Group Blog
 
All blogs
 

รู้เท่าทันอาหารเสริมลดน้ำหนัก

อาหารเสริมลดน้ำหนัก


    รู้เท่าทันอาหารเสริมลดน้ำหนัก (WomanPlus)

    ทุกวันนี้เรื่องสุขภาพ การรักษารูปร่าง กำลังเป็นที่นิยม มีหลากหลายเทคนิควิธีที่จะช่วยให้เราลดความอ้วนได้ ไม่ว่าจะด้วยการเลือกรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการทานอาหารเสริมลดน้ำหนักที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้

              หากแต่อาหารเสริมเหล่านั้น เปรียบเสมือนดาบสองคม ที่อาจจะทำให้เราสวย ผอม ได้อย่างง่ายดาย แต่ ! กลับทิ้งสารเคมี ที่อาจเป็นอันตรายกับเราเอาไว้ ดังนั้นก่อนที่เราคิดจะพึ่งอาหารเสริมเหล่านี้ ก็ควรจะศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน

    อาหารเสริมลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะ อาหารจำพวกถั่วขาว สารสกัดจากตะบองเพชร ที่ไปช่วยดักจับไขมัน ไม่เป็นการลดน้ำหนักที่เป็นอันตราย แต่จะดัดจับไขมัน แล้วให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม กินได้น้อยลง เมื่อกินได้น้อยลง แล้วน้ำหนักเราก็จะลดลงตามไปด้วย พร้อมทั้งดึงไขมันที่ไม่ใช้ออกมาให้หมด ในรูปแบบของเหงื่อ และการขับถ่าย ทั้งในรูปแบบของเครื่องดื่ม และอีกหลากหลายแล้วแต่ความคิดของผู้ผลิต แต่รู้หรือไม่ว่าอาหารเสริมนั้นถ้าไม่ได้มาตรฐานและรับประทานผิดวิธีจะทำให้เกิดโทษตามมามากมาย

    อาหารเสริมลดน้ำหนัก

    โทษของอาหารเสริมลดน้ำหนัก

    1. ถ้ารับประทานมากเกินไปทำให้เกิดอาการคลื่นใส้ อาเจียน ท้องเสีย

    2. ถ้ารับประทานมากเกินไปทำให้ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว

    3. ถ้ารับประทานมากเกินไปทำให้เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง

    4. ถ้ารับประทานมากเกินไปทำให้เกิดการสะสมของสารเคมี

    5. ถ้ารับประทานมากเกินไปทำให้โรคมะเร็ง

    6. ถ้าอาหารเสริมที่ผลิตนั้นไม่ได้รับมาตรฐาน ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและถ้ารุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

      ดังนั้นหากเราคิดจะพึ่งอาหารเสริมลดน้ำหนักแบบนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อมูล ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ทางที่ดีการใช้วิธีธรรมชาตินั้นยืนยาวและไม่เป็นอันตรายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รู้จักเลือกรับประทานอาหารที่เน้นกากใย รวมไปถึงการหมั่นออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ เท่านั้นก็ทำให้เราผอมได้ แล้วยังปลอดภัยอีกด้วยนะคะ




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2557    
Last Update : 15 ธันวาคม 2557 15:29:37 น.
Counter : 813 Pageviews.  

อย. อึ้ง เจออาหารกึ่งสำเร็จรูปมีโซเดียมสูงเกินควร แนะเลี่ยงทาน

    อย. อึ้ง เจออาหารกึ่งสำเร็จรูปมีโซเดียมสูงเกินควร แนะเลี่ยงทาน
    อย. อึ้ง เจออาหารกึ่งสำเร็จรูปมีโซเดียมสูงเกินควร แนะเลี่ยงทาน

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


              อย. อึ้ง สำรวจเจออาหารกึ่งสำเร็จรูปมีปริมาณโซเดียมสูงกว่าค่าที่กำหนดถึง 3 เท่า วอนประชาชนเลี่ยงการบริโภค เพราะเสี่ยงสารพัดโรค

      วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอารยะ โรจนวณิชชากร ที่ปรึกษาหน่วยเคลื่อนที่เพื่อความปลอดภัยด้านอาหาร สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ได้มีการสำรวจและเก็บตัวอย่างมาจากอาหารสำเร็จรูปในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ 9 แห่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2556-กุมภาพันธ์ 2557 เพื่อสำรวจการกล่าวอ้างทางโภชนาการและปริมาณโซเดียมบนฉลากอาหารสำเร็จรูป 23 ประเภท จำนวน 5,853 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 3,052 ผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ 2,801 ผลิตภัณฑ์

              ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่ามีการแสดงปริมาณโซเดียมบนฉลากโภชนาการจำนวน 3,230 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งร้อยละ 58.7 มีปริมาณโซเดียมที่แสดงบนฉลากโภชนาการอยู่ในช่วง 0-100 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค โดยพบในกลุ่มขนมปังกรอบ แครกเกอร์ บิสกิต เวเฟอร์มากที่สุด ขณะที่กลุ่มขนมขบเคี้ยว ร้อยละ 48.6 มีปริมาณโซเดียมมากกว่า 100 มิลลิกรัม

      ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมมากเกินกว่าที่กำหนด ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการปรุงรสทรงเครื่อง รสบาร์บีคิว และรสพิซซ่า ส่วนกลุ่มเครื่องดื่ม ร้อยละ 19.3 มีปริมาณโซเดียมมากกว่า 100 มิลลิกรัม และกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 83.2 มีปริมาณโซเดียมมากกว่า 600 มิลลิกรัม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำ มีปริมาณโซเดียม 2,220 มิลลิกรัมหรือ 55 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค สูงกว่าค่าแนะนำถึง 3 เท่า โดยคำแนะนำของนักโภชนาการเกี่ยวกับปริมาณโซเดียมที่เหมาะสมในอาหารนั้น ควรจะมีปริมาณโซเดียมไม่เกิน 600 และ 100 มิลลิกรัม

              นอกจากนี้ นายอารยะยังกล่าวอีกว่า จากการสำรวจนี้เป็นฐานข้อมูลระดับประเทศที่เครือข่ายลดบริโภคเค็มสามารถนำไปใช้ในการผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนสู่การปรับลดความเค็มในอาหารได้ ซึ่งตนคาดว่าในเร็ว ๆ นี้ อย. จะออกประกาศเรื่องกลุ่มอาหารที่มีความเค็มสูงเพิ่มเติม โดยเพิ่มในส่วนของกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและกลุ่มขนมขบเคี้ยว นอกจากนี้ จะมีการนำข้อมูลปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาจัดทำเป็นแอพพลิเคชั่นอีกด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ต้องการซื้อมีปริมาณโซเดียมเท่าไร จะได้ใช้ในการประกอบการตัดสินใจซื้อ

         ด้าน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลกได้กำหนดมาตรฐานการบริโภคเกลืออยู่ที่ไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน และน้ำตาลไม่เกิน 10 กิโลกรัมต่อปี แต่ล่าสุดจากการสำรวจพบว่าคนไทยมีการบริโภคเกลือสูงกว่ามาตรฐานโลกถึง 3 เท่า นอกจากนี้ อย. ยังมีความห่วงใยในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงจะทำให้เกิดการสะสมของเกลือและน้ำในอวัยวะต่าง ๆ เป็นเหตุทำให้แขนขาบวม เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง รวมทั้งเกิดผลเสียต่อไต ทำให้ไตทำงานหนักขึ้นและเสื่อมเร็วขึ้น


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก






 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2557 23:04:31 น.
Counter : 738 Pageviews.  

