- ข่าวเด่นประเด็นดังทั่วไทย
- ข่าวเด่นประเด็นดังทั่วไทย 2
- ข่าวเด่นประเด็นดังต่างประเทศ
- เรื่องจริง,อุทาหรณ์
- ข่าวกีฬาทั่วไป
- ข่าวอาเซนอล
- ข่าวบาซ่า
- ข่าวบันเทิง,ดารา,นักร้อง,คนดัง,ละคร
- ข่าวดารา,บันเทิง,นักร้อง,คนดัง,ละคร 2
- ข่าวดารา,บันเทิง,คนดัง,นักร้อง,ละคร 3
- ข่าวสารภาพยนตร์
- ดูดวง,ทำนาย,แบบทดสอบ
- ข่าวสารท่องเที่ยวทั่วไทย
- ข่าวสาร,แนะนำที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
- ความรู้ทั่วไป,ความรู้รอบตัว
- ข่าวสารครอบครัว,ความรัก,เพื่อน
- ข่าวสารสุขภาพ
- ข่าวสารแฟชั่น,ความงาม
- สัตว์ทั่วไป,สัตว์เลี้ยงสุนัข,แมว
- สูตรอาหาร,ขนม
- แนะนำร้านอาหาร
- เรื่องแปลก,ลึกลับ,ผี
- เรื่องตลก,ขำขัน
- ข่าวสารแนะนำเกม
- ต้นไม้,ดอกไม้
- ข่าวสารยานยนต์
- ข่าวสารดำเนินกิจการงาน,อาชีพ
- ข่าวสารเทคโนโลยี,คอมพิวเตอร์,อินเตอร์เน็ต,อุปกรณ์สื่อสารทั่วไป
- ศาสนา,ธรรมะ,คติ,ปรัชญาสอนใจ
- กิจกรรม,ศูนย์รวมเรื่องต่างๆที่ ช่วยเหลือสังคม
- บล็อกส่วนตัวจ้า
|
|
|
|
|
|
ใช้ลิปสติกเสี่ยงมะเร็ง แชร์กันเพียบ แต่จริงหรือไม่?
ชัวร์หรือมั่วนิ่ม กับข้อมูลที่แชร์กันว่า ใช้ลิปสติกแล้วเป็นมะเร็ง เพราะในลิปสติกมีสารตะกั่วผสมอยู่ เช็กความจริงกันเลย !
ช่วงนี้หลายคนอาจจะเห็นการแชร์ข้อมูลผ่านทางสังคมออนไลน์ และกระดานสนทนาว่า การใช้ลิปสติกนั้นทำให้เป็นมะเร็งได้ เนื่องจากในลิปสติกมีสารตะกั่วสะสมอยู่ ถึงกับขนาดมีการแนะนำวิธีทดสอบสารตะกั่วแบบง่าย ๆ โดยการนำแหวนทองมาใช้ทดสอบ ซึ่งก็มีคนหลายคนเชื่อจนกลายเป็นกระแสหวาดกลัวกันใหญ่โต พาลทำให้สาว ๆ หลายคนไม่กล้าใช้ลิปสติกกันไปเลยก็มี
แต่ล่าสุดอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ในเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant กันแล้วล่ะค่ะ เราไปดูกันดีกว่าว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ใช้ลิปสติกแล้วจะทำให้เป็นมะเร็งจริงหรือ แล้วในลิปสติกมีสารตะกั่วหรือไม่ สาว ๆ ที่รักการแต่งหน้าและกำลังระแวงกับเครื่องสำอางที่ใช้ทุกวันนี้ควรรู้อย่างยิ่งจ้า
อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้เปิดเผยไว้ในเฟซบุ๊ก ว่าแท้จริงแล้วเรื่องที่มีการแชร์ต่อกันมาจนใหญ่โตว่าลิปสติกยี่ห้อดังจากต่างประเทศสามารถทำให้เป็นมะเร็งได้นั้นเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะฟอร์เวิร์ดเมลนี้มีออกมาหลายปีแล้ว และนายแพทย์ที่ถูกอ้างชื่อในข้อความเหล่านั้นไม่มีตัวตนจริง ส่วนเรื่องสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง โดยเฉพาะลิปสติกนั้น มีโลหะหนักเป็นองค์ประกอบอยู่จริง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้ในปี 2012 สำนักคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าจากการทดสอบในหลาย ๆ ห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีลิปสติกชื่อดังยี่ห้อไหนที่มีอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ
เพราะฉะนั้นสาว ๆ ที่ชื่นชอบการใช้ลิปสติกก็วางใจกันได้แล้วล่ะค่ะ ต่อไปก็สามารถใช้ลิปสติกกันได้อย่างสบายใจกันมากขึ้นแล้วเนอะ แต่ยังไงสาว ๆ ก็อย่าใช้เครื่องสำอางเหล่านี้มากเกินไป ปล่อยให้ใบหน้าสวย ๆ ได้พักผ่อนกันบ้างนะคะ ไม่อย่างนั้นละก็ อาจจะทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำก่อนวัยเอาได้นะจะบอกให้
