Group Blog
 
All blogs
 

5 ศาสตร์ยอดฮิต พิชิตความดันโลหิตสูง

    ปวดหัว


    5 ศาสตร์ยอดฮิตพิชิตความดัน (ชีวจิต)
    เรียงเรียงโดย พาฝัน รงศิริกุล

    สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงส่วนหนึ่งมาจากอาการที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน ดังนั้น ถ้าเรารู้จักเลือกกินอย่างถูกต้อง โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงใส่เกิดภาวะความดันโลหิตสูง แล้วหันมากินอาหารที่ไม่แสลงต่อโรคและช่วยเสริมภูมิชีวิต อาหารก็จะเป็นยารักษาโรคอันประเสริฐ

           วันนี้ ชีวจิต จึงรวบรวมสูตรสำเร็จจาก 5 ศาสตร์ที่จะช่วยให้คุณปราบโรคความดันโลหิตสูงได้อยู่หมัดและเปลี่ยนให้คุณเป็นคนใหม่ที่มีสุขภาพ แข็งแรงเกินร้อยมาฝากกันค่ะ ใครชอบศาสตร์ไหน ลองเลยค่ะ


    ชีวจิต

    ศาสตร์ 1 ชีวจิต

               อาจารย์สาทิส อินทรกำแพหง กูรูต้นตำรับชีวจิต กล่าวว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เราเป็นนั้นล้วนเกิดมาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ตรงกันข้าม ถ้าเรากินให้ถูกต้อง อาหารก็จะกลายเป็นสิ่งวิเศษที่ทำหน้าที่ 3 อย่าง คือ

    ช่วยบำรุงเลี้ยงร่างกาย
    ช่วยซ่อมแซมสิ่งสึกหรอในร่างกาย
    เป็นยารักษาโรคให้แก่ร่างกาย

    แต่การกินอาหารให้ได้ประโยชน์ครบ 3 อย่างนี้ จะกินตามใจปาก ตามใจท้อง หรือกินโดยยึดเอาความอร่อยเป็นที่ตั้งอย่างเดียวคงไม่ได้

               อาจารย์สาทิสกล่าวไว้ในหนังสือ ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิตเล่ม 4 ว่า โรคความดันโลหิตสูงสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากไขมันในเลือดสูง ซึ่งเกิดจากกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไขมัน และอาหารหวานมันมากเกินไป ดังนั้น วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มนี้เสีย

               อาหารชีวจิตเน้นการกินผักและโปรตีนจากพืชหรือจากปลาแทน เพราะเนื้อปลามีไขมันชนิดดี ที่ช่วยขจัดไขมันชนิดเลวออกไปจากร่างกาย ปลาจึงเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาความดันโลหิตสูงและไขมันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาทะเล เพราะมีไอโอดีน ส่วนข้าวกล้องหรือข้าวที่ยังไม่ได้ขัดสีมีสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุต่าง ๆ อยู่ครบถ้วน ในขณะที่ข้าวที่ขัดสีแล้ว จะสูญเสียวิตามินไปหมดสิ้น เหลือเพียงแป้งขาวหรือคาร์โบไฮเดรตซึ่งทำให้อ้วน

    ฉะนั้น อาหารชีวจิตจึงเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาความดันโลหิตสูงเป็นที่สุด

    กินอาหารชีวจิต

    อาจารย์สาทิสมีสูตรการกินอย่างง่าย ๆ สไตล์ชีวจิตที่เหมาะกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูงเป็นอย่างยิ่ง หรือคนปกติทั่วไปแม้ไม่ป่วยก็กินได้ ดังนี้

    1. กินข้าวกล้อง ข้าวแดง หรือข้าวซ้อมมือ ถ้าชอบขนมปังก็กินขนมปังโฮลวีท ปริมาณของข้าวหรือแป้งนี้รวมกันแล้วให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ของอาหารแต่ละมื้อ

    2. กินผักสดและผักปรุงสุกอย่างละครึ่ง รวมกันแล้วเป็นปริมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของอาหารแต่ละมื้อ

    3. กินโปรตีนจากพืช คือ ถั่วต่าง ๆ และผลผลิตจากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตรรวมแล้ว 15 เปอร์เซ็นต์ของอาหารแต่ละมื้อ และให้เพิ่มปลาหรืออาหารทะเลได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

    4. กินอาหารเบ็ดเตล็ด เช่น สาหร่ายทะเลเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ผลไม้ไม่หวานในปริมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของอาหารแต่ละมื้อ


    อาหารเพื่อสุขภาพ


    สูตรสร้างตัวเองเป็นคนใหม่ใน 14 วัน

               สำหรับโรคที่ไม่มีเชื้อโรคอย่างความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง สูตร 14 วันของอาจารย์สาทิสจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ชีวจิตขอแนะนำให้ลองปฏิบัติ เวลา 14 วันอาจทำให้คุณกระเถิบไกลจากความเจ็บป่วยทั้งกายและใจ อย่ารีรอ ลองมาปฏิบัติกันเลย ดังนี้

    อาหาร

    งดน้ำชา กาแฟ และบุหรี่ ให้ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาเก๊กฮวย มะตูม ดอกคำฝอย แทน

    ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 60 กิโลกรัม วันแรกของรายการให้งดอาหาร ดื่มน้ำมะนาวสด ๆ คั้น 3 ลูก ตอนเช้าและเย็น หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 ขวด จะดื่มน้ำสมุนไพรสลับบ้างก็ได้ และวันแรกของรายการให้นอนพักตลอดวัน

