The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 
เพื่ออะไร

ถ้ากลับไปอ่านบล็อคเก่า ๆ สักสี่ห้าปีก่อนของ จขบ. จะเห็นอีนี่คร่ำครวญบ่อย ๆ ว่าโลกนี้ไม่มีความหมาย ถ้ามีดาวหางมาชนโลก มันก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเรามาทำอะไรที่นี่กันทำไม

ว่าไปพักหลัง ๆ นี้ จขบ.ก็มีรุ่นน้องมาบ่นให้ฟังด้วยถ้อยคำเดียวกันสองสามราย ซึ่งทำให้ จขบ.รับทราบว่า "พวกเจ้ากำลังผ่านเดียวกับเราตอนนั้น (นี่หว่า)" ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้เป็นความหมายในการดูถูกแต่อย่างใด เพราะจขบ.เชื่อว่ามันเป็นทางที่คนจำนวนหนึ่งต้องผ่าน บางคนอาจจะผ่านก่อน บางคนอาจจะผ่านหลัง แต่ถึงยังไงก็ผ่านเหมือนกัน และแน่นอนว่าก็มีคนที่ไม่ได้ผ่านทางนั้น แต่มากันทางอื่นเหมือนกัน

และมันเป็นทางที่เป็นปัจจัตตัง คือต้องผ่านเองถึงจะรู้ผ่านแล้วไปไหน มันอธิบายไม่ได้ว่าทำไมวันหนึ่ง อีนี่ถึงหยุดคิดว่าโลกมันไม่มีความหมาย คือจริง ๆ โลกมันก็อาจจะไม่มีความหมายนั่นแหละ เพราะจนบัดนี้ยังไม่มีอะไรที่สามารถพิสูจน์ให้จขบ.เชื่อได้ว่ามีโลกต่อไปข้างหน้า หรือมีโลกก่อนหน้านี้ หรือว่าเราจะเป็นอย่างไรก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ ดังนั้นเราอาจจะมาที่นี่โดยไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็ได้ และถ้ามีดาวหางมาชนโลก ทุกอย่างมันก็อาจจะเพื่ออะไรวะจริง ๆ ก็ได้

อนึ่ง เมื่อบอกไม่ถูก จขบ.จึงได้แต่บอกสิ่งที่คิด จขบ.คิดว่าคนที่คิดว่าโลกมันไม่มีความหมาย เกิดมาก็ตาย นั้นคือคนที่ยังไม่ได้ "ชิม" โลกเลย หมายถึงยังไม่ได้สัมผัสอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราค้นพบว่ามีบางสิ่งที่ลึกไปกว่าการมองเห็นด้วยตา สิ่งนั้น ๆ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่ความผูกพันกับใครอย่างลึกซึ้ง ความรัก การมีลูก ฯลฯ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่กระทบกับจิตใจ สะเทือนทั้งอารมณ์และความคิดจนสั่นไหว ทำให้รู้ว่าโลกที่เราเห็นด้วยตามันก็เป็นแค่โลกที่เห็นด้วยตา สิ่งที่เราคิดเอาเองว่าเป็นอย่างนั้น จริง ๆ แล้วในระดับหนึ่ง มันก็เป็นสิ่งที่เราคิดเอาเอง

เรา "คิด" ว่าความรักมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จนกว่าเราจะได้รักใครจริง ๆ จริง ๆ แบบว่าจริง ๆ (เช่นแม่รักลูก ในบางความหมาย) เราจึงพบว่าแม้ว่าข้อดีและเสียนั้นจะยังมีอยู่ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด

พอเป็นอย่างนี้แล้ว จึงเข้าใจว่าโลกยังมีอะไรให้เรียนอีกมาก มีสิ่งให้ค้นหา ตัวตนของเราเองเป็นสิ่งที่จะพัฒนาต่อไป ตัวตนของเราเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่หยุดนิ่ง บางสิ่งที่เหมือนก้อนอัญมณียังไม่ได้ขัดเกลา ครรลองของชีวิตคือสิ่งที่จะมาขัดเกลาเรา ประสบการณ์ไม่ว่าดีหรือร้ายคือสิ่งที่จะมาขัดเกลาเรา หากว่าเห็นแบบนี้แล้ว ริ้วรอยบนใบหน้าก็อาจจะมีความหมายใหม่ ความแก่เฒ่าก็อาจจะมีความหมายใหม่ ความหนุ่มสาวจะไม่ใช่สิ่งพึงหวงแหนถึงเพียงนั้น เพราะมันก็เป็นเพียงหลักหมายบอกทาง เพราะว่าเราไม่เข้าใจว่าในตัวเรามีแก่นกลางบางอย่าง ที่บางแง่ก็มีอมตภาพอย่างอธิบายไม่ได้ เราจึงพึ่งพิงสิ่งนอกกาย คิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นเรา คือว่าถ้าเราได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะถมเต็มรูกลวงว่างเปล่าในตัวเราได้ แต่ความเป็นจริงคือมันถมไม่ได้ เราได้แต่เรียนไป

