Group Blog
 
All blogs
 

รู้จัก "หวัดขึ้นหู" กันไหม!


คอลัมน์ คลินิกหู คอ จมูก โดย นพ.ชัยยศ เด่นอริยะกูล หัวหน้ากลุ่มงานโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลกลาง สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร

ช่วงนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ปีนี้รู้สึกว่าอากาศจะหนาวเย็นและหนาวนานกว่าหลายปีที่ผ่านมา อากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ สำหรับคนที่ไม่ชอบอากาศร้อน จะรู้สึกมีความสุขที่ได้ใส่เสื้อกันหนาวสีสวยงามตามแฟชั่น ได้ท่องเที่ยวขึ้นดอยสัมผัสความเย็นเป็นที่สนุกสนาน แต่สำหรับอีกคนหลายคนที่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวรุมเร้า เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ ฤดูหนาวนี้กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการไม่สบาย เป็นไข้หวัด คออักเสบ และการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจได้ง่ายที่สุด ดังนั้นในระยะนี้ท่านควรระมัดระวังป้องกันตัวเองให้ดี โดยรักษาความอบอุ่นของร่างกายให้เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงห่างไกลจากผู้ที่เป็นหวัด และป้องกันตัวเองด้วยการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ แต่ถ้าทำเต็มที่แล้วก็ยังเป็นอยู่ดี ก็ต้องมาถึงขั้นตอนการรักษาแล้วละครับ

การดูแลรักษาคนที่เป็นหวัดนั้น ปกติก็ใช้เวลาประมาณ 3 - 5 วัน อย่างมากก็ไม่เกิน 7 วัน แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานหรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่ตามมาก็คือโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบหรือ เป็นต้น

ในคราวนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ "โรคหวัดขึ้นหู" กัน เพราะหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นกับชื่อโรคนี้ สาเหตุของการเป็นหูชั้นกลางอักเสบ หรือหวัดขึ้นหูนี้ มักเกิดตามหลังจากมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เป็นหวัด ลำคออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ แล้วเชื้อเกิดลุกลาม โดยผ่านท่อปรับความดันของหู ที่อยู่ในโพรงหลังจมูกหรือท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian tube) เข้าไปยังหูชั้นกลาง ทำให้เกิดอาการปวดหูข้างใด ข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง การได้ยินลดลง หูอื้อ และถ้าปล่อยต่อไปประมาณ 1 - 2 วัน ก็จะเกิดแก้วหูทะลุ มีน้ำหนวกไหลออกมาจากหู โรคหวัดขึ้นหูนี้ส่วนมากมักเกิดในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่ เพราะท่อทางติดต่อจากโพรงหลังจมูกไปยังหูชั้นกลางจะสั้นมาก ในเด็กเล็กที่ยังพูดไม่รู้เรื่องหรือพูดไม่ได้ เด็กยังไม่สามารถบอกพ่อ แม่ได้ว่าปวดหู จะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็ก โดยจะพบว่าเด็กจะร้องให้โยเยหรือร้องไห้เสียงดังโดยไม่ต้องทราบสาเหตุ เด็กบางคนจะเอามือป้องหูตัวเอง หรือถ้าใครไปถูกหู ก็จะร้องไห้ขึ้นมาทันที เป็นต้น

การรักษาก็ต้องรักษาการเป็นหวัดควบคู่ไปกับหูชั้นกลางอักเสบโดยแพทย์หู คอ จมูก จะให้ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ร่วมไปกับยาลดน้ำมูก ยาแก้ไข้แก้ปวด ยาแก้ไอ และยาหยอดหูฆ่าเชื้อด้วย การรักษาจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในระหว่างนี้ห้ามให้น้ำเข้าหู ห้ามปั่นห้ามแคะหู ถ้ามีน้ำหนวกไหลออกมามาก แพทย์หู คอ จมูก จะใช้เครื่องดูดน้ำหนวกจากหูทำให้ลดอาการหูอื้อ การได้ยินดีขึ้น ผู้ป่วยอาจใช้สำลีเช็ดน้ำหนวกออกได้เองแต่เพียงภายนอก ถ้ารักษาได้ถูกต้องน้ำหนวกจะลดได้เองภายใน 2-3 วัน ส่วนแก้วหูที่ทะลุส่วนใหญ่เมื่อการอักเสบหายแล้ว ก็จะปิดได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์

จะเห็นได้ว่าการเป็นหวัดในยุคปัจจุบันไม่ใช่เพียงโรคกระจอกๆ อย่างสมัยก่อน ที่มักจะคิดว่าเป็นแล้วหายได้เองเสมอไปนะครับ โปรดอย่าประมาท!! เพราะถ้าเป็นหวัดแล้วดูแลรักษาไม่ดี ปล่อยให้โรคลุกลามจนมีโรคแทรกซ้อน ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่นหวัดขึ้นหู ซึ่งต้องเสียเวลารักษายาวนานมากขึ้น และถ้าโชคไม่ดีมีการติดเชื้อลงไปที่ปอด เป็นปอดอักเสบก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ครับ ผมขอบอก

ที่มา : หน้าพิเศษ Hospital Healthcare (นสพ.มติชน)

//campus.sanook.com/1370709/




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2557 18:13:09 น.
Counter : 823 Pageviews.  