    รับประทานอาหารตามสูตรชีวจิต แต่ 3 วันแรกของรายการให้ปรับอาหารเป็นผัก-ข้าวทั้งหมด

    วันที่ 4-6 รับประทานอาหารเบา ๆ เช่น ข้าวต้ม ตั้งแต่วันที่ 7 จนถึงวันที 14 จึงรับประทานอาหารได้เต็มที่ (มีอาหารทะเลได้) ตลอดรายการห้ามปรุงอาหารรสจัด

    ดื่มน้ำคั้นจากผัก เช่น น้ำแตงกวา น้ำขึ้นฉ่ายหรือเซเลอรี่ ครั้งละ 1 แก้ว วันเว้นวัน

    ตั้งแต่วันที่ 4 เป็นต้นไป รับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมได้


    แพทย์แผนไทย


    ศาสตร์ 2 แพทย์แผนไทยประยุกต์

               แพทย์แผนไทยประยุกต์เป็นแพทย์แผนไทยแบบใหม่ ซึ่งต่างจากแพทย์แผนไทยแบบเดิม (โบราณ) ตรงที่ผนวกความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ามามากขึ้น จึงช่วยให้แพทย์แผนไทยประยุกต์นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาปรับใช้กับการวินิจฉัยและรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

    แพทย์แผนไทยประยุกต์ได้อธิบายถึงมูลเหตุการณ์เกิดโรคว่ามาจากสาเหตุ 8 ประการ ได้แก่ อาหาร อิริยาบถ ความร้อน-ความเย็น การอดนอน-อดข้าว-อดน้ำ กลั้นอุจจาระ-ปัสสาวะ ทำงานกินกำลัง ความเศร้าโศกเสียใจ และมีโทสะมาก

               วันใดวันหนึ่งหากสาเหตุทั้งแปดประการมากระทบธาตุทั้งสี่ในร่างกาย คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ จนเกิดการแปรปรวน เมื่อนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็จะถามหา

               คุณลัดดาวัลย์ ครูปัญญามาตย์ ผู้จัดการคลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์ไทยเดิม ในพระสังฆ-ราชูปถัมภ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกล-มหาสังฆปริณายก และในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า

    "ถ้ามองในเรื่องมูลเหตุของโรคตามหลักการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ไขมันในเลือดสูง (ส่งผลให้ความดันในเลือดสูง) นั้นส่วนใหญ่เกิดจากการกิน คือกินอาหารมันมากเกินไป ทำให้เสมหะ (ธาตุน้ำ) กำเริบ และตัวความมันยังมีความร้อน เมื่อมากระทบร่างกายก็ทำให้ปิตะ"


    แพทย์แผนไทย

    ศาสตร์ 3 การแพทย์แผนไทย

               การแพทย์แผนไทยเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการห่างไกลโรค ด้วยการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งกายและใจ พร้อมกับหวนคืนสู่ธรรมชาติ

               ตำราการแพทย์แผนไทยได้พูดถึงสาเหตุของโรคว่า เกิดจากการขาดสมดุลของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) วาโยธาตุ (ธาตุลม) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ)

    มูลเหตุของโรคจะเกิดจากธาตุทั้งสี่ ถ้าธาตุทั้ง 4 อยู่ในภาวะที่สมดุลร่างกายก็จะอยู่ในสภาพปกติ แต่ถ้าธาตุใดหย่อน พิการ หรือกำเริบสภาวะสมดุลของร่างกายก็จะหมดไป รวมถึงอายุที่เปลี่ยนไป ถิ่นที่อยู่อาศัย และอิทธิพลของกาลเวลาที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

               คุณบุญยืน ผ่องแผ้ว หรือ หมอน้อย แพทย์แผนไทยพื้นบ้านจากบ้านหนองบง อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรลองสังเกตตัวเองดูบ้าง ว่ามีอาการตาฝ้าฟาง ปวดศีรษะจี๊ด ๆ หายใจไม่เต็มอิ่ม เหนื่อยง่าย จุกในทรวงอก เกิดเป็นตุ่มนูนตามผิวหนัง ตามเส้นเลือดทั่วตัวหรือไม่ ถ้ามีก็อาจเข้าข่ายเป็นไขมันในเลือดสูง และถ้าลิ้นมีตุ่มปลายมนสีแดงที่โคนลิ้น หมอน้อยก็จะฟันธงได้เลยว่า ในร่างกายมีย้ำตาลและคอเลสเตอรอลสูงอย่างแน่นอน

               "ส่วนความดันโลหิตสูงนั้นก็จะดูว่าที่บริเวณตาขาวมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นมาหรือเปล่า" หมอน้อย กล่าว เพราะธาตุไฟกำเริบตามไปด้วย

    "ส่วนการรักษานั้นจะไม่พึ่งยาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะการกินและการออกกำลังกายซึ่งจะช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือดลงได้มาก"

               นี่คือแนวทางการรักษาตามแบบฉบับแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่คุณลัดดาวัลย์เน้นย้ำ โดยแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามหลักธรรมานามัย ซึ่งจะช่วยให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจอย่างยั่งยืน

    ธรรมานามัยประกอบด้วย

    กายานามัย การออกกำลังกาย การกินอาหารให้ถูกกับธาตุ กินแต่พอเหมาะ มีสติในการกิน การนอน ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท

    จิตตานามัย การฝึกสมาธิให้จิตเข้มแข็ง จิตมีพลังจะเกิดปัญหา เกิดความสุขสงบ ย่อมจะทำให้ความต้านทานโรคดีขึ้น ไม่ตามใจตนเองด้วยก็เลส และความอยาก

