Group Blog
 
All blogs
 

ผื่นภูมิแพ้-น้ำกัดเท้า แก้ได้...แม้ฝนตก

ฝนตก


ผื่นภูมิแพ้-น้ำกัดเท้า แก้ได้...แม้ฝนตก (สสส.)
เรื่องโดย ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content //www.thaihealth.or.th

ตลอดระยะเวลาที่มีฝนตกชุกติดต่อกัน นอกจากจะส่งผลให้ประชาชนป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ไข้หวัด และโรคอื่น ๆ แล้ว "โรคน้ำกัดเท้า" และผื่นภูมิแพ้ ยังเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยในช่วงเวลานี้ด้วย

          โดยล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขออกมาขอความร่วมมือให้ประชาชนเร่งลดความสกปรกของน้ำท่วมขัง ภายหลังการเก็บสถิติความเจ็บป่วยของประชาชนในช่วงน้ำท่วม นับจากวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา พบว่า "โรคน้ำกัดเท้า" ครองแชมป์โรคยอดฮิตที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุดในขณะนี้

          นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า ในแต่ละฤดูกาล มักจะพบปัญหาของโรคผิวหนังที่แตกต่างกัน สำหรับในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกบ่อย และมีปัญหาน้ำเจิ่งนองตามท้องถนน รวมถึงปัญหาน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ด้วยปัญหาดังกล่าว ก็ย่อมจะส่งผลต่อสุขภาพผิวหนังได้หลายกรณี ทั้งลักษณะของการเป็นผื่นภูมิแพ้ หรือผื่นแดงซึ่งเกิดจากความเปียกชื้นและรักษาความสะอาดไม่ถูกต้อง หากแต่ที่เด่นชัดและพบบ่อยที่สุดก็คือ อาการของโรคน้ำกัดเท้า


นํ้ากัดเท้า

เข้าใจ "น้ำกัดเท้า" หายไว

          นพ.จินดา อธิบายเพิ่มเติมว่า ตามปกติอาการของน้ำกัดเท้า เกิดจากการแช่น้ำหรือเดินย่ำน้ำนานเกินไปจนเป็นเหตุให้ผิวหนังเปื่อย ยุ่ย และเกิดอาการระคายเคือง ในกรณีที่ไม่มีอาการอักเสบของผิวหนัง สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการล้างเท้าให้สะอาด และเช็ดให้แห้งสนิท จากนั้นทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

"แต่ถ้าแช่หรือเดินย่ำน้ำนานเกินไปจนเกิดอาการอักเสบระคายเคือง ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องทายาเพื่อลดอาการระคายเคือง โดยการรักษาทั่วไป จะเป็นการใช้ยาในกลุ่มของสเตรอยด์ ที่จะช่วยให้ผิวหนังของคนไข้ดีขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยก่อนว่า เป็นลักษณะอาการของน้ำกัดเท้าจริงหรือไม่ เพราะหากผู้ป่วยเข้าใจผิดว่า เป็นอาการที่เกิดจากการติดเชื้อรา และซื้อยามาทาเอง ก็จะทำให้อาการของโรคลุกลามมากขึ้น เนื่องจากยาแก้เชื้อราบางตัวมีฤทธิ์กัดลอกผิว ซึ่งจะทำให้อาการของโรคน้ำกัดเท้ามีความรุนแรงมากขึ้นด้วย"

          ทั้งนี้ อาการของน้ำกัดเท้าจากการเดินย่ำน้ำ หรือแช่น้ำสกปรกเป็นเวลานาน ๆ สามารถติดเชื้อเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราได้ ฉะนั้นการรักษาที่ดีที่สุด จึงควรผ่านการวินิจฉัยอาการของโรคจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

"จริง ๆ แล้วโรคน้ำกัดเท้าไม่อันตราย หากรู้จักดูแลตนเองอย่างถูกวิธีว่า เมื่อเดินผ่านน้ำท่วมขัง ต้องรู้จักล้างเท้าให้สะอาด เช็ดเท้าให้แห้ง รวมถึงไม่กลับไปใส่รองเท้าในขณะที่ยังเปียกชื้น หากไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นน้ำกัดเท้าชนิดใด ก็ควรไปพบแพทย์ เพราะอาการของน้ำกัดเท้าที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ต้องใช้ยาในกลุ่มของสเตียรอยด์บวกยาต้านแบคทีเรีย ส่วนอาการของน้ำกัดเท้าที่เกิดจากการติดเชื้อรา ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนการให้ยาทาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคน" คุณหมอผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง กล่าว


ผื่นภูมิแพ้


ผื่นภูมิแพ้ ก็แก้ไขได้

นอกจากนี้ ในช่วงที่ฤดูกาลกำลังจะผลัดเปลี่ยน ผิวหนังต้องเจอทั้งกับแดดร้อน ความเปียกชื้น และความเย็นจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย "ผื่นภูมิแพ้" ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่หลายคนต้องพบเจอ โอกาสนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังให้คำแนะนำต่อไปอีกว่า ควรดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ผิวจะได้มีสุขภาพดีพร้อมรับมือกับทุกสภาพอากาศ ดังนี้