เมารถ เมาเรือ: อาการหวาดวิตกที่สมองมโนไปเอง


บางครั้งแค่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่เคลื่อนไหววูบๆวาบๆก็เกิดความรู้สึกเหมือนจะได้เหมือนกัน... รู้กันไหมครับว่า อาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นนี้ มีที่มาที่น่าสนใจ

อาการเมารถ เมาเรือ ฝรั่งเรียกว่า "motion sickness" หรือแปลง่ายๆว่า ความรู้สึกแย่ๆที่เกิดจากการเคลื่อนไหวนั่นแหละครับ แล้วทำไมเราถึงรู้สึกแย่ขึ้นมาได้?... เรื่องนี้มีที่มาที่ฟังแล้วอาจจะเหมือนไม่ค่อยเกี่ยวกัน ก่อนอื่นต้องเท้าความกันสักนิดก่อนว่า ร่างกายของเรามีระบบรักษาการทรงตัวที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว เพื่อป้องกันและคอยรักษาสมดุลไม่ให้ล้มคว่ำคะมำหงายพาลให้บาดเจ็บ อีกทั้งเรายืนกันด้วยสองขา ถ้าล้มโค่นลงก็เสี่ยงที่สมองจะได้รับความกระทบกระเทือน ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเราจึงมี"เซ็นเซอร์"คอยตรวจวัดอาการเลื่อนไหว และสมดุลร่างกายอยู่หลายตัว เช่น การรับรู้อาการเคลื่อนไหวของหูชั้นใน โดยเมื่อเราเคลื่อนที่ ก้ม เงย หรือเอียงตัว ของเหลวข้างในหูก็จะไหลไปมา ทำหน้าที่เหมือน ไจโร ในสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ตสมัยนี้ อีกทั้งเรายังรับรู้การเคลื่อนไหวผ่านการมองเห็นได้อีกทางหนึ่งด้วย จากนั้นสมองจะนำข้อมูลภาพและข้อมูลจากหูชั้นในมาประมวล ตีความเป็นอาการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เพื่อสั่งให้ร่างการปรับท่าทางเพื่อรักษาสมดุลกันต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรานั่งรถ นั่งเรือ อยู่ในลิฟท์ หรือแม้แต่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ก็คือ บางครั้งสมองของเราได้รับข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน เช่นในกรณีนั่งรถนั่งเรือ หูชั้นในของเรารู้สึกถึงการเคลื่อนที่ แต่ภาพที่เรามองเห็นถูกผนังห้องโดยสารบดบัง หรือใครที่ชอบแชตหรืออ่านหนังสือบนรถ ภาพที่ส่งไปยังสมองก็จะไม่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิวภายนอกรถที่เคลื่อนผ่านไป(เพราะมีแต่ภาพของโทรศัพท์ หรือหนังสือที่อ่าน) ในทางกลับกัน เวลาเราเล่นเกม ข้อมูลภาพที่ไปยังสมองจะมีแต่ภาพเคลื่อนไหว แต่ข้อมูลจากหูชั้นในไม่ได้บอกว่าเรากำลังเคลื่อนที่ ซึ่งสมองจะให้ความสำคัญกับข้อมูลภาพและข้อมูลจากหูชั้นในเท่าๆกัน เมื่อข้อมูลขัดแย้งกัน สมองสับสนไม่สามารถแปลความหมายจากข้อมูลเหล่านี้ได้ สมองก็เลือกที่จะไม่เชื่อข้อมูลไหนเลย แต่กลับจะตีความไปถึงอีกสิ่งหนึ่งที่คาดไม่ถึง "ประสาทหลอน!!"

สมองของเราจะระแวงกับสิ่งหนึ่งมากคือพิษในร่างกาย ซึ่งโดยส่วนมากพิษในธรรมชาติจะมีฤทธิ์หลอนจิตประสาท เมื่อสมองตระหนกกับข้อมูลที่สับสนเกี่ยวกับการรับรู้ จึงส่งสัญญาญเตือนว่าโดนพิษหลอนประสาทเข้าแล้ว วิธีที่ร่างกายพยายามจะขับพิษนั้นออกไปก็จะมีอาการตรงกับเวลาเราเมารถเมาเรือเป๊ะ! นั่นคือ สมองสร้างความรู้สึกวิงเวียน เพื่อให้กระตุ้นกระเพาะอาหารบีบตัวขย้อนเอาสิ่งที่อยู่ในท้องออกมาเพราะพิษมักเข้าสู่ร่างการด้วยการกิน อีกทางก็คือเมื่อเราเมารถ เหงื่อกาฬจะแตกพลั่ก เป็นความพยายามขับพิษออกทางเหงื่อของร่างกายอีกเช่นกัน ทั้งนี้เรายังมีอาการมือเท้าเย็นร่วมด้วย เนื่องจากร่างกายเกิดความเครียด(ตกใจ ไม่สบายใจ กลัว) หลอดเลือดจะหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงปลายมือปลายเท้าได้น้อยลง(เรียกอาการนี้ว่า Raynaud's phenomenon)