    ชีวิตานามัย การดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางย่อมไม่เกิดความเครียด รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ รวมถึงการดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ

    สมุนไพรไทย


    กินอาหารเป็นยา

               หมอน้อยแนะนำให้ดื่มชาสมุนไพรรสร้อน เช่น ขิง ตะไคร้ ต้นพริก โดยนำมาตากแห้งแล้วชงดื่มแทนน้ำชา จะช่วยขับเหงื่อและละลายไขมันให้ออกไปจากร่างกาย

               กินผัก 3 รส คือ รสขม ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ รสเปรี้ยว ช่วยละลายเลือด ทำให้ไหลเวียนคล่องช่วยให้ความดันโลหิตลด และรสจืด ช่วยบำรุงเลือด

               บางครั้งถ้าความดันโลหิตขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน หมอน้อยก็แนะนำยาดีจากกันครัวอย่างผลมะกรูด นำมาผ่าแล้วบีบเอาแต่น้ำ เติมน้ำร้อนและเกลือเล็กน้อย ดื่มทันที จะช่วยให้ความดันโลหิตลดได้ทันใจ


    ฝังเข็ม


    ศาสตร์ 4 การแพทย์แผนจีน

    หยิน-หยาง เหตุแห่งความดันโลหิตสูง

              แพทย์หญิงศรันยา กตัญญูวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การแพทย์แผนจีน อธิบายว่า โดยปกติร่างกายของเรานั้น หยินกับหยางจะสมดุลกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น หยินหรือกายเนื้อจะลดลงตามธรรมชาติ โดยหายไปครึ่งหนึ่ง พอหยินตก (หยินพร่อง) แต่หยางยังอยู่เท่าเดิม จึงดูราวกับว่าร่างกายมีหยางมากกว่าหยิน

              ส่วนหยาง คือความร้อน เป็นลม เป็นพลังงานเมื่อไม่มีหยินควบคุมเพราะหยินพร่อง หยางก็จะลอยขึ้นมาที่ศีรษะพร้อมกับเลือด เลือดซึ่งมาคั่งที่ศีรษะทำให้มีอาการปวดศีรษะ ปวดแบบมึนตึบ ๆ แน่น ๆ ซึ่งเป็นอาการของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

              ส่วนภาวะไขมันในเลือดสูง ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน คุณหมอศรันยาอธิบายว่า ต้นเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบตับ (การเดินของเลือดลม / ความเครียด) และระบบม้าม (ระบบย่อยทั่วร่างกาย) ตามแบบแผนจีน

    "ความเครียดที่สะสมจะทำให้ระบบตับ (การเดินของเลือดลม / ความเครียด) อ่อนแอและเกิดเป็นความร้อนจนไปทำร้ายระบบม้าม (ระบบย่อยทั่วร่างกาย) จนประสิทธิภาพการทำงานของระบบม้ามลดลงและส่งผลต่อระบบการย่อยอาหาร แพทย์แผนจีนเชื่อว่าจะทำให้มีความชื้นส่วนเกินและเกิดเสลดสะสมอยู่ในร่างกายปริมาณมาก"

              "เสลดและความชื้นดังกล่าวมีลักษณะเป็นน้ำหนืด ๆ ถ้าสะสมในร่างกายนาน ๆ จะข้นขึ้นและกระทบต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ จนก่อให้เกิดโรคเรื้อรังที่อวัยวะนั้น" คุณหมอศรันยา กล่าว

    กินเพิ่มหยิน

              คุณหมอศรันยาบอกว่า อาหารเพิ่มหยิน หรือมีสรรพคุณเย็น เมื่อกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายรู้สึกเย็น ได้แก่ฟักเขียว ถั่วงอก ผักกาดขาว แตงโม น้ำเก๊กฮวย

    ไม่ควรกินอาหารสรรพคุณร้อน เช่น ขิง ขนุน ลำไย ทุเรียน หรือดื่มกาแฟ

              การรู้จักเลือกกินอาหารเพิ่มหยินเพื่อความเย็นในร่างกายจึงช่วยควบคุมหยางให้สมดุลได้ในระยะยาว


    โยคะ

    ศาสตร์ 5 อายุรเวท

              แม้จะเป็นศาสตร์โบร่ำโบราณ แต่กาลเวลากลับไม่ได้ทำให้ศาสตร์อายุเวทตกยุคหรือล้าสมัยไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมแต่อย่างใด

              ศาสตราจารย์ นายแพทย์เฉลียว ปิยะชน ผู้เขียนหนังสือ หลอดเลือดแข็งตีบตัน ป้องกันได้ เคยป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองโดยรักษาด้วยการแพทย์ผสมผสานและศาสตร์อายุรเวท อธิบายว่า

    ตามตำราอายุเวทบอกว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีธาตุพื้นฐานหรือปัญจมหาภูตรูปอยู่ 5 ชนิด ซึ่งคล้ายคลึงกับการแพทย์แผนไทย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ

              ร่างกายของคนเราก็มีพื้นฐานทั้ง 5 อย่างนี้เหมือนกัน โดยจัดแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มของลมหรือวาตะ กลุ่มของดินและน้ำ ซึ่งเรียกรวมกันว่าเสมหะ และกลุ่มที่ 3 คือ ไฟ

