The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

ตัดสินคนอื่น

ที่จริงแล้ว มันมีความลักลั่นอยู่

ตัดสินคนอื่นไม่ใช่เรื่องดี แต่ที่จริงถ้าหากเราอินทรีย์แก่กล้าในระดับหนึ่ง เราก็ "รู้" อยู่ดี ว่าใครคนไหน "ขนาดไหน"

ปัญหามันมีอยู่ว่า คนเรา (รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเอง) ไม่สามารถ "รู้" เฉย ๆ ได้ แต่จะต้อง "ขยาย" ด้วย และการขยายนั้นก็มักจะมีประเด็นอื่น ๆ แฝงฝังอยู่เสมอ เช่นว่า ตัดสินคนอื่นเพื่อยกหางตัวเอง ว่าข้านี้แน่กว่าชาวบ้านจึงเที่ยวไปตัดสินเขาได้ ตัดสินคนอื่นเพื่อกลบปมด้อยของตัวเอง ตัดสินคนอื่นเพื่อยืนยันอคติและทิฐิของตัวเอง ว่าการมองโลกของข้านี้ถูกแท้ มันสิผิด

เมื่อเอาไปขยายอย่างนั้นแล้ว ย่อมทำให้ชาวบ้านเจ็บปวด และเป็นอัปมงคลแก่ปากของตัวเอง เพราะที่จริงแม้อาจมีคนชาบูคนที่เป็นกูรูวิจารณ์คนอื่นได้ แต่ในที่สุดคนที่เที่ยวว่ากล่าวคนอื่นก็ไม่มีสง่าราศีอะไร และคนที่มีสง่าราศีก็จะไม่คบหาคนเช่นนั้น มีตัวอย่างมากมายเวลามีใคร "วิจารณ์" คนอื่นขึ้นมา ก็จะมีมาว่า "แกทำได้อย่างเขาไหม"

อันนี้เป็นอีกประเด็นที่ซับซ้อนพอกัน แต่เอาเป็นว่าสังคมของเราเป็นสังคมค่อนข้างถ้อยทีถ้อยอาศัย และผู้คนไม่น้อยก็ผิวบางอยู่มาก ซึ่งก่อนจะไปด่าว่าทำไมเมิงผิวบางนัก ก็จงมองตัวเองก่อนว่า ตัวเองยามโดนว่า "แกทำได้อย่างเขาไหม" นั้นเจ็บหรือเปล่า ถ้าเจ็บแสดงว่าตัวเองก็ผิวบางเหมือนกัน ไม่เกี่ยวกับว่าเราพูดถูกหรือผิด แต่เกี่ยวกับว่ามีบางเรื่องที่เราก็ตั้งจิตให้นิ่งไม่ได้ สำมะหาอะไรจะไปคาดหวังกับคนอื่น เขาก็ตั้งจิตเขาให้นิ่งไม่ได้เหมือนกัน

แต่คนเราก็มีกิเลสอยู่ดี คนเราก็อยากว่าใครให้สนุกปาก อยากด่าเพื่อความสะใจ (เพราะข้าได้เสียตังค์ไปแล้ว) อยากแสดงความเก่งอวดโอ่สักนิดให้ครึ้มใจในวงเพื่อน คนเราก็มีด้านมืดอยู่ดี และด้านมืดนั้นยิ่งกดเก็บไว้มากก็ยิ่งดำมาก วันหนึ่งก็ระเบิดออกมาเป็นปีศาจซะงั้นได้

อืม ว่ากันอีกที รู้ไหมว่าการวิจารณ์คนอื่น อาจจะสะท้อนคนอื่นน้อยกว่าสะท้อนตัวเอง

คำวิจารณ์ทั้งปวงจากปากท่าน (และปากข้า) จะสะท้อนว่าท่านเป็นคนอย่างไร มีค่านิยมอย่างไร มีคุณธรรมเพียงไร ชอบยกตนข่มท่านจริงหรือไม่ มีความรู้จริงหรือไม่ สารพัดทั้งปวงนี้ที่มันจะแสดงออกมา ยิ่งว่าคนอื่น ก็จะยิ่งส่องฉายให้เห็นหัวใจของตัวเอง ความไม่มั่นคงของตัวเอง และอื่น ๆ อีกมากมาย

เขียนมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ว่า จขบ.จะมีคำตอบดี ๆ ให้เรื่องอะไรแบบนี้หรอก เพราะจขบ.ก็ยังไปพ้นบ่วงของมันไม่ได้ มีคนบอกว่าทำของตัวเองไปให้ดี ก็ไม่มีเวลาวิพากษ์คนอื่นหรอก