ดังนั้นจะสังเกตุว่าเมื่อเราได้อาเจียนออกไปบ้างแล้ว อาการจะดีขึ้นชั่วขณะ ความวิงเวียนจะหายไป เพราะสมองของเราปิดสัญญาณเตือนภัยเพื่อเฝ้าสังเกตุอาการ"ประสาทหลอน"ที่ว่านี้ ถ้ายังมีอยู่แสดงว่าพิษยังไม่หมดก็ค่อยสั่งให้เกิดอาการ"เมา"นั้นขึ้นมาใหม่... เราก็จะโอ้ก...อ้าก...อยู่พักใหญ่ๆ จนกว่าจะได้ลงจากรถจากเรือ หรือจนกว่าร่างกายจะชินกับข้อมูลที่สับสนนี้ไปเอง

By ษัษฐา ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา

//campus.sanook.com/1370693/




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 18:45:20 น.
Counter : 845 Pageviews.  

คลายเครียดด้วยสมาธิ ปรับจิตใจให้สมดุล

    สมาธิ


    คลายเครียดด้วยสมาธิ (Momypedia)
    โดย Mild

    สมาธิ ช่วยคุณคลายเครียดได้ ลองมาสำรวจดูว่าคุณตกอยู่ในภาวะเครียดหรือไม่ หากรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังเครียด แต่ยังหาวิธีคลายเครียดไม่ได้ เรามีวิธีช่วยให้คุณคลายเครียดได้แบบง่าย ๆ ช่วยให้จิตใจสงบ ปลอดโปร่งจากความฟุ้งซ่านและวิตกกังวลด้วยการทำ "สมาธิ"

    เครียดเพราะสมองไม่ได้พัก

              ความเครียดเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ที่ต้องเลี้ยงลูกไปด้วย ทำงานไปด้วย ในหนึ่งวันมีกิจกรรมให้ทำมากมายทั้งในบ้านและนอกบ้าน ร่างกายจึงรู้สึกเหนื่อยล้า พักผ่อนได้ไม่เต็มที่ สมองไม่ได้หยุดพัก ความเครียดจึงเข้ามาอาศัยอยู่ในอารมณ์ของเรา ไม่ว่าคนรอบข้างจะทำอะไร อาจทำให้หงุดหงิดง่ายโดยไม่รู้ตัว

    สมาธิแท้จริง คือ จดจ่อ

              สมาธิที่จะชวนทำนั้นง่ายมาก เป็นการเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ต้องไม่คิดฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องอื่น ซึ่งคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เรียกหลักการฝึกให้เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้ว่า "รู้เท่าทันใจตัวเอง" ค่ะ


    สุขภาพจิต

    6 กิจกรรมสร้างสติ...คลายเครียด

              นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่จะช่วยคลายเครียดได้เป็นอย่างดีมาแนะนำ มีกิจกรรมสมาธิแบบบูรณาการอะไรบ้าง ที่ทั้งเสริมสร้างสมาธิให้แก่คุณแม่และช่วยผ่อนคลายความเครียดไปในตัว

    1. ฟังเพลง

              เลือกฟังเพลงเบา ๆ โดยเฉพาะเพลงประเภท Meditation ที่มีเพียงเสียงดนตรีบรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ อย่างเสียงคลื่น เสียงน้ำตก หรือเสียงนกร้อง จะช่วยเรียกสมาธิคืนสู่สมองและจิตใจภายในเวลาสั้น

    2. อาบน้ำ

              อาบน้ำด้วยเจลอาบน้ำที่มีส่วนผสมของคาโมมายล์ โดยอุณหภูมิของน้ำอุ่นกำลังดี น้ำอุ่นจะช่วยให้ร่างกายที่เครียด เหนื่อยล้าให้ผ่อนคลาย และพิเศษยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อคุณจดจ่อรู้ทุกขณะที่น้ำไหลผ่านตัว

    3. เล่นโยคะ

              โยคะท่าง่าย ๆ เล่นแบบสบาย ๆ ในห้องนอนสัก 10- 30 นาทีหรือว่านานกว่านั้น ก่อนไปทำกิจกรรมอย่างอื่น จะช่วยให้คุณแม่ค่อยผ่อนคลายสบายตัวขึ้น

