที่ร่างกายบังคับให้สืบลูกหลาน จึง fall ได้ง่าย เห็นได้จากคนเขียนจดหมายมาถามปัญหาชีวิตแก สัดส่วนผู้หญิงที่มีปัญหา ตกหลุมรักผิดคนจะเกิดในช่วงนี้มากเป็นพิเศษ
- แกเกลียดผู้ชายที่เอาเปรียบผู้หญิง และผู้ชายที่มีความแบบชายเป็นใหญ่โบราณ ๆ แต่เสือกเลือกแต่ที่ดีกับตัวเอง ส่วนความรับผิดชอบไม่มี เช่นกดขี่ผู้หญิงได้ แต่ถึงเวลาก็ไม่รับผิดชอบชีวิตผู้หญิงที่ตัวเองกดขี่แต่อย่างใด
- แกเห็นว่าโรคทางจิตเป็นพยาธิสภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งรักษาให้หายได้คล้าย ๆ หวัด คนที่มีปัญหาจึงควรไปหาหมอ ไม่ใช่เอาแต่อับอายและทำให้มีปัญหามากขึ้นอีก แกจะพยายามเน้นประเด็นนี้บ่อย ๆ เพราะรู้ดีว่าคนไทยอายและกลัวการเป็นโรคจิต
- แกเป็นคนใจดีมีเมตตามาก แต่ก็นิ่งไปแล้วแบบว่าอุเบกขามาก ๆ เหมือนกัน

อนึ่งที่พูดมาข้างบนนี่ก็คือว่า ตูรู้สึกว่าตูกำลังผ่านช่วงวัยที่อุดมการณ์มันซาไป ใช่ไหม แบบว่านอกจากโลกจะไม่ขาวกับดำ (ซึ่งตูรู้มานานแล้ว ตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะอีนี่อ่านหนังสือแก่ก่อนวัย) มันยัง "ไม่ได้เทาแบบที่ตูนึก" ด้วย ซึ่งหมายความว่าความเทานั้นไม่ได้นิยามได้ง่าย ๆ ด้วยความคิดของเด็กน่อยคนหนึ่ง ไอ้ตอนที่ปากพูดว่าโลกนี้ไม่ขาวไม่ดำ มีแต่ความเทา ๆ ด้วยความรู้สึกโอ เท่ชิบเป๋งนั้น คือตอนที่ไม่เข้าใจความเทาที่แท้จริงคืออะไรต่างหาก

แต่ตูไม่รู้ว่ามันไปแล้ว ต่อไปตูจะเจออะไร

และตูคิดว่าตูก็คงบ่นเรื่องนี้ไปอีกพักใหญ่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะรู้ว่าจะเจออะไร ตูมีลางสังหรณ์ว่าตูคงเจอ fault start และก็ดีอกดีใจ จากนั้นก็เหี่ยวใหม่เป็นวงจรอุบาทว์ไปอีกพักหนึ่ง น่ารำคาญมาก แต่ทำยังไงได้

ตูไม่ต้องการสูญเสียอุดมการณ์ไป แต่แน่นอนว่าตูไม่อยากใช่ชีวิตโง่อยู่ในสโนว์โกล๊บเหมือนกัน แต่ตูไม่อยากให้เมื่อตูเปลี่ยนผ่านไปแล้ว บางสิ่งที่ดีที่งามก็ไปกับมันด้วย ตูไม่ต้องการสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป แต่ตูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าของพวกนั้นเป็น delusion หรือเปล่า แบบว่าเหมือนลิงยื่นมือเข้าไปในรูตรงลูกมะพร้าว แล้วเสือกดึงมือไม่ออกเพราะดันกำเนื้อมะพร้าวไว้ไม่ยอมปล่อย

ตูอ่านในหนังสือที่ทินาให้ยืมมา ตัวเอกอายุสามสิบ มันบอกว่าตอนนี้มองไป นึกไม่ออกแล้วว่าของที่อยากได้ที่สุดคืออะไร ว่าจริง ๆ คือคนเรามักเป็นอย่างนี้ไหม ตอนยังไปไม่ถึงก็อยากได้มาก แต่ตอนไปถึงแล้วก็พบว่าที่จริงตรงนั้นมันไม่มีอะไร เบื้องหน้าเต็มไปด้วยยอดเขาที่สูงกว่าเดิม และก็สูงขึ้นไป

