Group Blog
 
All blogs
 

ปวดท้อง อาการอย่างนี้มีสาเหตุ

ปวดท้อง อาการอย่างนี้มีสาเหตุ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

  อาการปวดท้อง เป็นสิ่งที่ต้องพบเจอกันอยู่เสมอ ไหนจะทั้งอาการ ปวดท้องข้างซ้าย ปวดท้องข้างขวา การปวดท้องเหล่านี้มีสาเหตุนะ เรามาเรียนรู้สาเหตุ วิธีป้องกันและการรักษากันเถอะ

          ปวดท้อง เป็นอาการที่เกือบทุกคนจะต้องเคยพบเจอ ซึ่งบางครั้งแค่กินยาก็หาย แต่บางคนไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ไม่หายปวดสักที ไม่ว่าจะปวดจี๊ด ปวดเกร็งเป็น ๆ หาย ๆ ว่าแล้วก็ชักจิตตกไม่รู้ว่าจะเป็นโรคร้ายอะไรหรือเปล่านะสิ เอาเป็นว่าวันนี้กระปุกดอทคอมขออาสาพาไปดูสาเหตุของการปวดท้องที่เว็บไซต์ health.com นำมาบอกให้รู้กัน ใครที่กำลังปวดท้องรีบเช็กด่วน

นิ่วในถุงน้ำดี

          นิ่วเกิดจากผลึกและสิ่งแปลกปลอมที่มีการตกตะกอนเป็นก้อนอยู่ในถุงน้ำดีซึ่งมีหน้าที่ผลิตน้ำย่อยที่ช่วยในการย่อยไขมัน โดนก้อนนิ่วเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ลำไส้บวมและไปขวางท่อลำไส้จนเกิดอาการปวดขึ้นที่บริเวณช่องท้องช่วงบนด้านขวา โดยมักจะมีอาการหลังจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

ตับอ่อนอักเสบ

          การอักเสบของตับอ่อนมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์มากจนเกินไป และอาจทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงในช่องท้องส่วนบนหรือส่วนกลาง ซึ่งบางคนอาจเกิดอาการปวดบริเวณช่องท้องส่วนขวาลามไปยังแผ่นหลังได้ โดยวิธีการบรรเทาอาการปวดก็คือการโน้มตัวไปข้างหน้า หรือนอนหงายกับพื้น ก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง อย่างไรก็ตาม นายแพทย์อุซามะห์ อัลลาราดี นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารจากโรงพยาบาลเฮนรี่ฟอร์ดในเมืองดีทรอยด์ ได้แนะนำว่าให้ควรระมัดระวังอาการข้างเคียงอันได้แก่ อาการปวดเรื้อรัง คลื่นไส้ และอาเจียนอีกด้วย

กรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน

          โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่มีอาการเกิดขึ้นบริเวณกระเพาะอาหารส่วนบนและหลอดอาหารส่วนล่าง โดยเกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดที่หลอดอาหารส่วนปลายอ่อนแอลงจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหาร การรับประทานอาหารมากเกินไปหรืออาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้อาการแย่ลง ดังนั้นจึงควรเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมและรับประทานยาลดกรดเมื่อมีอาการ ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ค่ะ

แพ้แลคโตส

          การแพ้แลคโตสคืออาการที่เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลที่อยู่ในนมได้ โดยทั่วโลกมีผู้เป็นโรคนี้มากกว่าล้านคน และในบางพื้นที่นั้นมีคนที่มีอาการแพ้แลคโตสมากกว่าคนทั่วไปเสียอีก ผู้ที่มีอาการนี้จะไม่สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิดได้ และหากมีการรับประทานเข้าไปก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย เรอ มีแก๊สในกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อยค่ะ

ผลข้างเคียงจากยา

          ไม่มียาชนิดใดที่จะไม่มีผลข้างเคียง และบางครั้งผลข้างเคียงก็คืออาการปวดท้องนั่นเอง ซึ่งยาในกลุ่ม bisphosphonate เป็นยาที่ใช้ในการรักษาความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงนั่นก็คืออาการบวมและอาการปวดบริเวณของหลอดอาหารส่วนล่างได้ นอกจากนี้ ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs อย่างเช่นแอสไพรินยังอาจส่งผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วย

เยื่อบุลำไส้อักเสบ

          อาการเยื่อบุลำไส้อักเสบเป็นอาการที่เกิดจากการที่บริเวณเยื่อบุของลำไส้ใหญ่เกิดแผล ทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในถุงเยื่อบุลำไส้จนเกิดอาการอักเสบขึ้น ทำให้เป็นตะคริวในช่องท้องส่วนล่าง ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวินะและการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง แต่ในบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการบวมและเลือดออกในช่องท้องจนอาจจะต้องรักษาด้วยการทำการผ่าตัดค่ะ

ปวดท้อง อาการอย่างนี้มีสาเหตุ

แพ้โปรตีนกลูเตน

          แม้ว่าธัญพืชจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่สำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนกลูเตน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในธัญพืชจำพวกข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ หรือข้าวไรย์ ธัญพืชเหล่านี้อาจทำให้คุณปวดท้องได้เหมือนกัน โดยอาการนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคเซลีแอค (celiac disease) อาการก็คือเมื่อโปรตีนกลูเตนเข้าสู่ร่างกาย โปรตีนชนิดนี้ก็จะไปทำความเสียหายให้กับลำไส้เล็ก ทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ และไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักลด หรือแม้แต่การขาดสารอาหาร นอกจากนี้ยังทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด อาการปวดท้องอย่างรุนแรงและอาการอ่อนเพลีย

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

          ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เป็นอาการที่เกิดขึ้นในเฉพาะเพศหญิง ซึ่งเกิดจากการที่เยื่อบุในโพรงมดลูกนั้นไปเจริญเติบโตในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกเชิงกราน อาการเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่จะทำให้เกิดอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ และส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากอีกด้วย แถมอาการนี้ยังวินิจฉัยพบได้ยาก จำเป็นจะต้องให้สูตินรีแพทย์ที่เชี่ยวชาญทำการอัลตราซาวด์จึงสามารถวินิจฉัยอาการนี้ได้ โดยวิธีการรักษาที่ดีที่สุดก็คือการผ่าตัด เพราะการรับประทานยาแก้ปวดและรักษาด้วยฮอร์โมนนั้นไม่สามารถรักษาให้หายได้ ทำได้แค่เพียงบรรเทาอาการลงเท่านั้นค่ะ

