Group Blog
 
All blogs
 

ทำงานกะดึก เสี่ยงโรคร้าย ทำลายสุขภาพ

    ทำงานกะดึก เสี่ยงโรคร้าย ทำลายสุขภาพ

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    การทำงานกะกลางคืนในช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนนั้นส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง มาดูกันเถอะ

              เวลากลางคืนเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายของเราใช้เพื่อพักผ่อนและซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวัน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่จำเป็นต้องทำงานในเวลากลางคืน และใช้เวลาพักผ่อนในกลางวันแทน โดยที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ โดยหารู้หรือไม่ว่าคนเราไม่สามารถเปลี่ยนเวลานอนได้ แถมการทำงานในกะกลางคืนนั้นยังทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมาอีกมากมายอย่างที่ในเว็บไซต์huffingtonpost.com ได้บอกถึงข้อเสียของการทำงานกะกลางคืนเอาไว้ เรามาดูกันดีกว่าว่าผลกระทบจากการทำงานกะกลางคืนที่มีต่อสุขภาพนั้นมีอะไรบ้าง ขอบอกเลยว่าบางข้อถ้าเกิดเป็นเรื้อรังนาน ๆ อาจทำให้เกิดโรคร้ายได้เชียวล่ะ

    ทำลายการนอน

              จากการศึกษากับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเข้าเวรในเวลาการคืน ทำให้ได้พบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการทำงานในช่วงเวลากลางคืนกับการนอนที่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยจากการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Workplace Health & Safety แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเข้าเวรในเวลากลางคืนและนอนหลับน้อยกว่าหกชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงเป็นสองเท่าที่จะมีการนอนที่ไม่ดีเมื่อเทียบกับคนที่มีเวลานอนหกชั่วโมงขึ้นไป

              นอกจากนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบรูโนสเอเรสยังพบอีกว่า การทำงานในกะกลางคืนจะทำให้มีระดับเซโรโทนินที่ต่ำกว่าคนที่ทำงานในช่วงเวลาปกติ ซึ่งการมีระดับเซโรโทนินที่ต่ำก็ทำให้มีผลกระทบต่อการนอนได้

    ทำงานกะดึก เสี่ยงโรคร้าย ทำลายสุขภาพ

    เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

              การวิจัยที่เกี่ยวกับการทำงานในกะกลางคืนกับความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานแสดงให้เห็นว่า ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าผู้หญิงถ้าหากมีชั่วโมงการทำงานที่ผิดปกติ

              จากการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Occupational & Environmental Medicine ที่ทำการศึกษากับคนที่ทำงานในกะกลางคืนกว่า 226,652 คนพบว่า คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานถึง 1.09 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่มีช่วงเวลาทำงานปกติ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาในสารสาร PLoS Medicine แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเวลาการทำงานจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของอินซูลิน

    เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคอ้วน

              การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการนอนหลับที่ขัดแย้งกับนาฬิกาตามธรรมชาติของร่างกายจะเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนได้

              ตามที่การศึกษาของนักวิจัยจากโรงพยาบาลบริกแฮมและสตรีในวารสารทางวิทยาศาสตร์ Science Translational Medicine ซึ่ง Orfeo M. Buxton นักประสาทวิทยาผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเดียวกันได้กล่าวว่า คนที่ทำงานในเวลากลางคืนจะทำให้นอนไม่หลับในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงและยังต้องประสบกับการพักผ่อนไม่เพียงพอในช่วงระหว่างวัน ซึ่งการพักผ่อนไม่เพียงพอนั่นเองที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาในภายหลังอีกด้วย

    ความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้น

              เป็นที่น่าตกใจว่าการทำงานในกะกลางคืนสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมของผู้หญิงได้ถึง 30% และจากการศึกษาในวารสารเกี่ยวกับมะเร็งพบว่า ผู้หญิงที่ทำงานในกะกลางคืนติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงพอ ๆ กับผู้หญิงที่ทำงานเพียง 2 -3 คืนต่อสัปดาห์

    ส่งผลกระทบต่อระบบเผาผลาญ

              การทำงานกะกลางคืนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับเลปติน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมน้ำหนัก รวมถึงระดับน้ำตาลในเลือดและระดับอินซูลินลดลง จากการศึกษาในปี 2009 ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร the National Academy of Sciences แสดงให้เห็นอีกว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่ร้ายแรงอย่างเช่นโรคเบาหวานและโรคหัวใจ

    ทำงานกะดึก เสี่ยงโรคร้าย ทำลายสุขภาพ

    เพิ่มความเสี่ยงหัวใจวาย

              การวิจัยซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษพบว่า การทำงานในกะกลางคืนมีแนวโน้มจะทำให้เกิดการหัวใจวายได้มากขึ้น มีการศึกษารวม 34 ชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงอัตราของการเกิดหัวใจวายซึ่งเกิดจากการทำงานในกะกลางคืนที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2009 และ 2010 ในประเทศแคนาดาซึ่งมีถึง 7% และในช่วงยังพบว่ามีถึง 7.3% ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และ 1.6% เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด

    เกิดอุบัติเหตุในการทำงานมากขึ้น

              จากการศึกษาของดอกเตอร์ Imelda Wong นักวิจัยจากสาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย แสดงให้เห็นถึงการทำงานในกะกลางคืนมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุและได้รับการบาดเจ็บในเวลาทำงานมากกว่าคนที่ทำงานในช่วงเวลาปกติ เพราะการทำงานกะกลางคืนนั้นทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการง่วงหรือเมื่อยล้า ซึ่งสามารถนำไปสู่อุบัติเหตุภายในที่ทำงานได้

    เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า

               มีการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการทำงานกะกลางคืนทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพจิต ตัวอย่างเช่นการศึกษาในวารสารนานาชาติ Occupational and Environmental Health ได้แสดงว่าผู้คนที่ทำงานในกะกลางคืนมีอาการของภาวะซึมเศร้าสูงกว่าคนที่ทำงานในช่วงเวลาปกติ

               และการศึกษาในปี 2008 จากวารสารนานาชาติ Disability and Human Development ก็ค้นพบอีกว่าการทำงานกะกลางคืนยังก่อความเสี่ยงจะเกิดความผิดปกติของอารมณ์ไปในทางที่รุนแรงขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ศึกษาก็ยังยอมรับว่ายังมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ยังเชื่อว่าความเสี่ยงของอาการภาวะซึมเศร้านั้นเกิดในคนที่ทำงานปกติมากกว่าคนที่ทำงานในกะกลางคืน


    ถึงแม้ว่าการทำงานในเวลากลางคืนจะมีข้อเสีย แต่คงมีหลายคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว คนที่ทำงานในกะกลางคืนก็ควรที่จะระแวดระวังและหมั่นดูแลและใส่ใจสุขภาพให้มากกว่าเดิมก็จะสามารถช่วยให้ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ลดน้อยลงได้ และควรจะพักผ่อนให้เพียงพอ ที่จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2557    
Last Update : 26 สิงหาคม 2557 16:53:43 น.
Counter : 879 Pageviews.  

เตือน "ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก" ใส่เลือดสดๆ มีเชื้อโรค กินถึงตาย

สาธารณสุขเตือน "ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก" ใส่เลือดสดๆ เสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรีย "สเตร็พโตค็อกคัส ซูอีส" ชี้น้ำซุปเดือดไม่ดีพอทำให้เชื้อไม่ตาย กินเข้าไปเกิดอาการหูหนวกเฉียบพลัน ทำลายเยื่อหุ้มสมอง ถ้าเข้ากระแสเลือด ทำให้ช็อก ไตวาย ถึงตายได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาภายใน 14 วัน ระบุเชื้อโรคนี้เติบโตได้ดีในหน้าร้อน เคยพบเมื่อปี 2542 ที่ลำพูนคนติดเชื้อเสียชีวิตหมด 10 ราย ปี 2544 เสียชีวิต 7 ราย ปี 2549 เสียชีวิต 2 ราย กรมควบคุมโรคแนะวิธีกินอาหารอย่างปลอดภัยควรกินตอนร้อนๆ และปรุงให้สุกทุกครั้ง

             เมื่อวันที่ 1 เมษายน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายโรค ทั้งโรคระบบทางเดินอาหาร ที่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น เนื่องจากในหน้าร้อน เชื้อแบคทีเรียก่อโรคจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าฤดูอื่นๆ ซึ่งโรคที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่ปรุงไม่สุก 

              ที่น่าเป็นห่วงโรคหนึ่งคือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อสเตร็พโตค็อกคัส ซูอีส เกิดจากการบริโภคอาหารที่ปรุงจากเนื้อหมูที่ไม่สุกและราดด้วยเลือดดิบๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก เป็นอาหารที่เข้าข่ายความเสี่ยงมาก หากน้ำก๋วยเตี๋ยวไม่ร้อนจัดก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ หากเลือดหมูมีเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวอยู่ ก็สามารถที่จะติดสู่คนได้
             "ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่มีการนำเลือดหมูมาผสมกับน้ำก๋วยเตี๋ยวทำให้เข้มข้นมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งหากน้ำก๋วยเตี๋ยวที่นำมาปรุง เป็นน้ำก๋วยเตี๋ยวที่เดือดหรือร้อนจัด จะไม่มีปัญหาเพราะความร้อนสามารถฆ่าเชื้อได้ แต่ส่วนใหญ่ที่พบคือ พ่อค้าแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวจะนำเลือดเทใส่กระบวยตักน้ำก๋วยเตี๋ยวแล้วแกว่งๆในน้ำร้อนไม่ถึง 30 วินาที ก็นำกลับมาเทใส่ชามให้ผู้บริโภคซึ่งอันตรายมาก" นายชวรัตน์กล่าว
             นายชวรัตน์กล่าวต่อว่า เชื้อดังกล่าวสามารถเข้าสู่คนได้ 2 วิธี คือ เมื่อร่างกายคนมีแผลไปจับต้องหมูและกินเนื้อหมูหรือเลือดสด ความน่ากลัวของเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอีส ไม่เพียงแต่ทำให้หูหนวกและสูญเสียการทรงตัว แต่หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาช้าอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียทำลายเยื่อหุ้มสมองจนถึงขั้นเสียชีวิตได้  

             โดยหากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 14 วันหลังจากรับเชื้อ ประชาชนจึงควรรับประทานแต่อาหารที่ปรุงสุกก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานการติดต่อเชื้อนี้จากคนสู่คน ส่วนสาเหตุที่ต้องออกมาเตือนเรื่องนี้เพราะต้องการให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของการบริโภคเนื้อหมูดิบ เลือดดิบ เพราะปัจจุบันยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากนิยมบริโภคของดิบ เลือดดิบ จึงจำเป็นต้องเตือนก่อนที่จะมีคนป่วยหรือเสียชีวิต
             ด้าน น.พ.ศิริศักดิ์ วรินทราวาท รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ถือว่ามีความรุนแรงและน่ากลัว โดยเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าสู่กระแสเลือด และเข้าไปสู่เยื่อหุ้มสมอง จนเกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน หลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอยู่ใกล้กับปลายประสาทหูชั้นในทั้งสองข้าง เชื้อจึงลุกลามและทำให้เกิดหนองที่ปลายประสาทรับเสียงและประสาททรงตัว ทำให้หูตึงและหูหนวกร่วมกับอาการเวียนศีรษะและเดินเซ อาการทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายใน 14 วัน หลังจากเริ่มอาการไข้
             น.พ.ศิริศักดิ์กล่าวต่อว่า ปกติเชื้อแบคทีเรียสเตร็พโตค็อกคัส ซูอีส จะพบอยู่ที่บริเวณคอต่อมทอนซิล และเยื่อบุโพรงจมูกของหมู และพบประปรายในวัว แกะและแพะ เมื่อคนได้รับเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายประมาณ 1-3 วัน หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรุนแรงทำให้มีไข้ เวียนหัว ช็อกและไตวายเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิต โดยเชื้อชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายคน หากนำหมูหรือเลือดหมูที่มีเชื้อมารับประทานโดยวิธีการปรุงไม่สุก และเมื่อเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะเข้าทำลายระบบหูเป็นอันดับแรก หากเกิดภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้ตาบอด โดยพบว่าส่วนใหญ่คนที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายมีโอกาสที่จะเกิดหูหนวกหรือหูดับ ถึงประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์
             น.พ.ศิริศักดิ์กล่าวอีกว่า นอกจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอีส แล้ว การรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สุกจากหมูหรือเนื้อ ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อพยาธิตืดหมู หรือ Taenia Solium ซึ่งสามารถเข้าไปอยู่ในลำไส้ของคนได้ หรือเข้าไปฝังตัวในเนื้อเยื่อของคน ทำให้เกิดถุงน้ำที่เรียกว่า ซิสติกเซอร์โครซีส (Cysticer cosis) ซึ่งเกิดจากการกินไข่พยาธิตืดหมูที่ติดอยู่ตามผัก ผลไม้ หมูดิบ พยาธิตัวอ่อนจะฟักจากไข่ ไชทะลุลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดหรือน้ำเหลืองไปยังกล้ามเนื้อ หรืออวัยวะต่างๆ เช่น เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ สมอง ไขสันหลัง ตา หัวใจ ตับ ปอด ในช่องท้อง และฝังตัวโดยมีถุงน้ำหุ้ม อาการและอาการแสดงของการมี Cysticercosis ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของถุงน้ำ เช่น ถ้าอยู่ใต้ผิวหนัง ก็จะมีก้อนใต้ผิวหนัง ถ้าอยู่ใต้ตา ก็จะทำให้ปวดตา ตาพร่ามัว สายตาผิดปกติ ถึงขั้นตาบอด ถ้าอยู่ในสมองบางครั้งอยู่ได้เป็นปีโดยไม่มีอาการ อาจมีปวดศีรษะบ้าง ถ้าถุงน้ำดังกล่าวไปอุดทางเดินของน้ำไขสันหลัง ทำให้ความดันในสมองสูง อาจทำให้เกิดอาการชัก ซึ่งเป็นอาการที่ผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด
             "นอกจากการกินเนื้อหมูที่ไม่สุกหรือเลือดหมูที่ไม่สุกแล้ว คนสามารถติดเชื้อได้จากการสัมผัสกับหมูที่ติดโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู คนทำงานในโรงฆ่าสัตว์ คนชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล และสัตวแพทย์ โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล รอยถลอก หรือเยื่อบุตา วิธีการป้องกันจึงควรสวมถุงมือทุกครั้งขณะปฏิบัติหน้าที่" รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว
             น.พ.ศิริศักดิ์กล่าวอีกว่า เชื้อแบคทีเรียสเตร็พโตค็อก คัส ซูอีส แบ่งย่อยได้เป็น 29 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรงในหมูคือ ไทร์ 2 โดยที่ผ่านมามีรายงานคนป่วยเนื่องจากการติดเชื้อชนิดนี้ครั้งแรกที่ประเทศเดน มาร์ก เมื่อปี 2511 และเมื่อเดือนมิถุนายน 2548 เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อชนิดนี้ในหมูและคนในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ทำให้มีผู้ป่วยตายเป็นจำนวนมาก 