1. การอาบน้ำ ควรอาบน้ำในอุณหภูมิปกติ อุ่นนิดหน่อยได้ แต่ควรระวังอย่าให้เป็นน้ำที่อุ่นจัดหรือร้อนเกินไป เพราะการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนมาก ๆ จะทำให้ผิวแห้ง เมื่อผิวแห้งก็จะทำให้เกิดอาการคัน และผิวหนังอักเสบได้ง่ายมากขึ้น

2. การใช้สบู่ ควรใช้สบู่ที่มีค่า PH เป็นกลาง ซึ่งเหมาะกับผิวของคนที่เป็นภูมิแพ้มากที่สุด ไม่ควรใช้ที่เป็นด่างมากเกินไป ที่สำคัญคือไม่ควรฟอกสบู่ หรือแช่น้ำนาน ๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง

3. หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ เพราะขณะอาบน้ำ ผิวจะสูญเสียไขมันที่เคลือบเซลล์ผิว การทาครีมบำรุงเป็นประจำ จึงเป็นสิ่งช่วยเพิ่มเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว

"หากดูแลแบบนี้ได้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ปล่อยให้ผิวแห้ง โอกาสที่ผื่นแพ้จะกำเริบก็จะมีน้อยลง แต่หากมีผื่นแพ้แดงคันขึ้นมา ก็สามารถกินยา หรือทายาที่มีอยู่เดิมได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว" คุณหมอผิวหนัง กล่าวทิ้งท้าย




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2556    
Last Update : 13 ตุลาคม 2556 19:27:30 น.
Counter : 835 Pageviews.  

สธ. เตือนดื่มน้ำมากเกินไม่ดี เสี่ยงสมองบวม เสียชีวิตได้

น้ำ


สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม


  อธิบดีกรมการแพทย์ เตือน อย่าดื่มน้ำมากเกินวันละ 6-7 ลิตร เพราะเสี่ยงเกิดอาการไฮโปแนทรีเมีย สมองบวมจนเสียชีวิตได้

       เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2556 นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า การดื่มน้ำนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบ 2 ใน 3 ของร่างกาย แต่หากดื่มน้ำมากเกินไปคือ วันละ 6-7 ลิตร จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากเกินไปในเวลารวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน หรือน้ำเป็นพิษ (Water Intoxication) เนื่องจากน้ำจะเจือจาง ทำให้ความเข้มข้นของแร่ธาตุโซเดียมลดลง

ทั้งนี้ โซเดียมถือเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในร่างกาย มีหน้าที่รักษาสมดุลน้ำระหว่างนอกเซลล์และภายในเซลล์ เมื่อถูกเจือจางลง จะทำให้น้ำภายนอกเซลล์ซึมเข้าไปภายในเซลล์ ทำให้เซลล์บวมน้ำ เกิดภาวะที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ หรือไฮโปแนทรีเมีย (Hyponatremia) จะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจกระตุกหรือชัก สมองบวม ปอดบวม และเสียชีวิตได้

ดังนั้น จากกรณีข่าวฝาแฝดอายุ 16 ปี เข้าร่วมพิธีกินเจที่บ้านญาติใน อ.สะเดา จ.สงขลา และดื่มน้ำวันละ 18 ลิตร เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจออกจากร่างกาย จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตนั้น ถือเป็นอุทาหรณ์เตือนใจเกี่ยวกับความเชื่อและความศรัทธาโดยขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตด้วย 

          ด้านแพทย์หญิงนฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ ได้แนะนำให้ผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ ระมัดระวังในการดื่มน้ำ คือต้องปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ ส่วนคนที่ชอบดื่มน้ำมาก ๆ ให้ท้องอิ่ม จะได้ไม่ต้องทานอาหารเพื่อหวังจะลดน้ำหนักนั้น อาจเป็นอันตรายได้ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือโซเดียมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกบ่อย ๆ จนอาจทำให้นอนไม่พอ ส่วนนักกีฬาที่เสียเหงื่อมาก ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากเกิน 1 ลิตรในเวลาอันรวดเร็ว เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะไฮโปแนทรีเมียได้เช่นกัน

สำหรับวิธีการดื่มน้ำที่ถูกวิธีนั้น ต้องดื่มวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอกับร่างกาย และช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำได้ แต่ไม่ควรดื่มทีเดียวหมดวิธีการที่ถูกต้องก็คือ ควรจิบบ่อย ๆ ทีละน้อย แต่ตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันอาการท้องอืด และให้ร่างกายได้มีเวลาดูดซึมน้ำ นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ร่างกายขาดน้ำเกิน 2 ชั่วโมง ดังนั้น จึงควรพกน้ำติดตัวไว้เสมอ จะได้สามารถดื่มได้ตลอดทั้งวัน





 

Create Date : 10 ตุลาคม 2556    
Last Update : 10 ตุลาคม 2556 20:19:20 น.
Counter : 911 Pageviews.  