โรคเกี่ยวกับไทรอยด์

          ถึงแม้ว่าต่อมไทรอยด์จะอยู่บริเวณลำคอแต่มันก็สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราได้ เพราะต่อมไทรอยด์นั้นควบคุมการทำงานหลายอย่างในร่างกาย ระบบทางเดินอาหารก็เช่นกัน

          โดยหากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานเร็วขึ้นและส่งผลให้เกิดอาการท้องร่วงและตะคริวในช่องท้องได้ และในขณะเดียวกัน ถ้าหากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนได้น้อยก็อาจจะทำให้เกิดอาการท้องผูกและแก๊สในกระเพาะอาหารได้เช่นกัน

พยาธิ

          ถ้าพูดถึงพยาธิคงไม่มีใครคิดอยากจะเอามันใส่มาไว้ในร่างกายของเราเป็นแน่ แต่หารู้ไม่ว่าพยาธิเหล่านี้สามารถอาศัยอยู่ในท้องของเราได้โดยเพียงแค่เราดื่มน้ำหรือกินอาหารที่ไม่สะอาด หรือแม้แต่หายใจ ไข่พยาธิก็สามารถเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว ! ซึ่งถ้าหากปล่อยเอาไว้เรื้อรังก็อาจทำให้ลำไส้เกิดการอุดตันและทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารและดื่มน้ำที่สะอาดถูกสุขลักษณะค่ะ และไม่รับประทานอาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ จะดีที่สุดจ้า


ไส้ติ่งอักเสบ อาการไส้ติ่ง

ไส้ติ่งอักเสบ

          ไส้ติ่งอักเสบ เป็นอาการที่คนจำนวนไม่น้อยต้องเคยพบเจอมาก่อน ซึ่งมักจะพบในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว และอาการอักเสบเหล่านี้ก็รุนแรงถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดอย่างกะทันหันเลย ถ้าหากไม่ทำการรักษาก็อาจจะทำให้เกิดการไส้ติ่งแตกจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เราสามารถสังเกตอาการได้โดยจะเริ่มปวดที่ช่องท้องส่วนกลางลามไปถึงช่องท้องด้านขวาส่วนล่าง และถ้าหากปวดมากขึ้นก็ควรไปพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ

แผลในกระเพาะอาหาร

          แผลในกระเพาะอาหารและแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นเป็นหนึ่งในสาเหตุของการปวดท้องได้ โดยปกติแล้วอาการปวดที่เกิดจากแผลในกระเพาะอาหารจะอยู่ในบริเวณช่องท้องส่วนกลางบน และบางครั้งก็เกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร ซึ่งผู้ที่มีแผลในลำไส้เล็กส่วนบนมักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง โดยสาเหตุสำคัญนั้นมาจากจากแบคทีเรีย แต่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา NSAID และ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (H. pylori) ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้สั่งให้เท่านั้น

เคี้ยวหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาลมากเกินไป

          ฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาลมากเกินไปก็อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดท้องและท้องเสียได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าถึงแม้ว่าฉลากจะระบุว่าปราศจากน้ำตาล แต่แท้จริงแล้วในหมากฝรั่งนั้นก็ยังมีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอยู่ และถ้าหากบริโภคมากเกินไปก็อาจทำให้ท้องเสียได้ โดยบทความวารสาร BMJ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 2008 ได้กล่าวถึงหญิงวัย 21 ปี ที่เคี้ยวหมากฝรั่งถึงวันละ 16 แท่ง ทำให้น้ำหนักลดลงถึง 11 ปอนด์ (5 กิโลกรัม) แต่ก็มีอาการปวดท้องและท้องเสียร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีหญิงวัย 45 ปี ที่มีอาการใกล้เคียงกันเพราะเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาลวันละเกือบ 20 แท่ง และรับประทานของหวานที่มีส่วนผสมของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลทุกวัน

ความเครียด

          ความเครียดนอกจากจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว ความดันโลหิตสูง และนอนไม่หลับแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาภายในช่องท้องอีกด้วย โดยการศึกษาในปี 2012 ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร the journal Gut พบว่า ภาวะซึมเศร้ามีความเชื่อมโยงกับระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดความอยากอาหารน้อยลง น้ำหนักลด หรือแม้แต่เกิดภาวะลำไส้แปรปรวน นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยอีกว่า อาการปวดท้องเรื้อรังก็สามารถทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ค่ะ


ปวดท้อง อาการอย่างนี้มีสาเหตุ

อาหารเป็นพิษ

          อาหารเป็นพิษมีสาเหตุมาจากไวรัสหรือแบคทีเรียที่ทำให้เราเกิดอาการปวดท้อง และท้องเสีย รวมถึงอาการอาเจียน โดยประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าในปีที่ผ่านมา มีผู้ที่ป่วยด้วยอาหารเป็นพิษถึง 20 คน จาก 7 รัฐ ที่ได้รับเชื้อซาลโมเนลลา (salmonella) จากการปนเปื้อนในเนื้อวัว ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีอาการแค่เพียง 1 - 2 วันเท่านั้น แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีภาวะกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบร่วมด้วยก็อาจจะทำให้อาการยาวนานขึ้น และบางรายอาจมีอาการที่รุนแรง

โรคลำไส้อักเสบ

          โรคลำไส้อักเสบ เป็นอาการอักเสบที่เกิดขึ้นได้ทั้งในลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ซึ่งอาจจะรวมถึงอาการลำไส้บวมอีกด้วย อาการลำไส้อักเสบสามารถทำให้เกิดแผลและการอุดตันในลำไส้ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องและท้องเสีย บางรายอาจมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก ถ้าหากมีอาการเรื้อรังก็อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคมะเร็งได้

ลำไส้แปรปรวน

          แม้ลำไส้แปรปรวนแตกต่างจากโรคลำไส้อักเสบ แต่ก็อาจจะนำไปสู่อาการปวดท้องเรื้อรังและการทำงานของลำไส้ที่ผิดปกติเช่นอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย เพียงแต่จะไม่มีอาการเลือดออกทางทวารหนัก ซึ่งอาการลำไส้แปรปรวนนี้จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยสามารถรักษาด้วยการรับประทานยาแก้ปวด และเช่นเดียวโรคลำไส้อักเสบ หากเรื้อรังเป็นเวลานานอาจจะทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ในที่สุด

มะเร็ง

          มะเร็งเป็นความผิดปกติที่อันตราย ซึ่งสามารถเกิดกับทุกอวัยวะในร่างกายได้ แม้แต่ในช่องท้องไม่ว่าจะเป็นตับอ่อน กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี หรือรังไข่ โดยโรคมะเร็งสามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องที่รุนแรงได้ นอกจากนี้ยังจะส่งผลให้สูญเสียความอยากอาหาร น้ำหนักลด อาเจียน ท้องอืดเรื้อรังได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าหากไม่มีการขับถ่ายผิดปกตินานเกิน 3-4 วัน ก็ควรที่จะสังเกตอาการให้มากขึ้นด้วยค่ะ

    อาการปวดท้องไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับเรานะคะ เพราะถึงแม้ว่าจะปวดเพียงนิดเดียว แต่เราก็ไม่ควรละเลย และที่สำคัญเราควรจะสังเกตร่างกายของเราอยู่เสมอ ถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นมาละก็ อย่าลืมไปพบแพทย์นะคะ ถ้าปล่อยเรื้อรังอาจจะสายเกินแก้ค่ะ




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2557    
Last Update : 7 ตุลาคม 2557 19:01:39 น.
Counter : 1047 Pageviews.  