    "กลุ่มที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงนั้นเกิดจากการสะสมของเสมหะ คือ ดินและน้ำมาก การดูแลและป้องกันการเกิดโรคจึงต้องมาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่เพิ่มดินและน้ำ (เสมหะ) ให้เรา ซึ่งในอายุเวทได้ระบุไว้ชัดเจนว่าคือ อาหารหวาน อาหารมัน และอาหารเค็ม ซึ่งตรงกับการแพทย์แผนปัจจุบัน" คุณหมอเฉลียว กล่าว

    อดอาหารในแนวทางอายุรเวท

              คุณหมอนเฉลียว แนะนำว่า การอดอาหารในแนวทางของอายุเวท ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือดอย่างได้ผล เพราะเมื่ออดอาหาร น้ำย่อยในร่างกายจะยังคงออกมาตามธรรมชาติ แต่เมื่อในกระเพาะอาหารไม่มีอาหาร น้ำย่อยก็จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายแทนและขับสิ่งที่เป็นพิษในร่างกายออกมา

    หลักการอดอาหาร 1 วันแบบอายุรเวท

    อดอย่างแรง คือ งดอาหารและน้ำ
    อดอย่างปานกลาง คือ ดื่มน้ำได้
    อดอย่างเบา คือ ดื่มน้ำผลไม้ได้

    กินอย่างอายุรเวท

              อายุรเวทได้กล่าวถึงความสำคัญของอาหารที่เรากินว่า อาหารคือ สิ่งที่ไปสร้างสรรค์กายและหล่อเลี้ยงจิตใจ ดังนั้น อาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ จึงไม่ช่วยให้เกิดสมาธิ เพราะกระตุ้นให้ระบบย่อยทำงานมากกว่าปกติ


    ได้ความรู้เรื่องการกินเพื่อลดความดันโลหิตกันไปแล้ว ชีวจิตยังมีของแถมท้ายเป็นสูตรอาหารลดความดันโลหิตให้คุณผู้อ่านไปลองทำกินเอง รับรองว่าอร่อย คุณค่าอาหารครบ และปลอดภัยจากโรคความดันโลหิตสูงอย่างแน่นอน

    เมนูอาหารลดความดัน ปลาเก๋าผัดพริกหวานกับมันฝรั่งอบ

    ส่วนผสม

              เนื้อปลาเก๋าหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ    300    กรัม
              มันฝรั่ง                1    หัว
              น้ำมันมะกอก            2    ช้อนโต๊ะ
              หอมหัวใหญ่สับ            2    ช้อนโต๊ะ
              เซเลอรี่ซอยบาง            ¼    ถ้วย
              พริกหวานสีเขียวและเหลืองหั่นเป็นเส้นบาง    ¼    ถ้วย
              มะเขือเทศลูกเล็กหั่นตามขวาง    ¼    ถ้วย
              พริกไทยป่น            ¼    ช้อนชา
              น้ำมะนาว            ¼    ถ้วย
              ผงกระเทียม (ไม่ใส่ก็ได้)        ¼    ช้อนชา
              ผงปาปริก้า (ไม่ใส่ก็ได้)        ¼    ช้อนชา


    วิธีทำ

    1. หั่นมันฝรั่งทั้งเปลือก (แบ่งออกเป็น 8 ส่วน) วางในถาดสำหรับอบ เทน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เสร็จแล้วนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 220 องศาเซลเซียส ประมาณ 30 นาที นำออกจากเตาแล้วพักไว้

    2. นำเนื้อปลาเก๋าที่หั่นแล้วมาแช่น้ำมะนาวสักพัก พอให้น้ำมะนาวซึมเข้าเนื้อปลาดีแล้วเทออก พักไว้

    3. ผัดหอมหัวใหญ่ เซเลอรี และพริกหวานให้เข้ากัน โรยพริกไทยป่น ผงปาปริก้า และผงกระเทียม ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง จากนั้นใส่เนื้อปลาที่พักไว้ในข้อ 2 และมะเขือเทศลงไปหรี่ไฟอ่อน ปิดฝาหม้อ ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วตักใส่จานเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งอบ


    เกร็ดข้างจาน

    เนื้อปลา มีไขมันชนิดดีที่ช่วยขจัดไขมันชนิดเลว ออกไปจากร่างกายได้ จึงเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงและไขมันไม่เลือดสูง

    พริกหวาน ช่วยลดความดันโลหิต โดยทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

    ซเลอรี่ ช่วยลดความดันโลหิต มีปริมาณโซเดียมต่ำ การบริโภคน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันรำข้าว ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยให้ผนังหลอดเลือดแดงทำงานดีขึ้น

    อาหารให้โรคความดันโลหิตสูงไปแล้วไปลับไม่กลับมาแวะเวียนอีก อย่าลืมเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้าขึ้นมารับแสงวันใหม่ หมั่นออกกำลังกายทุกเช้า และเจริญสมาธิควบคุมสติอารมณ์ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีสุขภาพกายใจที่สมบูรณ์และมีชีวิตที่มีความสุข

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    คู่มือรักษา 3 โรคยอดฮิต เบาหวาน ความดัน หัวใจ




 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2557 20:00:51 น.
Counter : 1512 Pageviews.  