รักษาอาการไอแบบไม่พึ่งยา ด้วยธรรมชาติบำบัดแบบบ้าน ๆ

แก้ไอ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ฝนตกบ่อย ๆ แบบนี้ไข้หวัดคงถามหากันแบบไม่ต้องสงสัย หลายคนก็เริ่มมีอาการไอจามกันบ้างแล้ว แล้วเวลาไอจามกันทีก็สุดแสนจะเจ็บคอ แถมยังน่ารำคาญมาก ๆ บางคนไม่เป็นอันนอนกันเลยทีเดียว ใครที่กำลังมีอาการไอ อยากหาวิธีรักษาให้หายไปโดยเร็วที่สุด ถ้าลองกินยาสารพัดขนานไปแล้วก็ไม่หาย คราวนี้มาลองวิธีธรรมชาติบำบัดรักษาอาการไอแบบบ้าน ๆ ที่เว็บไซต์ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เขาแนะนำมาดีกว่า


ดื่มชาไทม์

          ใบไทม์เป็นสมุนไพรที่รู้กันดีในประเทศเยอรมันนี ว่าช่วยบรรเทาอาการไอ อาการคัดจมูก และอาการไอกรนได้เป็นอย่างดี เพราะใบไทม์มีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) และมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายหลอดลม และกล้ามเนื้อลำไส้ส่วนปลาย อีกทั้งมีฤทธิ์รักษาอาการอักเสบในร่างกาย ส่งผลให้เราสามารถหายใจได้สะดวกขึ้น อีกทั้งอาการไอก็จะค่อย ๆ หายไปด้วย วิธีชงชาก็ไม่ยาก แค่นำใบไทม์บดละเอียด 2-3 ช้อนโต๊ะใส่ลงไปในถ้วยน้ำร้อนจัด หาอะไรมาปิดปากแก้วให้สนิท ทิ้งไว้สัก 10 นาที จากนั้นก็กรองใบไทม์ออก แล้วก็ดื่มให้โล่งคอได้เลยจ้า


แก้ไอ


เมล็ดแฟลกซ์ (flaxseed) + น้ำผึ้ง + มะนาว

          เมล็ดแฟลกซ์ หรือ เมล็ดลินิน เป็นเมล็ดพืชที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สามารถยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ช่วยขยายหลอดเลือด และลดการทำลายเซลล์จากการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจกำเริบ ลดการอุดตันในหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ลดการเกิดข้ออักเสบ หอบหืด รวมทั้งภูมิแพ้ได้อีกด้วย

แต่ถ้าอยากจะบรรเทาอาการไอ ให้นำเมล็ดลินินดิบประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ไปต้มกับน้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง ต้มไปเรื่อย ๆ จนน้ำใส ๆ เริ่มข้นเหนียว ทิ้งไว้ให้เย็นสักพัก จากนั้นก็ปรุงรสด้วยน้ำผึ้งและน้ำมะนาวตามใจชอบ น้ำผึ้งและมะนาวจะเป็นเสมือนยาปฏิชีวนะ ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อยู่ในลำคอ หลอดลม รวมไปถึงร่างกายของเราให้หมดไป สำหรับคนที่ไอและมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย สูตรธรรมชาติบำบัดนี้จะช่วยบรรเทาทั้งอาการเจ็บคอและอาการไอให้หายเป็นปกติได้ในที่สุด


พริกไทยดำ + น้ำผึ้ง

          ธรรมชาติบำบัดสูตรนี้เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมของอังกฤษกับจีนเข้าด้วยกัน เนื่องจากพริกไทยดำมีความเผ็ดร้อน ช่วยขับลมไล่สิ่งขจัดขัดขวางทางเดินหายใจได้ดีเยี่ยม จึงทำให้จมูกโล่งและหายใจได้คล่องขึ้น ส่วนน้ำผึ้งก็เป็นยาปฏิชีวนะชนิดอ่อน ช่วยฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย สูตรนี้จึงเหมาะมากกับคนที่มีอาการไอแบบมีเสมหะและมีน้ำมูก

วิธีชงก็ไม่ยาก เพียงแค่ผสมพริกไทยดำสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำร้อนจัด 1 แก้ว จากนั้นก็เติมน้ำผึ้งแท้ลงไป 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ปิดฝาแก้วทิ้งไว้ 15 นาที กรองเอากากออกแล้วก็ดื่มทันที อาการไอแบบมีเสมหะก็จะหายไป แต่สูตรนี้ไม่เหมาะกับอาการไอแห้งนะคะ


