|
In the way that honor my heart
ช่วงนี้กลับไปอ่าน The Courage to Teach ของ Parker J. Palmer ใหม่ เนื่องจากซูซานเพิ่งคืนมา ครั้งล่าสุดที่อ่านน่าจะสองปีก่อนได้ อ่านใหม่ก็ยังได้อะไรใหม่ เป็นหนังสือดีที่มนุษยชาติควรอ่าน ไม่ได้เฉพาะแต่คนที่เป็นครู
มีเรื่องดี ๆ หลายอย่างที่อยากแชร์ แต่เขียนอธิบายค่อนข้างยากเหมือนกัน เรื่องแรกคือพาล์มเมอร์เสนอว่าการเรียนอะไรนั้น ควรจะเป็นการเรียนใน community of truth และให้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "สิ่งที่เรียน" ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่ทั้งเซนเตอร์ที่อาจารย์ หรือเซนเตอร์ที่เด็ก แต่เซนเตอร์ที่สิ่งที่กำลังเรียน ทั้งนี้หมายถึงว่าเราค้นหาความหมายและความจริงของบางสิ่งบางอย่างไปด้วยกัน
ถ้าหากเซนเตอร์ที่ครู ห้องเรียนก็จะอยู่ในภาวะเผด็จการ แต่ถ้าหากเซนเตอร์ที่เด็ก ถ้าห้องเรียนไม่ตกอยู่ในภาวะเผด็จการอีกขั้ว ก็จะตกอยู่ในภาวะอนาธิปไตยที่ทุกคนล้วนมีความถูกต้องของตัวเอง และจบแค่นั้น เมื่อไรที่โฟกัสที่สิ่งที่เรียน ความรู้สึกเกี่ยวกับว่าอัตตาจะเล็กลงมา โดยแท้แล้วสิ่งที่เรียนแต่ละอย่างนั้นมี "ความยิ่งใหญ่" ในตัวมันเอง ซึ่งศึกษากันไม่จบสิ้น เว้นแต่ว่าเราเองหรืออะไรก็ตามจะพยายามไปบีบให้มันเล็กแคบ ฆ่าให้มันตายและสตัฟฟ์ไว้ให้ดู พวกแกก็สักแต่ท่องที่สตัฟฟ์นั้นไป สอบแล้วก็คืนครู
ใช่ เราคิดมาตลอดแหละว่าเพื่ออะไร แต่เราก็ผ่านระบบนี้มาแบบเด็กดี คือเรียนให้ดีเพื่ออะไรหลาย ๆ ซึ่งรวมไปถึงความปรารถนาที่จะเป็น "คนดี" ด้วย เราอยากจะเป็น "คนดี" จริง ๆ และนั่นคือความเข้าใจของเราในสมัยนั้นว่า "คนดี" คืออะไร เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก้ไขโลกนี้ทั้งโลกให้มันเวิร์คกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไง ดังนั้นจึงอยากจะเขียนถึงความคิดนี้ แม้มันออกจะใหญ่ไปหน่อย และเราจะเขียนถึงมันได้ไม่ดีเท่ากับที่คุณพาล์มเมอร์
...
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง คือคุณพาล์มเมอร์แกบอกว่าความเปลี่ยนแปลงในสังคมนั้นมีหลายขั้นตอน แต่ขั้นตอนเริ่มแรกเลยคือการตัดสินใจว่าจะ divided no more คือกรูจะมีชีวิตอยู่แบบไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่อยู่ข้างในตัวกรูอีกต่อไปแล้ว (โว้ย)
ในความเป็นจริง แม้แต่คุณพาล์มเมอร์ก็มีความเห็นว่าคนเราย่อมมีความขัดแย้งเสมอ และในระดับหนึ่ง ความตึงเครียดระหว่างความขัดแย้งภายนอกกับภายในก็จะทำให้เกิดอะไรที่น่าสนใจขึ้นได้ เป็น creative space อย่างไรก็ตาม บางครั้งคนเราก็มีชีวิตอย่างแตกในระดับที่ไม่ดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด คนที่ตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงก็คือคนที่ตัดสินใจว่ากรูจะไม่อยู่อย่างแตกอีกต่อไปแล้ว
คุณพาล์มเมอร์บอกว่าคนแบบนี้ในลำดับแรกที่แท้จริง ไม่ได้สู้กับ "สถาบัน" หรือกล่าวโทษสถาบันหรอก หากแต่มองเข้าไปในไส้พุงตัวเอง และเห็นว่าตัวเองต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจว่าจะมีชีวิตอย่างแตก ตัวเองต่างหากที่เอาตัวเองใส่กรงขังเอาไว้ ด้วยความกลัวอะไรหลาย ๆ อย่าง เมื่อตัดสินใจที่จะไม่อยู่อย่างแตก ก็คือการก้าวออกมาจากกรงนั้น และมีชีวิตอยู่ให้เกียรติกับหัวใจของตัวเอง หรือ commitment ของตัวเอง
แน่นอนว่าการตัดสินใจทำอะไรที่ต่างจากชาวบ้านก็ทำให้รู้สึกอ่อนแอเหมือนกัน ดังนั้นในขั้นต่อไปจึงเป็นเรื่องของ community แต่เราชอบคำว่าตัวเองก็เป็นคนเลือกทางของตัวเองแบบนี้ดี เราเองก็อยากจะมีชีวิตอยู่โดยซื่อสัตย์กับตัวเองเหมือนกัน และไม่โทษว่าคนอื่น หรือแม้โทษว่าก็ไม่ได้โทษว่าอย่าง passive คือกรูจะด่าเมิง เมิงก็ช่วยแก้ไขให้ตรูด้วยนะ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง (เหมือนกับข้อแรก) แต่ก็คิดว่าคงจะมีทางไป ก็ลองดู
Create Date : 11 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 11 พฤษภาคม 2554 21:57:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 848 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|