    4. นอนสมาธิ

              หลังจากล้มตัวลงนอน หรือก่อนลุกออกจากที่นอนตอนเช้า คุณสามารถทำสมาธิได้ด้วยการนอนหงาย วางมือทั้งสองประสานไว้บนอก หลับตา หายใจเข้า-ออกลึก ๆ 3 ครั้ง ถ้าจิตยังไม่สงบ ให้เพิ่มการนับเลขเข้าไปด้วยก็ได้

    5. หามุมสงบส่วนตัว

              หาเวลาสงบวันละ 5-10 นาที อยู่ในที่เงียบ ๆ อากาศดี ๆ นั่งผ่อนคลายอารมณ์ ทำจิตใจให้ว่างเปล่า ปล่อยให้ใจล่องลอยไปเรื่อย ๆ ทิ้งความกังวลและปัญหาต่าง ๆ ไปชั่วคราว หายใจเข้าออกช้า ๆ จะช่วยเติมพลังความสดใสให้กลับมา

    6. เขียนไดอารี

              เสมือนเปิดประตูอารมณ์ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่าง ๆ ไหลลงสู่หน้ากระดาษ การถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขึ้น เพราะระหว่างเขียนไดอารี่เป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดีที่สุด

    ลองทำกิจกรรมตามนี้ เพียงวันละ 10-30 นาทีทุกวัน ก็จะช่วยผ่อนคลายความเครียด สร้างสมาธิ อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลชีวิตได้เป็นอย่างดี


    รู้หรือไม่ว่า...ทำสมาธิไม่กี่วันช่วยคลายเครียดได้จริง

              การศึกษาครั้งล่าสุดของ ดร.อี้ หยวนถังและคณะ จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน ศึกษากับนักศึกษาจีนระดับปริญญาตรี ที่เข้าร่วมทำสมาธิแบบบูรณาการ ด้วยการผสมผสานปัจจัยหลักหลายประการในเทคนิคด้านกายและจิต รวมทั้งด้านการผ่อนคลายร่างกาย การปรับการหายใจ การสร้างภาพในสมอง และการฝึกจิตใจครั้งละ 20 นาที เป็นเวลากว่า 5 วัน พบว่า ส่งผลเชิงบวกต่อเรื่องความสนใจ พฤติกรรมทางสังคมและอารมณ์โดยรวม ทั้งยังลดระดับความกังวล หดหู่ โกรธ และเหนื่อยล้าลงได้ด้วย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 19:21:24 น.
Counter : 1051 Pageviews.  

รู้ให้รอบก่อนกินวิตามิน-อาหารเสริม

    วิตามิน อาหารเสริม

    รู้ให้รอบก่อนกินวิตามิน-อาหารเสริม (Lisa)


    เทรนด์รักสุขภาพกำลังมาแรงมากจนเหมือนว่าการกินอาหาร 3 มื้อจะไม่เพียงพออีกต่อไป วิตามินและอาหารเสริมสารพัดอย่างสารพันยี่ห้อจึงวางขายกันเกลื่อน (แถมยังขายดีมากเสียด้วย)

            หากเดินเข้าไปในมุมวิตามินและอาหารเสริมของร้านขายยาสักแห่ง เชื่อสิว่าคุณจะต้องมึนกับความหลากหลายของสินค้าในกลุ่มนี้ที่มาพร้อมกับสรรพคุณแตกต่างกัน นั่งคิดจนปวดหัว อ่านจนปวดตัวก็ยังไล่ไม่หมด แต่ก่อนที่จะเลือกคว้าขึ้นมาสักกระปุก ถามตัวเองสักนิดดีไหมว่าคุณรู้จักสิ่งที่เลือกดีแค่ไหน และจำเป็นต้องกินจริง ๆ หรือเปล่า

    เมื่อไรที่ควรกินอาหารเสริม

    ใช้ชีวิตแบบแย่ ๆ เช่น สูบบุหรี่จัด หรือติดแอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่

    กำลังตั้งครรภ์ เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือร่างกายปฏิเสธอาหาร

    อยู่ท่ามกลางสภาวะเป็นพิษ ภูมิต้านทานอ่อนกำลังลง สุขภาพอ่อนแอง่ายกว่าปกติ

              ก่อนจะซื้ออย่าลืมคำนึงด้วยว่าไม่มีอาหารเสริมที่เหมาะสำหรับทุกคน แต่ควรจะเลือกให้เหมาะกับตัวเองเพื่อฟื้นฟูปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุด และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย อย่าคิดว่ายิ่งกินมากย่งดี ควรกินตามปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันเท่านั้น หากเกินปริมาณที่กำหนดไว้ก็อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้


    อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ


    มารู้จักแหล่งวิตามิน-อาหารเสริมกันเถอะ

              วิตามินแบ่งออกเป็นสองชนิดคือแบบที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินซีและบี กับแบบที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค ส่วนอาหารเสริมชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่กินเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ร่างกายอาจจะขาดหรือได้รับไม่เพียงพอ แต่ที่จริงวิตามินและอาหารเสริมราคาแพง ๆ ที่เขาอัดเม็ดใส่กระปุกมานั้นต่างก็มีอยู่ทั่วไปและสามารถหากินเองได้ไม่ยาก