น้ำมะนาวคั้นสด ๆ กับเกลือ

          สำหรับคนที่ไอมานานจนเจ็บคอไปหมด ให้ฝานมะนาวออกครึ่งลูก แกะเม็ดออกให้เกลี้ยง โรยเกลือลงบนผลมะนาวเล็กน้อย จากนั้นก็บีบมะนาวเข้าปากไปเลย วิธีนี้อาจจะดูดิบเถื่อนไปนิด แต่เชื่อเถอะว่ามันสามารถบรรเทาอาการเจ็บคอและอาการไอได้อยู่หมัดจริง ๆ คุณเองก็จะรู้สึกได้เลยว่าน้ำมะนาวและเกลือที่ไหลผ่านลำคอลงไป จะชโลมผดผื่นของการอักเสบได้อย่างทั่วถึงเลยทีเดียว


นม ผสม น้ำผึ้ง


จิบนมอุ่น ๆ ผสมน้ำผึ้ง

          จิบยาแก้ไอมาก็นาน แต่ไม่เห็นว่าอาการไอจะลดลงเลย อย่างนี้มาลองวิธีธรรมชาติบำบัดแบบบ้าน ๆ กันดีกว่า แค่ผสมน้ำผึ้งลงในนมสดอุ่น ๆ  1 แก้วให้พอมีรสหวาน คนให้เข้ากันสักหน่อย แล้วก็นั่งจิบไปเรื่อย ๆ ก่อนจะนอน ดื่มนมแบบนี้ไม่กี่วัน รับรองเลยว่าอาการไอจะหายเป็นปลิดทิ้งเชียวล่ะ


อัลมอนด์ป่นผสมน้ำส้มคั้น

          เห็นส่วนผสมจากสูตรแล้วอาจจะดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร แต่ภูมิปัญญาของโบร่ำโบราณเขาได้พิสูจน์มาแล้วว่า อัลมอนด์มีสรรพคุณช่วยบรรเทาปัญหาทางหลอดลมและทางเดินหายใจ รวมทั้งอาการไอก็ด้วยเช่นกัน ดังนั้นอีกสูตรธรรมชาติบำบัดแบบบ้าน ๆ ที่สามารถช่วยแก้อาการไอได้เด็ดไม่แพ้ยาแก้ไอใด ๆ ก็คือ โรยเมล็ดอัลมอนด์คั่วบดละเอียดลงในน้ำส้มคั้นใส่เกลือ 1 แก้วใหญ่ คนให้เข้ากันแล้วก็จิบระหว่างวันเหมือนยาแก้ไอได้เลยจ้า


ใครที่มีอาการไอรบกวนอยู่ตอนนี้ แต่พยายามรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันมาหลายขนานก็ไม่ได้ผลสักที ถ้าอย่างนั้นลองนำสูตรธรรมชาติบำบัดทั้ง 6 สูตรของเราไปบรรเทาอาการดูกันสิคะ แต่ละสูตรก็เป็นสไตล์บ้าน ๆ ทำง่ายมากเลยทีเดียว แต่สรรพคุณสุดจี๊ดแบบไม่ธรรมดา รับรองว่าสามารถไล่อาการไอที่แสนน่ารำคาญไปจากร่างกายเราได้อยู่หมัดเลยล่ะ




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2556    
Last Update : 6 ตุลาคม 2556 17:55:30 น.
Counter : 970 Pageviews.  

20 เคล็ดลับเจ๋ง ๆ ช่วยทำให้ตัวเองดูเด็กลง

ตอนนี้ในบล็อกมีเพื่อนๆเข้ามาเยี่ยมชมบล็อก ล้านพรีวิว เราจขบ อยากขอบคุณเพื่อนทุกคนที่แวะเข้ามาเยี่ยมอ่าน ข่าว ในบล็อกของเรานะคะ หวังว่าข่าวทั้ง ด้านอาชญากรรม ข่าวบันเทิงดารา ภาพยนตร์ หรือกีฬา และข้อมูล ความรู้ ทางด้านสุขภาพ ความงาม และด้านอื่นๆ ที่เรานำมาลงให้เพื่อนได้อ่านกัน จะได้รับทั้งความรู้และความบันเทิง นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและสังคม และเราจะหาข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์ ทุกสาระรูปแบบมาให้อ่านกันต่อไปค่ะ เราจะดีใจและมีกำลังใจมาก ถ้าสิ่งที่เราลงไว้และมีประโยชน์กับคนอื่น แค่นี้ก็สุขใจแล้วค่ะ หากวันไหนที่เราไม่ว่างติดธุระกลับดึก ไม่สบายอาจจะไม่ได้ลงข่าวให้อ่านแต่เพื่อนทุกคนสามารถหาข่าวสารอย่างอื่นในบล็อกอ่านได้นะคะ เราลงไว้หลายกลุ่มเลยคะขอให้ข้อมูล ข่าวสารที่เราลงมีประโยชน์กับทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ หากมีอะไรผิดพลาดแสดงความคิดเห็นมานะคะ