18 พฤติกรรมสุดเริด ทำแล้วรับรองไม่ต้องกลัวป่วย


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

  รักสุขภาพตัวเองกันหรือเปล่า? ถ้ารักตัวเองก็ห้ามพลาด 18 พฤติกรรมสุขภาพดี ๆ ที่ทำแล้วรับรองว่าบอกลาอาการป่วยไปได้เลย

สุขภาพนับว่าเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญกันเป็นอันดับแรก เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับร่างกายของเรา ซึ่งถ้าหากเราปล่อยปละละเลย สิ่งที่จะตามก็คืออาการเจ็บป่วยที่ไม่จบสิ้น บางรายอาจถึงขั้นเป็นโรคร้ายแรง ต้องเสียเวลา เสียเงินเสียทองมากมายเพื่อทำการรักษา ซึ่งจริง ๆ แล้วการรักษาสุขภาพตัวเองไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แค่ปรับพฤติกรรมบางอย่างตามที่เว็บไซต์ buzzfeed.com นำมาเล่าสู่กันฟัง เพียงแค่นี้ก็จะมีสุขภาพที่ดีได้แล้ว ใครอายุยังน้อยต้องรีบอ่าน รีบทำ เพราะเริ่มต้นเร็วมีชัยไปกว่าครึ่ง


นอนหลับวันละ 7 - 8 ชั่วโมง

หนุ่มสาววัยรุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่มักจะนอนดึกตื่นเช้าเป็นนิสัย อย่าคิดว่าพฤติกรรมนี้ไม่เป็นอันตรายนะคะ เพราะการศึกษาระยะยาวแสดงให้เห็นว่าคนที่มีเวลานอนหลับน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อวันจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้ตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว ใขณะที่ก็มีการศึกษาบางส่วนพบว่าผู้ที่นอนหลับมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อวันก็สามารถเกิดปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน ดังนั้น ดอกเตอร์ Timothy Morgenthaler แต่ประธานสถาบัน Academy of Sleep Medicine แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจึงแนะนำว่าการนอนหลับ 7 - 8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการระยะเวลานอนหลับที่ดีที่สุด และเป็นระยะเวลาที่เพียงพอสำหรับทุก ๆ คน

18 พฤติกรรมสุดเริด

ออกไปสูดอาการข้างนอกบ้าง

มีการศึกษามากมายเปิดเผยให้เราได้ทราบถึงความสำคัญของการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การศึกษาในปี 2009 ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Epidemiology & Community Health พบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับพื้นที่สีเขียวไม่เกินครึ่งไมล์ (ประมาณ 800 เมตร) จะมีสุขภาพที่ดีกว่าคนที่อยู่ไกลจากพื้นที่สีเขียว โดยผู้ที่อยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวจะมีความวิตกกังวลและภาวะการติดเชื้อของระบบทางเดินอาหารน้อยลง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกมากมาย อย่างเช่น การได้รับอากาศที่สะอาดและสดชื่นกว่าค่ะ ฉะนั้นถ้าหากคุณไม่ได้มีที่อยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวก็ควรจะแบ่งเวลาไปใช้กับการไปสวนสาธารณะสัปดาห์ละครั้งก็ดีนะคะ

มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง นอกจากจะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธได้แล้วยังควบคุมอัตราการเกิดได้อีกด้วย ซึ่งมีการศึกษาพบว่าครอบครัวที่มีลูกในช่วงเวลาที่พร้อมจะมีความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้นมากกว่าครอบครัวที่มีลูกด้วยความไม่ตั้งใจ และส่งผลทำให้คนในครอบครัวที่มีลูกโดยไม่ตั้งใจจะมีความเสี่ยงโรคซึมเศร้ามากขึ้น รวมถึงอัตราการหย่าร้างจะสูงขึ้น นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็กก็จะย่ำแย่ตามไปด้วย