    วิตามินเอ

              ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง บำรุงสายตา สร้างภูมิต้านทานให้ระบบหายใจ ลดการอักเสบของสิวและลบเลือนจุดด่างดำ

    พบได้ใน : ผักและผลไม้สีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม ตับ เนย ไข่แดง นมสด และหอยนางรม ร่างกายคุณต้องการวันละ 900 ug หากกินเป็นอาหารเสริมไม่ควรเกิน 3,000 ug

    วิตามินบี 1

              ช่วยในการทำงานของระบบประสาทหัวใจ และกล้ามเนื้อ เพิ่มการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ถ้าขาดจะเหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ปวดกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว และเหน็บชาตามมือและเท้า

    พบได้ใน : ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่าง ๆ งา และขนมปัง ร่างกายคุณต้องการวันละ 1.2 มิลลิกรัม


    วิตามินบี


    วิตามินบี 2

              ช่วยในการเผาผลาญไขมันและกรดอะมิโนทริปโตฟาน ทั้งยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของสีที่เรตินาของลูกตา ถ้าขาดก็จะทำให้การย่อยอาหารไม่เป็นปกติ และเป็นโรคปากนกกระจอก

    พบได้ใน : ยีสต์ ไข่ นมสด เนย เนื้อสัตว์ และผักใบเขียว ร่างกายคุณต้องการวันละ 1.3 มิลลิกรัม

    วิตามินบี 6

              ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือด สร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยในการเผาผลาญโปรตีน รวมทั้งรักษาสภาพผิวหนังให้เป็นปกติ ถ้าขาดจะเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและโลหิตจาง

    พบได้ใน : เนื้อสัตว์ ตับ ปลา กล้วย และผักต่าง ๆ ร่างกายคุณต้องการวันละ 1.3 มิลลิกรัม หากกินเป็นอาหารเสริมไม่ควรเกิน 100 มิลลิกรัม

    วิตามินบี 12

              ช่วยให้ร่างกายนำไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ไปใช้ได้อย่างสมบูรณ์ สร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยในการทำงานของระบบประสาท

    พบได้ใน : ตับ (มีวิตามินบี 12 มากที่สุด) นม ไข่ และเนย ร่างกายคุณต้องการวันละ 2.4 ug


    วิตามินซี

    วิตามินซี

              ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก การสร้างผิวหนัง กระดูก ฟัน และคอลลาเจน หากขาดจะติดเชื้อได้ง่ายและเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน

    พบได้ใน : ผลไม้และผักสด โดยเฉพาะมะเขือเทศ ฝรั่ง และส้ม

    วิตามินดี

              ช่วยดูดซึมและควบคุมปริมาณแคลเซียมในร่างกาย เสริมสร้างกระดูกและฟัน ถ้าขาดอาจปวดข้อและกระดูก ปวดเมื่อย และเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน

    พบได้ใน : ไข่ ปลา น้ำมันตับปลา นม และเนย (อาบแดดตอนเช้า ๆ สักนิดก็ได้วิตามินเหมือนกันนะ) ร่างกายคุณต้องการวันละ 15 ug หากกินเป็นอาหารเสริมไม่ควรเกิน 100 ug

    วิตามินอี

              ช่วยในการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และกล้ามเนื้อ และป้องกันการแตกสลายของเยื่อหุ้มเซลล์

    พบได้ใน : น้ำมันพืช เมล็ดทานตะวัน ถั่วต่าง ๆ ผักสีเขียวปนเหลือง และมันเทศ ร่างกายคุณต้องการวันละ 15 มิลลิกรัม หากกินเป็นอาหารเสริมไม่ควรเกิน 1,000 มิลลิกรัม

    วิตามินเค

              ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูก ถ้าขาดจะทำให้เลือดไหลไม่หยุดและส่งผลต่อระบบการดูดซึมในร่างกาย

    พบได้ใน : บรอกโคลี ผักกะหล่ำ ไข่แดง น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันตับปลา ร่างกายคุณต้องการวันละ 120 ug


    แคลเซียม

    แคลเซียม

              ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ห่างไกลโรคกระดูกพรุน ควบคุมน้ำหนักตัว และความดันโลหิต

    พบได้ใน : นม เนย โยเกิร์ต ผักใบเขียว และปลาตัวเล็ก ๆ ที่กินได้ทั้งก้าง ร่างกายคุณต้องการวันละ 1,000 มิลลิกรัม หากกินเป็นอาหารเสริมไม่ควรเกิน 2,500 มิลลิกรัม