มะเฟือง...ผลไม้ต้องห้ามสำหรับคนป่วยโรคไต

    แพทย์รามาฯ เตือน ผู้ป่วยโรคไตห้ามทานมะเฟืองเด็ดขาด มีกรดซาลิคสูงที่ร่างกายขับออกไม่ได้ เสี่ยงไตวายเฉียบพลัน ส่วนคนทั่วไปทานได้ในปริมาณที่เหมาะสม

              มะเฟือง ผลไม้เขตร้อนรสเปรี้ยวอมหวานน่าจะเป็นผลไม้สุดโปรดของใครหลายคน เพราะมีสรรพคุณเพียบ ทั้งช่วยขับพิษในร่างกาย บรรเทาอาการฟุ้งซ่าน ช่วยคลายเครียด แก้ร้อนใน ขับเสมหะ ดับกระหาย แต่ทว่าการทานมะเฟืองเปรี้ยว ๆ ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไต ต้องฟังทางนี้ก่อนเลย

              โดย รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า จากผลการศึกษาพบว่าในมะเฟืองชนิดเปรี้ยวนั้นจะมีกรดออกซาลิคมากกว่ามะเฟืองชนิดหวาน ซึ่งสารออกซาลิคเป็นสารที่ผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะระยะ 4-5 ที่ต้องฟอกไตแล้ว ไม่สามารถขับสารชนิดนี้ออกได้เลย ดังนั้น หากผู้ป่วยโรคไตทานมะเฟืองเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลต่อสมอง ทำให้สะอึก ซึม และชักได้

              ทั้งนี้ ที่ผ่านมา โรงพยาบาลรามาธิบดีเคยพบผู้ป่วยที่มีอาการไตวายเฉียบพลันจากการทานมะเฟือง 2-3 ราย โดยรายหนึ่งได้ดื่มน้ำคั้นสดของมะเฟืองเข้าไปประมาณ 1 ลิตร เมื่อตรวจก็พบตะกอนออกซาเลตในไต เป็นเหตุให้ปัสสาวะไม่ออก นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ไต้หวันทดสอบกับหนูทดลอง ก็พบว่า เกิดนิ่วในไตในหนูทดลองเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม คนที่ชอบทานมะเฟืองก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป เพราะ รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ ยืนยันว่า ในคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคไตยังสามารถทานมะเฟืองได้ แต่ก็อย่าทานมากจนเกินไป ส่วนผู้ป่วยโรคไตระยะปานกลาง รวมถึงผู้สูงอายุที่อาจมีความเสื่อมของไตมากกว่าคนปกติ ก็ทานได้บ้าง แต่ไม่ควรทานมากจนเกินไปเช่นกัน เพราะจะยิ่งทำให้ไตเสื่อมลงได้
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2557 20:59:44 น.
Counter : 918 Pageviews.  

ลูกพลับ มะละกอ ผลไม้รสเปรี้ยว ๆ อย่ากินตอนท้องว่างเชียว

    เวลาหิว ๆ หาอะไรทานไม่ได้ หลายคนมักแอบเปิดตู้เย็นหยิบผลไม้มาทานรองท้อง ซึ่งก็ช่วยให้อยู่ท้องได้บ้างล่ะ แต่ว่า...ถ้าจะทานผลไม้อะไรก็ต้องเลือกหน่อยนะคะ อย่างผลไม้บางชนิดต้องเลี่ยงไว้ก่อนเลย เพราะถ้ากินขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้

              เรื่องนี้ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย ให้ข้อมูลเรื่องการกินผลไม้ตอนท้องว่างมาว่า มีหลายคนพูดกันว่าการกินผลไม้ก่อนอาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารต่าง ๆ ในผลไม้ได้อย่างเต็มที่ แต่จริง ๆ แล้ว ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยที่เป็นหลักฐานมาสนับสนุนว่า การกินผลไม้ตอนท้องว่างจะช่วยให้การดูดซึมสารอาหารดีขึ้นจริงหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีผลไม้บางชนิดที่ไม่ควรกินตอนท้องว่าง ๆ นั่นก็คือ

    ลูกพลับ เพราะตอนท้องว่างกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดออกมามาก หากไปรวมตัวกับยางและสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เรามีอาการคลื่นไส้ และระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้

    มะละกอ เพราะเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์มาก จึงไม่ควรทานตอนท้องว่าง

    สับปะรด ส้ม มะนาว มีรสชาติเปรี้ยว ทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้


    ผลไม้รสเปรี้ยว


    อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากจะทานผลไม้เหล่านี้ก่อนทานอาหารจริง ๆ ก็อาจจะทานแค่ 2-3 ชิ้นเล็ก ๆ ก็พอ และควรล้างให้สะอาดก่อนทุกครั้ง เพื่อเป็นการลดสารเคมีตกค้าง

              แล้วในหนึ่งวันควรทานผลไม้มากน้อยแค่ไหน? นพ.พรเทพ ก็ระบุว่า ในหนึ่งวันควรกินผลไม้ให้ได้มื้อละ 1-2 ส่วน ตามแต่ละประเภท เช่น มะละกอสุก 6 ชิ้นพอคำ, เงาะ 4 ผล, ฝรั่งครึ่งผล, สับปะรด 6 ชิ้นพอคำ, กล้วยน้ำว้า 1 ผล, ชมพู่ 2 ผลขนาดใหญ่, มังคุด 4 ผลขนาดกลาง, ส้มสายน้ำผึ้ง 1 ผล เป็นต้น

    ทั้งนี้ มีรายงานทางคลินิกและระบาดวิทยา ชี้ชัดว่า หากใครทานผลไม้เป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ป้องกันมะเร็งบางชนิด และช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย เนื่องจากในผลไม้มีใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำ เมื่อกินเข้าไปจะเกิดการพองตัวเป็นเจลแทนพื้นที่บางส่วนในกระเพาะอาหารทำให้รู้สึกอิ่ม อีกทั้งกากใยยังไปกักน้ำตาลและคอเลสเตอรอล ช่วยลดการดูดซึมได้ จึงไม่แปลกที่จะเรากินผลไม้ตอนท้องว่างเข้าไปแล้วจะรู้สึกอิ่ม ส่งผลให้กินอาหารมื้อหลักหลังจากนั้นในปริมาณที่ลดลงตามไปด้วย