สาวเอเชีย

20 วิธี ดูเด็กลงด้วยตัวเอง (APPEAL)

เรื่องหน้าเด็กเป็นเรื่องที่ไม่มีใครยอมใครได้ง่าย ๆ ใครมีสูตรไหนเด็ดสูตรไหนลับสุดยอดก็งัดมาใช้กันแบบเต็มที่เพื่อใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์เท่าเด็กสาวแรกรุ่น วันนี้เราเลยขอจัดสูตรเด็ด เคล็ดลับการดูแลรักษาสุขภาพทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย 20 วิธีมาฝากกัน

1. บริโภควิตามินซีและอีเป็นประจำ ทำให้ดูเด็กลงกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 6 ปี

2. อย่าอยู่ใกล้ควันบุหรี่ คนที่อยู่ใกล้ ๆ ควันบุหรี่วันละไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง จะดูแก่กว่าอายุจริงราว ๆ 6.9 ปี ซึ่งพอ ๆ กับคนที่สูบบุหรี่เป็น ประจำเลยทีเดียว

3. แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน คนฟันสวย จะดูเด็กกว่าปกติประมาณ 6.4 ปี

4. มีเซ็กส์ เซ็กส์ที่มีคุณภาพหมายถึงไปถึงจุดสุดยอดได้มากเท่าไร ใน 1 ปี จะทำให้เราดูเด็กกว่าอายุจริงได้ถึง 1.6-8 ปี เชียวนะ 

5. อย่าอด อาหารเช้าเป็นมื้อที่ควรบริโภคทุกวันจะช่วยให้ดูเด็กกว่าอายุจริง ๆ ลงได้ 2 ปี


หัวเราะ


6. หัวเราะเข้าไว้ เพราะการหัวเราะทำให้คุณดูเด็กลง 1.7-8 ปี

7. เลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ เพราะอาหารไขมันต่ำจะทำให้คุณดูเด็กลงไม่ต่ำกว่า 6 ปี

8. เรียนรู้สิ่งรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา เพราะการเรียนรู้และหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำสม่ำเสมอจะทำให้คุณดูเด็กลง 2.5 ปี

9. สร้างเครือข่ายสังคม การอยู่ในสังคมที่ดี มีเพื่อนสนิทครอบครัวที่รักใคร่ กลมเกลียวจะช่วยลดความเครียดจากการทำงานจะทำให้เราดูเด็กลงได้ตั้งแต่ 2-30 ปี


นอนหลับ


10. นอนหลับให้พอ การนอนหลับยาว ๆ นาน ๆ สม่ำเสมอในแต่ละคืนทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย ผู้หญิงควรนอนให้ได้ 7 ชั่วโมง และชาย 8 ชั่วโมง จะทำให้เราดูเด็กลง 3 ปี

11. เลี้ยงสุนัขและเดินเล่นกับมัน วิธีนี้จะทำให้เราดูเด็กลง 1 ปี

12. ไปตรวจสุขภาพบ้าง คนที่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี จะทำให้เราดูเด็กลงกว่าอายุจริงถึง 12 ปี

13. ตรวจและสอบประวัติสุขภาพของครอบครัว การป้องกันตัวเองจากโรคที่เคยเป็นในครอบครัวดังกล่าว จะช่วยให้คุณดูเด็กกว่าพ่อแม่ของคุณ เมื่อเวลาที่คุณมีอายุเท่ากับท่านถึง 4 ปี


ออกกำลังกาย


14. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังที่เหมาะสมจะทำให้ดูเด็กลง 3-8 ปี

15. หยุดสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี

16. งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง การติดแอลกอฮอล์จะทำดูแก่กว่าอายุจริง 3-5 ปี

17. อย่าลืมเรื่องเศรษฐกิจ คนที่มีปัญหาเครียดเรื่องเงินจะทำให้ดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี


ชั่งน้ำหนัก


18. รักษาน้ำหนักให้มาตรฐานคงที่ คนที่ลดน้ำหนักลงได้จะทำดูเด็กกว่าอายุจริงไม่ต่ำกว่า 6 ปี

19. บริโภคอาหารแคลอรีต่ำแต่คุณค่าโภชนาการสูง การบริโภคผักผลไม้สดและปลา จะทำดูเด็กลง 4 ปี

20. หาทางออกที่เหมาะสมเมื่อพบวิกฤติของชีวิตการเอาชนะปัญหาชีวิตได้ จะทำคุณดูเด็กลง 8-16 ปี




 

Create Date : 30 กันยายน 2556    
Last Update : 30 กันยายน 2556 19:35:28 น.
Counter : 1047 Pageviews.  