7 ประโยชน์น่าทึ่ง ของการกินผลไม้ในมื้อเช้า

7 ประโยชน์น่าทึ่ง ของการกินผลไม้ในมื้อเช้า


   พบกับความมหัศจรรย์ของผลไม้ที่มีต่อร่างกายเมื่อรับประทานในตอนเช้า เรื่องนี้ไม่รู้ไม่ได้แล้ว

          มื้อเช้า ถือเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดสำหรับร่างกาย การรับประทานอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายทำงานทั้งวันอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้ทานอาหารในมื้ออื่น ๆ รวมทั้งขนมจุบจิบน้อยลงได้อีกด้วย แล้วถ้ายิ่งมีผลไม้ ที่ไม่ใช่พวกบรรดาผลไม้ที่ผ่านการดัดแปลง แต่เป็นผลไม้สด ๆ เป็นส่วนหนึ่งในมื้อเช้าด้วยละก็ รับรองว่าจะยิ่งไปประโยชน์มากมายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยละ อยากรู้กันไหมคะว่าการรับประทานผลไม้ตอนเช้ามีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมนำข้อมูลดี ๆ จากเว็บไซต์ allwomenstalk.com มาเสิร์ฟกันแล้วค่ะ ไปดูกันเลยดีกว่าเนอะ

ช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย

          ผลไม้ก็ถือเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ และน้ำตาลที่ย่อยช้า ซึ่งผลไม้นี่ละที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล ส้ม กล้วย ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ หรือเมลอน ผลไม้เหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดีเลยละค่ะถ้าอยากจะรับประทานผลไม้ในมื้อเช้า

กระตุ้นระบบขับถ่าย

          หากคุณกำลังประสบปัญหาท้องผูกอยู่ละก็ ลองรับประทานผลไม้ในมื้อเช้าสิ เพราะผลไม้มีกากใยสูงสามารถช่วยล้างสารพิษที่อยู่ในร่างกายมาตั้งแต่หลังมื้อเย็นจนถึงตื่นนอนได้ ดังนั้นถ้าเรารับประทานผลไม้เข้าไปในมื้อเช้าก็จะช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น เมื่อสารพิษต่าง ๆ ถูกขับออกมาผ่านการขับถ่ายแล้ว ร่างกายก็จะรู้สึกสดชื่นอีกครั้งค่ะ

7 ประโยชน์น่าทึ่ง ของการกินผลไม้ในมื้อเช้า

เอนไซม์สูง

          รู้หรือเปล่าว่าผลไม้ที่เรารับประทานกันอยู่นี้ เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยเอนไซม์ต่าง ๆ และเอนไซม์ในผลไม้นี่ละที่จะคอยทำหน้าที่ต่าง ๆให้ร่างกายมากมาย อย่างเช่นช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ตามธรรมชาติ แถมมันยังช่วยในการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไปอีกด้วย ซึ่งในผลไม้มีเอนไซม์มากกว่าผักเสียอีก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราควรจะเปลี่ยนมากินผลไม้แทนผักเพียงอย่างเดียวนะคะ ทานควบคู่กันในอาหารเช้าจะทำให้ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นค่ะ

ทำให้อารมณ์ดี

          อย่างที่หลาย ๆ คนรู้ว่า สมองของเราต้องใช้กลูโคสอย่างมหาศาลเพื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเราจึงต้องหาแหล่งที่มีกลูโคสสูงและมีประโยชน์ต่อร่างกายป้อนให้สมองด้วย ผลไม้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้น เพราะน้ำตาลจากธรรมชาติและไฟเบอร์ที่อยู่ในผลไม้จะช่วยทำให้เรามีสมาธิและช่วยชะลอระดับน้ำตาลที่อยู่ในเลือด แถมยังช่วยทำให้อารมณ์ดีอีกด้วย เห็นไหมละคะ ไม่กินผลไม้ไม่ได้แล้ว

ลดความเครียด

          ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีจะช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยลดอาการอักเสบต่าง ๆ และทำให้ความเครียดลดลง แถมยังช่วยต่อสู้กับโรคหวัด ถ้าหากรับประทานผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีตอนเช้าก็จะช่วยทำให้หวัดหายเร็วอีกด้วยละค่ะ

7 ประโยชน์น่าทึ่ง ของการกินผลไม้ในมื้อเช้า

ทำให้รู้สึกสดชื่น

          การรับประทานผลไม้ที่มีปริมาณน้ำสูง อย่างเช่น แตงโม แอปเปิล ส้ม กีวี สัปปะรด องุ่น และลูกแพร์ จะช่วยทำให้ร่างกายของคุณได้รับน้ำมากขึ้น และทดแทนอาการขาดน้ำที่เกิดขึ้นในเวลานอนที่เราอาจจะไม่ได้ดื่มน้ำเลย ดังนั้นถ้าใครที่ไม่อยากเกิดภาวะขาดน้ำในตอนเช้าละก็ อย่าลืมหาผลไม้มากินนะ

ลดความอยากน้ำตาล

          ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ติดของหวาน ก็คงจะรู้สึกอยากกินของหวานตลอดเวลา และนั่นละคือสาเหตุที่ทำให้คุณน้ำหนักขึ้น ดังนั้นจึงควรรับประทานผลไม้ในตอนเช้าค่ะ เพราะน้ำตาลและไฟเบอร์ที่อยู่ในผลไม้จะช่วยทำให้คุณรู้สึกอยากกินของหวานน้อยลง ทำให้สุขภาพดีขึ้น น้ำหนักลดลง รวมถึงช่วยลดนิสัยแย่ ๆ ของคุณที่ชอบรับประทานของหวานบ่อย ๆ ได้ด้วยละค่ะ

  การรับประทานผลไม้ในตอนเช้าถือเป็นสิ่งดี ๆ ที่ควรทำในมื้อเช้า แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ควรที่จะรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนด้วยนะคะ ถ้าหากเราเอาแต่รับประทานผลไม้ไม่ยอมทานอย่างอื่น อาจจะไม่อยู่ท้อง แถมสารอาหารที่ควรจะได้รับก็ไม่ได้ด้วยนะ เอาละ อ่านจบแล้ว นึกออกกันหรือยังคะว่าจะทานผลไม้อะไรในอาหารมื้อเช้าดีนะ




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2557    
Last Update : 1 ตุลาคม 2557 18:03:58 น.
Counter : 969 Pageviews.  