แน่นอนว่าตูเป็นคนธรรมดา ตูอยากใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาตลอดเวลา ตูอยากมีความสุขตลอดเวลา ซึ่งแม้ไม่มีคนมาสั่งสอนตูก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ อนึ่งตูก็ไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายเหมือนหนังสืออีกเล่มที่เคยอ่านเหมือนกัน ที่บอกว่ายิ่งแก่ไปยิ่งมีความทุกข์ใจหนักกว่าเดิม พระเจ้าช่วย ถ้าอย่างนั้นคนเราจะเติบโตขึ้นทำไม ความทุกข์ใจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนเราไม่ได้เติบโตขึ้นเพื่อจะทุกข์ใจ ถ้าหากเป็นจริง ความทุกข์ใจก็เป็น mean ไม่ใช่ goal เข้าใจผิดไปแล้ว ตูเชื่อว่าคนเราเติบโตขึ้นเพื่อที่จะได้เติบโตทางจิตวิญญาณ ทุกสิ่งที่เข้ามาคือบทเรียนเพื่อให้จิตวิญญาณของเราเติบโตกว่าเดิม เพื่อให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเดิม คนเราไม่ได้เติบโตขึ้นเพื่อจะทุกข์ใจ แต่เติบโตขึ้นเพื่อจะเข้าใจ

ตูมีชีวิตอยู่กับความกลัวอนาคต ซึ่งตูรู้ดีว่าไม่มีใครปกป้องตูจากมันได้ แต่ถึงอย่างนั้น ตูก็ไม่อยากคิดอย่างนี้ เข้าใจไหม ตูไม่อยากคิดว่าตูมีชีวิตอยู่เพื่อหวาดกลัวอนาคต เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร แม้ว่าความกลัวจะเป็นเรื่องของมนุษย์ธรรมดาก็ตาม

ไม่เห็นเคยมีใครบอกตูว่าคนเราจะ coming of age ได้หลายครั้ง เว้นแต่คุณบูโจลท์ที่ทินาเอาให้อ่าน ไม่มีใครบอกตูเลยว่านอกจากตอนที่วัยรุ่นเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนเรายังต้องปรับตัวอีกหลายครั้งตามแต่สเตจของชีวิตที่มาเยือน การปรับตัวทุกครั้งก็คือการเป็นวัยรุ่น ช่วงเวลาเวิ้งว้างที่ไม่รู้จะไปไหนหรือจะทำอะไร ช่วงเวลาที่มีความเป็นไปได้มากมาย และก็ความกลัวมากมาย

เอาเถอะ ในเมื่อไม่มีใครบอกตูนอกจากคุณบูโจลท์ ตูก็จะพยายามบอกต่อไป ว่าเด็ก ๆ ทั้งหลาย ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดตอนที่เรียนจบ หางานทำ หรือแต่งงาน หรือมีลูกหรอก ชีวิตเป็นขั้นบันไดที่จะต้องปีนขึ้นไป และจะมีบอสมาเรื่อย ๆ ตลอดเวลา แม้แต่ช่วงเวลาที่เด็ก ๆ คิดว่าคงไม่มีอะไร เป็นวัยแก่เฒ่ากลางคน อย่างตอนอายุ 30 หรือ 40 แต่ช่วงนั้นบอสก็จะมาเหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่เคยบอกเธอทั้งหลายว่ามีบอสเข้ามาในชีวิตของเขา เพราะมันมากเกินไปที่จะให้เด็ก ๆ รับรู้ หรือเพราะเขาเองก็ไม่เห็นขนบของชีวิต หรือเพราะในวัยที่ไม่ใช่ใบไม้ผลิ คนทั้งปวงก็หวาดกลัวฤดูหนาวตรงหน้า เลยพยายามหวนระลึกถึงใบไม้ผลิอยู่ร่ำไป นิยายหลายล้านเล่มในประเทศไทยจึงมีตัวเอกเป็นหนุ่มสาวตลอดกาลนาน และจบลงที่ความรัก หรือความสำเร็จ ซึ่งไม่เคยบอกเลยว่าเมื่อคนขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว ก็ต้องลงเขาเป็นธรรมดา เพื่อจะปีนขึ้นภูเขาต่อไป