มหัศจรรย์ความลับของร่างกาย ได้รู้แล้วทึ่งสุด ๆ

เซอร์ไพรส์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

       จิตใจของคนเรายากแท้จะหยั่งถึง ร่างกายของเราเองก็เช่นกันที่มีระบบต่าง ๆ ซับซ้อนซ่อนอยู่ ซึ่งถ้าเราไม่ใช่หมอที่มีความรู้ หรือนักวิทยาศาสตร์ ก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้ความลับของร่างกายอีกหลายต่อหลายอย่าง แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่หมอ ก็สามารถรับรู้ความลับของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายได้เหมือนกัน เพราะเว็บไซต์ Readers’ Digest เขาได้หอบเอาข้อมูลจาก Travis Stork หัวเรือใหญ่ของรายการ The Doctors มาฝากกันด้วย เอาเป็นว่ารีบมาอ่านกันดีกว่า ร่างกายเขาอยากจะบอกความลับให้เราได้รู้กันแย่แล้วจ้า


สมอง


สมองมีความคิดกว่า 20,000 อย่างต่อวัน

          เคยสงสัยกันไหมคะว่าวัน ๆ หนึ่งในสมองของเรามีความคิดวนไปเวียนมากันมากเท่าไร คำตอบก็คือเซลล์สมองและเส้นประสาทนับ 100 พันล้านเซลล์มีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา เฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 5-50 ครั้งต่อวินาที ชีพจรเต้นเร็ว 270 ไมล์ต่อชั่วโมง และปรากฏการณ์นี้ก็ทำให้เราสามารถพูดเห็นและเห็นสิ่งของต่าง ๆ ด้วยความคิดที่ต่อเนื่องได้ เป็นต้นว่า

1. เห็นสัตว์ตัวเล็กที่มีขนปุกปุยตัวนั้นว่าเป็นแมว

2. มีสีส้ม

3. คุณนึกถึงแมวการ์ฟีลด์

4. คุณจำได้ว่าการ์ฟีลด์เป็นการ์ตูนเรื่องโปรดของคุณเอง






ร่างกายของเราไม่สามารถถึงจุดเดือด หรือจุดเยือกแข็งได้

          ในร่างกายของเรามีระบบปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติอยู่ ซึ่งจะคอยปรับอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุลกับสภาพอากาศภายนอก อย่างถ้าข้างนอกมีอุณหภูมิสูงกว่า 36 องศาเซลเซียส ร่างกายจะรู้สึกร้อน และระบายความร้อนออกมาในรูปแบบเหงื่อ แต่ถ้าอุณหภูมิเริ่มเย็นลง ต่อมเหงื่อก็จะปิด และอุณหภูมิในร่างกายก็จะค่อย ๆ ปรับตัวเป็นปกติต่อไป หรือถ้าอากาศภายนอกเย็นจัด ร่างกายก็จะส่งความร้อนออกมาให้ความอบอุ่นทันทีเช่นกัน


หัวใจ


หัวใจเต้นเป็นจังหวะ 60-100 ครั้งต่อนาที

          ร่างกายของเรามีจังหวะการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 100,000 ครั้งต่อวัน หรือประมาณ 3 พันล้านล้านครั้งในชีวิตของคนคนหนึ่งโดยเฉลี่ย แต่ถ้าได้ออกกำลังกาย หัวใจก็จะเต้นแรงขึ้นอีกกว่า 70% เมื่อเทียบกับคนที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยกว่า ซึ่งจะมีอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นเพียง 20% เท่านั้น และเลือดก็จะสูบฉีดผ่านหลอดเลือดแดงได้ถึง 2,000 แกลลอนต่อวันเลยด้วยค่ะ

หายใจ

เราหายใจ 25,000 ครั้งต่อวันโดยธรรมชาติ

          การหายใจโดยธรรมชาติก็คือ การที่เราหายใจเป็นปกติในแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งถือว่าเป็นกลไกธรรมชาติของเซลล์สมองที่สั่งการให้ร่างกายเราหายใจ และใคร ๆ ก็รู้ว่าตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ ก็หมายถึงการมีชีวิตอยู่ของเรานั่นเอง แต่ทราบไหมคะว่าใน 1 วัน เราหายใจไปมากถึง 25,000 ครั้งเลยทีเดียว

ที่ต้องหายใจถี่ขนาดนี้ก็เพราะว่า ร่างกายของมนุษย์ทุกคนต้องมีการเผาผลาญ ซึ่งกระบวนการเผาผลาญจำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนประมาณ​ 7-10 ออนซ์ต่อนาที และก็ไม่ต้องกลัวว่าหายใจเอาอากาศเข้าไปมากขนาดนั้นแล้วจะไม่มีที่เก็บ เพราะในร่างกายก็มีถุงลมเอาไว้เก็บออกซิเจนได้มากถึง 300 ล้านโมเลกุลอากาศขนาดเล็ก (microscopic) ซึ่งสามารถกักออกซิเจนเอาไว้ใช้ และกรองคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากร่างกายได้อีกด้วย