รู้แล้วเลี่ยง พฤติกรรมแย่ ๆ ที่ทำให้นอนไม่หลับ

เคล็ดลับสุขภาพ รู้แล้วเลี่ยง พฤติกรรมแย่ ๆ ที่ทำให้นอนไม่หลับ


การนอนไม่หลับ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตได้มาดูกันสิว่าพฤติกรรมใดที่ทำให้นอนไม่หลับ และควรจัดการกับมันอย่างไรก่อนที่จะกลายเป็นผลเสีย

นับแกะก็แล้ว ดื่มนมอุ่น ๆ ก็แล้ว ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่ช่วยให้นอนหลับได้เสียที บางครั้งการนอนไม่หลับก็เกิดจากความเครียด หรือความกังวลใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตทำให้สมองของเราต้องคิดตลอดเวลา แต่ถ้าเกิดปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความเครียดล่ะ? มันจะเกิดจากอะไรได้บ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอพฤติกรรมที่ทำให้คนเรานอนไม่หลับ และวิธีการแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้จากเว็บไซต์ health.com ถ้าไม่อยากจะกลายเป็นหมีแพนด้าขอบตาคล้ำ หรือมีปัญหาสุขภาพตามมาล่ะก็รีบไปเช็กด่วนเลยค่ะ

ตื่นขึ้นมาดูเวลาตอนดึก

เชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนดึกแล้วหันไปดูเวลาที่นาฬิกาอย่างแน่นอน รู้หรือไม่ว่าการหยิบนาฬิกามาดูมันมีส่วนในการไปกระตุ้นความคิดต่าง ๆ ในสมองของเรา เพราะในช่วงที่เราหลับสมองก็จะทำการพักผ่อนไปด้วย แต่เมื่อเราหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู เราก็จะเริ่มคิดถึงเรื่องต่าง ๆ อีกครั้งไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ต้องตื่นนอน สิ่งที่ต้องเจอในพรุ่งนี้เช้า หรือแม้ความรู้สึกกลัวที่จะตื่นสาย ซึ่งความคิดเหล่านี้ล่ะจะทำให้คุณไม่สามารถหลับได้ หรือบางทีก็อาจจะหลับไม่สนิทเพราะกลัวที่จะตื่นไม่ทัน

          วิธีแก้ไข - เก็บนาฬิกาไว้ไกล ๆ ตัวซะ หรือไม่ก็เก็บมันไว้ใต้เตียงเลยล่ะดีที่สุด แต่ถ้าหากคุณตั้งปลุกไว้ที่นาฬิกาล่ะก็ แค่เพียงหันนาฬิกาเข้าฝาไม่ให้เห็นเวลา แค่นี้ก็จะทำให้คุณเลิกกังวลเรื่องเวลาน้อยลงและหลับต่อได้อย่างสบายใจมากขึ้นด้วยล่ะจ้ะ

เคล็ดลับสุขภาพ รู้แล้วเลี่ยง พฤติกรรมแย่ ๆ ที่ทำให้นอนไม่หลับ

นอนเล่นอยู่บนเตียง

เคยมีคนบอกว่าถ้านอนไม่หลับก็ให้นอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงสักพักก็จะหลับไปเอง บางคนอาจจะได้ผล แต่กลับบางคนเนี่ยสิ กลิ้งไปกี่ตลบก็นอนไม่หลับซักสักที นั่นก็เป็นเพราะว่าเราใช้เวลาบนเตียงนานเกินไป และถ้ายิ่งอยู่อย่างนั้นมากเกินไปก็อาจจะทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิททั้งคืนเลยก็ได้

          วิธีแก้ไข - ลุกจากเตียงซะ แล้วไปทำกิจกรรมที่ต้องอยู่เงียบ ๆ อย่างเช่น อ่านหนังสือ หรือ ดูทีวี แต่ต้องไม่ใช่หนังแอ็คชั่นหรือหนังตลกนะ อาจจะดูพวกรายการแนะนำสินค้าก็ได้ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะทำให้คุณคิดถึงเตียงนุ่ม ๆ และทำให้คุณรู้สึกง่วงได้ แล้วถ้าคุณรู้สึกง่วงก็รีบไปนอนเลยค่ะ ไม่ฉะนั้นที่ทำมาก็เปล่าประโยชน์ค่ะ

เปิดไฟในห้องจนสว่าง

หลายคนเวลานอนไม่หลับก็จะเปิดไฟให้สว่างไปทั่วห้อง รู้หรือไม่ว่าการเปิดไฟจนสว่างนั้นยิ่งกระตุ้นให้เราตื่นตัว และทำให้นอนไม่หลับยิ่งกว่าเดิม เพราะแสงสว่างนั้นล่ะคือสิ่งที่ไปรบกวนการสร้างสารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นสารที่ควบคุมการนอนหลับในสมอง

          วิธีแก้ไข - ปิดไฟในห้องให้หมดซะ แต่ถ้าเกิดกลัวความมืดล่ะก็ แค่เพียงเปิดโคมไฟที่หัวเตียง หรือเปิดทีวีทิ้งเอาไว้ แสงที่สลัว ๆ จะไม่ไปรบกวนการทำงานของเมลาโทนินและทำให้ง่วงนอนในที่สุด แต่ห้ามเล่นโทรศัพท์เด็ดขาดเลย เพราะถึงแม้ว่าแสงในโทรศัพท์จะไม่สว่าง แต่การเล่นโทรศัพท์ก็ทำให้สมองของเรายังคงทำงานต่อไปอยู่ดี