แต่ในความเป็นจริงก็คือ เราต้องการคำวิพากษ์ในระดับหนึ่งทุกคนอยู่ดี เพราะถ้าหากไม่สามารถทำได้แล้ว ก็จะความเหลวเละขึ้น หยวนยอมกันไปโดยไม่อาจทำให้ของดีจริงเกิดขึ้นมาได้ เราต้องกระทบกระทั่งกับโลกเช่นนี้ต่อไป จนกว่าเราจะดีขึ้น หรือเราจะแหลกสลายเพราะเราแม่งผิวบางทนไม่ได้เอง ซึ่งเมื่อเราทนไม่ได้เอง ใครจะมาช่วยเราทนได้

ก็เป็นฉะนี้แล




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2554    
Last Update : 18 สิงหาคม 2554 16:52:24 น.
Counter : 1572 Pageviews.  

เพื่ออะไร

ถ้ากลับไปอ่านบล็อคเก่า ๆ สักสี่ห้าปีก่อนของ จขบ. จะเห็นอีนี่คร่ำครวญบ่อย ๆ ว่าโลกนี้ไม่มีความหมาย ถ้ามีดาวหางมาชนโลก มันก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเรามาทำอะไรที่นี่กันทำไม

ว่าไปพักหลัง ๆ นี้ จขบ.ก็มีรุ่นน้องมาบ่นให้ฟังด้วยถ้อยคำเดียวกันสองสามราย ซึ่งทำให้ จขบ.รับทราบว่า "พวกเจ้ากำลังผ่านเดียวกับเราตอนนั้น (นี่หว่า)" ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้เป็นความหมายในการดูถูกแต่อย่างใด เพราะจขบ.เชื่อว่ามันเป็นทางที่คนจำนวนหนึ่งต้องผ่าน บางคนอาจจะผ่านก่อน บางคนอาจจะผ่านหลัง แต่ถึงยังไงก็ผ่านเหมือนกัน และแน่นอนว่าก็มีคนที่ไม่ได้ผ่านทางนั้น แต่มากันทางอื่นเหมือนกัน

และมันเป็นทางที่เป็นปัจจัตตัง คือต้องผ่านเองถึงจะรู้ผ่านแล้วไปไหน มันอธิบายไม่ได้ว่าทำไมวันหนึ่ง อีนี่ถึงหยุดคิดว่าโลกมันไม่มีความหมาย คือจริง ๆ โลกมันก็อาจจะไม่มีความหมายนั่นแหละ เพราะจนบัดนี้ยังไม่มีอะไรที่สามารถพิสูจน์ให้จขบ.เชื่อได้ว่ามีโลกต่อไปข้างหน้า หรือมีโลกก่อนหน้านี้ หรือว่าเราจะเป็นอย่างไรก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ ดังนั้นเราอาจจะมาที่นี่โดยไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็ได้ และถ้ามีดาวหางมาชนโลก ทุกอย่างมันก็อาจจะเพื่ออะไรวะจริง ๆ ก็ได้

อนึ่ง เมื่อบอกไม่ถูก จขบ.จึงได้แต่บอกสิ่งที่คิด จขบ.คิดว่าคนที่คิดว่าโลกมันไม่มีความหมาย เกิดมาก็ตาย นั้นคือคนที่ยังไม่ได้ "ชิม" โลกเลย หมายถึงยังไม่ได้สัมผัสอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราค้นพบว่ามีบางสิ่งที่ลึกไปกว่าการมองเห็นด้วยตา สิ่งนั้น ๆ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่ความผูกพันกับใครอย่างลึกซึ้ง ความรัก การมีลูก ฯลฯ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่กระทบกับจิตใจ สะเทือนทั้งอารมณ์และความคิดจนสั่นไหว ทำให้รู้ว่าโลกที่เราเห็นด้วยตามันก็เป็นแค่โลกที่เห็นด้วยตา สิ่งที่เราคิดเอาเองว่าเป็นอย่างนั้น จริง ๆ แล้วในระดับหนึ่ง มันก็เป็นสิ่งที่เราคิดเอาเอง

เรา "คิด" ว่าความรักมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จนกว่าเราจะได้รักใครจริง ๆ จริง ๆ แบบว่าจริง ๆ (เช่นแม่รักลูก ในบางความหมาย) เราจึงพบว่าแม้ว่าข้อดีและเสียนั้นจะยังมีอยู่ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด

พอเป็นอย่างนี้แล้ว จึงเข้าใจว่าโลกยังมีอะไรให้เรียนอีกมาก มีสิ่งให้ค้นหา ตัวตนของเราเองเป็นสิ่งที่จะพัฒนาต่อไป ตัวตนของเราเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่หยุดนิ่ง บางสิ่งที่เหมือนก้อนอัญมณียังไม่ได้ขัดเกลา ครรลองของชีวิตคือสิ่งที่จะมาขัดเกลาเรา ประสบการณ์ไม่ว่าดีหรือร้ายคือสิ่งที่จะมาขัดเกลาเรา หากว่าเห็นแบบนี้แล้ว ริ้วรอยบนใบหน้าก็อาจจะมีความหมายใหม่ ความแก่เฒ่าก็อาจจะมีความหมายใหม่ ความหนุ่มสาวจะไม่ใช่สิ่งพึงหวงแหนถึงเพียงนั้น เพราะมันก็เป็นเพียงหลักหมายบอกทาง เพราะว่าเราไม่เข้าใจว่าในตัวเรามีแก่นกลางบางอย่าง ที่บางแง่ก็มีอมตภาพอย่างอธิบายไม่ได้ เราจึงพึ่งพิงสิ่งนอกกาย คิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นเรา คือว่าถ้าเราได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะถมเต็มรูกลวงว่างเปล่าในตัวเราได้ แต่ความเป็นจริงคือมันถมไม่ได้ เราได้แต่เรียนไป

คนที่รู้สึกว่ามาที่นี่เพื่อความว่างเปล่า เพื่อความสูญเสีย และดีเพรสต์เพราะอย่างนั้น แสดงว่ายังไม่ได้เห็นสวนดอกไม้ ว่าไปจะเรียกมันว่าสวนดอกไม้ไม่ได้ มันเป็นสถานที่อะไรสักอย่างที่ไม่เรียกว่าดีไม่เรียกว่าร้าย และจะเรียกว่าดีสุด ๆ และร้ายสุด ๆ ก็ได้เหมือนกัน มันเป็นสถานที่อะไรบางอย่างที่ลึกลับ น่าตื่นเต้น เรียกร้องให้ไปเห็น เรียกร้องให้ไปผจญภัย

มันเป็นที่ที่ได้เห็นก็คุ้มแล้ว โลกจะถูกดาวหางชนก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นไร ชีวิตจะเป็นอนัตตา จะสูญหาย เสื่อมสลาย พลักพราก ตาย สูญเสีย ร้องไห้ หวาดกลัว เจ็บปวด แบกรับ ก็ไม่เป็นไร มันเป็นที่ที่ทำให้ศาสนาพุทธไม่เป็น nihilism ซึ่งบางทีเพราะเราสอนกันผิด ๆ สอนแต่ว่าให้ปลงอายุสังขารโดยไม่รู้จักชื่นชมห้วงเวลาแสนสั้นที่อยู่ในมือ เราจึงผลิตมนุษย์แสนเศร้าออกมามาเกินไป




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2554    
Last Update : 18 สิงหาคม 2554 14:18:11 น.
Counter : 878 Pageviews.  

ช่อมะลิลา: แก้วเก้า

ช่วงนี้จขบ.อ่านเรื่อง "ช่อมะลิลา" ของคุณแก้วเก้า

เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า เป็นเรื่องย้อนยุคประมาณ ร.6 - ร.7 นางเอกแต่งงานกับเจ้าคุณคนหนึ่ง แต่ต่อมาด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ก็เผลอใจไปรักเพื่อนตั้งแต่เด็กเข้า แต่ไม่ได้มีอะไรกัน เจ้าคุณจับได้ และนางเอกยอมรับ นางเอกไม่ได้เลิกรักเจ้าคุณแล้วค่อยรักเพื่อน ก็รักทั้งคู่นั่นแหละ เจ้าคุณเลยขับไล่นางเอกออกจากบ้านไป นางเอกก็ซวยถูกสังคมลงโทษ ทั้งที่ก็รู้สึกผิด และไม่ได้ต่อความสัมพันธ์กับชู้ทางใจคนนั้นต่อ เพราะในใจมีหิริโอตตัปปะอยู่