แต่ตูเชื่อว่ามันก็ไม่ใช่ฤดูหนาวตลอดไปเหมือนกัน ตูเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าชีวิตคนมีความหมาย ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของชีวิตจะใช้มันอย่างมีความหมายแค่ไหน หรือตระหนักถึงมันแค่ไหน แต่แม้ฤดูหนาวมา และผ่านพ้นไป บางอย่างที่สำคัญก็จะมาเหมือนกัน จขบ.ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร แต่ตอนนี้ก็ยังรีพอร์ตแบบ live อยู่ ต่อไปก็คงรู้หรือไม่รู้ หรือรู้ว่ากรูไม่รู้ด๋อยอะไรเลยเอง








 

Create Date : 01 เมษายน 2554    
Last Update : 1 เมษายน 2554 11:06:39 น.
Counter : 997 Pageviews.  

เวลาที่ดาวน์

ช่วงนี้กำลังดาวน์

คาดว่า

๑. ยังเขียนหนังสือไม่ได้อย่างใจ - การเขียนหนังสือเป็นชิ้นส่วนของอีโก้ การเขียนไม่ได้จะทำให้อีโก้สั่นสะเทือนมาก ยังคงต้อง work out กับจุดนี้ของตัวเองต่อไป

๒. เริ่มโหยหามนุษย์โลก - แม้จะมีหนามเยอะ แต่ชีชอบความรู้สึกอุ่น ๆ ของมนุษย์อื่น

๓. ฮอร์โมน - บางทีตูก็รู้สึกว่าร่างกายผู้หญิงมันวุ่นวาย

แต่บางทีก็รู้สึกว่า ความรู้สึกดาวน์นี่มันดีเนอะ คือดีในบางแง่ ไม่ใช่แบบว่าอยากเจอมันตลอดเวลา ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมคนบางคนเสพติดความเศร้า ความเศร้ามันเป็นห้วงล้ำลึกเข้มข้น รสชาติเหมือนกาแฟและชอคโกแลต ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องมืดและอุ่นที่ทำให้อยากจะหลับตลอดไป

ความเศร้าเหมือนชอคโกแลตมาก ๆ

คาดว่าตัวเองเป็นคนหยินมาก ทำให้บางครั้งก็มองพวกที่หยางมากด้วยความอิจฉา แต่ทำให้บางครั้งก็มองพวกหยางมากด้วยความรู้สึกว่าพวกแกเด้งดึ๋งกันทำไม ว่ากันจริง ๆ คือคนเรามักพอใจและไม่พอใจตัวเองในแง่หนึ่ง คือทั้งอยากเปลี่ยนและไม่อยากเปลี่ยน สำหรับคนหยินมากที่ชอบความสงบ การคิด ความ passive ความช้า และความเซน ก็ย่อมรู้สึกอิจฉาพวกหยางที่โลดแล่นไปในโลก แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่า...อืม เหนื่อยไหมน่ะ มีเวลาสงบใจบ้างไหม เคยได้มองตัวเองลงไปลึกกว่าที่เคยมองบ้างไหม ไม่มองก็ไม่เจอนะ หาไปจนสุดโลกก็ไม่เจอ

บางทีความดาวน์ก็ทำให้ไม่ทำอะไร หรือทำไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้เลา ๆ ว่าทำไมถึงดาวน์ ถ้าหากดาวน์เมื่อไร แสดงว่ามีชิ้นส่วนบางชิ้นในตัวที่ไม่ลงช่อง ชิ้นส่วนนั้นอาจจะอยู่ในระบบคิด อุปมาเหมือนมีอะไรขัดกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง ความอยากกับความไม่อยาก ความจริงกับความไม่จริงปะทะกัน เมื่อแคลชกันแล้วก็ทำให้เกิดความดาวน์ เพราะสู้กับตัวเอง จะหลุดได้ก็เมื่อสิ่งที่อยู่ภายในไปทางเดียวกันแล้ว หรืออยู่ด้วยกันได้แม้จะขัดแย้ง ความดาวน์เป็นสัญลักษณ์ของสงครามภายในตัว

