Group Blog
 
All blogs
 

15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !

15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !


    โรคเกลียดวันจันทร์ หนึ่งในอาการของคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องงาน คงไม่ดีแน่หากปล่อยให้อาการนี้เป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ มาลองดูวิธีที่จะทำให้เรารู้สึกรักวันจันทร์มากขึ้นกันดีกว่า

    โรคเกลียดวันจันทร์ หรือ Monday Blues คือ อาการยอดฮิตของมนุษย์เงินเดือนที่รู้สึกไม่อยากให้วันจันทร์วนม­­าถึงเลย เพราะเบื่อที่จะต้องเจอกับปัญหาเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถติด เจ้านายจอมเรื่องมาก งานแก้ไขไม่จบไม่สิ้น ลูกค้าเอาแต่ใจ หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานขี้เม้าท์ ทั้ง ๆ ที่วันจันทร์ก็เป็นเพียงแค่วันวันหนึ่งเท่านั้นเอง หากใครรู้ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในคนที่เกลียดวันจันทร์ ควรเริ่มมองหาวิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์เอาไว้ได้แล้ว ขืนปล่อยไว้นานอาจกระทบถึงคุณภาพงานได้ ซึ่ง 15 วิธีที่เรานำมาฝากนี้ ล้วนแล้วแต่คัดมาแล้วว่าทำแล้วได้ผลจริง !

    1. แต่งตัวเน้นสีสันเข้าไว้

    15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !

              สีสันของเสื้อผ้าสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นได้ หากตื่นมาในเช้าวันจันทร์แล้วรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากมาทำงานเลย ขอแนะนำให้หยิบเสื้อผ้าที่มีสีสันมาใส่ เช่น สีแดง สีส้ม สีเขียว พลังลับ ๆ ของสีจะช่วยให้เรารู้สึกสดใสขึ้น


    2. แต่งตัวสวย ๆ


    15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !

    การมาทำงานในเช้าวันจันทร์จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป หากเราเปลี่ยนมาแต่งตัวสวยมั่นในวันจันทร์ ให้เหมือนกับการแต่งแบบจัดเต็มในวันศุกร์ การคิดหาวิธีแต่งตัวสวย ๆ นี่แหละที่จะทำให้คุณรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแบบทันตาเห็น ดังนั้น ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ช่วงที่กำลังอาบน้ำก็นึกภาพไว้เลยว่าจะแต่งตัวอย่างไรดี ในขณะที่คิดหาวิธีการแต่งตัวสวย ๆ คุณจะลืมไปเลยว่ากำลังเบื่อวันจันทร์


    3. มองหาแรงบันดาลใจ เป็นใครสักคน


              สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ บางทีการตื่นเช้ามาทำงาน ด้วยแรงบันดาลใจที่เรียกว่า เงินเดือน บางครั้งอาจไม่พอ เพราะบางทีเราก็รู้สึกท้อ เบื่อหน่ายมากถึงขั้นมองว่า เงินเดือนไม่สำคัญเท่าความสุขตัวเอง แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณมีใครหมายตาไว้ในที่ทำงานละก็ คุณจะชอบวันจันทร์ขึ้นมาทันที ไม่คิดเรื่องการลาออกในหัว และไม่อยากให้ถึงวันศุกร์เลยด้วย


    4. ตื่นให้ไวขึ้น


    15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !

    ตื่นให้เร็วขึ้น หลายคนอาจโบกมือลาในข้อนี้ เพราะแค่ตื่นให้เป็นปกติยังทำได้ยากเลย แต่รู้อะไรไหมว่า การตื่นแต่เช้าในวันจันทร์ ช่วยให้เราอยากมาทำงานมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะคุณจะมีเวลาทำอะไรหลายอย่าง แบบไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกลัวหลงลืมทำสิ่งสำคัญ ถือเป็นการเตรียมตัวเองให้พร้อมรับมือกับการทำงานวันแรกของสัปด­­าห์ด้วย เมื่อมีความพร้อมแล้ว ก็จะรู้สึกว่าอะไร ๆ ในวันนี้ก็เป็นใจไปซะหมด


    5. กินของอร่อย ๆ


              การกินของอร่อยทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้จริง ๆ นะ ดังนั้น มนุษย์เงินเดือนคนไหนที่เบื่อหน่ายวันจันทร์มาก แนะนำว่า ในตอนเช้าก่อนเข้างาน ให้มองหาของอร่อย ๆ กินซะก่อน หรือเป็นของที่เราอยากกินก็ได้ เช่น กาแฟรสโปรด ข้าวร้านประจำ เบเกอรี่เจ้าอร่อย แต่ก็ไม่ใช่กินเยอะเกินไปจนทำให้หนังท้องตึงหนังตาหย่อนนะ