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2558 | | |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2558 17:04:27 น. |
Counter : 1101 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อาการปวดหัว 14 ชนิด รักษาแบบนี้สิถึงตรงจุด
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม อาการปวดหัวที่เราเป็นกันอยู่จริง ๆ แล้ว มีมากมายหลายสาเหตุ แต่ละสาเหตุก็รักษาไม่เหมือนกัน เช็กดูเลย คุณปวดหัวแบบไหนอยู่
อาการปวดหัวเป็นอาการเจ็บป่วยสามัญที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เคยสังเกตไหมคะว่า อาการปวดหัวในแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างเล็ก ๆ พอให้จับสังเกตได้อยู่เหมือนกัน ซึ่งทางเว็บไซต์ Health.com เขาก็บอกมาว่า ที่อาการปวดหัวมีขั้นความรุนแรงก็เพราะจริง ๆ แล้วอาการปวดหัวแบ่งออกได้ถึง 14 ชนิดตามนี้นั่นเอง
1. อาการปวดหัวชนิดรีบาวน์ด (Rebound headache)
อาการ
ปวดศีรษะเกือบทุกวัน โดยเฉพาะหลังตื่นนอน อาจปวดที่บริเวณขมับหรือทั้งศีรษะเลยก็ได้ ส่วนความรุนแรงแล้วแต่อาการของแต่ละคน
สาเหตุ
อาการปวดหัวชนิดรีบาวน์ดเกิดจากการรับประทานยาแก้ปวดปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะยาแก้ปวดจำพวกอะซีตะมิโนเฟน (Acetaminophen) หรือไทลินอล, แอสไพริน และไอบูโพรเฟนเกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมทั้งยารักษาโรคไมเกรน (Triptans) เกิน 10 วันต่อเดือนด้วย ซึ่งเมื่อเรากินยาแก้ปวดติดต่อกันนาน ๆ จนร่างกายเกิดความเคยชิน อาการปวดก็จะถูกฤทธิ์ยากดไว้ ทว่าพอฤทธิ์ยาในร่างกายหมดไป อาการปวดหัวฟื้นกลับมาแสดงอาการอีกครั้งในทันที
วิธีรักษา
อาการปวดหัวชนิดนี้ทำได้เพียงแค่ปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ปรับสมดุลปริมาณยาในร่างกายของเราให้เข้าที่เข้าทาง 2. อาการปวดหัวจากความเครียด (Tension headache)
อาการ จะมีความรู้สึกปวดหนัก ๆ ที่ขมับทั้งสองข้าง เหมือนมีแรงดันจากภายในแต่ไม่ปวดแบบตุบ ๆ อาจเกิดตั้งแต่ระดับน้อย ปานกลาง และมาก หรือบางรายอาจรู้สึกปวดที่ต้นคอ หลัง และไหล่ร่วมด้วย
สาเหตุ เกิดจากความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้สึกกดดันในบางเรื่องจนทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายหดเกร็ง หรือแม้แต่การนั่งและนอนผิดท่า การใช้สายตามากเกินไป และแม้แต่อยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิเย็นจัด ก็เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อรอบคอเกร็งจนกระทบกับสมอง นำไปสู่อาการปวดหัวได้เช่นกัน วิธีรักษา ในเบื้องต้นสามารถรักษาโดยใช้ยาแก้ปวดจำพวกไทลินอล, แอสไพริน และไอบูโพรเฟนได้ หรือจะไปนวดคลายกล้ามเนื้อก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ปริมาณยาแก้ปวดที่จะกินควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกรด้วยนะคะ
3. อาการปวดหัวอันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพฟัน (Dental headache) อาการ