เคล็ดลับสุขภาพ รู้แล้วเลี่ยง พฤติกรรมแย่ ๆ ที่ทำให้นอนไม่หลับ

ทำกิจกรรมที่กระตุ้นสมองมากเกินไป

บางคนใช้เวลาที่นอนไม่หลับในการทำงานต่าง ๆ อย่างเช่น เคลียร์งานที่ค้างอยู่ อ่านหนังสือนิยายสืบสวน หรือแม้แต่เล่นเล่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะกระตุ้นให้สมองของคุณทำงานอย่างต่อเนื่องและไม่ทำให้รู้สึกง่วง บางคนถึงกับทำกิจกรรมเหล่านั้นจนลืมดูเวลา เมื่อกลับมาดูเวลาอีกทีก็เกือบเช้าแล้ว เลยทำให้ ไม่ได้นอนหรือไม่ก็พักผ่อนไม่เพียงพอ และสมองก็จะเกิดความอ่อนล้าระหว่างวันเนื่องจากสมองพักผ่อนไม่เพียงพอ

          วิธีแก้ไข - หยุดทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดแล้วใช้เวลาก่อนนอนในการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายสมอง อย่างเช่นการถักนิตติ้ง อ่านหนังสือที่มีเนื้อหาเบา ๆ หรือดูรายการทีวีเบาสมอง กิจกรรมที่ไม่หนักหน่วงจะค่อย ๆ ผ่อนคลายสมองและทำให้ง่วงในที่สุดค่ะ

          เห็นแล้วใช่ไหมคะว่ามีพฤติกรรมอะไรบ้างที่ทำให้นอนไม่หลับ แล้วเราจะแก้ไขกันอย่างไรดี หวังว่าคนที่กำลังนอนไม่หลับด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ก็คงจะนอนหลับได้สนิทกันเสียทีนะคะ เพราะไม่ว่าอย่างไรการนอนหลับก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์เรา อย่าให้ถึงขั้นต้องทานยานอนหลับเพื่อช่วยให้หลับเลยเนอะ เพราะนั่นแปลว่าการนอนหลับของคุณกำลังประสบปัญหาร้ายแรงแล้วล่ะ แต่ถ้าหากลองทำทุกวิธีแล้วยังไม่หายล่ะก็ ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาต่อไปนะคะ




 

Create Date : 16 กันยายน 2557    
Last Update : 16 กันยายน 2557 17:26:11 น.
Counter : 1029 Pageviews.  

โรคอิไตอิไต พิษร้ายจากแคดเมียม ภัยเงียบส้มตำถาดสี




    โรคอิไตอิไต ภัยร้ายจากสารแคดเมียมที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะคนที่ชอบส้มตำถาดสียิ่งควรระวัง !

    ส้มตำเป็นอาหารยอดนิยมของคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากรสชาติที่จัดจ้าน และยิ่งในตอนนี้เมนูอย่างส้มตำถาด กำลังฮอตฮิตกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะเครื่องเคียงที่หลากหลาย การจัดจานที่แปลกตาโดยการนำถาดเคลือบสีเราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กมาเป็นภาชนะ โดยหารู้ไม่ว่าที่จริงแล้ว เจ้าถาดโลหะเคลือบสีที่หลายคนบอกว่ามันช่วยทำให้การกินส้มตำถาดอร่อยขึ้น คือวายร้ายที่นำพาโรคร้ายมาสู่เราเลยล่ะ
    โรคที่ว่านั่นก็คือโรคอิไตอิไต ซึ่งเป็นโรคที่มาจากสารแคดเมียมที่อยู่ในสีที่เคลือบอยู่บนถาดนั่นล่ะค่ะ เมื่อมันถูกกัดกร่อนด้วยกรดที่มาจากน้ำมะนาว หรือจากน้ำส้มสายชู ก็จะทำให้สารแคดเมียมที่เคลือบอยู่ละลายออกมาปะปนกับส้มตำสุดอร่อยของเรา กลายเป็นสาเหตุของโรคอิไตอิไต แต่โรคอิไตอิไตคือโรคอะไรล่ะ หลายคนคงสงสัย วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับโรคอิโตอิไตให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ระมัดระวังตัวกันให้มากขึ้นค่ะ


    ภาพประกอบจาก 2010.igem.org


    โรคอิไตอิไต คืออะไร

    โรคพิษแคดเมียมหรือโรคที่เราเรียกกันทั่วไปว่า โรคอิไตอิไต (itai itai) เป็นโรคที่สารแคดเมียมที่เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายจนถึงระดับอันตรายและสารแคดเมียมได้ทำลายอวัยวะ และ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจนทำให้เกิดอาการเพลีย น้ำหนักลด คลื่นไส้อาเจียน ไอเรื้อรัง เกิดวงสีเหลืองที่บริเวณฟัน มีภาวะเลือดจาง และความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดอักเสบ นอกจากนี้แคดเมียมยังทำให้เกิดมะเร็งของต่อมลูกหมากได้ และโรคอิไตอิไตยังเป็นโรคที่ส่งผลร้ายกับกระดูกโดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดในกระดูก กระดูกเสื่อมสภาพและเสียรูปไปในที่สุด 

    โรคอิไตอิไตนี้ถูกพบครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2463 จากเหตุการณ์พิษของแคดเมียมระบาดในประเทศญี่ปุ่นโดยครั้งนั้นเกิดขึ้นบริเวณตามริมฝั่งของแม่น้ำจินสุ อันมีสาเหตุมาจากการทําเหมืองและถลุงโลหะของบริษัทมิตซุย ซึ่งทำอุตสาหกรรมผลิตโลหะทองแดง ตะกั่วและสังกะสี ได้แอบลักลอบนํากากโลหะจากโรงงานมาทิ้งลงแม่นํ้าเป็นเวลานาน จนชาวบ้านที่อาศัยในแถบนั้นที่เป็นเพศหญิง โดยเฉพาะหญิงที่มีบุตรหลายคนและวัยหมดประจําเดือน เกิดอาการปวดกระดูกตามน่อง ซี่โครงและสันหลัง การระบาดในครั้งนี้ทําให้มีคนเสียชีวิต 100 กว่าราย และมากกว่า 180 ราย มีอาการถึงปัจจุบัน โดยมีการค้นพบว่าสาเหตุมาจากการบริโภคข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียมเป็นเวลานานมากกว่า 30 ปี

    สาเหตุของโรคอิไตอิไต

    โรคอิไตอิไตมีสาเหตุมาจากสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนมากับสิ่งต่าง ๆ ที่เรานำเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะน้ำ อาหาร หรืออากาศที่เราหายใจเข้าไป โดยอาการของโรคจะสามารถเกิดจากความเป็นพิษเฉียบพลันและความเป็นพิษจากเรื้อรังได้ ซึ่งความเป็นพิษแบบเรื้อรังจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายถูกทำลายและมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงขึ้น 