ไอเดียของเรื่องนี้ ซึ่งคุณแก้วเก้าบอกแต่แรกคือ เมื่อสังคมเปลี่ยน ความคิดก็เปลี่ยนไป นางเอกนี้ซวยมากเพราะใช้ชีวิตอยู่ในสมัยก่อน ถ้าสมัยนี้คนก็จะมองสิ่งที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง วิธีนำความคิดสมัยก่อนกับสมัยนี้มาขนานกัน คือเล่าเรื่องซ้อนเรื่อง โดยตัวนิยายเปิดว่าข้าราชการชื่อ ภูมิไท ผู้อยู่ในสมัยปัจจุบัน จะนำเรือนเก่าของเจ้าคุณมาดัดแปลงใหม่ นางเอกก็เป็นวิญญาณมาหา บอกว่าอย่าใส่ชื่อนางเอกให้แปดเปื้อนเลย ภูมิไทสงสัยว่าทำไม จึงมีการค่อย ๆ สืบและนางเอกเองค่อย ๆ เล่าเรื่องให้ฟัง ด้วยเหตุนี้ในขณะที่เขียนเรื่อง แนวคิดของภูมิไทจึงขนานไปกับแนวคิดของนางเอก (ชื่อปิ่นเมือง) เช่นสำหรับปิ่นเมือง หย่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับภูมิไท หย่าเป็นเรื่องธรรมดา ฯลฯ

###

จขบ.ยอมรับว่าอ่านเรื่องนี้แล้วโกรธ

ครึ่งหนึ่งนั้นโกรธเพราะสังคมไทยก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือมีที่ให้ "ผู้ชายหลายใจ" แต่ไม่มีที่ให้ "ผู้หญิงสองใจ" ผู้หญิงสองใจถือว่าเลวมาก ส่วนผู้ชายมีน้อยเท่าไรก็ได้ ไม่ผิด

ภูมิไทอธิบายว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะสืบตระกูลทางบิดา เพื่อให้บริสุทธิ์แน่ชัด จึงไม่สามารถอนุญาตให้ผู้หญิงไปมีลูกกับคนอื่นได้

อนึ่ง จขบ.อ่านที่ไหนสักแห่ง เขามีข้อสันนิษฐานว่า สมัยก่อนที่สังคมยังเป็นมาตาธิปไตยนั้น เพราะคนยังไม่รู้ว่า ผู้ชายมีส่วนอย่างไรในการที่มีลูกเกิดมา เมื่อความรู้ของสังคมไม่พอที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ผู้หญิงจึงมีอำนาจมากเพราะเป็นผู้ผลิตลูกหลาน ส่วนผู้ชายเกือบไม่มีความหมาย ต่อมาเมื่อเกิดความเข้าใจว่า ผู้ชายมีส่วนเหมือนกัน และชายสามารถทำให้ผู้หญิงคนไหนท้องก็ได้ ชายก็เลยเกิดมีพลังมากกว่า เพราะเป็นเมล็ด ส่วนผู้หญิงเป็นดิน เมื่อเป็นเมล็ดจึงมีสิทธิ์เลือกดินได้

อนึ่ง จขบ.คิดว่าทั้งสองแนวคิดก็ผิดทั้งนั้น เพราะที่จริงต้องมีทั้งสองจึงจะเป็นเนื้อเป็นตัวขึ้นมาได้ ผู้ชายนอนกับผู้หญิงคนไหนก็มีลูกได้ก็จริง แต่เด็กจะเป็นเนื้อเป็นตัวนั้นมีทั้งภาคของพ่อและของแม่ ว่าไปอีกที แม้ยกพ่อและดูถูกแม่ แม่ก็เป็นคนเลี้ยงมาอยู่ดี พวกได้ดิบได้ดีสมัยโบราณจำนวนมากก็ไม่ใช่ได้จากพ่อที่อยู่ห่างไกล แต่ได้จากแม่ที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ทั้งนี้ จขบ.ก็ดูแต่คุณภาพของคน ยังมีประเด็นเรื่องการจัดตั้งทางสังคม ตระกูล ชนชั้นวรรณะและอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนเป็นการจัดตั้งทั้งนั้น และตั้งอยู่บนรากฐานของสมมุติมายา แต่ก็่ช่างเถอะ ตรงนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไป

ความโกรธของ จขบ.แม้ครึ่งหนึ่งจะเป็นเพราะความเหลื่อมล้ำนั้น แต่อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะนางเอกซึ่งเป็นคนหัวสมัยใหม่ แต่ยังสมัยใหม่ไม่พอที่จะ "แรง" สิ่งที่ปรากฏก็คือ เธอพยายามเป็นคนดี โดยสำนึกผิดในการมีชู้ทางใจ ไม่ไปกับชู้ ยอมทนอกไหม้ไส้ขมให้ญาติทุกฝ่ายเหยียบย่ำ กลายเป็นสิ่งน่าอับอายของบ้าน