              ส่วนใครที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ก็ต้องทานผลไม้ให้มาก ๆ เพราะในผลไม้ยังมีใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายน้ำช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเร่งให้อาหารที่กินเข้าไปผ่านไปตามทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น ทำให้ขับถ่ายได้เร็ว ช่วยลดการดูดซึมหรือสัมผัสสารมะเร็งที่ปนเปื้อนเข้ามาและเพิ่มมวลอุจจาระ ลดปัญหาท้องผูก แต่ก็ควรกินผลไม้ให้หลากหลายสลับกันไป เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์อย่างสมดุล

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2557 21:03:20 น.
Counter : 1057 Pageviews.  

9 ข้อดีของกาแฟ ดื่มอย่างเหมาะสมสุขภาพก็แจ่มใส

    ใคร ๆ ก็บอกว่ากาแฟมีคาเฟอีน สารที่หากได้รับในปริมาณที่เกินพิกัดก็อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ แต่คอกาแฟอย่าเพิ่งหมดกำลังใจเลยค่ะ เพราะมีผลวิจัยที่ เว็บไซต์ livestrong.com เขาได้นำมาเผยให้รู้ ก็น่าจะช่วยให้คนติดกาแฟได้ยิ้มแก้มแทบปริกันบ้าง เพราะ 9 ข้อต่อไปนี้ จะเป็นข้อดีของกาแฟ ที่ถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสม หากจำกัดครีมเทียม นม และน้ำตาลอย่างเหมาะเจาะ ก็สร้างประโยชน์ดี ๆ ให้ร่างกายเราไม่เบาเลยเชียวนะ

    1. ลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่ว

              ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปี 2002 เผยว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีลดลงประมาณ 25% เช่นเดียวกับผลการวิจัยก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย

    2. กาแฟช่วยลดความเครียด

              เชื่อว่าหลายคนแอบเห็นด้วยกับผลวิจัยนี้ เพราะเมื่อรู้สึกเครียด ๆ เหนื่อย ๆ ทีไร ได้จิบกาแฟสักหน่อยก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่ไหมคะ ซึ่งคราวนี้เราการันตีด้วยผลการวิจัยเพิ่มเติมอีกด้วยว่า คนที่ดื่มกาแฟประมาณ 2-3 แก้วต่อวัน จะลดความเครียดได้ประมาณ 15 % แต่หากดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน จะสามารถลดความเครียดได้ถึง 20% เลยทีเดียวจ้า

    กาแฟ

    3. ช่วยกระตุ้นความจำ

              ผลการวิจัยจากภาครังสีวิทยาของอเมริกาเหนือกล่าวว่า หากดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวัน จะสามารถพัฒนาความจำ และปฏิกิริยาตอบโต้ได้ดีขึ้น สอดคล้องกับการวิจัยของอีกสถาบันหนึ่งที่บอกว่า ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป หากดื่มกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวัน จะมีความจำที่ดีขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ หรือดื่มกาแฟน้อยกว่านี้

              ส่วนมหาวิทยาลัยเซาท์ฟรอริด้าก็เผยว่า คนอายุล่วงเข้าวัยกลางคน ควรดื่มกาแฟประมาณ 4-5 แก้วต่อวัน เพื่อเพิ่มระดับฮอร์โมน GCSF สารที่ช่วยลดความเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ด้วยจ้า

    4. รอดจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2

              จากการศึกษาของภาคการเกษตรและเคมีอาหารของสหรัฐอเมริกา ทำให้ทราบว่า นักดื่มกาแฟตัวยง จะมีโอกาสรอดพ้นจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ประมาณ 50% เนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติช่วยยับยั้ง hIAPP และโพลีเปปไทด์ ตัวการก่อให้เกิดโปรตีนผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั่นเอง

    5. ลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง

              มีผลการวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-5 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงเกิดเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับได้ด้วย โดยประสิทธิภาพของคาเฟอีน จะช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ผิดปกติ และกำจัดสารพิษที่ร่างกายได้รับได้ในระดับหนึ่ง

    6. กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญ

              มีผลการวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า คาเฟอีนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึม และอาจจะทำให้น้ำหนักคุณลดลงได้ แต่ล่าสุดผลการวิจัยเมื่อปี 2006 เพิ่งจะได้ข้อสรุปว่า คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟสดคั่วบด มีผลกับการลดน้ำหนักในผู้หญิงได้จริง และสามารถลดน้ำหนักเฉลี่ยได้ 7.7 กิโลกรัมภายใน 22 สัปดาห์เลยทีเดียวจ้า

    7. ลดความเสี่ยงเป็นโรคพาคินสัน

              สถาบันการแพทย์อเมริกันได้ทำการวิจัยและพบว่า คาเฟอีนในกาแฟมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงเป็นโรคพาคินสัน โดยผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคพาคินสันได้ถึง 25% เลยนะจ๊ะ