    สารแคดเมียมคืออะไร 

    แคดเมียม (Cadmium) เป็นโลหะหนัก มีสีขาว ฟ้า วาว มีลักษณะเนื้ออ่อน สามารถบิดโค้งงอได้และถูกตัดได้ง่ายด้วยมีด มักอยู่ในรูปแท่ง แผ่น เส้นลวด หรือเป็นผงเม็ดเล็ก ๆ ถูกค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2360 แต่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในงานอุตสาหกรรมเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

              ปัจจุบันแคดเมียมเป็นโลหะที่ถูกนำมาใช้กันมาก เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่พบในชุบสังกะสี ซึ่งใช้แคดเมียมผสมกับโลหะอื่น เพื่อเพิ่มความเหนียวและทนทานต่อการสึกกร่อน ใช้ทำแบตเตอรี่อัลคาไลน์ โดยการใช้ร่วมกับนิกเกิลเพื่อใช้ในการทำเม็ดสี พลาสติก ยาง และหมึกพิมพ์ นอกจากนี้ใช้เป็นสารประกอบในการผลิตสารกำจัดแมลงบางชนิด และใช้การหลอมโลหะบางชนิดอย่างเช่น ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี เป็นต้น

    ลักษณะพิเศษของแคดเมียมคือ มีจุดหลอมเหลวต่ำ อยู่ที่ 302 องศาเซลเซียส และมีคุณสมบัติละลายได้ทั้งในกรดอินทรีย์ และกรดอนินทรีย์ อย่างเช่น กรดของน้ำมะนาวหรือกรดของน้ำส้มสายชู และเมื่อนำแคดเมียมมาเผาจะได้แคดเมียมออกไซด์ซึ่งมีสีน้ำตาล ในอากาศที่มีความชื้น แคดเมียมจะถูกออกซิไดซ์ช้า ๆ ให้แคดเมียมออกไซด์ ในธรรมชาติแคดเมียมมักจะอยู่รวมกับกำมะถันเป็นแคดเมียมซัลไฟด์ หรือเจือปนอยู่ในสินแร่สังกะสี ตะกั่ว หรือทองแดง การนำเอาแคดเมียมมาใช้จะทำให้มีการปนเปื้อนของแคดเมียมในสิ่งแวดล้อม ทั้งในอากาศ น้ำ ดิน รวมทั้งในอาหารด้วย และเมื่อเกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไปสารชนิดนี้จะส่งผลร้ายต่อร่างกาย


    กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคอิไตอิไต

    โรคอิไตอิไตเป็นโรคที่มักจะเกิดกับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสหรือเสี่ยงกับสารชนิดนี้ ตัวอย่างเช่นผู้ที่ทำงานอยู่ในอุตสหกรรมที่มีการใช้และต้องสัมผัสกับแคดเมียมโดยตรงได้แก่ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ผลิตแบตเตอรี่อัลคาไลน์ หรือผู้ที่ต้องอยู่กับงานไฟฟ้า เชื่อมหรือหลอมโลหะ ทาสี งานชุบสังกะสีเป็นต้น แต่ในปัจจุบันความเสี่ยงยิ่งเข้ามาใกล้ตัวมาขึ้น จากการรับประทานอาหารโดยใช้ภาชนะที่เป็นโลหะเคลือบสี อย่างเช่น ส้มตำถาด อาหารที่อยู่ในจานชามโลหะเคลือบสี หากในอาหารมีส่วนผสมของกรดน้ำมะนาวหรือ กรดน้ำส้มสายชูก็อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะได้รับสารแคดเมียมสะสมในร่างกายจนเกิดโรคอิไตอิไตได้เช่นกัน



    ภาพประกอบจาก kanazawa-med.ac.jp


    โรคอิไตอิไต กับอาการที่ปรากฏ

    เมื่อแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตโดยจะไปจับกับแกมม่าโกลบุลิน (Grammar-globulin) และจะมีแคดเมียมบางส่วนจะไปจับกับฮีโมโกลบิน หรือ เมทัลโลไธโอนีน (metallothionein) ในเม็ดเลือดแดง โดยแคดเมียมส่วนใหญ่จะไปสะสมอยู่ในไตและบางส่วนที่ไปสะสมยังตับอ่อนและต่อมไทรอยด์ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะ 

    ในการตรวจเพื่อเฝ้าระวังปัญหาพิษจากแคดเมียมจึงไม่ใช้การตรวจหาปริมาณแคดเมียมในเลือดหรือในปัสสาวะ  แต่ใช้การตรวจปริมาณโปรตีนที่ขับออกมาในปัสสาวะ โดยเฉพาะเบตาไมโครโกรบูลิน จากการศึกษาพบว่าการดูดซึมของแคดเมียมในระบบทางเดินอาหารเป็นไปได้น้อยมากประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณแคดเมียมที่กินเข้าไป  การดูดซึมแคดเมียมในลำไส้จะดีขึ้นถ้าปริมาณแคลเซียมในอาหารต่ำ

              สำหรับการดูดซึมแคดเมียมในปอดโดยการหายใจสูดดม แคดเมียมจะถูกดูดซึมได้มากขึ้นถึงร้อยละ 10-40 และถ้าหากร่างกายมนุษย์มีปริมาณของแคดเมียมสูงเกินไปจะทำให้เกิดอันตรายต่อไตขึ้นได้โดยที่จะทำให้เกิดการทำลายเนื้อไต ทำให้มีโปรตีน กรดอะมิโนและแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นนิ่วในปัสสาวะได้ และถ้าหากติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของกระดูกในที่สุด 

    นอกจากนี้หากได้รับแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูงอย่างเฉียบพลันก็อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำลายไหล ปวดท้อง ช็อก มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจสั้น มีกลิ่นโลหะในปาก ไอมีเสมหะเป็นฟองหรือมีเสมหะเป็นเลือด อ่อนเพลีย ปวดเจ็บขา ต่อมาปัสสาวะจะเริ่มน้อยลงและมีไข้ จากนั้นจะเกิดอาการปอดอักเสบ จากนั้นตับและไตจะถูกทำลาย ซึ่งถ้าหากเกิดอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนเพื่อทำการรักษาต่อไปค่ะ


    วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคอิไตอิไต

    ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากแคดเมียมสามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย โดยใช้วิธีการอย่างเช่น การฉายภาพรังสีทรวงอก ตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด ตรวจปัสสาวะ และเลือด เพื่อหาระดับของแคดเมียมที่อยู่ในร่างกาย โดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่ามาตรฐานของแคดเมียมในร่างกายไว้ที่ดังนี้ หากเป็นคนปกติทั่วไปต้องมีระดับแคดเมียมในปัสสาวะ < 2 ไมโครกรัม/กรัม ครีอะตินีน และไม่เกิน 10 ไมโครกรัม/กรัม ครีอะตินีน และต้องมีระดับแคดเมียมในเลือด 5 ไมโครกรัม/ลิตร แต่ไม่เกิน 10 ไมโครกรัม/ลิตร  