    โอเมาก้า-3

              มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล

    พบได้ใน : ปลาทะเลน้ำลึกและปลาน้ำจืดบางชนิด


    อาหารเสริม

    แนะวิธีกินวิตามินเพื่อสุขภาพ

              อยากแข็งแรงต้องกินวิตามินจริงเท็จแค่ไหน มาคุยกับคุณหมอผิว พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล แพทย์ผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

              การกินวิตามินเพิ่มจะไม่จำเป็นเลยหากคุณยังอายุน้อย ๆ แค่การกินผักผลไม้หลากสีอย่างน้อย 5 กำมือต่อวัน นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ก็พอ แต่ถ้าคุณไม่ผ่านคุณสมบัติข้างต้น การกินวิตามินเสริมก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

    สาว ๆ แต่ละวัยควรกินอะไรบ้าง

    20+ : สาว ๆ วัยเลขสองร่างกายยังแข็งแรงไม่จำเป็นต้องกินอะไร แต่ถ้าอยากกินจริง ๆ วิตามินรวมสักวันละเม็ดก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย (แต่เป็นเรื่องเสียตังค์)

    30+ : พอขึ้นเลขสาม วิตามินรวมหนึ่งเม็ดต่อวันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรขาด แต่ถ้าดื่มสุราหรือทำงานหนักก็ควรเพิ่มวิตามินบีรวมกับพวกสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีและคิวเทนที่จะช่วยให้การดูดวิตามินซีดีขึ้น

    40+ : สาวเลขสี่จะเริ่มมีเรื่องโรคประจำตัวต่าง ๆ เข้ามา ก็ควรเน้นพวกอาหารเสริมที่จะเข้าไปช่วยเรื่องโรคนั้น ๆ เช่น หากมีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลก็อาจจะกินน้ำมันปลาซึ่งมีโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้

    50+ : ช่วงนี้เป็นใกล้วัยหมดประจำเดือนควรระวังเรื่องกระดูก ให้เสริมพวกแคลเซียมและวิตามินดีมาก ๆ เชื่อไหมว่าสาวไทยกว่า 1 ใน 3 กำลังขาดวิตามินดีและเสี่ยงกระดูกพรุนนะคะ


    อาหารเสริม

    จะเลือกซื้อวิตามินอย่างไรดีคะ

    1. อ่านฉลากให้ละเอียด เลือกที่มีตรา อย. รับรอง ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกาก็ต้องมีตรา FDA หรือ USP

    2. วิตามินที่สกัดจากธรรมชาติจะดีและปลอดภัยกว่าพวกวิตามินสังเคราะห์และฉลากก็ควรอธิบายด้วยว่าที่บอกว่ามาจากธรรมชาติน่ะ สกัดมาจากอะไร

    3. ที่ฉลากข้างขวดจะมีตารางโภชนาการระบุว่า RDA หรือปริมาณที่แนะนำต่อวันอยู่ที่เท่าไร และความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์นี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของ RDA ให้เลือกแบบที่ไม่เกิน 100% ก็พอค่ะ

    4. เลือกกินแค่ที่เราต้องการเท่านั้นก็พอ พวกวิตามินที่ละลายในน้ำยังไม่เท่าไร แต่วิตามินที่ละลายในไขมันจะสะสมในร่างกายและอาจจะกลายเป็นพิษ ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้

    5. คนที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อวิตามินมากินเอง เพราะวิตามินบางตัวอาจจะไม่ถูกกับโรคของคุณก็ได้

    ต้องกิน 3 หยุด 1 เหรอคะ?

              เป็นแค่ความเชื่อแต่ไม่ใช่ความจริง น่าจะเกิดจากความกลัวว่าจะเกิดการสะสมของวิตามิน ประมาณว่ากล้า ๆ (อยากกิน) แต่ก็กลัว ๆ (ว่าจะมีอันตราย) แนะนำว่าสำหรับวิตามินที่ละลายในไขมันคือเอ ดี อี และเค ควรเลือกรับประทานปริมาณต่ำ ๆ หรือเจาะเลือดดูก่อนว่าจำเป็นต้องรับประทานหรือไม่ หรือง่ายที่สุดคือไม่ต้องรับประทาน เพราะมีโอกาสสะสมได้

    กินวิตามินให้สวยช่วยได้จริงไหม

              เรากินวิตามินและอาหารเสริมเพื่อความงามได้จริงหรือเปล่า เรามาไขข้อสงสัยกับคุณหมอก้อย พ.ญ.รุจิรัตน์ วงศ์ทองศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ Genesis Skin Klinik ค่ะ

              ถ้าการกินแล้วสวยหมายถึงกินแล้วผิวกระจ่างใสขึ้นนั้น ก็คงจะเน้นไปที่การกินพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าไม่หมอง ริ้วรอยลดลง ลดผลกระทบจากแสงแดด แล้วก็ทำให้หน้าดูเฟิร์มขึ้นเล็กน้อยด้วย ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินอี คิวเทน และโอเมก้า-3