ดวงตา


กล้ามเนื้อประสาทตาเคลื่อนไหวกว่าแสนครั้งต่อวัน

          กล้ามเนื้อจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับการโฟกัสระยะการมองเห็นของเราต้องเคลื่อนไหวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน หรือเทียบเท่ากับการเดินไกลกว่า 50 ไมล์เลยทีเดียว เพื่อให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมรักษาสุขภาพตากันให้ดีด้วยนะคะ เส้นประสาทตาของเราจะได้ทำงานหนักน้อยลงอีกหน่อย


ดวงตา


เรากะพริบตาประมาณ​ 15 ครั้งต่อนาที

          นอกจากจอประสาทตาจะต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอแล้ว ในขณะที่เราตื่นนอน ร่างกายของเรายังสั่งการให้เราต้องกะพริบตาประมาณ 15 ครั้งต่อนาที หรือประมาณ 15,000 ครั้งต่อวันอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องดวงตาจากฝุ่นและอันตรายทั้งหลาย อย่างถ้าสังเกตเวลาที่มีลมแรง ๆ หรืออากาศเย็น ๆ ดูสิ จะรู้สึกได้ว่าเราจะกะพริบตาหรือหรี่ตาลงบ่อยขึ้น

ปาก

ร่างกายผลิตน้ำลายกว่า 6 ถ้วยต่อวัน

ดูเหมือนจะไม่มากขนาดนั้น แต่จริง ๆ แล้วถ้าจะวัดตวงกันอย่างจริงจังก็จะเห็นว่า ร่างกายของเราผลิตน้ำลายออกมามากถึง 6 ถ้วยต่อวันเลยทีเดียว และอย่าได้ยี้น้ำลายเด็ดขาดเชียวนะคะ เพราะถ้าไม่มีน้ำลาย ร่างกายของเราจะไม่สามารถรับรสอาหารได้ กลืนอาหารก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ชัด อีกทั้งน้ำลายยังมีประโยชน์ในเรื่องของการช่วยย่อยอาหาร ดักจับและฆ่าเชื้อโรคที่ผ่านเข้ามาทางปากของเราได้ด้วย เพราะในน้ำลายมีเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามาก ๆ เลยล่ะ


เตือนควันบั้งไฟถึงขั้นมะเร็งเม็ดเลือด


ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง 3 ล้านเซลล์ต่อวินาที

           เลือดทุกหยดในตัวเราจะประกอบไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่เต็มไปหมด เพราะเพียงแค่เลือดหยดเดียวก็จะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงนับล้านตัวผสมอยู่ ดังนั้นร่างกายจึงต้องผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาเยอะ ๆ เพื่อให้โปรตีนฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงไปจับกับออกซิเจน และส่งไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไงล่ะ


มีดบาด


ทุกครั้งที่มีดบาด แผลจะไม่โชกเลือดหรือติดเชื้อ

          ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่าเวลาที่ถูกมีดบาดแบบไม่ลึกเท่าไร จะมีเลือดซึมออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และแผลที่ถูกมีดบาดก็ไม่ได้อักเสบหรือติดเชื้อถ้าได้รับการดูแลที่ดีด้วย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าทุกครั้งที่เกิดบาดแผลบนผิวหนังของเรา เลือดที่หลั่งออกมาจะช่วยทำความสะอาดบาดแผล และป้องกันเชื้อโรคเข้าไปด้วยการแข็งตัวเป็นลิ่ม เพื่อที่จะไปขัดขวางสิ่งสกปรกต่าง ๆ

          แต่ถ้ามีเชื้อโรคแทรกแซงเข้าไปในแผลได้ เซลล์เม็ดเลือดขาวก็จะออกมาจัดการเชื้อโรคเหล่านั้นทันที และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะหลั่งสารฮีสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ จึงทำให้แผลเกิดอาการบวมแดงนั่นเอง และกระบวนการเหล่านี้ก็จะกระตุ้นให้ทุกเซลล์ในร่างกายของเราตื่นตัว เพื่อคอยรับมือกับเชื้อโรคที่แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายเราด้วย

ไต

ไตอาศัยเลือดกว่า 50 แกลลอนเพื่อช่วยฟอกให้สะอาด

          ในแต่ละวันร่างกายได้รับมลพิษ และสารพิษไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จึงทำให้ไตต้องคอยฟอกเลือดอย่างขะมักเขม้น และในกระบวนการทำความสะอาดไตแต่ละครั้ง ก็ต้องอาศัยเลือดมากกว่า 50 แกลลอน หรือประมาณ 3 เท่าของถังแก๊สรถยนต์ขนาดกลาง เพื่อช่วยในการฟอกไตให้สะอาด และกลั่นเอาสารพิษออกไปจากร่างกายด้วย