    ประโยชน์ของกาแฟ


    8. ปลุกความตื่นตัวได้ในทันที

              คาเฟอีนมีคุณสมบัติไม่ต่างจากสารกระตุ้นดี ๆ ชนิดหนึ่ง ที่สามารถปลุกความตื่นตัวให้กับร่างกายที่อ่อนล้า หรืออ่อนเพลียได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ยืนยันด้วยการทดลองกับนักกีฬากลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้ดื่มกาแฟระหว่างที่ฝึกซ้อม และพบว่า นักกีฬากลุ่มที่ดื่มกาแฟจะสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้นานขึ้น เรียกได้ว่ามีความอึดมากกว่าเดิมนั่นเอง โดยความคึกคักที่เกิดขึ้นจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

    9. ลดโอกาสเป็นโรคเกาต์

              สำหรับคนที่กลัวตัวเองจะเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แนะนำให้ดื่มกาแฟประมาณ 3-6 แก้วต่อวันอย่างต่อเนื่อง เพราะผลการวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งหนึ่งยืนยันแล้วว่า คาเฟอีนมีส่วนช่วยบรรเทาการอักเสบของข้อ เนื่องมาจากกรดยูริกที่เกินขนาดอย่างได้ผล และคนที่ดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวัน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ได้ถึง 60% เลยล่ะค่ะ


    คอกาแฟที่กลัวผลกระทบจากคาเฟอีนได้รู้อย่างนี้แล้วคงสบายใจขึ้นใช่ไหมคะ แต่อย่างไรก็ดี เพื่อสุขภาพ ก็ควรดื่มกาแฟที่มีส่วนผสมของน้ำตาล นม และครีมเทียมน้อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆและที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการด้วยนะจ๊ะ




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2557 19:00:00 น.
Counter : 1119 Pageviews.  

อีสุกอีใส กับความเชื่อมากมายที่เข้าใจผิดกันมานาน

           โรคอีสุกอีใส เป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แล้วรู้ไหม ป่วยอีสุกอีใสห้ามกินอะไร เคยเป็นอีสุกอีใสแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีกแล้วจริงหรือไม่ มาไขความเชื่อที่คนเข้าใจผิด ๆ กันมานานกันเลย !

              โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่ระบาดกันมากในช่วงอากาศเย็น ๆ โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะพบผู้ป่วยมากขึ้น และเชื่อไหมว่ามีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ด้วย ซึ่งเกิดจากโรคแทรกซ้อนของอีสุกอีใส ไม่ว่าจะเป็นปอดอักเสบ หรือตับอักเสบฟังดูแล้วน่ากลัวเหมือนกันนะคะกับโรคอีสุกอีใสนี้ แต่หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นกลัวเลย ก็เราเคยเป็นโรคนี้มาแล้วตอนเด็ก ๆ คงไม่มีทางติดเชื้อได้อีกแล้วล่ะ หรือบางคนอาจจะบอกว่าโรคนี้เป็นกับเด็ก ๆ เท่านั้น เราเป็นผู้ใหญ่แล้วคงไม่เป็นหรอก...

    ถ้าคิดแบบนี้อยู่ขอให้ลบความคิดเดิม ๆ ออกไปได้เลยค่ะ เพราะมีหลากหลายความเชื่อเกี่ยวกับโรคอีสุกอีใสที่คุณเข้าใจผิดอยู่ อย่างเช่นเรื่องต่อไปนี้เลย


    โรคอีสุกอีใส เป็นแต่ในเด็กเท่านั้น เราโตแล้วคงไม่เป็นหรอก !

              ขอบอกว่า โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัยค่ะ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีสิทธิ์ติดเชื้อได้เช่นกัน


    โรคอีสุกอีใส เป็นแล้วจะไม่เป็นอีก จริงหรือ?

              เป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ เพราะโรคอีสุกอีใสที่เดิมเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella virus) หรือ Human herpes virus type 3 แต่ในปัจจุบันมีไวรัสโรคอีสุกอีใสสายพันธุ์ใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าเดิมด้วย ดังนั้น หากคนที่เคยเป็นอีสุกอีใสในวัยเด็กไปแล้ว เกิดตอนนี้ได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ก็ยังสามารถกลับไปเป็นอีสุกอีใสได้อีกรอบ เพราะเป็นเชื้อไวรัสคนละตัวกันนี่เอง

              แถมเป็นตอนโตยังอาจมีอาการหนักกว่าเด็ก ๆ ด้วยซ้ำ หรืออย่างน้อยก็มีแผลเป็นให้รำคาญใจอีกต่างหาก

    โรคอีสุกอีใส เป็นเองก็หายเองได้ จะไปฉีดวัคซีนป้องกันทำไม?

              คนส่วนใหญ่อาจจะเป็นโรคอีสุกอีใสแล้วหายเองได้ภายใน 1-3 สัปดาห์ค่ะ แต่กับบางคนอาจรักษาไม่หาย เพราะเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น ซึ่งโรคแทรกซ้อนนั้นเกิดจากการติดเชื้อจากแผลที่เกิดขึ้นทั้งตัว จนทำให้มีอาการต่าง ๆ เช่น แก้วหูอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือติดเชื้อในสมอง

              ดังนั้น หากผู้ป่วยคนใดเป็นอีสุกอีใสแล้วมีอาการปวดหู หรือไอ หายใจเหนื่อย เจ็บหน้าอก ตาเหลืองตัวเหลือง (ดีซ่าน) ปวดศีรษะมาก ซึมลง อาการใดอาการหนึ่งหรือมากกว่า ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาเพิ่มเติม เพราะโรคแทรกซ้อนบางอาการอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย


    โรคอีสุกอีใส

    ฉีดวัคซีนอีสุกอีใสไปแล้ว แสดงว่าจะไม่เป็นโรคนี้แล้วถูกไหม?