ปวดศีรษะได้ทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว แต่อาการที่พอจะสังเกตได้ก็คือลักษณะอาการปวดจะเหมือนมีอะไรมารัดรึงที่หัว ปวดรอบ ๆ ลูกตา ปวดร้าวแนวกรามและขากรรไกร บางรายอาจมีอาการกัดฟันในตอนกลางคืนร่วมด้วย และสัมผัสได้ถึงอาการปวดศีรษะเมื่อเอามือไปแตะที่หน้าผาก พร้อมทั้งเมื่ออ้าปากอาจมีเสียงดังกึ้กให้ได้ยินเบา ๆ
สาเหตุ
เกิดจากปัญหาความผิดปกติของข้อขมับและขากรรไกรล่าง ที่ทำให้การสบฟันผิดปกติไปด้วย จนเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อที่ควรได้รับการพักผ่อนต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่า นานเข้าจึงส่งสัญญาณความเมื่อยล้ามาเป็นอาการปวดหัว วิธีรักษา ทางเดียวที่จะลดอาการปวดหัวจากสาเหตุนี้ได้ คือ ต้องปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการผิดปกติและหาทางรักษาคุณต่อไป ซึ่งอาจจะต้องเอกซเรย์ข้อต่อขากรรไกร และสำรวจความผิดปกติของสัมผัสฟันที่มีปัญหาอยู่ด้วย
4. อาการปวดหัวชนิดคลัสเตอร์ (Cluster Headache) อาการ อาการปวดศีรษะในแต่ละครั้งจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน ราว 5 นาที หรือสูงสุด 3 ชั่วโมง แต่จะรู้สึกปวดหัวแบบทรมานเหมือนจะตายเลยทีเดียว และอาการปวดจะเกิดขึ้นบ่อยแต่เป็นเวลาที่แน่นอน และมักจะมีอาการน้ำตาไหลข้างเดียวและมีเส้นเลือดแตกในตา ทำให้เกิดอาการตาแดง สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติของต่อมไพเนียลและนิวเคลียส (Nucleus) ของเซลล์ประสาทสมองที่ 5 ซึ่งทำให้ระบบการส่งฮอร์โมนและสารสื่อประสาทปรวนแปร ส่งผลกระทบให้ประสาทสัมผัสอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำตา และน้ำมูกทำงานผิดปกติ รวมทั้งปล่อยสารเคมีบางชนิดไปที่เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก (Dura) ทำให้เกิดอาการปวดหัวในเวลาต่อมา วิธีรักษา
อาการปวดหัวชนิดคลัสเตอร์สามารถรักษาและบรรเทาอาการได้โดยใช้ยากลุ่มทริปเทนต์ (Triptan) หรือยารักษาโรคไมเกรน และการสูดดมออกซิเจน ขนาด 10 ลิตรผ่านหน้ากากให้ออกซิเจนก็ได้
5. อาการปวดหัวไมเกรน (Migraine) อาการ มีอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดแบบหนัก ๆ ในรายที่อาการหนักมากอาจวียนศีรษะและอาเจียนร่วมด้วย หรือบางรายอาจมีอาการปวดหัวทั้งสองข้าง แต่ปวดตุบ ๆ ติดกันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทั้งนี้อาการปวดหัวไมเกรนนับเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังชนิดหนึ่ง สาเหตุ สาเหตุของโรคไมเกรนยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักจะเอนเอียงไปทางความผิดปกติชั่วคราวของหลอดเลือดสมองและสารเคมีในสมอง ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังเป็นผลพวงจากการสะสมความคเรียด พฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอติดกันเป็นเวลานานด้วยนะคะ วิธีรักษา ในเบื้องต้นสามารรถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดได้ โดยใช้ยาแก้ปวดจำพวกอะซีตะมิโนเฟน (Acetaminophen), ไอบูโพรเฟน และทริปเทนต์ (Triptan) หรือยารักษาโรคไมเกรน แต่อย่างไรก็ดีคววรเข้ารับการรักษาจากแพทย์อีกทางหนึ่ง