อนึ่ง จขบ.ไม่ได้เจตนาจะบอกว่า ชีควรทิ้งผัวไปอยู่กับชู้ เพราะก็จริงอย่างที่ชีคิดนั่นเอง คือมันไม่ใช่ทางแก้ปัญหา และมันอาจจะเป็นการผูกปัญหาให้ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ แต่จขบ.เห็นคาตาว่าในเรื่องมีตัวอิจฉาประเภทจะเอาผู้ชายก็จะพยายามเอาให้ได้อยู่ และยายคนนั้นก็มีความสุขดีตามอัตภาพไปจนตาย ไม่เห็นต้องแบกรับความรู้สึกใด ๆ เป็นเพราะชีไม่มีหิริโอตตัปปะ สังคมลงโทษไหม ก็ไม่ หรือแม้ลงโทษก็เบาบางกว่านางเอกมาก

ได้คุยเรื่องนี้ให้พี่วัสส์ และพี่วัสส์บอกว่า แน่นอน เพราะสังคมไม่มีแรงตี คนที่จะเจ็บมากก็คือคนที่มีหิริโอตตัปปะ และลงโทษตัวเองต่างหาก จขบ.ก็ว่าอะไรวะ ในเมื่อคนมีหิริโอตตัปปะนั้นเป็น "คนดี" ไม่ใช่หรือ ทำไมมันต้องเจ็บกว่า (ยายนางเอกเจ็บเหมือนถูกกรีดตลอดช่วงท้ายของเรื่องทีเดียว)

คนอื่น ๆ เขาบอกว่า เป็นเพราะคนเลวมันหยาบหนา เป็นความเลวที่ขัดเกลาไม่ได้ เป็นบัวใต้ตม แต่จขบ.ก็เห็นว่าเมื่อตระหนักว่าตัวเองเป็นคนดี และเข้าใจความผิดหรือไม่ผิด ทำไมต้องอกไหม้ไส้ขม บางทีมันคงเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ และเพราะสังคมไทยในสมัยนั้นมีทางเลือกให้ผู้หญิงน้อยเกินไป แต่จขบ.ก็คิดว่านางเอกน่าจะมีทางทำอะไรได้มากกว่านั้น คือชีสูญเสียชีวิตของตัวเองไปเลยหลังจากปัญหาครั้งใหญ่ ไม่สามารถโงหัวขึ้นมาได้อีกเลย และสุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าคอนแวนต์ไป ก่อนที่จะตาย มันเพราะอะไร ชีแบกบาปนั้นไปด้วยเพราะอะไร ชีซึ่งเคยมีพลังชีวิตมหาศาล ทำไมมันดับวูบไปราวกับเป่าเทียน

เจ้าคุณก็เหมือนกัน เป็นผู้ชายน่ารำคาญ

คิดว่าคงเพราะถูกเลี้ยงมาอย่างโบราณ แต่ยังไง จขบ.ก็เห็นว่าฮีเป็นผู้ชายน่ารำคาญอย่างยิ่ง ไม่รู้จักให้อภัย ใจแคบ มาโซคิสม์ เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทพอผิดหวังก็หนีไปหลบตายอยู่ในซอกเล็ก ๆ ด้วยความสงสารตัวเอง เป่าชีวิตของตัวเองให้กลายเป็นฝุ่นเหมือนกัน แถมยังเป็นพวกฝังหุ่น ฝังจิตฝังใจกับเรื่องเก่า ๆ ก้าวไปไม่พ้นด้วย เป็นคนประเภทที่ขุดอยู่ที่เดิม ลึกลงไป ลึกลงไป วนอยู่ที่เก่าไม่ยอมไปไหน แล้วก็ทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่นด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นไร้สาระ อย่างที่คนเขียนบอกนั่นเองว่า ตาเจ้าคุณรักตัวเองมากกว่านางเอก

###

บางทีที่จขบ.โกรธมากถึงเพียงนี้ อาจจะเพราะ จขบ.เป็นคนยุคนี้ ถ้าจขบ.เกิดก่อนหน้านี้ จขบ.ก็คงคิดอีกอย่างหนึ่ง