18 พฤติกรรมสุดเริด

ใช้เวลาว่างกับคนที่รักให้มากขึ้น

มีการศึกษานับไม่ถ้วนพบว่าการที่่คุณมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เมื่อเทียบกับผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ย่ำแย่ซึ่งจะมีปัญหาสุขภาพมากกว่า ถ้าไม่อยากให้สุขภาพจิตแย่และสุขภาพร่างกายไม่ดี กระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัวให้แน่นแฟ้นกันหน่อยดีกว่าเนอะ

ลด ละ เลี่ยง การสูบบุหรี่

เชื่อหรือไม่ว่า คนที่สูบบุหรี่ติดต่อกันมาเป็นเวลานานจะอายุสั้นลง 10 ปี ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะเพราะว่าข้อสรุปนี้นำมาจากการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในว่าสารทางการแพทย์อย่าง the New England Journal of Medicine นอกจากนี้ยังพบว่าอีกการเลิกสูบบุหรี่ก่อนอายุ 35 จะสามารถลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้ ยิ่งเลิกไวก็ยิ่งทำให้อายุยืนยาวขึ้น สำหรับคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ก็อย่าคิดไปลองเลยดีกว่าเนอะ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ติดบุหรี่อยู่รีบเลิกให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะคะ

18 พฤติกรรมสุดเริด

ทำอาหารเองที่บ้าน

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พบว่าผู้สูงอายุชาวไต้หวันที่ทำอาหารรับประทานเองที่บ้านจะมีอายุยืนยาวมากกว่าผู้ที่ไม่ค่อยทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน นั่นก็มีสาเหตุมาจากการทำอาหารเองนั้นจะทำให้เราสามารถเลือกวัตถุดิบที่มีประโยชน์กับร่างกายมากขึ้น และหลีกเลี่ยงเครื่องปรุงที่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย รวมทั้งควบควบคุมปริมาณอาหารทำให้ไม่ทานมากจนเกินไปได้อีกด้วย

18 พฤติกรรมสุดเริด

รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้เปิดเผยผลการศึกษาครั้งสำคัญที่ว่าการรับประทานผักและผลไม้มาก ๆ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ โดยเฉพาะผักใบเขียว และผักตระกูลกะหล่ำรวมทั้งผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งให้ผลดีกับสุขภาพหัวใจเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ

เลิกดื่มน้ำอัดลมทุกชนิด

การดื่มน้ำอัดลมนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังส่งผลเสียกับร่างกายอีกมากมาย โดยมีการศึกษาพบว่าคนที่ดื่มน้ำอัดลม 1 - 2 ครั้งต่อวันจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ มีรอบเอวที่ใหญ่ขึ้น เป็นโรคอ้วน ยังไม่นับระดับกลูโคสที่จะแปรปรวน ความดันโลหิตสูง และระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นด้วยอีกนะคะ โอ๊ย เยอะแยะไปหมด ฉะนั้นเลิกดื่มน้ำอัดลมกันดีกว่านะคะ รวมถึงน้ำอัดลมไดเอตด้วยนะ เพราะน้ำอัดลมประเภทนี้ก็ส่งผลเสียให้ร่างกายได้เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดก็คือความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะสูงขึ้นเลยเชียวล่ะ

18 พฤติกรรมสุดเริด

ดื่มน้ำให้มากขึ้น

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้ และยังทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี และน้ำยังสำคัญกับการออกกำลังกายอีกด้วยค่ะ ฉะนั้นดื่มน้ำบ่อย ๆ นะ และควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วนะคะ และสำหรับคนที่ออกกำลังกายก็ควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วค่ะ

นั่งให้น้อยลง ยืนให้มากขึ้น

การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานานไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพเลยค่ะ เพราะการนั่งนาน ๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานออฟฟิศจะทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานได้น้อยลง เป็นผลทำให้เกิดความเสี่ยงโรคอ้วน และโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้ค่ะ แต่การที่ยืนทำงานอย่างน้อย 7 นาทีครึ่งในทุก ๆ 1 ชั่วโมง จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้นค่ะ