6. อาการปวดหัวจากฤทธิ์คาเฟอีน (Caffeine headache) อาการ มีอาการปวดหัวตื้อ ๆ หนักหัวเหมือนร่างกายพักผ่อนไม่พอ บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะเพิ่มด้วยอีกอย่าง หรือไม่ก็รู้สึกปวดกระบอกตาตุบ ๆ ตลอดเวลา สาเหตุ ชื่อก็บอกชัดอยู่แล้วนะคะว่าสาเหตุของอาการปวดหัวเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีน ซึ่งก็ได้มาจากกาแฟที่คุณ ๆ ชอบกินนี่ล่ะ โดยเฉพาะใครที่กินกาแฟเกินวันละ 5 แก้ว อาการปวดหัวชนิดนี้จะตามมาคุกคามคุณในอีกไม่ช้า วิธีรักษา นอกจากการรับประทานยาแก้ปวดทั่วไป อีกทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ก็คือการลดปริมาณคาเฟอีน นั่นก็หมายความว่าต้องค่อย ๆ ลดปริมาณกาแฟในแต่ละวันให้เหลือแค่ 2 แก้วต่อวันเป็นอย่างมาก
7. อาการปวดหัวจากการมีเพศสัมพันธ์ (Orgasm headaches) อาการ ปวดจี๊ดที่ศีรษะอย่างฉับพลัน มักจะเกิดในช่วงใกล้ถึงจุดสุดยอดหรือในบางรายอาจปวดก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นได้ โดยมีแนวโน้มเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอาการปวดจะคงตัวอยู่ได้นาน 1 ชั่วโมงถึง 1 วันเลยทีเดียว สาเหตุ ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับสาเหตุของอาการปวดศีรษะชนิดนี้ แต่ที่จับสังเกตได้คืออาการปวดจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ และอาจไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
วิธีรักษา เนื่องจากยังไม่สามารถทราบสาเหตุของอาการได้ ในเบื้องต้นจึงทำได้เพียงกินยาบรรเทาอาการปวดไปก่อน และถ้าต้องการป้องกัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ระบุให้กินยาแก้ปวดก่อนมีเพศสัมพันธ์ราว 1-2 ชั่วโมง พร้อมกันนั้นก็พยายามอย่าเร่งจังหวะการเคลื่อนไหวรุนแรงมากนัก
8. อาการปวดหัวทุกเช้า (Early morning headaches) อาการ มีอาการปวดหัวตุบ ๆ ทุกเช้าหลังตื่นนอน บางรายจะรู้สึกหนักหัวเหมือนลุกไม่ไหว สาเหตุ สาเหตุของโรคค่อนข้างถูกพูดถึงอย่างกว้าง ๆ เพราะอาจจะเป็นหนึ่งสัญญาณของโรคไมเกรน โรคเครียด โรคปวดศีรษะเพราะปัญหาสุขภาพฟัน หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอก็ได้
วิธีรักษา ทางที่ดีควรสังเกตอาการของตัวเองให้แน่ชัด ถ้าปวดหัวเป็นเวลาต้องจำเวลาไปบอกแพทย์ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์ได้วินิจฉัยได้ตรงจุดมากขึ้น และหากคุณมีอาการปวดที่รุนแรง กินยาแก้ปวดก็ไม่ช่วยอะไร อาจจะต้องเข้ารับการสแกนสมองเพื่อค้นหาว่ามีเนื้องอกในสมองด้วยหรือเปล่า 9. อาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบ (Sinus headaches)
อาการ อาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบมีความคล้ายคลึงกับอาการหวัดทั่วไปและอาการปวดหัวไมเกรนมากจนแทบแยกไม่ออก แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไซนัสอยู่แล้วอาจคาดเดาไปก่อนได้ว่า ตัวเองน่าจะมีอาการปวดหัวจากผลกระทบของโรคไซนัสอักเสบ ซึ่งโดยส่วนมากจะรู้สึกปวดหน่วง ๆ บริเวณหน้าผาก ร้อนผ่าวกระบอกตา ลามไปถึงโหนกแก้มเลยทีเดียว สาเหตุ เกิดจากการอักเสบบริเวณเยื่อโพรงจมูก ซึ่งส่งผลกระทบให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นหดเกร็งจนอาจรู้สึกปวดศีรษะได้ วิธีรักษา โดยปกติแล้วหากรักษาโรคไซนัสให้หายเป็นปกติได้ อาการปวดหัวก็จะหายไปพร้อมกัน หรือบางรายที่อาการไซนัสไม่รุนแรง ร่างกายจะสามารถรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยาใด ๆ