              ก็ยังไม่ถูกนะจ๊ะ เพราะถึงจะฉีดวัคซีนไปแล้ว แต่วัคซีนนั้นป้องกันโรคได้ประมาณ 90% เท่านั้นเอง แสดงว่าเรายังมีโอกาสเป็นโรคนี้อยู่อีก 10% เพียงแต่การฉีดวัคซีนจะทำให้อาการน้อยลง และช่วงเวลาที่เป็นโรคนี้ก็สั้นลง เช่น จะมีตุ่มขึ้นไม่มาก และอาการจะหายไปเองภายในเวลาไม่นาน

              นอกจากนี้ โดยปกติแล้วคนที่เป็นโรคอีสุกอีใสประมาณ 15% เมื่อหายแล้วจะมีเชื้อบางส่วนไปแอบหลบอยู่ในปมประสาทใกล้กระดูกสันหลัง หากเมื่อใดร่างกายอ่อนแอ เชื้อพวกนี้จะแสดงอาการออกมาเป็นโรคที่เรียกว่า "งูสวัด" แต่การฉีดวัคซีนยังสามารถป้องกันโรคงูสวัดได้ด้วย  


    ต้องกินยาเขียวหรือยาหม้อช่วยขับเชื้อ จะได้หายเร็วขึ้น !

              ข้อนี้เป็นความเชื่อที่ผิดเหมือนกันค่ะ แม้จะมียาเขียว ยาหม้อบางขนานอ้างว่ามีสรรพคุณช่วยขับเชื้ออีสุกอีใสให้ออกมาจากตัว จะได้เป็นการถอนพิษ แต่จริง ๆ แล้ว การทานยานี้อาจเป็นอันตรายได้ เพราะยาพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของสเตรอยด์ (Steroid) ซึ่งเป็นยากดภูมิคุ้มกัน นั่นถึงทำให้เชื้ออีสุกอีใสที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยลามกระจายไปยังอวัยวะสำคัญในร่างกายจนถึงแก่ชีวิตได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้รักษาให้หายเร็วขึ้นหรอกนะ

              วิธีการรักษาที่ถูกต้องคือ การทานยาบรรเทาอาการไข้และอาการคันตามที่แพทย์แผนปัจจุบันสั่ง หรือหากคนไข้รายได้มีอาการมาก แพทย์อาจต้องให้ยารับประทานเพื่อฆ่าไวรัสควบคู่กันไป ทั้งนี้ โดยส่วนมากแล้วโรคอีสุกอีใสจะสามารถหายเองได้ แต่ไม่ใช่ด้วยการกินยาหม้อ ยาเขียวเพื่อขับให้อีสุกอีใสเปล่งปลั่งออกมามากขึ้นอย่างแน่นอน


    อาบน้ำต้มผักชีช่วยให้อีสุกอีใสหายไวจริงไหม?

              ผักชีเป็นพืชธาตุเย็นที่ช่วยลดอาการผื่นแดงได้ แต่ความเชื่อที่ว่าใช้รักษาโรคอีสุกอีใสได้หรือไม่นั้น ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ค่ะ จึงยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ารักษาโรคนี้ได้ผลจริงหรือเปล่า


    ไข่ไก่

    ไข่ เป็นอาหารแสลงของโรคอีสุกอีใสใช่ไหม?

              มีคนพูดเยอะเหมือนกันว่า ถ้าเป็นโรคอีสุกอีใสห้ามกินไข่ เพราะจะทำให้เป็นแผลเป็น แต่นี่เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะแพทย์ยืนยันมาแล้วว่า ไม่มีอาหารชนิดใดเป็นของแสลงกับโรคอีสุกอีใสเลย ผู้ป่วยสามารถทานอาหารได้ตามปกติ ซึ่งก็ต้องเป็นอาหารที่ถูกสุขลักษณะ คือต้องเป็นอาหารที่สุกแล้ว ไม่ใช่ของหมักดอง เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารที่ดีมีประโยชน์ไปสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อสู้กับเชื้อโรค

              และจริง ๆ แล้ว ในช่วงที่เป็นอีสุกอีใสนั้น ผิวของเรายิ่งต้องการการดูแลบำรุงจากโปรตีนมากขึ้น เพราะฉะนั้น จึงต้องทานเนื้อ นม ไข่ และถั่วต่าง ๆ อันเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญไว้ด้วยค่ะ


    ไข้ขึ้นสูง สามารถกินยาแอสไพรินให้ไข้ลดเร็วได้ใช่ไหม?

              การทานยาแอสไพรินนี่เป็นข้อห้ามสำคัญเลยค่ะ เพราะยาแอสไพรินอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการไรย์ (Reye's syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของสมองและตับ ทำให้มีอาการของสมองอักเสบร่วมกับตัวเหลืองจนเกิดอันตรายร้ายแรงได้ ดังนั้น หากมีไข้ขึ้นสูง ให้ทานยาพาราเซตามอลแทน ร่วมกับใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ เพื่อบรรเทาอาการไข้ค่ะ ที่สำคัญคือต้องพักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ด้วยจ้า

    ความเชื่อแต่ละข้อล้วนเป็นความเชื่อที่เราได้รับการบอกต่อมาทั้งนั้นเลยเห็นไหมคะ แถมเรามักจะปฏิบัติตามด้วย แต่พอได้รู้อย่างนี้ ก็คงทำให้เพื่อน ๆ เปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่แล้วเนอะ



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

    - โรงพยาบาลวิภาวดี
    - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2557 19:24:36 น.
Counter : 3635 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.