    ภาพประกอบจาก kanazawa-med.ac.jp


    วิธีการรักษาโรคอิไตอิไต

    โรคอิไตอิไตแบ่งออกเป็นอาการพิษแบบเฉียบพลัน และอาการพิษแบบเรื้อรัง ซึ่งวิธีการรักษาในแต่ละประเภทก็แตกต่างกันออกไป ดังนี้

    อาการพิษแบบเฉียบพลัน

    วิธีการรักษา

    หากผู้ป่วยได้รับพิษแคดเมียมผ่านทางการหายใจ ควรนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีสารแคดเมียมอยู่ในอากาศและนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ซึ่งเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะทำการรักษาอาการปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) และจะให้แคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต (Calcium disodium edetate) เช่น อีดีทีเอ (EDTA) ทางหลอดเลือดดำ หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ในปริมาณ 25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 1 สัปดาห์ และอาจให้ซ้ำอีกครั้งได้  

    หากผู้ป่วยได้รับพิษแคดเมียมผ่านทางการรับประทาน ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ผู้ช่วยเหลือให้นมหรือไข่ที่ตีแล้วแก่ผู้ป่วย เพื่อลดการระคายเคืองของทางเดินอาหาร หลังจากนั้นให้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล แพทย์จะให้ทำการถ่ายท้องด้วย Fleet's Phosphosoda (เจือจาง 1:4 ด้วยน้ำ) 30-60 มิลลิลิตร เพื่อลดการดูดซึมแคดเมียม ซึ่งถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องให้แคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต (Calcium disodium edetate) เช่น อีดีทีเอ (EDTA) เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่ได้รับพิษแคดเมียมทางการหายใจ เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงจะเริ่มรักษาอาการของตับ และไตที่ถูกทำลายต่อไป

    อาการพิษแบบเรื้อรัง

    วิธีการรักษา

    หากผู้ป่วยได้รับพิษแคดเมียมและมีอาการเรื้อรังก็อาจจะทำให้อาการกระดูกเสื่อมและผิดรูปไปได้ ซึ่งสามารถด้วยวิธีการรักษาแบบ ไคโรแพรคติก (Chiropractic) ซึ่งเป็นการจัดกระดูกสันหลังที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม วิธีนี้จะทำให้อาการของโรคดีขึ้นได้ แต่ถ้าหากพิษเรื้อรังนั้นเข้าสู่ระบบหายใจก็จะทำให้ปอดถูกทำลายอย่างรวดเร็วจนเกิดอาการปอดอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลันได้ อาการในขั้นนี้จะมีทั้งการไอแห้ง ๆ อาการแพ้ ระคายเคืองบริเวณลำคอและโพรงจมูก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หนาวสั่น และเจ็บหน้าอก และหากเข้าขั้นวิกฤตก็อาจจะถึงขนาดที่ตับหรือไตวายเฉียบพลันได้ และย่อมส่งผลถึงการติดเชื้อในกระแสโลหิต และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ดังนั้นหากเริ่มมีอาการเริ่มแรกของอาการปอดอักเสบควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไปค่ะ

    โรคอิไตอิไต ป้องกันได้หรือไม่

    โรคอิไตอิไตเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารแคดเมียมโดยตรงไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงตัวเราเท่านั้นที่ทำให้หลีกไกลจากสารแคดเมียมได้ แต่กลุ่มอุตสาหกรรมก็ต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบอย่างจริงจังเช่นกัน โดยวิธีที่ดีที่สุดก็คือการลดปริมาณการใช้สารแคดเมียม หรือใช้สารทดแทนในกรณีที่ทำได้ และควรหลีกเลี่ยงอาหารและน้ำ หรืออยู่ในบริเวณที่มีสารแคดเมียม งดใช้ภาชนะ วัสดุหรือสิ่งของที่มีแคดเมียมปนเปื้อนอยู่ หากต้องเข้าไปอยู่ใกล้บริเวณที่มีสารแคดเมียมกระจายอยู่ในอาการก็ควรใช้หน้ากากป้องกันสารพิษเพื่อป้องกันพิษจากแคดเมียมด้วยค่ะ

    ไคโรแพรคติก (Chiropractic) รักษาโรคอิไตอิไตได้จริงหรือ?

    แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ใด ๆ พิสูจน์ได้ว่า การรักษาโรคอิไตอิไต ด้วยวิธีไคโรแพรคติก (Chiropractic) ซึ่งเป็นวิธีนวดจัดกระดูกด้วยมือนั้นจะสามารถทำให้หายจากโรคนี้ได้ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้ก็เป็นการช่วยทำให้ในการปรับสมดุลของร่างกายได้ และทำให้อาการความเป็นพิษของแคดเมียมลดลงได้ระดับหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาด้วยวิธีนี้เพราะในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคอิไตอิไตนั้นจะมีอาการของภาวะกระดูกเสื่อมร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้กระดูกเกิดความเสียหายจากการรักษาได้ค่ะ

    กินส้มตำถาดอย่างไรให้ห่างไกลโรคอิไตอิไต

    ถึงแม้ว่าสารแคดเมียมจะมีความอันตราย แต่ก็เชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่ไม่อาจหักห้ามใจให้เลิกกินเจ้าส้มตำถาดได้ใช่ไหมคะ ดังนั้นเพื่อให้เราปลอดภัยจากโรคอิไตอิไตเราก็ควรที่จะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยการหลีกเลี่ยงการกินส้มตำถาดที่ใช้ถาดโลหะเคลือบสี หรือถาดที่ทำจากพลาสติกนะคะ 

    ได้รู้จักโรคอิไตอิไตกันมากขึ้นแล้ว หวังว่าหลายคนที่กำลังชื่นชอบส้มตำถาดสีก็คงจะเริ่มระมัดระวังกันมากขึ้นแล้วนะคะ รวมทั้งผู้ที่ทำงานซึ่งเกี่ยวข้องกับสารแคดเมียม แม้ว่าโรคนี้จะไม่แสดงอาการป่วยให้เห็นในระยะเวลาอันสั้น แต่หากสะสมเข้าไปมาก ๆ นานหลายสิบปี อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรานั้นนับว่าน่ากลัวจริง ๆ 
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 09 กันยายน 2557    
Last Update : 9 กันยายน 2557 17:30:19 น.
Counter : 1569 Pageviews.  