ยุคนั้นเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง มีสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดคือเจ้าคุณชื่อ "เมือง" และชู้ทางใจชื่อ "พิรัช" คือ "เมืองไทย" กับ "ไพรัช" (ต่างประเทศ) ที่นางเอกซึ่งเป็นผู้หญิงตกอยู่ตรงกลาง ไม่สามารถไปหา "ของใหม่" (แนวคิดตปท.) ได้เต็มตัว แม้ว่าแนวคิดนั้นจะหอมหวาน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจรับ "ของเก่า" (แนวคิดแบบไทยเดิม) ได้มากเท่าที่ควรแบบเต็มเนื้อเต็มตัว เห็นได้ชัดว่าสุดท้ายนางเอกก็ยังเป็นไทยมากกว่าเป็นนอก เพราะแม้จะรักพิรัช แต่ก็เลือกจะภักดีกับเจ้าคุณทางใจ แม้เจ้าคุณจะปฏิเสธชีด้วยความสงสารตัวเองของฮีก็ตาม ตูเหม็นเจ้าคุณอิบอ๋ายเลยเนี่ย

(ที่จริงในแง่หนึ่งเมืองไทยก็ปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงด้วยความสงสารตัวเองแบบนี้บ่อย ๆ เห็นอยู่ประจำจนใกล้ปลงแล้ว)

ว่าไป จขบ.เริ่มสงสัยว่าทำไมแนวคิดลิเบอรัลถึงมักจะถูกแทนด้วยต่างประเทศ คล้ายกับความเป็นไทยนั้นคืออนุรักษ์นิยมเท่านั้น จขบ.คิดว่าในที่นี้ น่าจะเพราะตัวเด่น ๆ ในเรื่องเป็นชนชั้นสูง ซึ่งในแง่หนึ่งก็ถูก require ให้มีความอนุรักษ์นิยม - พร้อมกับความหัวก้าวหน้า เช่น เจ้าคุณนั้นจบอังกฤษมาแท้ ๆ แต่พออยู่บ้านก็คิดกับเมียอย่างโบราณเต็มที เจ้าคุณไปอยู่อังกฤษไม่เคยเจอวรรณคดีประเภทของตาออสการ์ ไวลด์หรือไง (แต่คงไม่ แกคงเอาแต่เรียนทหาร)

ไว้จะมาวิเคราะห์แบบสัญลักษณ์ต่อไป




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2554    
Last Update : 30 มิถุนายน 2554 16:36:19 น.
Counter : 2483 Pageviews.  

ก็มีแบบนั้นเหมือนกัน

จขบ. เอนจอยการคิดเอามาก ๆ แต่อธิบายไม่ถูกว่าความเอนจอยนี้เป็นอย่างไร มีผู้บอกจขบ.ว่าการที่คนเราจะทำอะไรได้นั้น ก่อนอื่นสมองต้องสร้าง "ทาง" ก่อน คือเชื่อมประสาทความรู้สึกเพื่อจะมารับรู้สิ่งนี้ ถ้าหากทำบ่อย ๆ ทางจากที่รกชัฏก็จะกลายเป็นไฮเวย์ ทำได้ง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้คงขึ้นกับฉันทะด้วย ถ้าตูไม่อยากเดินทางนั้นแล้วจะกลายเป็นไฮเวย์ไปอย่างไรได้ และถ้าตูอยากจะเดินทางเถื่อนนั่นแทบตาย ไม่ช้าคงกลายเป็นไฮเวย์

จขบ.เอนจอยการคิดเอามาก ๆ รับทราบว่ามันจะมีช่วงจังหวะเวลาที่ความคิดเหมือนจะ "เปิด" ออก แล้วคิดได้มากขึ้น ลึกขึ้น ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นครั้งแรกตอนเช้ามหาลัย จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนเกิดพุทธิปัญญาบางอย่างขึ้นมา จากนั้นโลกก็ดูแบบว่า...โอ แบบนี้เอง

เวลาแบบนั้น รู้สึกราวกับอยู่ top of the world ตูเข้าใจโลกหล้ากระจ่างแจ้งดังพลิกฝ่ามือ แต่ครั้งหนึ่งคุยกับคุณวิศิษฐ์ (วังวิญญู) บอกแกว่าเราไม่ควรสำคัญว่าตัวจะสุก เพราะสุกเมื่อไรขั้นต่อไปก็คงจะเน่า (อันนี้จขบ.ก็ไปจำขี้ปากเขามาพูด) คุณวิศิษฐ์บอกว่า คนเราสุกได้หลายครั้งในชีวิต

พอแกบอกอย่างนั้น ขั้นแรกตูก็งงงันไม่เข้าใจ แต่ครั้งผ่านไปพักหนึ่ง จึงกระจ่างขึ้นมาว่าคนเราสุกได้หลายครั้งจริง ๆ สิ่งที่เคยนึกว่าเข้าใจ ผ่านไปพักหนึ่ง ไม่ทราบทำไม เกิดกระจ่างขึ้นมาใหม่ เห็นมุมใหม่ ๆ ของมันขึ้นมา (โอ เชียส ก่อนหน้านี้ตูไม่เข้าใจอะไรเลยนี่หว่า) นอกจากนั้นยังรับทราบอยู่บ่อย ๆ ว่าตัวเองที่คิดเอาว่าตัวเองไม่มีอคติอะไรแล้ว ที่จริงยังมีอคติอยู่เยอะแยะล้ำไป ยังมีเปลือกที่ต้องลอกอีกมากมาย