    6. ส่งยิ้มและทักทายผู้อื่นก่อน


    การมาทำงานในเช้าวันจันทร์จะมีบรรยากาศที่ดีขึ้น หากเราเริ่มส่งยิ้ม หรือทักทายเพื่อนร่วมงานคนอื่นก่อน ถือเป็นการทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข การได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก่อนแบบนี้จะช่วยให้เรารู้สึกมีกำล­­ังใจในการทำงานมากขึ้นด้วย


    7. ฟังเพลงที่อยากฟัง


    15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !

              การมาทำงานในเช้าวันจันทร์ สิ่งที่จะช่วยปรับอารมณ์ของเราให้แฮปปี้มากขึ้นได้ก็คือ เสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่เราอยากฟังมากที่สุด ขอแนะนำว่า ให้เปิดเพลงที่เราอยากฟังมากที่สุด อาจฟังซ้ำ ๆ พร้อมกับร้องตามสัก 2-3 รอบ รับรองอารมณ์ดีขึ้น ลืมอาการเบื่อหน่ายเช้าวันจันทร์ไปเลย


    8. ขยับร่างกาย


    การตื่นแต่เช้ามาทำงานในวันจันทร์ก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่ออยู่แ­­ล้ว หากร่างกายของเรายังเฉื่อยชา ไม่กระฉับกระเฉงอยู่อีกละก็ ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกที่ว่าไม่อยากทำงานเข้าไปกันใหญ่ ทางที่ดี หลังตื่นนอนแล้ว ควรกระตุ้นร่างกายด้วยการบริหารกายเบา ๆ เช่น ทำโยคะ เต้น หรือทำท่าวอร์มอัพร่างกาย ก็จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้น


    9. อ่านเรื่องขำขัน


    15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !

              ความน่าเบื่อของการมาทำงานในเช้าวันจันทร์จะหมดไป หากเราลองใช้วิธีผ่อนคลายตัวเองด้วยการอ่านเรื่องเบาสมอง เรื่องขำขัน หรือเรื่องตลก วิธีเหล่านี้จะช่วยให้เรายิ้ม และหัวเราะออกมาเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความส­­ุขออกมา ทำให้เรารู้สึกแจ่มใส เบิกบานขึ้น


    10. ใช้ของใหม่


    วิธีที่จะเพิ่มสีสันให้กับการมาทำงานในวันจันทร์ก็คือ ใช้ของใหม่ การได้ใส่อะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นใส่เสื้อใหม่ เครื่องประดับ กระเป๋า หรือรองเท้าที่เพิ่งซื้อใหม่นั้น จะช่วยลดความรู้สึกซ้ำซาก จำเจได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าใครไม่ได้ซื้ออะไรใหม่ ๆ เลยก็ลองสับเปลี่ยนของใช้ที่มีอยู่ดู เช่น เปลี่ยนกระเป๋าถือ เปลี่ยนรองเท้า เปลี่ยนนาฬิกา ก็ช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้เหมือนกัน


    11. อ้อยอิ่งก่อนเข้างาน 10 นาที


              สำหรับในข้อนี้ เราขอบอกไว้ก่อนเลยว่า คุณควรจะไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานจริง เพราะหากไปสายแล้วยังอ้อยอิ่งอยู่คงดูไม่ดีแน่ โดยการอ้อยอิ่ง 10 นาทีที่ว่านั้นก็อย่างเช่น การนอนงีบหลับ เล่นเกมมือถือ เดินไปซื้อกาแฟ ติดตามข่าวสารที่ตัวเองสนใจ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ถือเป็นการชาร์จพลัง ช่วยปรับโหมดอารมณ์ของเราให้พร้อมรับมือกับงานมากขึ้น


    12. วางแผนสนุก ๆ


    15 วิธีสยบอาการเบื่อวันจันทร์ มนุษย์เงินเดือนควรอ่าน !