10. อาการปวดหัวจากการดื่มอาหารเย็นจัด (Ice cream headache) อาการ ปวดจี๊ดขึ้นสมองโดยทันทีเมื่อกินอาหารเย็นจัด เช่น ไอศกรีมหรือน้ำเย็นเจี๊ยบ ส่วนมากมักจะรู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณขมับ หรือบางรายอาจปวดร้าวไปทั้งหัว และในผู้ป่วยไมเกรนจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้เร็วและรุนแรงกว่าในคนปกติ สาเหตุ ในร่างกายของเรามีกลไกการป้องกันสิ่งแปลกปลอมโดยอัตโนมัติ ซึ่งการรับประทานไอศกรีมเย็นจัดในขณะที่ร่างกายมีอุณหภูมิอบอุ่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นเมื่อเรากินไอศกรีมเย็นจัดเข้าไป เส้นเลือดบริเวณเพดานปากก็จะแสดงปฏิกิยาโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นจัดกระทบไปถึงสมอง เป็นสาเหตุให้เส้นเลือดที่ต่อตรงไปยังสมองสูบฉีดเลือดอย่างเร็วจนทำให้เกิดอาการปวดจี๊ดที่สมองดังกล่าว วิธีรักษา เบื้องต้นให้หยุดรับประทานไอศกรีมก่อน จากนั้นดื่มน้ำอุ่นตามเพื่อคลายเส้นเลือดที่หดเกร็ง อีกทั้งค่อย ๆ เล็มไอศกรีมอย่างช้า ๆ และพักไอศกรีมไว้ที่ลิ้นสักพักเพื่อให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิก่อน ซึ่งก็สามารถช่วยบรรเทาและป้องกันอาการปวดหัวได้เหมือนกัน
11. อาการปวดหัวเรื้อรัง (Chronic daily headache) อาการ ปวดหัวติดต่อกันมากกว่า 15 วันต่อเดือน และปวดอย่างนี้เรื่อย ๆ เกิน 3 เดือน ในบางรายอาจมีอาการไข้และปวดเมื่อยบริเวณคอและไหล่ร่วมด้วย สาเหตุ สาเหตุของอาการปวดหัวเรื้อรังอาจเกิดจากพฤติกรรมกินยาแก้ปวดติดต่อกันนานเกินไป ทำให้ร่างกายได้รับยาปริมาณมากเกิน พร้อมกันนั้นอาจวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากโรคไมเกรนและเนื้องอกในสมองได้อีกทางหนึ่งด้วย วิธีรักษา เริ่มแรกควรหยุดใช้ยาแก้ปวดที่กินเป็นประจำก่อน จากนั้นอาจรักษาโดยใช้ยาแก้อาการเศร้าซึม ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ เช่น อะทีโนลอล (Atenolol), เมโทโพรลอล (Metoprolol), โพรพาโนลอล (Propanolol) ซึ่งเป็นยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคไมเกรน หรือยาแก้อาการชัก เช่น กาบาเพนติน (Gabapentin), โทพิราเมต (Topiramate) แม้กระทั่งยาแก้ปวดอย่าง นาโพรเซน (Naproxen) และการทำโบท็อกซ์บรรเทาอาการปวด
12. อาการปวดหัวในช่วงรอบเดือน (Menstrual headaches) อาการ อาการปวดหัวชนิดนี้สงวนสิทธิ์เพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นอาการปวดศีรษะในช่วงระหว่างมีรอบเดือน จะรู้สึกเหมือนเป็นไข้ทับระดู เป็นหนึ่งสัญญาณของอาการ PMS โดยอาการปวดหัวชนิดนี้จัดว่าเป็นไมเกรนอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดก่อนมีประจำเดือนหรือหลังเป็นประจำเดือนประมาณ 2-3 วัน สาเหตุ เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นเหตุให้เกิดอาการ PMS ทั้งปวดท้องน้อย ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกาย และบางรายอาจปวดหัวร่วมด้วย วิธีรักษา แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่มักเกิดอาการ PMS อย่างรุนแรงทุกครั้งที่เป็นประจำเดือนรับประทานแมกนีเซียมเยอะ ๆ โดยอาจจะเลือกรับประทานแมกนีเซียมจากอาหาร เช่น กล้วย, อะโวคาโด, ถั่ว, เม็ดมะม่วง, โยเกิร์ต, เต้าหู้, ปลาทูน่า เป็นต้น หรือใครจะเลือกกินหาแมกนีเซียมในรูปแบบวิตามินก็ได้เช่นกัน