บางทีก็เลยคิดว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าอาจไม่ต้องกินยาเสมอไป แต่ก็ไม่รู้ ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าขนาดหนักกับเขาสักที คือเหมือน ๆ จะเป็นเมื่อไรจะมีคนช่วยทุกครั้ง (ขอบคุณนะทุกคน T-T)

ดาวน์เมื่อไหร่ โลกภายนอกจะเบลอไป แต่โลกในตัวจะเข้มข้นขึ้น จนถึงจุดที่บางทีทนไม่ได้ ความขัดแย้งจะโบยตีทำร้ายจิตใจ และทำให้ตูสงสัยว่าทำไมคนเราต้องมีระบบทำลายตัวเอง ถ้าไม่มีเสียจะดีกว่าไหม คงสร้างสรรค์โลกให้ได้มากกว่านี้ มีพลังมากกว่านี้

อนึ่ง คนดาวน์มีหลายชั้น ถ้าขั้นแย่มากแล้ว คนแนะนำให้ทำอะไรก็ยอมทำ แต่คนดาวน์บางคนก็อาจหยิ่ง ที่จริงตูคิดว่าคนดาวน์ส่วนใหญ่หยิ่งมาก (เพราะหยิ่งนี่แหละมันถึงขัดแย้งในตัวเองไง) และที่จริงคนดาวน์ฉลาดมากด้วย คนไหนที่มาแนะนำทางแก้ดาวน์แบบไม่จริงใจ เช่นแนะนำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีที่ได้แนะนำ คนดาวน์จะรู้สึกได้ ถ้ายังดาวน์ในเลเวลธรรมดา อาจจะสุภาพบอกขอบคุณ แต่ถ้าดาวน์มาก ๆ อาจโมโหถีบกระเด็นได้ คนแนะนำก็อาจจะฟายน้ำตาว่าทำไมตูแนะนำแล้วมันไม่ทำยังมาแฮ่ใส่ตู แต่ทั้งนี้ก็คือคนแนะนำนั้นก็ไม่ได้คิดจะช่วยอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ (หรือไม่ใช่?) เพราะทีแรกก็แนะนำเพื่อจะได้รู้สึกดีที่ตัวเองแนะนำ และพอเขาไม่รับก็บอกว่าเมิงผิดเองที่ไม่ทำตาม

ข้าพเจ้าคิดว่าคนดาวน์ต้องการความอบอุ่น ต้องการคนที่อยู่ด้วยเฉย ๆ โดยไม่พยายามไปแก้ไขดัดแปลง ช่วยเชื่อสักนิดว่าแม้ดาวน์ตอนนี้ แต่ในที่สุดก็จะผ่านไปได้เอง

แต่บางทีคนดาวน์ก็ต้องการคนตบหัวแรง ๆ และพาออกจากกรอบเดิมไปเหมือนกัน (คนดาวน์ส่วนใหญ่ไม่สามารถคิดเป็นอื่นจากกรอบเดิมได้) แต่การตบหัวนั้นเป็นศิลปะขั้นสูงมาก และไม่ใช่การตบหัวด้วยอีโก้ของตัวคนตบเอง แต่ตบด้วยความปรารถนาจะช่วยจริง ๆ

ยิ่งเอาอีโก้ตัวเองมาโชว์ใส่คนดาวน์มากเท่าไร คนดาวน์ก็จะหนีหายไปไกลมากขึ้นเท่านั้น




 

Create Date : 21 มีนาคม 2554    
Last Update : 21 มีนาคม 2554 10:08:30 น.
Counter : 1421 Pageviews.  

way

There was once a wood. People would visit this wood times and again. Once they went into the wood they will find a way. The way then will lead to many ways and yet many, many ways.

Some people know too well that actually they have just one way to choose (although there seems to be many ways.) Some people only know vaguely that they just need to walk on, either way is alright. Some people are confused and terrified. They know that they could choose any way they like, but yet also know that it might not be easy to return and try another way, and another way.

Once people choose a way, they walk down the path. The path might lead to anywhere. Sometimes it led to their heart's desire, sometime to bog and mire. No path actually has a dead end, although some people might feel like they could go no longer.