          นอกจากนี้ไตยังเป็นอวัยวะที่สำคัญกับการรักษาความสมดุลของระบบขับถ่ายของเรา โดยดูได้จากเวลาที่เราดื่มน้ำเยอะ ไตก็จะทำงานได้ดีขึ้น เวลาขับปัสสาวะก็จะออกมาเป็นสีเหลืองอ่อน หรือสีซีดจนเกือบขาว แต่ถ้าวันไหนดื่มน้ำน้อย สารพิษในร่างกายก็จะตกค้างอยู่เยอะ และไตก็ขับพิษออกมาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงทำให้ปัสสาวะออกมาเป็นสีเหลืองเข้มคล้าย ๆ สีของน้ำแอปเปิล


กระดูก

ร่างกายสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาประมาณ ​0.3% ทุกวัน

          กระดูกของเราทุกคนแข็งแรงเหมือนเหล็ก แต่มีน้ำหนักเบาเหมือนอะลูมิเนียม และมีชีวิตอยู่ร่วมกับเส้นเลือดและเส้นประสาทอีกมากมาย นอกจากนี้กระดูกยังเป็นอวัยวะที่ร่างกายผลิตใหม่ออกมาใหม่ได้ตลอดอายุของเราเอง แต่สำหรับคนที่โตเต็มที่แล้วร่างกายก็จะผลิตกระดูกเพิ่มขึ้น 10 % ต่อปี หรือเฉลี่ยก็ประมาณ 0.3% ต่อวัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราไม่ค่อยได้ใช้กระดูก หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเท่าไรนัก กระดูกก็มีสิทธิ์ที่จะหด เสื่อมสภาพ และเติบโตได้ช้ากว่าคนที่ออกกำลังกายอยู่เสมอด้วยนะคะ


เท้า

เหงื่อที่เท้าเราหลั่งออกมามากกว่า 2 ถ้วยต่อวัน

          ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเท้าเราถึงมีกลิ่นอับมากกว่าจะมีกลิ่นหอมสดชื่น เพราะในแต่ละวันที่เราก้าวเดินโดยเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่า 8,000-10,000 ก้าว ร่างกายก็จะผลิตเหงื่อออกมาที่เท้ามากเท่านั้น โดยเฉลี่ยแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 2 ถ้วยตวงต่อวันเลยทีเดียว ยิ่งถ้าสวมถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบ เหงื่อที่ออกมากก็จะไม่มีที่ระบายให้แห้ง สุดท้ายก็จะอับจนส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาอีกด้วย


ผิวหนัง

เซลล์ผิวที่ตายแล้วมีมากถึง 50 ล้านเซลล์ต่อวัน

          ผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีพื้นที่กว้างที่สุดในร่างกายของเรา และมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อร่างกายเราหลายอย่าง เช่น เป็นที่อาศัยของต่อมเหงื่อ โดย 1 ตารางนิ้วของผิวหนังจะมีต่อมเหงื่อประมาณ 650 ต่อม เป็นที่อยู่ของหลอดเลือดกว่า 20 ฟุต มีเซลล์เม็ดสีอยู่มากถึง 60,000 เซลล์ และมีปลายประสาทอยู่ใต้ผิวหนังอีกประมาณ 1,000 ปลายประสาท ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าแต่ละวันร่างกายของเราจะผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปได้มากถึง 50 ล้านเซลล์ต่อวัน


ออกกำลังกาย

ร่างกายมีระบบต่อสู้มะเร็งเสมอ

ร่างกายของเรามีเซลล์อยู่ประมาณล้านล้านเซลล์ ถ้าการกลายพันธุ์เกิดขึ้นในดีเอ็นเอในส่วนใดก็ตาม ก็สามารถสร้างเซลล์มะเร็งที่พร้อมจะลุกลามแพร่กระจาย และกลายเป็นเนื้องอกได้หมด

          ทั้งนี้ ในแต่ละนาทีร่างกายก็จะมีการแตกเซลล์ด้วย ซึ่งการแตกเซลล์ในแต่ละครั้งก็จะมีการคัดลอกยีน 30,000 ยีนด้วยทุกครั้ง และถ้าหากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจับความผิดปกติของยีนและดีเอ็นเอที่คัดแยกออกมาได้ ก็จะหยุดส่งเลือดและสารอาหารไปให้เซลล์ดีเอ็นเอที่ผิดปกตินั้นทันที จนส่งผลให้ดีเอ็นเอที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งเหล่านั้นค่อย ๆ ฝ่อและตายไปในที่สุด ทำให้เรารอดพ้นจากโรคมะเร็งได้ขั้นหนึ่งนั่นเอง

ได้รู้ความลับของร่างกายที่เราไม่เคยได้รู้มาก่อนแล้วอย่างนี้ ต่อไปจะได้ดูแลร่างกายและสุขภาพของเราได้อย่างถูกต้องกันมากขึ้น และจะได้ลดความวิตกกังวลกับปัญหาสุขภาพบางอย่างไปได้อีกด้วยเนอะ




 

Create Date : 22 กันยายน 2556    
Last Update : 22 กันยายน 2556 18:54:10 น.
Counter : 1670 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.