             จากข้อมูลประเทศไทยมีรายงานการพบผู้ป่วยลักษณะนี้ตั้งแต่ปี 2529 โดยป่วยเป็นโรคสเตร็ปโตค็อกโคซิส มีอัตราการตายประมาณ 10 % ต่อมาในปี 2542 มีผู้ป่วยที่ โรงพยาบาลลำพูนป่วย 10 คน เสียชีวิตทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยติดเชื้อที่จ.เชียงใหม่ 40 ราย นครสวรรค์ 30 ราย ต่อมาช่วงเดือนก.ค.2544-ก.ค.2545 พบผู้ป่วย 19 ราย เสียชีวิต 7 ราย ที่เหลืออีก 12 ราย มีความพิการหูหนวกทั้งสองข้าง 3 ราย และอัมพาตครึ่งซีก 1 ราย อีกทั้งช่วงเดือนพ.ค.-ส.ค.2549 เฉพาะที่ จ.ลำพูน พบผู้ป่วย 15 ราย เสียชีวิต 2 ราย และหูหนวก 4 ราย โดยผู้ป่วยทุกรายมีประวัติสัมผัสหมู เนื้อหมูดิบ กินเลือดหมูดิบๆ และก่อนหน้านี้ มีรายงานว่ามีการออกสำรวจเขียงหมู 100 แห่งในจ.เชียงใหม่ พบเชื้อแบคทีเรีย "สเตร็พโตค็อกคัส ซูอีส" ถึงร้อยละ 20 ของหมูที่ออกสำรวจ 

ข้อมูลจาก
ข่าวสด




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2557    
Last Update : 26 สิงหาคม 2557 16:50:51 น.
Counter : 1440 Pageviews.  

วิธีกินอาหารแบบผิด ๆ ที่คุณต้องเลิกทำได้แล้ว !

    การดูแลสุขภาพ
    มาเริ่มต้นปรับวิธีกินอาหารกันใหม่ เพื่อสุขภาพที่ดีและหุ่นที่สวยงาม


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

             ในชีวิตประจำวันของคนเรา ก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปเท่ากับการกินแล้วล่ะ ยิ่งสาว ๆ ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก การกินยิ่งสำคัญมากกว่าคนทั่วไป เพราะต้องเข้มงวดในเรื่องของอาหารการกินมาก ซึ่งเชื่อเลยว่า สาว ๆ หลายคนก็ยังกินอาหารด้วยวิธีผิด ๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังมา เอาเป็นว่าใครที่กำลังกังวลว่าตัวเองยังกินอาหารแบบผิด ๆ อยู่หรือไม่ ก็มาดูวิธีกินอาหารแบบผิด ๆ ที่กระปุกดอทคอมได้นำมาฝากกันดีกว่า บอกเลยว่าหากข้อไหนโดนตัวเอง ให้เลิกทำได้แล้วจ้า

    ผักและผลไม้แช่แข็งมีสารอาหารน้อย

    ความจริงแล้วผักและผลไม้แช่แข็งไม่ได้มีสารอาหารที่น้อยกว่าแบบสดแต่อย่างใด เพราะผักและผลไม้แช่แข็งเป็นการแช่แข็งเพียงพักหนึ่ง ไม่ได้แช่นานจนทำให้สูญเสียสารอาหารแต่อย่างใด ซึ่งก็ยังคงรสชาติอร่อยและยังมีสารอาหารครบถ้วนเหมือนเดิม เอาเป็นว่าหากคุณมีเวลาหาของสดกิน ก็ควรจะทำ แต่ถ้าในชั่วโมงเร่งรีบ ให้เลือกกินผักและผลไม้แช่แข็งแทนก็ได้

    คนเราต้องดีท็อกซ์ร่างกาย

    เชื่อว่าคุณอาจจะเคยได้ยินใครต่อใครบอกมาว่าให้ทำความสะอาดร่างกายภายในหรือดีท็อกซ์เพื่อล้างสารพิษออกบ้าง แต่ความจริงแล้วร่างกายดีท็อกซ์ล้างพิษให้คุณเองโดยอัตโนมัติแล้วต่างหาก ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำผลไม้เพื่อการดีท็อกซ์หรือไม่ต้องซื้อยามาเพื่อการนี้ก็ได้