18 พฤติกรรมสุดเริด

ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน

ผู้เชี่ยวชาญได้มีการแนะนำว่าการออกกำลังกายวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ และช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนและโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้ถ้าหากคุณออกกำลังกายทุกวันหลังจากผ่านความเครียดในการทำงานมา ก็จะช่วยทำให้อารมณ์ดีได้อีกด้วย มีประโยชน์ขนาดนี้แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ ไปออกกำลังกายกันเถอะค่ะ

18 พฤติกรรมสุดเริด

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพเป็นประจำนอกจากจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าเรามีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยให้เราสามารถรับมือกับโรคภัยที่อาจจะมาเยือนได้ ซึ่งเราควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตามนัดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพฟัน สุขภาพดวงตา หรือสุขภาพร่างกายโดยรวม อย่ามัวแต่กลัวหมอกลัวโรงพยาบาลกันอยู่เลยเนอะ

รับประทานยาปฏิชีวนะเมื่อจำเป็น

รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันนี้เรารับประทานยาปฏิชีวนะกันอย่างพร่ำเพรื่อมากเกินไป โดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะในระหว่างที่เป็นไข้หวัด ซึ่งการรับประทานยาปฏิชีวนะมากเกินไปอาจจะทำให้เชื้อโรคบางชนิดเกิดการดื้อยาได้ และเมื่อถึงเวลาที่เราป่วยจริง ๆ ก็จะทำให้ยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาโรคเหล่านั้นได้เนื่องจากอาการดื้อยาค่ะ รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะลดการใช้ยาปฏิชีวนะลงนะคะ ใช้เท่าที่จำเป็นจะดีกว่าค่ะ

18 พฤติกรรมสุดเริด

มีความสุขอยู่เสมอ

การทำให้ตัวเองมีความสุขและมองโลกในแง่ดีมีผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวได้อย่างที่คาดไม่ถึง ซึ่งการศึกษาล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Applied Psychology: Health and Wellbeing ได้ยืนยันถึงข้อเท็จจริงนี้ ฉะนั้นเปลี่ยนมามองโลกในแง่ดีกันให้มากขึ้นดีกว่านะคะ จะได้มีความสุขกันมากขึ้นไงล่ะ

มีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ

การศึกษานับไม่ถ้วนได้สนับสนุนว่าการมีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ มีประโยชน์อย่างไม่น้อยโดยประโยชน์ที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือช่วยลดความเครียดและช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรน รวมถึงสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย อ๊ะ...แต่ข้อนี้สงวนให้กับคูรักที่แต่งงานแล้วนะจ๊ะ และก็ควรจะมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่จะตามมาจากการไม่ระมัดระวังค่ะ

ดื่มแอลกอฮอล์อย่างพอเหมาะ

การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพโดยรวมของร่างกาย โดยเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักยังเป็น 1 ใน 10 สาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในช่วงอายุ 20-64 ปี อีกด้วย แต่ถ้าเรารู้จักดื่มแอลกอฮอล์อย่างพอเหมาะก็จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวานลงได้ โดยผู้หญิงไม่ควรดื่มมากกว่าวันละ 1 แก้ว และผู้ชายไม่ควรดื่มมากกว่าวันละ 2 แก้ว แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรบอกลาแอลกอฮฮล์ไปเลย เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์

18 พฤติกรรมสุดเริด

ทาครีมกันแดดทุกวัน

หลาย ๆ คนไม่ชอบทาครีมกันแดดเลย เพราะรู้สึกเหนอะหนะ แถมยังเสียเวลาอีก แต่เชื่อเถอะค่ะว่าการทาครีมแดดทุกวันดีต่อร่างกายจริง ๆ นะ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าการใช้ครีมกันแดดจะช่วยชะลอไม่ให้ผิวพรรณดูแก่ก่อนวัยอีกด้วยค่ะ