คนที่รู้สึกว่ามาที่นี่เพื่อความว่างเปล่า เพื่อความสูญเสีย และดีเพรสต์เพราะอย่างนั้น แสดงว่ายังไม่ได้เห็นสวนดอกไม้ ว่าไปจะเรียกมันว่าสวนดอกไม้ไม่ได้ มันเป็นสถานที่อะไรสักอย่างที่ไม่เรียกว่าดีไม่เรียกว่าร้าย และจะเรียกว่าดีสุด ๆ และร้ายสุด ๆ ก็ได้เหมือนกัน มันเป็นสถานที่อะไรบางอย่างที่ลึกลับ น่าตื่นเต้น เรียกร้องให้ไปเห็น เรียกร้องให้ไปผจญภัย

มันเป็นที่ที่ได้เห็นก็คุ้มแล้ว โลกจะถูกดาวหางชนก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นไร ชีวิตจะเป็นอนัตตา จะสูญหาย เสื่อมสลาย พลักพราก ตาย สูญเสีย ร้องไห้ หวาดกลัว เจ็บปวด แบกรับ ก็ไม่เป็นไร มันเป็นที่ที่ทำให้ศาสนาพุทธไม่เป็น nihilism ซึ่งบางทีเพราะเราสอนกันผิด ๆ สอนแต่ว่าให้ปลงอายุสังขารโดยไม่รู้จักชื่นชมห้วงเวลาแสนสั้นที่อยู่ในมือ เราจึงผลิตมนุษย์แสนเศร้าออกมามาเกินไป


Create Date : 18 สิงหาคม 2554
Last Update : 18 สิงหาคม 2554 14:18:11 น. 2 comments
Counter : 883 Pageviews.

 
ส่วนตัวคิดว่าโลกมีความหมายหรือไม่อยู่ที่ตัวเรา ณ ตอนนั้นมีความสุขหรือเปล่านะ เพราะโลก=ตัวเรา


โดย: พี่โร IP: 101.109.222.42 วันที่: 22 สิงหาคม 2554 เวลา:18:18:55 น.  

 
สอนแต่ว่าให้ปลงอายุสังขารโดยไม่รู้จักชื่นชมห้วงเวลาแสนสั้นที่อยู่ในมือ เราจึงผลิตมนุษย์แสนเศร้าออกมามาเกินไป
.... เข้าคอนเซปป์ลัทธิสุขนิยมอย่างหนมจีนพอดี (ฮา)

หนมจีนเคยมีกระบวนการความคิดคล้ายๆแบบนั้น และตอนนี้ก็ได้เห็นรุ่นน้องบางคนกำลังอยู่ในกระบวนการแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แต่หนมจีนพูดไม่ได้เต็มปากหรอกค่ะว่า "ผ่าน"มันมาแล้ว เพราะหนมจีนเองคิดได้ไม่ตกเหมือนพี่เคียว ตรงกันข้าม มันคล้ายๆกับว่าหนมจีนตัดทางลัดให้ตัวเอง แล้วชิ่งออกมาเลย ด้วยบัตรผ่านที่ว่า "ช่างเถอะ" กระบวนการความคิดมันเลยไม่จบ เพราะพอคำถามเกิด ก็ดันไปยักไหล่ใส่มันว่า ช่างเถอะ จะเป็นยังไงก็ช่าง โลกจะแตกหรือไม่ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อสิ่งที่เราจะทำในวันนี้ หรือพรุ่งนี้อยู่ดี ถึงโลกจะเป็นแค่มายาก็ช่าง แต่ถ้าเราสุขกับมันได้ มันก็เป็น"จริง"พอสำหรับเรา

ก็อย่างที่บอก หนมจีนอยู่่ลัทธิสุขนิยมค่ะ มีวันนี้เพื่อมีความสุข เพื่อเต็มที่กับวันนี้ เพื่อที่พรุ่งนี้ จะไม่เสียใจที่มีชีวิตอยู่ พูดแบบนี้กับฝั่งพุทธก็จะเกิดปัญหาตามมาอีกว่า ไอ้การสุขกับมายาน่ะ มันสุขจริงหรือเปล่า แล้ววันไหนที่จะไม่สุข จะทำยังไงต่อ แต่ก็"ช่างเถอะ" วันพรุ่งนี้ค่อยมาคิด มาแก้แล้วกัน


โดย: หนมจีน IP: 58.8.223.37 วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:20:43:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.