    นับแคลอรี่เพื่อลดน้ำหนัก

    ใครที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักแล้วใช้วิธีนับแคลอรี่ของอาหารที่กินเข้าไปแต่ละวันตามที่เคยได้ฟังต่อ ๆ กันมา ขอบอกเลยว่าวิธีนี้ไม่เป็นความจริง เพราะการที่จะลดน้ำหนักได้จริง ๆ คุณต้องไปโฟกัสที่ตัวอาหารที่กินเข้าไปมากกว่า ถ้าหากคุณมัวแต่นับแคลอรี่แล้วได้กินอาหารไม่เพียงพอ ก็จะเกิดอาการหิวจนทนไม่ได้ แล้วก็กลับไปกินเยอะเหมือนเดิมนั่นแหละ ทางที่ดี ควรจะเน้นการกินโปรตีนที่ดีจากสัตว์ เช่น ปลา ไข่ หรือไก่แบบที่ไม่ติดหนังและทานคาร์โบไฮเดรตบ้างในปริมาณที่เหมาะสม

    กินไขมันจะทำให้อ้วน

    รู้อยู่แล้วล่ะว่า ไขมันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงที่กำลังรักษาหุ่นต้องส่ายหน้าไม่ยอมกินเด็ดขาด แต่แม้ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไดเอต ก็สามารถเลือกกินไขมันได้โดยที่ไม่ทำให้คุณอ้วนขึ้น ลองเลือกไขมันที่ดีต่อร่างกายมากิน อย่างไขมันไม่อิ่มตัวดูสิ เพราะมันจะช่วยบำรุงเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดหัวใจได้ แถมมีผลต่อความอ้วนน้อยกว่าพวกไขมันอิ่มตัวด้วย

    น้ำผลไม้ช่วยเร่งการเผาผลาญ

    แม้ว่าน้ำผลไม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ทั้งให้วิตามินและเกลือแร่ แต่น้ำผลไม้ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปนั้นกลับไม่มีโปรตีนที่สามารถช่วยเร่งกายเผาผลาญอาหารและช่วยให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่มั่นคง หากคุณชอบดื่มน้ำผลไม้จริง ๆ ให้เลือกดื่มครั้งเดียวต่อวันเท่านั้น หรือไม่ก็อาจจะเติมผงโปรตีนลงไปในน้ำผลไม้ด้วยก็ได้

    ไข่ไม่ดีต่อร่างกาย

    ในความเป็นจริงแล้ว ไข่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย มีทั้งโปรตีน 6 กรัมและไขมัน 5 กรัมต่อไข่ 1 ฟอง ซึ่งการรวมกันของไขมันและโปรตีนนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้องโดยไม่ต้องหาของกินอย่างอื่นมาให้กินจุกจิกอีก นอกจากนี้ คุณไม่ควรจะเขี่ยไข่แดงทิ้งไป เพราะในไข่แดงเต็มไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ดีเอชเอ (DHA) ที่มีประโยชน์ต่อสมองและกรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acid) ด้วย

    กินอาหารหลัง 6 โมงเย็นทำให้อ้วน

    รู้ไหมว่า ไม่ว่าคุณจะกินอาหารในเวลาใด ก็ไม่มีผลต่อความอ้วนได้หากเลือกกินอาหารที่ดีและไม่ทำให้อ้วน ถ้าคุณกินอาหารที่มีแคลอรี่มากเกินไปกว่าที่ร่างกายต้องการ คุณก็จะอ้วนแน่นอน แม้ว่าคุณจะทานอาหารเย็นหลัง 6 โมงเย็น แต่กินอาหารที่มีประโยชน์ไร้ไขมัน คุณก็จะไม่อ้วนอยู่แล้วล่ะ

    อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำดีต่อสุขภาพ

    หากคุณเคยได้ยินมาว่า การกินคาร์โบไฮเดรตจะทำให้อ้วน คุณก็เลยหลีกเลี่ยงไม่แตะต้องมาโดยตลอด นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่ควรทำอย่างยิ่งเลยนะคะ เพราะสมองของคุณต้องการคาร์โบไฮเดรตมาช่วยในการทำงาน และสมองก็ไม่ต้องการคาร์โบไฮเดรตขัดสี อย่างพวกขนมปังขาว เส้นพาสต้า และคุกกี้ แต่ควรได้มาจากขนมปังโฮลเกรน ผัก และผลไม้มากกว่า

    สาว ๆ คนไหนกินอาหารด้วยวิธีผิด ๆ แบบนี้กันบ้างคะ ? เอาเป็นว่าทิ้งวิธีเดิม ๆ ที่ผิด ๆ แล้วลองมาเริ่มต้นปรับวิธีกินอาหารกันใหม่ เพื่อสุขภาพที่ดีและหุ่นที่สวยงามกันเถอะนะคะ :)




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2557    
Last Update : 11 สิงหาคม 2557 21:58:59 น.
Counter : 945 Pageviews.  