รีบยุติความสัมพันธ์แย่ ๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เพราะชีวิตของเรานั้นสั้น จึงไม่ควรจะเสียเวลากับความสัมพันธ์แย่ ๆ ให้สุขภาพจิตเสีย ซึ่งความสัมพันธ์ที่ไม่ดีสามารถส่งผลกับสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายได้ โดยมีการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Health Psychology พบว่าผู้หญิงที่มีชีวิตแต่งงานที่ดีจะมีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าผู้หญิงที่มีชีวิตแต่งงานที่ไม่ค่อยดีเท่าไร

นอกจากนี้การวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในสารทางการแพทย์ the Journal of the American Medical Association ยังพบว่า ผู้หญิงที่มีการแต่งงานที่เต็มไปด้วยความเครียดมีโอกาสจะเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจมากกว่าผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ที่ดีถึง 2.9 เท่า และยังมีการศึกษาที่น่าตกใจจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอเปิดเผยอีกว่าความสัมพันธ์แย่ ๆ จะทำให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ช้าลงอีกด้วยค่ะ ถ้าไม่อยากให้ร่างกายและจิตใจย่ำแย่ ควรจะรีบยุติความสัมพันธ์แย่ ๆ ลงซะนะคะ อย่างน้อยก็เพื่อตัวเองเนอะ

  พฤติกรรมที่นำมาบอกให้ทราบกันเหล่านี้ไม่ใข่สิ่งที่ยากเลยเนอะ แค่เพียงเราทำมันอย่างจริงจัง และทำอย่างสม่ำเสมอ แค่นี้ร่างกายของเราก็จะมีสุขภาพที่ดีแล้วล่ะค่ะ และถ้าอยากให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็อย่าลืมออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กันไปนะ จะได้ไม่ต้องมากังวลกับเรื่องเจ็บป่วยไงล่ะ




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2557 19:12:37 น.
Counter : 1003 Pageviews.  

วุ้นในลูกตาเสื่อม อันตรายที่คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน

โรควุ้นในลูกตาเสื่อม


วุ้นในลูกตาเสื่อม อันตรายที่คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน (emaginfo)

ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ บางคนต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน ก็เลยทำให้หนุ่มสาววัยทำงาน เริ่มเป็นกันมากขึ้น

โรควุ้นในตาเสื่อมเป็นโรคที่มักจะเกิดกับผู้มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันกลับพบโรคนี้ในวัยหนุ่มสาวคนทำงานออฟฟิศกันมากขึ้นจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าโรควุ้นในตาเสื่อมเป็นหนึ่งในโรค office syndrome โดยตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ 

วุ้นในตาเสื่อม กับความเสี่ยงที่มากขึ้น

ในคนที่เป็นโรคอาการวุ้นในตาเสื่อม เวลาลืมตาจะเห็นเป็นคราบดำ ๆ เหมือนหยากไย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก โดยจะเห็นชัดก็ต่อเมื่อมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาว ๆ ฝาห้องขาว ๆ ฝาห้องน้ำขาว ๆ จะเห็นเป็นคราบดำ ๆ ลอยไปลอยมา

ในบางคน อาจมีอาการมากกว่านั้นคือ ประสาทตาฉีกขาด จะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ซึ่งอาการนี้น่ากลัวมาก ๆ และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิมจะตาบอดหรือไม่

โรควุ้นในตาเสื่อม

สาเหตุของโรค

การใช้สายตามากเกินไป หรือเพ่งจอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นเวลานาน คือสาเหตุของโรควุ้นในตาเสื่อม

แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามาก ๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมาก ๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะเล่นอินเทอร์เน็ต หรือเล่นคอมพิวเตอร์ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าไม่ว่าคุณจะเล่นเน็ต, เล่นเกม, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่าน หนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น

เพราะถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดา ๆ ระยะห่างระหว่างลูกตากับตัวหนังสือจะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่

แต่ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุด ๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป อย่าลืมว่าจอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ

ดังนั้นจึงทำให้การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ

แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุก ๆ จึงทำให้ปวดตามาก ๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุก ๆ นั้นไปตลอด