    หากวันจันทร์ของสัปดาห์ไหน ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายมาก ๆ ขอแนะนำว่า ให้คิดหาเรื่องสนุก ๆ จะทำในวันนั้น เช่น นัดเพื่อนหรือคนรักดูหนัง ชวนเพื่อนร่วมงานไปกินมื้อกลางวันข้างนอก หรือแม้แต่ไปเดินช้อปปิ้งเสื้อผ้าลดราคาคนเดียวหลังเลิกงาน การคิดหาแผนการสนุก ๆ แบบนี้เป็นการเบี่ยงเบนความคิดให้เรานึกถึงแต่สิ่งที่ดี ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปคิดย้ำ ๆ ว่า วันจันทร์น่าเบื่อจังเลย


    13. คิดบวก


              กิจกรรมมันส์ ๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เรารู้สึกว่ายังไม่พร้อมกับการทำงานเลย ก็ขอแนะนำว่า ให้หยุดพักอาการเบื่อวันจันทร์ไว้ก่อน แล้วย้อนกลับไปนึกถึงความสนุกสนานของกิจกรรมในช่วงวีคเอนด์ที่ผ­­่านมา หรือถ้าใครไม่ได้ไปไหนเลย ก็ลองนึกถึงสิ่งที่คิดแล้วทำให้เราแฮปปี้ เช่น เรื่องไปเที่ยว เรื่องความรัก เป็นต้น


    14. จัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ยามบ่ายที่โต๊ะทำงาน


    บรรยากาศการทำงานในออฟฟิศช่วงวันจันทร์ อาจยุ่งวุ่นวาย จนทำให้เรารู้สึกเครียดไปด้วย ลองหาวิธีเพิ่มสีสันให้กับบรรยากาศในที่ทำงานดู ด้วยการซื้อขนมแล้วแบ่งปันให้เพื่อนร่วมงานได้ชิมด้วย รับรองว่าสามารถลดความน่าเบื่อของบรรยากาศการทำงานวันจันทร์ที่­­ออฟฟิศได้เยอะเลยล่ะ


    15. คิดให้ตกว่าปัญหาคืออะไรกันแน่


              ถ้าหากคุณลองทำทั้ง 14 วิธีที่เราได้แนะนำไปหมดแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าการมาทำงานในวันจันทร์เป็นเรื่องน่าเบื่ออยู่เห­­มือนเดิม ก็ควรตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังได้แล้วว่า ปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหนกันแน่ อยู่ที่ตัวเรา หรืออยู่ที่ปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ การหาคำตอบที่แน่ชัดให้กับตัวเองจะทำให้คุณหาทางแก้ไขที่ตรงจุด­­มากขึ้น และเมื่อปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว โรคเกลียดวันจันทร์อาจไม่เกิดขึ้นกับคุณอีกเลยก็ได้

    โรคเกลียดวันจันทร์จะหายไปได้ หากเรารู้จักการปรับทัศนคติของตัวเองนะคะ สำคัญที่สุดก็คือ การคิดบวกเข้าไว้ เพราะการนึกถึงแต่เรื่องดี ๆ นั้นเป็นสุดยอดแรงบันดาลใจที่จะผลักดันให้เราอยากมาทำงานทุกวัน­­นั่นเอง เอาล่ะ ! มนุษย์เงินเดือนคนไหนที่มีอาการแบบนี้อยู่ ลองนำไปปรับใช้ดูนะคะ เวิร์กแน่นอน




 

Create Date : 02 มีนาคม 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 19:59:15 น.
Counter : 2292 Pageviews.  

ใช้ลิปสติกเสี่ยงมะเร็ง แชร์กันเพียบ แต่จริงหรือไม่?

    สาว ๆ สบายใจได้ ใช้ลิปสติกแล้วไม่เป็นมะเร็งแน่นอน

    ชัวร์หรือมั่วนิ่ม กับข้อมูลที่แชร์กันว่า ใช้ลิปสติกแล้วเป็นมะเร็ง เพราะในลิปสติกมีสารตะกั่วผสมอยู่ เช็กความจริงกันเลย !

    ช่วงนี้หลายคนอาจจะเห็นการแชร์ข้อมูลผ่านทางสังคมออนไล­น์ และกระดานสนทนาว่า การใช้ลิปสติกนั้นทำให้เป็นมะเร็งได้ เนื่องจากในลิปสติกมีสารตะกั่วสะสมอยู่ ถึงกับขนาดมีการแนะนำวิธีทดสอบสารตะกั่วแบบง่าย ๆ โดยการนำแหวนทองมาใช้ทดสอบ ซึ่งก็มีคนหลายคนเชื่อจนกลายเป็นกระแสหวาดกลัวกันใหญ่โต พาลทำให้สาว ๆ หลายคนไม่กล้าใช้ลิปสติกกันไปเลยก็มี

              แต่ล่าสุดอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ในเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant  กันแล้วล่ะค่ะ เราไปดูกันดีกว่าว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ใช้ลิปสติกแล้วจะทำให้เป็นมะเร็งจริงหรือ แล้วในลิปสติกมีสารตะกั่วหรือไม่ สาว ๆ ที่รักการแต่งหน้าและกำลังระแวงกับเครื่องสำอางที่ใช้ทุกวันนี้­­ควรรู้อย่างยิ่งจ้า 

