- ข่าวเด่นประเด็นดังทั่วไทย
- ข่าวเด่นประเด็นดังทั่วไทย 2
- ข่าวเด่นประเด็นดังต่างประเทศ
- เรื่องจริง,อุทาหรณ์
- ข่าวกีฬาทั่วไป
- ข่าวอาเซนอล
- ข่าวบาซ่า
- ข่าวบันเทิง,ดารา,นักร้อง,คนดัง,ละคร
- ข่าวดารา,บันเทิง,นักร้อง,คนดัง,ละคร 2
- ข่าวดารา,บันเทิง,คนดัง,นักร้อง,ละคร 3
- ข่าวสารภาพยนตร์
- ดูดวง,ทำนาย,แบบทดสอบ
- ข่าวสารท่องเที่ยวทั่วไทย
- ข่าวสาร,แนะนำที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
- ความรู้ทั่วไป,ความรู้รอบตัว
- ข่าวสารครอบครัว,ความรัก,เพื่อน
- ข่าวสารสุขภาพ
- ข่าวสารแฟชั่น,ความงาม
- สัตว์ทั่วไป,สัตว์เลี้ยงสุนัข,แมว
- สูตรอาหาร,ขนม
- แนะนำร้านอาหาร
- เรื่องแปลก,ลึกลับ,ผี
- เรื่องตลก,ขำขัน
- ข่าวสารแนะนำเกม
- ต้นไม้,ดอกไม้
- ข่าวสารยานยนต์
- ข่าวสารดำเนินกิจการงาน,อาชีพ
- ข่าวสารเทคโนโลยี,คอมพิวเตอร์,อินเตอร์เน็ต,อุปกรณ์สื่อสารทั่วไป
- ศาสนา,ธรรมะ,คติ,ปรัชญาสอนใจ
- กิจกรรม,ศูนย์รวมเรื่องต่างๆที่ ช่วยเหลือสังคม
- บล็อกส่วนตัวจ้า
|
|
|
|
|
|
รู้จัก "หวัดขึ้นหู" กันไหม!
คอลัมน์ คลินิกหู คอ จมูก โดย นพ.ชัยยศ เด่นอริยะกูล หัวหน้ากลุ่มงานโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลกลาง สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ช่วงนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ปีนี้รู้สึกว่าอากาศจะหนาวเย็นและหนาวนานกว่าหลายปีที่ผ่านมา อากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ สำหรับคนที่ไม่ชอบอากาศร้อน จะรู้สึกมีความสุขที่ได้ใส่เสื้อกันหนาวสีสวยงามตามแฟชั่น ได้ท่องเที่ยวขึ้นดอยสัมผัสความเย็นเป็นที่สนุกสนาน แต่สำหรับอีกคนหลายคนที่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวรุมเร้า เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ ฤดูหนาวนี้กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการไม่สบาย เป็นไข้หวัด คออักเสบ และการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจได้ง่ายที่สุด ดังนั้นในระยะนี้ท่านควรระมัดระวังป้องกันตัวเองให้ดี โดยรักษาความอบอุ่นของร่างกายให้เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงห่างไกลจากผู้ที่เป็นหวัด และป้องกันตัวเองด้วยการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ แต่ถ้าทำเต็มที่แล้วก็ยังเป็นอยู่ดี ก็ต้องมาถึงขั้นตอนการรักษาแล้วละครับ การดูแลรักษาคนที่เป็นหวัดนั้น ปกติก็ใช้เวลาประมาณ 3 - 5 วัน อย่างมากก็ไม่เกิน 7 วัน แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานหรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ตามมาก็คือโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบหรือหวัดขึ้นหู เป็นต้น ในคราวนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ "โรคหวัดขึ้นหู" กัน เพราะหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อโรคนี้ สาเหตุของการเป็นหูชั้นกลางอักเสบ หรือหวัดขึ้นหูนี้ มักเกิดตามหลังจากมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เป็นหวัด ลำคออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ แล้วเชื้อเกิดลุกลาม โดยผ่านท่อปรับความดันของหู ที่อยู่ในโพรงหลังจมูกหรือท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian tube) เข้าไปยังหูชั้นกลาง ทำให้เกิดอาการปวดหูข้างใด ข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง การได้ยินลดลง หูอื้อ และถ้าปล่อยต่อไปประมาณ 1 - 2 วัน ก็จะเกิดแก้วหูทะลุ มีน้ำหนวกไหลออกมาจากหู โรคหวัดขึ้นหูนี้ส่วนมากมักเกิดในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่ เพราะท่อทางติดต่อจากโพรงหลังจมูกไปยังหูชั้นกลางจะสั้นมาก ในเด็กเล็กที่ยังพูดไม่รู้เรื่องหรือพูดไม่ได้ เด็กยังไม่สามารถบอกพ่อ แม่ได้ว่าปวดหู จะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็ก โดยจะพบว่าเด็กจะร้องให้โยเยหรือร้องไห้เสียงดังโดยไม่ต้องทราบสาเหตุ เด็กบางคนจะเอามือป้องหูตัวเอง หรือถ้าใครไปถูกหู ก็จะร้องไห้ขึ้นมาทันที เป็นต้น การรักษาก็ต้องรักษาการเป็นหวัดควบคู่ไปกับหูชั้นกลางอักเสบโดยแพทย์หู คอ จมูก จะให้ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ร่วมไปกับยาลดน้ำมูก ยาแก้ไข้แก้ปวด ยาแก้ไอ และยาหยอดหูฆ่าเชื้อด้วย การรักษาจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในระหว่างนี้ห้ามให้น้ำเข้าหู ห้ามปั่นห้ามแคะหู ถ้ามีน้ำหนวกไหลออกมามาก แพทย์หู คอ จมูก จะใช้เครื่องดูดน้ำหนวกจากหูทำให้ลดอาการหูอื้อ การได้ยินดีขึ้น ผู้ป่วยอาจใช้สำลีเช็ดน้ำหนวกออกได้เองแต่เพียงภายนอก ถ้ารักษาได้ถูกต้องน้ำหนวกจะลดได้เองภายใน 2-3 วัน ส่วนแก้วหูที่ทะลุส่วนใหญ่เมื่อการอักเสบหายแล้ว ก็จะปิดได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ จะเห็นได้ว่าการเป็นหวัดในยุคปัจจุบันไม่ใช่เพียงโรคกระจอกๆ อย่างสมัยก่อน ที่มักจะคิดว่าเป็นแล้วหายได้เองเสมอไปนะครับ โปรดอย่าประมาท!! เพราะถ้าเป็นหวัดแล้วดูแลรักษาไม่ดี ปล่อยให้โรคลุกลามจนมีโรคแทรกซ้อน ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่นหวัดขึ้นหู ซึ่งต้องเสียเวลารักษายาวนานมากขึ้น และถ้าโชคไม่ดีมีการติดเชื้อลงไปที่ปอด เป็นปอดอักเสบก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ครับ ผมขอบอก ที่มา : หน้าพิเศษ Hospital Healthcare (นสพ.มติชน) //campus.sanook.com/1370709/
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2557 | | |
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2557 18:13:09 น. |
Counter : 823 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เมารถ เมาเรือ: อาการหวาดวิตกที่สมองมโนไปเอง
บางครั้งแค่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่เคลื่อนไหววูบๆวาบๆก็เกิดความรู้สึกเหมือนจะเมารถได้เหมือนกัน... รู้กันไหมครับว่า อาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นนี้ มีที่มาที่น่าสนใจ อาการเมารถ เมาเรือ ฝรั่งเรียกว่า "motion sickness" หรือแปลง่ายๆว่า ความรู้สึกแย่ๆที่เกิดจากการเคลื่อนไหวนั่นแหละครับ แล้วทำไมเราถึงรู้สึกแย่ขึ้นมาได้?... เรื่องนี้มีที่มาที่ฟังแล้วอาจจะเหมือนไม่ค่อยเกี่ยวกัน ก่อนอื่นต้องเท้าความกันสักนิดก่อนว่า ร่างกายของเรามีระบบรักษาการทรงตัวที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว เพื่อป้องกันและคอยรักษาสมดุลไม่ให้ล้มคว่ำคะมำหงายพาลให้บาดเจ็บ อีกทั้งเรายืนกันด้วยสองขา ถ้าล้มโค่นลงก็เสี่ยงที่สมองจะได้รับความกระทบกระเทือน ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเราจึงมี"เซ็นเซอร์"คอยตรวจวัดอาการเลื่อนไหว และสมดุลร่างกายอยู่หลายตัว เช่น การรับรู้อาการเคลื่อนไหวของหูชั้นใน โดยเมื่อเราเคลื่อนที่ ก้ม เงย หรือเอียงตัว ของเหลวข้างในหูก็จะไหลไปมา ทำหน้าที่เหมือน ไจโร ในสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ตสมัยนี้ อีกทั้งเรายังรับรู้การเคลื่อนไหวผ่านการมองเห็นได้อีกทางหนึ่งด้วย จากนั้นสมองจะนำข้อมูลภาพและข้อมูลจากหูชั้นในมาประมวล ตีความเป็นอาการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เพื่อสั่งให้ร่างการปรับท่าทางเพื่อรักษาสมดุลกันต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรานั่งรถ นั่งเรือ อยู่ในลิฟท์ หรือแม้แต่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ก็คือ บางครั้งสมองของเราได้รับข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน เช่นในกรณีนั่งรถนั่งเรือ หูชั้นในของเรารู้สึกถึงการเคลื่อนที่ แต่ภาพที่เรามองเห็นถูกผนังห้องโดยสารบดบัง หรือใครที่ชอบแชตหรืออ่านหนังสือบนรถ ภาพที่ส่งไปยังสมองก็จะไม่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิวภายนอกรถที่เคลื่อนผ่านไป(เพราะมีแต่ภาพของโทรศัพท์ หรือหนังสือที่อ่าน) ในทางกลับกัน เวลาเราเล่นเกม ข้อมูลภาพที่ไปยังสมองจะมีแต่ภาพเคลื่อนไหว แต่ข้อมูลจากหูชั้นในไม่ได้บอกว่าเรากำลังเคลื่อนที่ ซึ่งสมองจะให้ความสำคัญกับข้อมูลภาพและข้อมูลจากหูชั้นในเท่าๆกัน เมื่อข้อมูลขัดแย้งกัน สมองสับสนไม่สามารถแปลความหมายจากข้อมูลเหล่านี้ได้ สมองก็เลือกที่จะไม่เชื่อข้อมูลไหนเลย แต่กลับจะตีความไปถึงอีกสิ่งหนึ่งที่คาดไม่ถึง "ประสาทหลอน!!" สมองของเราจะระแวงกับสิ่งหนึ่งมากคือพิษในร่างกาย ซึ่งโดยส่วนมากพิษในธรรมชาติจะมีฤทธิ์หลอนจิตประสาท เมื่อสมองตระหนกกับข้อมูลที่สับสนเกี่ยวกับการรับรู้ จึงส่งสัญญาญเตือนว่าโดนพิษหลอนประสาทเข้าแล้ว วิธีที่ร่างกายพยายามจะขับพิษนั้นออกไปก็จะมีอาการตรงกับเวลาเราเมารถเมาเรือเป๊ะ! นั่นคือ สมองสร้างความรู้สึกวิงเวียน เพื่อให้กระตุ้นกระเพาะอาหารบีบตัวขย้อนเอาสิ่งที่อยู่ในท้องออกมาเพราะพิษมักเข้าสู่ร่างการด้วยการกิน อีกทางก็คือเมื่อเราเมารถ เหงื่อกาฬจะแตกพลั่ก เป็นความพยายามขับพิษออกทางเหงื่อของร่างกายอีกเช่นกัน ทั้งนี้เรายังมีอาการมือเท้าเย็นร่วมด้วย เนื่องจากร่างกายเกิดความเครียด(ตกใจ ไม่สบายใจ กลัว) หลอดเลือดจะหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงปลายมือปลายเท้าได้น้อยลง(เรียกอาการนี้ว่า Raynaud's phenomenon) ดังนั้นจะสังเกตุว่าเมื่อเราได้อาเจียนออกไปบ้างแล้ว อาการจะดีขึ้นชั่วขณะ ความวิงเวียนจะหายไป เพราะสมองของเราปิดสัญญาณเตือนภัยเพื่อเฝ้าสังเกตุอาการ"ประสาทหลอน"ที่ว่านี้ ถ้ายังมีอยู่แสดงว่าพิษยังไม่หมดก็ค่อยสั่งให้เกิดอาการ"เมา"นั้นขึ้นมาใหม่... เราก็จะโอ้ก...อ้าก...อยู่พักใหญ่ๆ จนกว่าจะได้ลงจากรถจากเรือ หรือจนกว่าร่างกายจะชินกับข้อมูลที่สับสนนี้ไปเอง
By ษัษฐา ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา //campus.sanook.com/1370693/
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2557 | | |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 18:45:20 น. |
Counter : 845 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|