บางทีจขบ.ก็ไม่เข้าใจ คนเราเกิดมาใส ๆ พอเติบโตขึ้นแล้วกลับเริ่มเก็บเกี่ยวเอาอคติต่าง ๆ เข้าไป พอเก็บอคติจากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตถึงจุดหนึ่ง ชีวิตกลับเรียกร้องว่า เมิงจงหัดปอกเปลือกอคติพวกนั้นเสียบ้าง ไม่งั้นเมิงจะไม่มีความสุขเท่าที่ควร (หรือจะสุขก็ได้ แต่เมิงจะสุขได้แต่ในเปลือกเท่านั้น) จขบ.ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตถึงได้เป็นอย่างนี้ มันไม่มีทางที่ง่าย ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือไง หรือว่าจริง ๆ นั่นแลคือเป้าหมายของชีวิต เพราะการรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี มันก็ไม่เท่ากับการ "เข้าใจ" ว่าอะไรดีหรือไม่ดี

และก็มีบางทีเหมือนกัน ที่ตอนเป็นคนนอกเห็นกระจ่างราวกลางวัน แต่ตอนเป็นคนในกลับไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ถ้าหากเราไม่เคยเป็น "คนใน" เราก็จะไม่เข้าใจ การมองแบบอัตวิสัยกับภววิสัยช่างเป็นเรื่องที่บาลานซ์ยาก และลึกลับเสียจริง




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2554    
Last Update : 28 มิถุนายน 2554 20:47:53 น.
Counter : 798 Pageviews.  

ชาตินิยมและอื่น ๆ

ช่วงนี้อ่าน "พุทธศาสนาไทยในอนาคต" ของพระไพศาล วิสาโล อ่านไปได้ถึงกลาง ๆ บทที่สี่ ที่จริงแล้วแนวคิดหลายอย่างในหนังสือไม่ใช่ของใหม่ จขบ.เคยเรียนมาเมื่อตอนอยู่ ป.โท (และบางอย่างก็ตั้งแต่อยู่ ป.ตรี) เพียงแต่ว่าตอนที่เรียนนั้นมันเป็นเรื่องของต่างประเทศ เมื่อแนวคิดไปอยู่ต่างประเทศ และยกตัวอย่างที่ต่างประเทศ ตูจึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตู ประหนึ่งดูหนังและเชียร์มวย

ที่ดีอีกอย่างคือพระไพศาลช่างเป็นคนที่มีความชัดเจนอย่างยิ่ง อธิบายเข้าใจง่าย และมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า อืม นี่แหละคนที่เดินอยู่บน fine line ของความเข้าใจทาง spiritual (แต่ไม่งมงาย) และเข้าใจทางโลก (แต่ไม่หลงใหลในวัตถุ) คนประเภทนี้ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่หาแบบที่จะมาเขียนอะไรอย่างนี้ยาก ว่าอีกอย่างคือตรงกับกลุ่มเป้าหมายคือตูเอง

...

เมื่ออ่านแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า โอ้เยส ทั้งปวงเป็นสมมุติมายาจริง ๆ ด้วย ไม่ว่าชาตินิยม บริโภคนิยม และอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม บางอย่างนั้นเราคิดเอาเองมาตลอดว่าตัวรู้แล้ว แต่ที่จริงไม่รู้ (คนเรามักจะเป็นอย่างนี้แบบช่วยไม่ได้ คนที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว ถูกแล้ว จึงพึงระวังและสำรวมจิตใจเอาไว้)

การนิยม ไม่ว่านิยมอะไร ล้วนนำไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ การก่อตั้งรัฐชาติไทยก็เกิดขึ้นบนการทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อให้ทุกคนดำเนินตามวัฒนธรรมส่วนกลาง คนท้องถิ่นที่เป็นปัญญาชนก็เลยเรียกร้องกันมาจนถึงปัจจุบัน