    Basic Set เพื่อผิวใส

              เซตพื้นฐานที่สาว ๆ สามารถซื้อกินเองได้ทั่วไปและไม่อันตรายประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินอี และคิวเทน โดยให้กินวิตามินซีวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม วิตามินอี 100-300 หน่วย และคิวเทน 30-100 มิลลิกรัม ที่จำเป็นต้องมีคิวเทนด้วยก็เพราะเจ้าตัวนี้จะทำให้วิตามินซีและอีทำงานได้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น กินต่อเนื่องสักหนึ่งเดือนก็จะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงค่ะ

              อ้อ ! การเลือกวิตามินควรดูแบบที่เป็น Time Release คือจะค่อย ๆ ปล่อยวิตามินเข้าสู่ร่างกายทีละน้อย ระดับวิตามินในร่างกายจะได้คงที่และแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่กว่า โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในน้ำได้อย่างวิตามินซีต้องเลือกให้ดี ไม่อย่างนั้นกินเข้าไปเดี๋ยวเดียวก็ขับออกมาทางปัสสาวะหมด (สาว ๆ ก็จะได้ปัสสาวะราคาแพงมาแทน)

    กินกลูต้าฯ-คอลลาเจนไม่ช่วยให้ขาวเด้ง

              กลูต้าไธโอนเป็นสารที่ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น แต่สารตัวนี้แทบจะไม่ดูดซึมในกระบวนการย่อยอาหารเลย ดังนั้นต่อให้กินเข้าไปมากมายขนาดไหน ผิวก็จะไม่เปลี่ยนสีจากการกินกลูต้าฯ หรอกค่ะ เสียเงินเปล่า ๆ

              ส่วนคอลลาเจนก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องเลย ไม่ว่าจะกินแบบผสมในเครื่องดื่มหรือแบบอัดเม็ด บางคนกินแล้วรู้สึกดีอาจจะเป็นเพราะน้ำตาลหรือสารตัวอื่นที่เขาใส่เข้าไปโดยไม่ได้โฆษณา หรือไม่ก็เป็น Placebo Effect (อารมณ์เหมือนจิตนำกาย พอเราเชื่อว่ากินแล้วดีร่างกายเราก็ดีไปด้วย) ร่างกายของเราจะสร้างคอลลาเจนได้เอง ซึ่งการกระตุ้นให้สร้างเพิ่มขึ้นได้มีแต่ต้องใช้เลเซอร์เท่านั้น


    วิตามินมากมายจำไม่ไหว มัลติวิตามินก็เป็นตัวเลือกที่ดี

              วิตามินรวมหรือมัลติวิตามินจะมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันในปริมาณที่พอเหมาะอยู่แล้ว ทำให้สาว ๆ สามารถกินได้โดยไม่ต้องมานั่งคำนวณว่าตัวเองขาดแร่ธาตุอะไรเท่าไร ส่วนมากจะมีส่วนประกอบหลักคือแคลเซียมและธาตุเหล็ก

              แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิตามินรวมของแต่ละยี่ห้อก็แตกต่างกันไป ต้องอ่านข้างกล่องให้ดีก่อนตัดสินใจนะคะ อ้อ ! ถ้ากลัวว่าวิตามินรวมจะมีวิตามินหลากชนิดเกินจำเป็น วิตามินบีรวมหรือบีคอมเพล็กซ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะส่วนมากวิตามินที่เรากินได้ไม่ครบก็คือวิตามินบีนี่แหละ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2557 17:42:51 น.
Counter : 1134 Pageviews.  

7 กิจกรรมช่วยผ่อนคลาย แถมร่างกายยังฟิตเฟิร์ม

        ใคร ๆ ก็รู้ว่าความเครียดไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย แถมยังส่งผลกระทบกับสุขภาพร่างกาย และผิวพรรณของเราอีกไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะสถานการณ์ทุกวันนี้ที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ก็อาจจะทำให้เกิดความเครียดสะสมได้โดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นหากมีวิธีไหนจะช่วยผ่อนคลายความเครียดให้คุณได้ก็น่าจะลองดูสักหน่อยเนอะ แต่หากใครอยากจะผ่อนคลายความเครียดไปพร้อม ๆ กับออกกำลังกายฟิตเฟิร์มร่างกายในคราวเดียวกัน ต้องลอง 7 กิจกรรมช่วยผ่อนคลาย แถมร่างกายยังฟิตเฟิร์มต่อไปนี้ ตามที่เว็บไซต์ all women stalk เขาแนะนำมาจ้า


    1. คิกบ๊อกซิ่ง ต่อยให้หายเครียด

    คิกบ๊อกซิ่ง

              แทนที่จะระบายอารมณ์ใส่หมอนแบบไม่ยั้ง ก็เอาพลังความเครียดทั้งหมดที่มีมายกแขนขาชกต่อยกับกิจกรรมคิกบ๊อกซิ่งดีกว่า นอกจากจะช่วยลดความร้อนระอุในอารมณ์ของคุณแล้ว ก็ยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อเกือบทุกสัดส่วนในร่างกาย จากการบิดสะโพกไปมา ฟิตหุ่นให้เฟิร์มเป๊ะได้อีกด้วยจ้า