13. อาการปวดหัววันหยุดสุดสัปดาห์ (Weekend headache) อาการ ปวดหน่วง ๆ ที่ศีรษะหลังจากลุกจากที่นอน อาจปวดยาวไปทั้งวัน และมักจะเกิดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สาเหตุ อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งความเครียดที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ พฤติกรรมการนอนดึกตื่นสาย รวมทั้งผลพวงจากคาเฟอีนที่คั่งค้างในร่างกายด้วย วิธีรักษา การรักษาอาการปวดหัวในช่วงวันหยุดไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดใด ๆ เพียงแค่นอนหลับพักผ่อนในเวลาปกติเหมือนทุกวัน และพยายามอย่าดื่มชากาแฟเยอะเท่านั้น
14. อาการปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน (Emergency headache) อาการ ปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน หน้ามืด และรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะระเบิด บางรายมีไข้และความดันโลหิตสูงร่วมด้วย หรืออาการปวดเกิดขึ้นหลังจากได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ รวมทั้งภายหลังเคลื่อนไหวศีรษะเร็วและแรง อีกทั้งยังอาจปวดคอ เกิดอาการชาที่ใบหน้า ลิ้น และปาก จนส่งผลกระทบกับการพูด พร้อมทั้งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
สาเหตุ
อาการปวดหัวอย่างรุนแรงไม่ใช่โรคเรื้อรัง แต่เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดอย่างสูง ซึ่งมีผลต่อระดับความดันโลหิตและการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมอง รวมทั้งอาจมีสาเหตุจากแรงกระแทกที่ค่อนข้างรุนแรงบริเวณศีรษะ และเนื้องอกที่สมองก็ได้ วิธีรักษา เมื่อเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงฉับพลัน วิธีที่ดีที่สุดคือรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยด่วน โดยเฉพาะคนไข้ที่หมดสติไปแล้วด้วย ไม่ว่าจะอาการปวดศีรษะชนิดไหน ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อสุขภาพเราสักอย่างเลยว่าไหมคะ เพราะบางชนิดของอาการปวดหัวก็เป็นสัญญาณของโรคร้าย หรืออย่างน้อย ๆ อาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดก็บั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราไม่น้อยเหมือนกัน
Create Date : 18 มกราคม 2558 | | |
Last Update : 18 มกราคม 2558 17:27:35 น. |
Counter : 1354 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ทานได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ทานได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างที่มีข้อมูลแชร์ในโลกไซเบอร์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ยัน ทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างที่มีการแชร์กันบนโซเชียลเน็ตเวิร์กแน่นอน พร้อมแจง เส้นเล็กและเส้นใหญ่ต่างก็ทำจากโรงงานเดียวกัน