7 สัญญาณมหัศจรรย์ที่ร่างกายกำลังบอกกับคุณ

7 สัญญาณมหัศจรรย์ที่ร่างกายกำลังบอกกับคุณ




    ร่างกายของเรามีความลึกลับซับซ้อนและมีความมหัศจรรย์มากมายที่เรายังไม่เคยรู้กันมาก่อน รู้หรือไม่ว่าร่างกายของเราสามารถบอกบางอย่างกับเราได้นะ  

    คุณเคยรู้สึกปวดตามข้อก่อนที่จะเกิดพายุฝนฟ้าคะนองไหม หรือรู้สึกปวดหัวไมเกรนในหน้าหนาวบ่อย ๆ หรือแม้แต่เวลาได้กลิ่นน้ำหอมแล้วทำให้คิดถึงเรื่องเก่า ๆ หลายครั้งร่างกายของเราก็สามารถทำในสิ่งที่น่าเหลือเชื่อได้ มีผู้เชี่ยวชาญได้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อถอดรหัสความสามารถอันน่าประหลาดบางอย่างของร่างกายเหล่านี้ วันนี้กระปุกดอทคอมได้นำข้อมูลดี ๆจาก goodhousekeeping.com มาเล่าสู่กันฟัง เราลองมาดูกันสิว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่ร่างกายกำลังบอกเราอยู่

    7 สัญญาณมหัศจรรย์ที่ร่างกายกำลังบอกกับคุณ

    การปวดข้อต่อสามารถทำนายสภาพอากาศได้

              อาการปวดข้อต่อนั้นสามารถบอกได้ว่าฝนกำลังจะตก โดยนายแพทย์ Robert Tait ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อเปิดเผยว่า เมื่อพายุก่อตัวนั้น ความดันในบรรยากาศนั้นจะลดลง ซึ่งจะทำให้แรงดันน้ำภายในข้อต่อสำคัญ ๆ ของร่างกายสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุทำให้เรารู้สึกปวดตามบริเวณข้อต่อต่าง ๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้นหากรู้สึกปวดข้อต่อต่าง ๆ ก็อย่าลืมที่จะพกร่มไปด้วยล่ะ !



    ดวงตาจะเตือนคุณเมื่อร่างกายของคุณเย็นเกินไป

              เมื่อเรารู้สึกหนาวร่างกายของเราจะสั่น แต่เราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าอุณหภูมิในร่างกายกำลังต่ำมากเกินไป นายแพทย์ Rupe Hansra จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เลยบอกให้รู้ว่า ดวงตาสามารถบ่งบอกถึงระดับความเย็นที่อันตรายได้ เพราะเมื่อเกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ หลอดเลือดแดงจะหดตัวเพื่อรักษาพลังงานซึ่งนั่นจะทำให้เราเกิดอาการตาบอดชั่วคราวได้

    7 สัญญาณมหัศจรรย์ที่ร่างกายกำลังบอกกับคุณ

    อัตราการเต้นของหัวใจสามารถทำนายอนาคตได้

              รู้หรือไม่ว่าอัตราการเต้นของหัวใจนั้นสามารถบ่งบอกว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างได้ ดังเช่นที่นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัย Northwestern ในเมืองเอวันส์ตัน รัฐอิลลินอยส์, นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองเออร์ไวน์ and และมหาวิทยาลัย the Università di Padova ในอิตาลี ได้ทำการวิจัยว่า อัตราการเต้นของหัวใจนั้นจะสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งนักวิจัยได้พบว่าอัตราการเต้นของหัวใจจะเร็วขึ้นในช่วงเวลา 10 วินาทีก่อนที่เหตุการณ์อะไรบ้างอย่างจะเกิดขึ้น

    7 สัญญาณมหัศจรรย์ที่ร่างกายกำลังบอกกับคุณ

    รูม่านตาจะขยายเวลามีความรัก

              นายแพทย์ Hansra divulges ได้เปิดเผยว่า ระบบประสาทที่ควบคุมรูม่านตานั้นจะทำงานเมื่อเรารู้สึกถูกดึงดูดจากใครบางคนทำให้รู้ม่านตาของคุณขยายขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น รูม่านตาของคุณนั้นสามารถขยายเมื่อคุณได้มองเห็นสิ่งที่คุณชื่นชอบอีกด้วย เหมือนกับที่มีคำกล่าวว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจไงล่ะ ดังนั้นหากคุณอยากจะปิดบังความรู้สึกรักจากใครล่ะก็ อย่าให้เขามองเห็นดวงตาของคุณล่ะดีที่สุดนะ

    7 สัญญาณมหัศจรรย์ที่ร่างกายกำลังบอกกับคุณ

    กลิ่นช่วยระลึกถึงอดีต

             คุณเคยมีกลิ่นไหนที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในอดีตหรือเปล่า Maria Larsson นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์มในสวีเดนอธิบายว่า กลิ่นทุกอย่างเปรียบเสมือนกับไทม์แมชชีน เพราะเมื่อสมองในส่วนของ olfactory cortex นั้นตอบสนองต่อกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งแล้ว มันก็จะทำการจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกลับกลิ่น ๆ นั้น ทำให้เมื่อเราได้กลิ่นนั้นอีกครั้งเราก็จะนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เคยได้กลิ่น ๆ นั้นได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเราได้กลิ่นบางอย่างแล้วนึกถึงครอบครัว