When a person is still young, one will choose and choose again. Walk back and forth, happily trying this way and that way. But when one become older, one walk deeper and deeper into the wood, and then the way lead to ways and ways. Sometimes it intersect or parallel with the other ways in an unexpected way. But then, at one point of the journey, people hardly turn back again. They will just have the way lead to ways and ways.

No way is an easy way, no matter how beautiful they are. It is said that people who get mesmerized enough will say that their way is fine, even nice. But actually it is always also full of thorn and thistle, and wonder and dazzling light. Nobody know exactly what the other encounter, although they walk on the very same way.

And mountains shall they encounter, and lakes and oceans full of tear, and heart-rendering yearnings and pains, and all the obstacles that will numb their mind.

And people will walk on and on. Sometimes because they just could not leave the way, sometimes because there are things that are too precious to lost, sometime just because they don't know the other way.




 

Create Date : 12 มีนาคม 2554    
Last Update : 12 มีนาคม 2554 10:55:19 น.
Counter : 444 Pageviews.  

เซรีญา รีพรินท์ ปกใหม่

พิมพ์กับสำนักพิมพ์เอนเธอร์ค่ะ เปลี่ยนปกใหม่ แก้ชื่อภาคให้เป็นเจ้าหญิงแห่งอันเซลมาทั้งหมด (เพราะถ้าตอนนี้มีหลายชื่อ พอถึงเวลาพิมพ์ตอนที่กำลังเขียนอยู่จะงง) แล้วก็มีตอนพิเศษสั้น ๆ นิดนึงตรงท้ายเล่มด้วยเน้อ

วางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือ และคนเขียนจะไปขึ้นเวทีในงานของเอนเธอร์ วันที่ 26 มีนาคมด้วยค่ะ ใครว่าง ๆ ก็แวะมาเชียร์ด้วยเน้อ > <

ป.ล. งานนี้ยังไม่มีหนังสือออกใหม่นะคะ เขียนไม่ทัน งานหลวงเยอะเกินไปแล้ว T^T







ลิ้งค์จากเว็บแจ่มใส

//www.jamsai.com/store/product.aspx?productID=1731&submit=Detail&pg=&select1=

//www.jamsai.com/store/product.aspx?productID=1731&submit=Detail&pg=&select1=

//www.jamsai.com/store/product.aspx?productID=1733&submit=Detail&pg=&select1=

ส่วนนี้รายละเอียดงานเอนเธอร์เน่อ




 

Create Date : 10 มีนาคม 2554    
Last Update : 10 มีนาคม 2554 20:19:00 น.
Counter : 1107 Pageviews.  

this too shall pass

ไม่ได้เขียนบล็อคเลย

ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีอะไรให้เขียน หรือเพราะอย่างอื่น อาจจะเพราะไม่มีอะไรให้เขียนจริง ๆ ก็ได้เพราะไม่ค่อยไปไหน แต่คิดอีกทีก็ "ไปไหน" บ้างเหมือนกัน แต่มันไม่น่าเขียน ไม่โดนใจ หนังสือก็อ่านอยู่เรื่อย ๆ แต่ยังไม่มีอะไรที่ทำให้ถึงขั้นอยากเขียนเหมือนกัน

เมื่อก่อนนี้เรื่องอะไร ๆ ก็เขียน แต่เดี๋ยวนี้กลับอยากเขียนเรื่องความคิดมากกว่าเรื่องไปเที่ยว พอเขียนเรื่องไปเที่ยวแล้วรู้สึกไม่เข้มข้นแล้ว ไม่ได้อย่างใจ หรือตูกลายเป็นกาแฟไปแล้ว? พี่ปิ่นบอกว่าเสพหนังสือปันเหมือนกินกาแฟ รสชาติอย่างกาแฟมันขม มันไม่เบาสบาย คนชอบก็ชอบ คนหลายคนก็อาจจะไม่ appreciate รสชาตินี้เหมือนกัน