จากที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายบนโซเชียลเน็ตเวิร์กถึงข่าวลือที่ว่าการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่จะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากในเส้นใหญ่มีการใส่สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลงไปเป็นสารกันบูด พร้อมบอกให้เลี่ยงไปรับประทานเส้นเล็กและเส้นหมี่แทนนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ. ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant โดยยืนยันว่าสิ่งที่ถูกแชร์กันไปอย่างแพร่หลายนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่มีการบอกว่าเป็นอันตรายนั้น เป็นเพียงแค่แก๊สที่ใช้ในการยับยั้งและทำลายจุลินทรีย์ในอาหาร วิธีใช้คือนำกำมะถันมาเผาเพื่อรมควันทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในถังหมักไวน์ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ และปลาที่ต้องอบแห้ง รวมทั้งเส้นหมี่และเส้นก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ อีกด้วย
ทั้งนี้สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์นั้นจะถูกกระบวนการเมแทบอไลต์ (Metabolite) ให้สารดังกล่าวกลายเป็นซัลเฟต และขับถ่ายออกทางปัสสาวะโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ประการใด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดปริมาณที่สามารถใช้ได้ในผักและผลไม้แห้งไม่เกิน 2,500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และสำหรับเส้นก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ อยู่ที่ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หากมากกว่านี้จะทำให้อาหารเปลี่ยนรส และมีรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ได้
นอกจากนี้ รศ. ดร.เจษฎา ยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ที่ให้เลี่ยงการรับประทานเส้นใหญ่แล้วไปทานเส้นเล็กแทนนั้น ไม่มีประโยชน์เลย เพราะจริง ๆ แล้ว เส้นเล็กกับเส้นใหญ่ก็ทำมาจากโรงงานเดียวกัน เพียงแต่นำแป้งของเส้นใหญ่มาตากให้แห้งมากขึ้นแล้วจึงแบ่งเป็นเส้นเล็ก
ส่วนในเรื่องของสารกันบูด เป็นเพราะเส้นก๋วยเตี๋ยวทำจากแป้งข้าวเจ้า ทำให้มีความชื้นสูง และขึ้นราง่ายอยู่แล้ว จึงทำให้ต้องผสมสารกันบูด อย่างเช่น กรดเบนโซอิก (Benzoic acid) ซึ่งเป็นวัตถุกันเสียที่มีการใช้กันมานาน เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นก๋วยเตี๋ยวบูดง่าย โดยปริมาณที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้คือไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ที่สำคัญการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขยังพบสารกันบูดชนิดนี้ในเส้นเล็กมากกว่าเส้นใหญ่เสียอีก ดังนั้นถ้าหากอยากหลีกเลี่ยงสารกันบูด ก็ควรเปลี่ยนไปรับประทานเส้นบะหมี่เหลืองหรือวุ้นเส้นแทน เนื่องจากเส้นทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้ทำจากแป้งข้าวเจ้า และใส่สารกันบูดน้อยกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดอื่น
ได้ทราบกันแบบนี้แล้ว ก็พอจะเบาใจขึ้นกันแล้วใช่ไหมล่ะ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างในเส้นใหญ่กันแล้วล่ะเนอะ สามารถรับประทานได้ตามปกติ แต่ก็ไม่ควรทานมากเกินไปนะ เพราะเจ้าเส้นก๋วยเตี๋ยวเหล่านี้ก็ทำจากแป้งเหมือนกัน ทานเยอะไปก็อ้วนได้ค่ะ
Create Date : 30 ธันวาคม 2557 | | |
Last Update : 30 ธันวาคม 2557 0:20:16 น. |
Counter : 792 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|