    ระบบย่อยอาหารนำพามาซึ่งพละกำลังอันเหลือเชื่อ

              เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นว่ามีคนสามารถแบกโอ่งที่เต็มไปด้วยน้ำ หรือตู้เย็นขนาดใหญ่ออกมาจากบ้านในขณะที่ไฟไหม้บ้านได้ นั่นก็เป็นเพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์อันตรายขึ้น สมองก็จะสั่งงานไปยังระบบประสาทส่วนต่าง ๆ ทำให้อะดรีนาลีนพุ่งพล่าน ซึ่งทำให้อัตรการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น รูม่านตาขยายออกและที่สำคัญคือการไปหยุดการทำงานของระบบย่อยอาหารซึ่งทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะระบบย่อยอาหารจะส่งพลังงานที่เคยใช้ในการย่อยอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน ดังนั้นเมื่อเราเกิดเหตุการณ์คับขัน เราจึงมีพละกำลังขึ้นมานั่นเอง

    7 สัญญาณมหัศจรรย์ที่ร่างกายกำลังบอกกับคุณ

    ไมเกรนช่วยบอกถึงความปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอุณหภูมิ

    ผู้ที่ต้องประสบอาการปวดหัวไมเกรนหลายคนมักจะไวต่อสภาวะอากาศ โดยเฉพาะอากาศร้อนและเย็น นายแพทย์ Jerry W. Swanson นักประสาทวิทยาจากรัฐมินนิโซตาได้เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจะทำให้สารเคมีภายในสมองนั้นเสียความสมดุล โดยเฉพาะเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไมเกรน โดยวิธีการหลีกเลี่ยงการเกิดไมเกรนนั้นก็คือ ควรจะหาที่หลบ หรืออยู่ภายในอาคารเมื่อเกิดอากาศเย็นหรือเกิดลมแรงค่ะ

          สัญญาณต่าง ๆ จากร่างกายของเราเป็นสิ่งที่เราควรจะเรียนรู้ เพราะในบางสัญญาณนั้นอาจจะบ่งบอกถึงภาวะร่างกายที่เปลี่ยนแปลง หากเราเรียนรู้และเข้าใจมัน เราก็จะสามารถรักษาและดูแลสุขภาพของเราได้ เพราะฉะนั้นอย่าละเลยกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายนะคะ




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2557    
Last Update : 4 สิงหาคม 2557 21:17:15 น.
Counter : 1094 Pageviews.  

แกัวมังกร สุดยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ

    แก้วมังกร


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    แก้วมังกร ผลไม้รูปร่างแปลกที่มีคุณอนันต์ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับแก้วมังกรมาฝากกันค่ะ

              อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ผลไม้คงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่หลายคนเลือกเพื่อใช้ดับความร้อนและดับกระหาย ไม่ว่าจะเป็น มังคุด แตงโม ฝรั่ง หรือแม้แต่เสารรส แต่ทราบกันไหมคะว่าจริง ๆ แล้ว แก้วมังกรก็เป็นผลไม้ที่ช่วยดับร้อนได้ดีเช่นกัน แถมยังมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพด้วยอีก วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อมูลของแก้วมังกรมาฝากกันค่ะ

    ต้นกำเนิดของแก้วมังกร

              แก้วมังกร มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dragon Fruit ชาวยุโรปเรียกว่า Pitaya ส่วนคนเวียดนามเรียกว่า ธานห์ลอง และชาวกัมพูชาเรียกว่า สกราเนียะ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. Rose. มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง สันนิษฐานว่าแก้วมังกรเข้ามาในเอเชียโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่นำพืชพันธุ์นี้มาปลูกในเวียดนามเมื่อ 100 ปีก่อน ในเวียดนามชาวเกษตรกรนิยมปลูกกันมากเพราะถือว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่น มีการปลูกเพื่อเป็นไม้ผลหลังบ้านและปลูกเป็นสวนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ตามสภาพดินที่มีอยู่ บริเวณที่ปลูกกันมากคือ แถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้ถึงนครโฮจิมินห์

              ส่วนในประเทศไทยนั้น มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรรษแล้ว แต่ไม่เป็นที่รู้จักกระทั่งเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจทั้งนี้ แก้วมังกรสามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แต่แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญนั้นอยู่ในจังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรี และสมุทรสงคราม ผลผลิตจะมากในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

    แก้วมังกร

    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของแก้วมังกร

              มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย มีลำต้นยาวประมาณ 5 เมตร มีรากทั้งในดินและรากอากาศ ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ชอบแสงแดดพอเหมาะ โล่งแจ้ง แต่ไม่แรงกล้าเกินไป ดอกสีขาว ขนาดใหญ่กลีบยาวเรียงซ้อนกัน บานตอนกลางคืน ผลมีรูปร่างกลมรี เปลือกมีสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวหรือแดงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้น ๆ มีเมล็ดคล้ายเมล็ดแมงลักฝังอยู่ทั่วผล แก้วมังกรมีทั้งหมด 3 พันธุ์ได้แก่

    พันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง มีลักษณะเปลือกสีชมพูสด ปลายกลีบสีเขียว รสหวานอมเปรี้ยวหรือหวานจัด

    พันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง มีลักษณะเปลือกสีเหลือง ผลเล็กกว่าพันธุ์อื่นๆ เนื้อสีขาว เมล็ดขนาดใหญ่และมีน้อยกว่าพันธุ์อื่น มีรสหวาน

    พันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง หรือพันธุ์คอสตาริกา มีลักษณะ เปลือกสีแดงจัด ผลเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง แต่รสจะหวานกว่า

    แก้วมังกร

    ประโยชน์ของแก้วมังกร สรรพคุณอันน่าทึ่ง

              แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยา คุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกับความงามอีกด้วย มักใช้บริโภคเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก เพราะเนื่องจากเมื่อกินแก้วมังกรแล้วจะรู้สึกอิ่ม และแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงประกอบกับให้แคลอรี่ต่ำ

              สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ข้อมูลว่า แก้วมังกรสารที่มีประโยชน์คือ มิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งมีในเฉพาะในตระกูลกระบองเพชร มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย และควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวานในชนิดที่ไม่ต้องใช้อินซูลินได้ สามารถช่วยในการบรรเทาโรคโลหิตจางช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย ช่วยในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุตตัน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน         

    ขณะที่ กรมวิชาการเกษตร ก็ให้ข้อมูลว่า ในแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดงนั้น ยังมีสารไลโคปีนซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย

    นอกจากนี้แก้วมังกรยังมีประโยชน์อีกอีกมากมาย ดังนี้

    ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น และมีส่วนช่วยในชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยต่าง ๆ
    ช่วยดับร้อนและดับกระหาย
    ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง เพราะมีวิตามินซีสูง
    ช่วยบรรเทาอาการโรคความดันโลหิตได้
    ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
    ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี
    ช่วยดูดซับสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างอย่างตะกั่ว ที่มาจากควันท่อไอเสีย หรือสารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลง
    มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก แก้อาการท้องผูก
    ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ แก้ปัญหาการขับถ่ายต่าง ๆ ให้ดีขึ้น


    แก้วมังกร

    คุณค่าทางอาหารของแก้วมังกร 

              แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และผู้ป่วยที่กำลังฟื้นตัว แก้วมังกรอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก รวมทั้ง วิตามินบี1 บี2 บี3 วิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน และแคลเซียม ซึ่งหากเราประทานแก้วมังกร 1 ลูก น้ำหนัก 100 กรัม ร่างกายจะได้ สารอาหารในปริมาณดังนี้

    คาร์โบไฮเดรต 12.4 กรัม
    โปรตีน 1.4 กรัม
    ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม
    แคลเซียม 9 มิลลิกรัม
    วิตามินซี 7 มิลลิกรัม
    พลังงาน 66 กิโลแคลอรี่
    ใยอาหาร 2.6 กรัม


    กินแก้วมังกรลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ได้หรือเปล่า

              หลายคนคงสงสัยว่า แก้วมังกรนั้นกินแล้วจะสามารถลดความอ้วนได้หรือไม่ เรามาดูกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร

              แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะเป็นผลไม้สารมิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งมีในเฉพาะในตระกูลกระบองเพชร มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย สามารถรับประทานทดแทนการอาหารเย็นได้ ซึ่ง แพทย์หญิง พร้อมพรรณ พฤกษากร แพทย์อายุรกรรมต่อมไร้ท่อ ศูนย์ศรีพัฒน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้ระบุว่าแก้วมังกรเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ใช้ในการลดความอ้วน


    แก้วมังกร

    คนท้องกินแก้วมังกรได้ไหม

              แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูง เพราะมีธาตุเหล็ก และวิตามินซีสูง ช่วยในการกระตุ้นต่อมน้ำนมของสตรี ดังนั้น ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถทานได้แน่นอนค่ะ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะแก้วมังกรมีไฟเบอร์สูงทำให้อิ่มง่ายแต่ให้พลังงานน้อย จึงควรรับประทานเพียงแต่พอดีค่ะ

    โทษของแก้วมังกรมีไหม

              มีความเชื่อที่ว่าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อของแก้วมังกรนั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ทำให้ผู้คนมากมายไม่กล้ารับประทานแก้วมังกร แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากจะยังไม่มีการศึกษาใดที่ยืนยันความเชื่อนี้แล้ว ยังมีผลการศึกษาพบว่าเจ้าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ในเนื้อแก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วย สารกลุ่ม FOS ในปริมาณสูง มีคุณสมบัติเป็นสาร Prebiotic ที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ และมีฤทธิ์ในการดูดซับสารเคมีและสารพิษในร่างกาย

    นอกจากนี้ เจ้าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ เหล่านี้ยังมีกรดไขมันซึ่งทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากร่างกายและช่วยกระตุ้นในการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีได้อีกด้วย ซึ่งอย่างไรก็ตาม ถึงแม้แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะค่ะ

    การรับประทานผลไม้ไม่ว่าอย่างไรก็มีประโยชน์ หากเรารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างแน่นอนค่ะ และที่สำคัญเราควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่ อย่างถูกหลักโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2557 20:11:16 น.
Counter : 1158 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.