    2. โยคะเงียบ ๆ เรียกความสงบ

     โยคะ

              ไม่เพียงแค่กิจกรรมที่ต้องออกแรงเยอะเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณหายเครียดได้ แต่กิจกรรมนิ่ง ๆ อย่างโยคะก็เป็นวิธีผ่อนคลายความตึงเครียดได้ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะกับคนที่เครียดแล้วชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมากกว่าจะออกไปไหน ก็สามารถเลือกเปิดเพลงบรรเลงแผ่วเบา แล้วออกสเต็ปโยคะตามแต่ใจ ยืดเส้นยืดสายและทำสมาธิให้ตัวเองสักหน่อย แค่นี้ก็จะรู้สึกสดชื่นได้แล้วล่ะ


    3. วิ่ง วิ่ง วิ่ง หนีความเครียด

    วิ่ง

              วิธีหนีความตึงเครียดที่ง่ายที่สุดอีกวิธีหนึ่งก็ คือ การวิ่ง เพราะการวิ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องทำซ้ำ ๆ ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แถมไม่ใช่กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดมากมาย ดังนั้นหากคุณต้องการขับไล่ความตึงเครียดออกไปจากตัวเอง ก็ใส่รองเท้าแล้วเตรียมออกวิ่งไปเรื่อย ๆ ได้เลย หรือใครสะดวกจะวิ่งอยู่บนลู่ก็ได้เช่นกัน เปิดเพลงฟังเป็นเพื่อนสักหน่อย วิ่งให้เหงื่อท่วมสักพัก รับรองว่าสบายทั้งตัวและใจแน่ ๆ จ้า


    4. แดนซ์กระจายความเครียด

    เต้น

             สำหรับคนที่ชอบคลายเครียดด้วยเสียงเพลงดัง ๆ ดึงดูดความสนใจ สามารถกระโดดโลดเต้นออกสเต็ปตามที่ใจอยากทำได้เลยเต็มที่ เพราะเมื่อเราได้ร้องได้เต้นอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดรฟินออกมา ความสุขก็จะหลั่งไหล ไล่ความเครียดไปได้ไกลแบบชิล ๆ เลยจ้า



    5. ว่ายน้ำ สลายความหนักอึ้ง

    ว่ายน้ำ

              หากใครมีเรื่องให้คิดหนัก และอยากเรียกสมาธิพร้อมกับผ่อนคลายความกดดันให้ตัวเอง ลองกระโดดลงสระแล้วว่ายน้ำวนไปวนมาเรื่อย ๆ ดูก็ได้ สายน้ำเย็น ๆ จะช่วยเยียวยาความเครียด และช่วยพยุงความรู้สึกของคุณให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ฟุ้งซ่านสับสน ไม่เชื่อลองดูสิ


    6. ปลูกต้นไม้

    ต้นไม้

              ว่ากันว่าธรรมชาติช่วยบำบัดได้หลายอย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือความเครียดตัวดีนี่เอง อีกทั้งการปลูกต้นไม้ยังต้องใช้แรงและการเคลื่อนไหวร่างกายค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็หมายความว่า สามารถช่วยสลายแคลอรี่ได้ไม่น้อยเลยเหมือนกัน เอาล่ะ มาปลูกต้นไม้ให้หายเครียดกันดีกว่า แถมนี้ยังช่วยลดโลกร้อนได้ด้วยนะจ๊ะ


    7. แบดมินตัน ตีความเครียดให้แตก

    ตีแบด

              กิจกรรมโต้ไปมาระหว่างคน 2 คนอย่างการตีแบดมินตันก็ช่วยคลายความเครียดให้คุณได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งการออกแรงเรียกเหงื่อ ขยับแข้งขาก็สามารถไล่ความเครียดขึงของกล้ามเนื้อได้อีกด้วยนะ ได้ทั้งออกกำลังกาย และระบายความเครียดไปในคราวเดียวกันแบบนี้ บอกเลยว่าฟินมาก

       ความเครียดไม่เข้าใครออกใคร และเราไม่สามารถคาดเดาได้ด้วยว่า เราจะเกิดความเครียดตอนไหนได้บ้าง แต่เมื่อรู้สึกเครียดแล้ว ก็ควรต้องหาทางผ่อนคลาย ฉะนั้นก็อย่าลืมวิธีผ่อนคลายความเครียดทั้ง 7 วิธีนี้นะคะ ได้ทั้งไล่ความเครียดไปให้ไกล แล้วยังได้ฟิตเฟิร์มสุขภาพร่างกายได้อีกด้วยจ้า




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2557 19:33:27 น.
Counter : 984 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.