นอกจากนี้ยังรวมถึงการพิมพ์ตัวหนังสือ ที่บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามาก ๆ


เป็นโรควุ้นตาเสื่อมทำอย่างไร

ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทไม่เป็นอันตราย: ภาวะนี้เป็นภาวะที่ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา แต่ควรสังเกตตัวเอง หากมีภาวะดังต่อไปนี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ เพราะมักเกิดจากสาเหตุที่ทำให้เกิดวุ้นตาเสื่อมประเภทอันตราย

1. จุดลอยดังกล่าวมีจุดใหม่ลอยมากขึ้น

2. มีแสงระยับคล้ายแสงแฟลช (Flash)

3. สายตามัวลง

4. มีอาการคล้ายมีม่านบังดวงตาเป็นแถบ ๆ

ผู้มีวุ้นตาเสื่อมประเภทมีอันตราย ควรปฏิบัติตามจักษุแพทย์ และพยาบาลจักษุแนะนำอย่างเคร่งครัดรวมทั้งต้องดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุให้ได้ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น

วิธีชะลอการเสื่อมของวุ้นตา

1. มีบางรายงานแนะนำใช้ยาประเภทบำรุงร่างกายเป็นวิตามิน/อาหารประเภทสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ (Antioxidant) แต่ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่าได้ผลจริง โดยทั่วไปการรับประทานอาหารครบทุกหมู่ (อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในปริมาณเหมาะสมที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน) นำมาซึ่งร่างกายแข็งแรงน่าจะเพียงพอ

2. ไม่สูบบุหรี่ งด/เลิกบุหรี่เมื่อสูบอยู่

3. มีการออกกำลังกายที่พอดีกับสุขภาพสม่ำเสมอ

4. หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่จะส่งผลถึงดวงตา

5. หากมีโรคทางกายเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไข                   มันในเลือดสูง ต้องควบคุมให้ดี


    ลิขสิทธิ์บทความของ emaginfo.com




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2557    
Last Update : 28 ตุลาคม 2557 20:44:33 น.
Counter : 868 Pageviews.  

กรมอนามัยเตือน กินอาหารจากกล่องโฟมเสี่ยงมะเร็งเต้านม

    กล่องโฟม

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

              กรมอนามัยออกโรงเตือน รับประทานอาหารบรรจุในภาชนะจากโฟม เสี่ยงเกิดมะเร็งเต้านม หากรับประทานอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันนาน 10 ปี มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า

              เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2557 นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากโฟมนั้นมีอันตราย เพราะมีสารก่อมะเร็งอย่างสไตรีนมอนอเมอร์ (styrene monomer) ซึ่งสามารถปนเปื้อนกับอาหารที่บรรจุในกล่องโฟมได้ และหากสารชนิดนี้สะสมอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดมะเร็ง

    โดยสารชนิดดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่อยู่ในเพศหญิง เมื่อร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปแล้ว จะไปส่งผลทำให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดปกติ เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมในเพศหญิง

              ด้านนายแพทย์วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านบรรจุภัณฑ์ กล่าวว่า การรับประทานอาหารจากกล่องโฟมอย่างน้อยวันละ 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลานาน 10 ปี จะทำให้มีความเสี่ยงโรคมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า

    ส่วนปัจจัยที่ทำให้สารสไตรีนมอนอเมอร์ ลงไปปนเปื้อนในอาหารนั้นก็ได้แก่ อุณหภูมิของอาหารที่ร้อนหรือเย็นจัด อาหารที่มีน้ำมันสูง หรือถ้าหากปล่อยให้อาหารสัมผัสกับกล่องโฟมนาน ๆ ก็จะยิ่งทำให้สารดังกล่าวปนเปื้อนได้มากขึ้นเช่นกัน

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2557    
Last Update : 14 ตุลาคม 2557 19:35:17 น.
Counter : 780 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.