แต่พูดตามตรง ไม่รู้เหมือนกันว่ากลายเป็นกาแฟจริงหรือเปล่า แต่คิดว่าถึงอย่างไรใคร ๆ ก็ต้องเปลี่ยน และไม่คิดว่าตัวเองจะกลับไปเหมือนเดิมได้ เพราะความเปลี่ยนแปลงมันมา ต่อให้ร้องร่ำคร่ำครวญก็ไม่มีทางหวนกลับไปทางเดิม นับแต่นี้ก็มีแต่เดินต่อไปข้างหน้า ซึ่งที่จริงตัวเองก็ไม่เสียใจ เพียงแต่ก็เหมือนอาจารย์ประมวลที่คิดถึงเด็กชายประมวลอยู่บ้าง เด็กชายประมวลก็งดงามอย่างเด็กชายประมวล อาจารย์ประมวลก็งดงามอย่างอาจารย์ประมวล

(ว่าแล้วก็สครีม อาจารย์แปลหนังสือภาพพุทธประวัติที่สนพ.เค้าทำด้วย ภาพก็สวยมาก เป็นของศิลปินใหญ่พม่า เนื้อหาก็ลุ่มลึกมาก เพราะอาจารย์เองเป็นคนลึก น่าเสียดายที่สุดที่ตูไม่ได้ไปงานเปิดตัวเพราะต้องมางานหนังสือ ตูอยากไปสครีมอาจารย์ประมวล กรี๊ดดดดดดดดด

โอเค จบสครีม)

เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แน่นอนย่อมกลัว แต่บางทีชีวิตก็คงบอกเองว่าอะไรจะเป็นอะไร อะไร ๆ ก็จะคลี่คลายไปเองแน่ ๆ และส่วนใหญ่ชีวิตมักจะเป็นเรื่องหักมุมแบบไม่น่าเชื่อ แถมยังหักแรงยิ่งกว่านิยายเรื่องไหน ๆ ดังนั้นจึงต้องรอดูต่อไป

###

ช่วงนี้เมื่อคนรอบตัวอายุมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นช้าเร็วตามสถานการณ์ของแต่ละคน จขบ.ก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกสิ่งทั้งปวงย่อมคลี่คลายไป บางทีก็ตามที่คิดนั่นแหละ บางทีก็หักมุม บางทีก็ตลกร้าย เรื่องที่เคยเต้นแร้งเต้นกาตีอกชกหัวเมื่อหลาย ๆ ปีก่อน ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างเดิมแล้ว หลายครั้งหลายหนก็ทำให้ต้องกลายเป็นคนกลืนน้ำลายตัวเอง และหลายครั้งหลายหนก็ทำให้อัศจรรย์ใจ

สิ่งที่เคยดี ยามถึงเวลาเปลี่ยนแปลง มันก็กลายเป็นไม่ดี ผู้คนที่เคยมีความสุขความพอใจ หรือมีความทุกข์ความเศร้า ครั้นกาลเวลาเปลี่ยนไป ภาชนะเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป มันก็อาจจะเปลี่ยนอย่างพลิกคว่ำคะมำหงาย เมื่อก่อนก็เคย "รู้" ว่ามันต้องเปลี่ยน แต่สามสี่ปีหลังมานี้มันมีอีเวนท์ต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายครั้งจนทำให้ต้อง "เข้าใจ" ว่ากาลเวลาก็โหดร้ายอย่างนี้ หรือความเปลี่ยนก็ย่อมมาอย่างนี้เอง

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ บางทีก็ทำให้สะใจ บางทีก็ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และบางทีก็ทำให้รู้สึกสากในอกเหมือนใครครูดให้เป็นแผล โลกธรรมแปดนั้นจริงมากจนถึงขั้นที่ทำให้รู้สึกหวั่นใจ แบบว่ายังเป็นคนธรรมดาอยู่ ตอนดีก็อยากให้มา แต่ตอนไม่ดีก็ไม่ค่อยอยากให้มาเท่าไหร่ อย่ามาเลยได้ไหม อะไรแบบนี้

ตอนที่อยู่คนเดียวก็คิดได้ แต่ตอนที่มีอะไร ๆ มากระทบก็เต้นไปทางนั้นทีทางนี้ทีอยู่ดี




 

Create Date : 03 มีนาคม 2554    
Last Update : 3 มีนาคม 2554 22:33:12 น.
Counter : 487 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.