5 อาหารดี ๆ ที่กินเยอะไป ก็ไม่ดีได้เหมือนกัน

    อาหารเพื่อสุขภาพ


    5 อาหารดี ๆ ที่กินเยอะไปไม่ได้ (emagazineinfo)

    จากประโยคที่บอกต่อ ๆ กันมาว่า กินผักเยอะ ๆ จะได้มีสุขภาพดี กินผลไม้เยอะ ๆ แล้วจะได้ผิวสวย ๆ นั้น บางทีก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปแล้ว เพราะบอกเลยว่าไม่ว่าอาหาร ผัก ผลไม้นั้นจะมีประโยชน์มากมายสักแค่ไหน แต่ถ้ากินมากไป ก็มีผลเสียด้วยกันทั้งนั้น

    1. มะละกอ

              มะละกอ ผลไม้ดี มีประโยชน์มากมายไขมันและคอเลสเตอรอลน้อยและยังดีต่อระบบขับถ่าย จึงมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับการลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าเมื่อระบบขับถ่ายดีขึ้นนั้น โรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารนั้นก็พลอยจะบรรเทาลงไปด้วย

    การจะกินมะละกอเป็นผลไม้ลดน้ำหนักนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด แต่ก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป เพราะถ้ากินมากเกินไปมะละกออาจทำให้คุณมีผิวที่เหลืองขึ้นได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ

              และนอกจากนี้มะละกอยังมีวิตามินเอสูง ถ้ากินมากไป มีความเสี่ยงต่อกระดูกและข้อต่อ อาจมีอาการเบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก

    ส้ม


    2. ส้ม

              ใคร ๆ ก็รู้ว่ากินส้มเยอะ ๆ แล้วจะช่วยให้ผิวดี ระบบขับถ่ายดี เพราะส้มจัดเป็นผลไม้ประเภทหนึ่งที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งวิตามินซีมีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย, ป้องกันอนุมูลอิสระ, ต่อต้านโรคหัวใจ, ช่วยให้สุขภาพเหงือกแข็งแรง ทั้งยังโด่งดังเรื่องบรรเทาอาการหวัด

    แต่การได้รับปริมาณวิตามินซีมากเกินไป มากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวันต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ รวมถึงหากรับประทานวิตามินซีมากเกิน 1,000 มิลลิกรัม ยังอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย และหากทานตอนท้องว่างก็อาจเกิดการระคายเคืองในทางเดินอาหาร เนื่องจากความเป็นกรดของวิตามินซี ทั้งยังอาจเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือถึงขั้น คลื่นไส้ อาเจียนได้ด้วย


    3. ทูน่า

              ทูน่า ปลาทะเลน้ำลึก หนึ่งในอาหารทะเลมีไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำ มี DHA (DOCOSAHEXAENOIC ACID) ซึ่งมีประโยชน์โดยตรงกับสมอง ช่วยบำรุงเซลล์สมอง และเสริมสร้างความจำ

    แต่แม้ปลาทูน่าจะมีคุณประโยชน์สูง แต่สำหรับสำหรับสตรีมีครรภ์ เด็กเล็ก และหญิงที่เพิ่งคลอด ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานแต่น้อย ประมาณ 3 ก้อนสำหรับไลท์ทูน่า หรือ 1 กระป๋องสำหรับทูน่าขาว เพื่อป้องกันอันตรายจากสารปรอท เพราะทูน่ามีสารปรอทอยู่ในเนื้อปลาเอง ถ้ากินมาก อาจทำให้มีปรอทสะสมมากเกินไปในร่างกาย อาจทำให้เกิดผลเสียต่อระบบประสาท เช่นการตายของเนื้อสมองบางส่วน


    4. กะหล่ำปลี

              กะหล่ำปลี ผักยอดฮิตของอาหารสุดแซ่บอย่างส้มตำที่ดับเผ็ดได้ดี ซึ่งอันที่จริงกะหล่ำปลีนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่ทว่า การกินกะหล่ำปลีดิบมาก ๆ อาจเป็นปัญหากับสุขภาพในระยะยาว

    พืชตระกูลกะหล่ำทุกตัว จะมีคุณสมบัติในการป้องกันและยับยั้งการเกิดมะเร็งได้ในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร เต้านม มดลูก รังไข่ และยังมีฤทธิ์ในการขับสารพิษออกจากร่างกายได้ แต่ถ้าคุณรับประทานกะหล่ำปลีเป็นประจำ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพของตับให้ทำงานดีขึ้น

              แต่ในขณะเดียวกัน ในกะหล่ำปลี ก็มีสาร Goitrogen อยู่มาก ซึ่งสาร Goitrogen นี้จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีนไปสร้างเป็น Thyroscine ส่งผลจะทำให้เกิดโรคคอหอยพอกได้

              หากชอบกินกะหล่ำปลีประจำ ควรกินกะหล่ำปลีสุกจะดีกว่ากินกะหล่ำปลีดิบ เพราะสาร Goitrogen นี้จะถูกทำลายได้โดยการทำให้สุก ดังนั้นควรทำให้สุก และกินแต่พอดี


    น้ำดื่ม


    5. น้ำ

              แม้แต่น้ำ ก็ไม่พ้นจากข้อครหานี้ไปได้… จริงอยู่ที่น้ำเป็นสิ่งที่ร่างกายคนเราขาดไม่ได้ แต่การดื่มน้ำมากเกินวันละ 6-7 ลิตร เพราะเสี่ยงเกิดอาการไฮโปแนทรีเมีย สมองบวมจนเสียชีวิตได้

    การดื่มน้ำมากไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากเกินไปในเวลารวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน หรือน้ำเป็นพิษ และน้ำจะมีผลให้ธาตุโซเดียมในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะรักษาสมดุลน้ำระหว่างนอกเซลล์และภายในเซลล์ไม่ได้ ทำให้เซลล์บวมและทำให้ช็อก อาจกระตุกหรือชัก สมองบวม ปอดบวม หมดสติและเสียชีวิตได้

              เพราะฉะนั้นดื่มในปริมาณที่เหมาะสมตามปกติที่วันละ 6-8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร ดื่มอย่างพอเหมาะพอควร ก็เพียงพอสำหรับร่างกายแล้ว

    ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าตั้งอยู่ในพื้นฐานของความพอดีแล้ว ยังไงก็เป็นสิ่งดีต่อตนเองอยู่เสมอ


    ลิขสิทธิ์บทความของ emaginfo.com
    ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน




 

Create Date : 02 กันยายน 2557    
Last Update : 2 กันยายน 2557 17:31:35 น.
Counter : 710 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.