    สาว ๆ สบายใจได้ ใช้ลิปสติกแล้วไม่เป็นมะเร็งแน่นอน

    อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้เปิดเผยไว้ในเฟซบุ๊ก ว่าแท้จริงแล้วเรื่องที่มีการแชร์ต่อกันมาจนใหญ่โตว่าลิปสติกยี­­­่ห้อดังจากต่างประเทศสามารถทำให้เป็นมะเร็งได้นั้นเป็นเรื่องห­­ล­อกลวง เพราะฟอร์เวิร์ดเมลนี้มีออกมาหลายปีแล้ว และนายแพทย์ที่ถูกอ้างชื่อในข้อความเหล่านั้นไม่มีตัวตนจริง ส่วนเรื่องสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง โดยเฉพาะลิปสติกนั้น มีโลหะหนักเป็นองค์ประกอบอยู่จริง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

              นอกจากนี้ในปี 2012 สำนักคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังได้ออกมาย­­­ืนยันอย่างชัดเจนว่าจากการทดสอบในหลาย ๆ ห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีลิปสติกชื่อดังยี­่ห้อไหนที่มีอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ 

    เพราะฉะนั้นสาว ๆ ที่ชื่นชอบการใช้ลิปสติกก็วางใจกันได้แล้วล่ะค่ะ ต่อไปก็สามารถใช้ลิปสติกกันได้อย่างสบายใจกันมากขึ้นแล้วเนอะ แต่ยังไงสาว ๆ ก็อย่าใช้เครื่องสำอางเหล่านี้มากเกินไป ปล่อยให้ใบหน้าสวย ๆ ได้พักผ่อนกันบ้างนะคะ ไม่อย่างนั้นละก็ อาจจะทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำก่อนวัยเอาได้นะจะบอกให้ 




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2558 17:04:27 น.
Counter : 1111 Pageviews.  

4 โรคอันตราย ป่วยแล้วห้ามขับรถคนเดียว

    โรคที่ห้ามขับรถ


    โรคอันตรายอะไรบ้างที่ป่วยแล้วไม่ควรขับรถคนเดียว เพราะมีโอกาสเสี่ยงวูบ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้สูง

    ก่อนหน้านี้เราคงได้ยินข่าวคนมีโรคประจำตัวบางอย่างไปขับรถแล้วเกิดวูบจนเกิดอุบัติเหตุอันเศร้าสลดตามมา ด้วยเหตุนี้ กระทรวงสาธารณสุข จึงออกมาย้ำเตือนกันอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำหน้าที่ขับรถ หรือมีอาชีพขับรถรับจ้าง หากมีโรคประจำตัว 4 โรคต่อไปนี้ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถคนเดียวโดยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้ร่วมทาง นั่นคือ

    1. โรคหัวใจ
    2. เบาหวาน
    3. ลมชัก 
    4. ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดสมองมาก่อน

    ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังได้ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก และแพทยสภา เสนอเพิ่มทั้ง 4 โรคนี้ เข้าไว้ในโรคที่มีความเสี่ยงเกิดอันตรายขณะขับรถ นอกเหนือจากที่กฎหมายการจราจรขนส่งทางบกในการขอใบอนุญาตขับรถ กำหนดไว้ 5 โรค คือ โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง ติดยาเสพติด พิษสุราเรื้อรัง และวัณโรคระยะติดต่อ เพราะทั้ง 4 โรค ก่อให้เกิดอันตรายได้หากเกิดอาการป่วยขึ้นมากะทันหัน ซึ่งรายละเอียดของทั้ง 4 โรคที่กำหนดไว้ก็คือ

    1. ลมชักที่กินยาควบคุมอาการไม่ได้
    2. โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน อาจเกิดอาการวูบจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
    3. ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างกะทันหัน
    4. ผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมองบางรายที่อาจมีปัญหาเรื่องการควบคุมการทรงตัว และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และมีผลต่อการตัดสินใจในการควบคุมบังคับรถ

    โดยผู้ป่วย 4 อาการดังกล่าวควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด หากตรวจแล้วพบว่าสภาพร่างกายไม่พร้อม แพทย์จะแนะนำให้หยุดขับรถชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการออกเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อไป

    ในส่วนของการขับขี่รถอย่างปลอดภัยนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำไว้ด้วยว่า

    ควรมีการเตรียมสภาพร่างกายและจิตใจให้พร้อม โดยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง
    หากเครียดไม่ควรขับรถ เพราะความเครียดจะทำให้มีอาการนอนไม่หลับ เท่ากับเราพักผ่อนไม่เพียงพอ
    ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หากขับรถระยะทางไกล ควรพักทุก 4 ชั่วโมงหรือทุก 300 - 400 กิโลเมตร และควรมีคนขับสำรอง
    ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
    ก่อนออกเดินทางควรศึกษาเส้นทาง และตรวจสอบความพร้อมของรถทุกครั้ง




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2558 18:03:45 น.
Counter : 1062 Pageviews.  