(ว่าไป ความรุนแรงอีกลักษณะหนึ่งที่ จขบ.เกิดนึกขึ้นมาได้ตอนอ่านนั่นเอง ก็คือที่จริงพระไตรปิฎกก็มีปาฏิหาริย์เยอแยะล้ำไป แต่เนื่องจากเราชินกับพุทธแบบเหตุผลนิยมแล้ว และเชื่อกันมาว่าพุทธเป็น "วิทยาศาสตร์" จึงมีคนน่ารังเกียจบางคนที่ดูถูกศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นๆ ที่ไม่่ใช่พุทธว่า พวกเมิงยังเชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกอีกหรือ ตลอดจนมีคนน่ารังเกียจศาสนาอื่นๆ ที่ดูถูกคนศาสนาอื่นๆ อีกเช่นกันว่างมงาย สรุปแล้ว ในเมื่อชาดกยังมีสัตว์พูดได้ พระอินทร์และเทวดาปล่อยรังสีเฮ้ากวง พระโพธิสัตว์ท่องนรกและสวรรค์ พวกแกจะไปว่าคนอื่นที่ในตำราของเขามีพระเจ้าสร้างโลก งูพูดได้ ปาฏิหาริย์เฮ้ากวง ฯลฯ ไปทำไม ในเมื่อตัวเองก็อยู่ในพาราดอกซ์เดียวกัน เพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจเท่านั้นเอง)

อย่างไรก็ตาม จขบ.ต้องบอกว่า ตูเป็นคนกทม. ตูปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเป็น "คนดี" และอยู่ "ฝ่ายดี" มาตลอด บางทีตูก็รู้สึกเหมือนกันว่าตูรับมรดกตกทอดมาจากไหนสักแห่ง คือว่าคนกลุ่มที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมส่วนกลาง (ซึ่งตู identify ด้วย) นั้นทำร้ายเขามา และคนที่ถูกเขาทำร้ายก็มาเรียกร้องเอาคืนในยุคสมัยนี้ ตูอยู่เฉย ๆ ก็รับมรดกความรู้สึกผิดของการไปทำร้ายเขามาไว้กับตัวด้วย ความรู้สึกผิดนี้ไม่รู้จะแก้ไขด้วยวิธีไหนได้ และจะให้บอกว่าที่จริงทั้งสองฟากฝั่งบิดามารดาของตูล้วนเป็นจีนต่างหาก ไม่ได้จะเกี่ยวอะไรกับชนชั้นนำในสมัยสร้างรัฐชาติเลย บิดามารดาตูก็ได้เป็นคน กทม.โดยสมบูรณ์แล้ว มีความคิดแบบชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ ตูเองก็เรียนมาในโรงเรียนแบบชนชั้นกลาง (และไฮโซมั้ง) ในเมืองใหญ่ สรุปแล้วจะให้ตูไปไหนไม่ทราบ ในเมื่อรากอยู่ที่นี่ จะให้ทำเก๋บอกว่ารู้วัฒนธรรมท้องถิ่นก็ไม่รู้หรอก ยังจะรู้วัฒนธรรมจีน อินเดีย และฝรั่งมากเสียกว่าเพราะอ่านมา

อาจจะเพราะอย่างนี้ ถึงได้เขียนตัวละครแบบโคเวน ตาโคเวนซึ่งไม่ปรารถนาจะกิน แต่ก็ต้องกิน ไม่ปรารถนาจะกดขี่ แต่ก็ต้องกดขี่ เมื่อปลงใจไม่ยอมกินเสียแล้ว ก็กลับกลายเป็นว่าแปลกแยกทั้งจากเผ่าของตัวเองและจากฝ่ายตรงข้าม และในที่สุดแล้วก็พบว่าความรุนแรงและการ "ดี" หรือ "ไม่ดี" นั้นเป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินด้วยขาวและดำได้

ความคิดนี้ก็ใช้ได้กับความคิดเรื่องชนชั้นต่าง ๆ ทั้งสูง กลาง และล่างด้วย ตูควรจะทำอย่างไรเพื่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ "ดี" โดยที่ไม่ปฏิเสธรากของตูเอง ทำอย่างไรจึงจะรักษา tension ของความหลากหลายเอาไว้ร่วมกันได้

อนึ่ง คาดว่าคนเราก็ต้องอยู่ในพาราดอกซ์แบบนี้ไปเรื่อย ๆ (ถ้าหากเสือกคิดมาก) และจขบ.ก็คงต้องทำอะไรสักอย่างไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าใจ คำตอบที่คิดว่าใช่มันก็อาจจะไม่ใช่เสมอไป ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่ควบคุมได้และไม่ได้

หรือไม่บางทีตูก็อาจจะยึดติดกับความดีและไม่ดีมากเกินไปเอง




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2554    
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 10:19:47 น.
Counter : 793 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.