อาการปวดหัว 14 ชนิด รักษาแบบนี้สิถึงตรงจุด

อาการปวดหัว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

อาการปวดหัวที่เราเป็นกันอยู่จริง ๆ แล้ว มีมากมายหลายสาเหตุ แต่ละสาเหตุก็รักษาไม่เหมือนกัน เช็กดูเลย คุณปวดหัวแบบไหนอยู่

          อาการปวดหัวเป็นอาการเจ็บป่วยสามัญที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เคยสังเกตไหมคะว่า อาการปวดหัวในแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างเล็ก ๆ พอให้จับสังเกตได้อยู่เหมือนกัน ซึ่งทางเว็บไซต์ Health.com เขาก็บอกมาว่า ที่อาการปวดหัวมีขั้นความรุนแรงก็เพราะจริง ๆ แล้วอาการปวดหัวแบ่งออกได้ถึง 14 ชนิดตามนี้นั่นเอง


1. อาการปวดหัวชนิดรีบาวน์ด (Rebound headache)

อาการ

          ปวดศีรษะเกือบทุกวัน โดยเฉพาะหลังตื่นนอน อาจปวดที่บริเวณขมับหรือทั้งศีรษะเลยก็ได้ ส่วนความรุนแรงแล้วแต่อาการของแต่ละคน

สาเหตุ

          อาการปวดหัวชนิดรีบาวน์ดเกิดจากการรับประทานยาแก้ปวดปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะยาแก้ปวดจำพวกอะซีตะมิโนเฟน (Acetaminophen) หรือไทลินอล, แอสไพริน และไอบูโพรเฟนเกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมทั้งยารักษาโรคไมเกรน (Triptans) เกิน 10 วันต่อเดือนด้วย ซึ่งเมื่อเรากินยาแก้ปวดติดต่อกันนาน ๆ จนร่างกายเกิดความเคยชิน อาการปวดก็จะถูกฤทธิ์ยากดไว้ ทว่าพอฤทธิ์ยาในร่างกายหมดไป อาการปวดหัวฟื้นกลับมาแสดงอาการอีกครั้งในทันที

วิธีรักษา

          อาการปวดหัวชนิดนี้ทำได้เพียงแค่ปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ปรับสมดุลปริมาณยาในร่างกายของเราให้เข้าที่เข้าทาง

ปวดหัวจากความเครียด

2. อาการปวดหัวจากความเครียด (Tension headache)

อาการ

          จะมีความรู้สึกปวดหนัก ๆ ที่ขมับทั้งสองข้าง เหมือนมีแรงดันจากภายในแต่ไม่ปวดแบบตุบ ๆ อาจเกิดตั้งแต่ระดับน้อย ปานกลาง และมาก หรือบางรายอาจรู้สึกปวดที่ต้นคอ หลัง และไหล่ร่วมด้วย

สาเหตุ

          เกิดจากความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้สึกกดดันในบางเรื่องจนทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายหดเกร็ง หรือแม้แต่การนั่งและนอนผิดท่า การใช้สายตามากเกินไป และแม้แต่อยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิเย็นจัด ก็เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อรอบคอเกร็งจนกระทบกับสมอง นำไปสู่อาการปวดหัวได้เช่นกัน

วิธีรักษา

          ในเบื้องต้นสามารถรักษาโดยใช้ยาแก้ปวดจำพวกไทลินอล, แอสไพริน และไอบูโพรเฟนได้ หรือจะไปนวดคลายกล้ามเนื้อก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ปริมาณยาแก้ปวดที่จะกินควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกรด้วยนะคะ


3. อาการปวดหัวอันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพฟัน (Dental headache)

อาการ

          ปวดศีรษะได้ทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว แต่อาการที่พอจะสังเกตได้ก็คือลักษณะอาการปวดจะเหมือนมีอะไรมารัดรึงที่หัว ปวดรอบ ๆ ลูกตา ปวดร้าวแนวกรามและขากรรไกร บางรายอาจมีอาการกัดฟันในตอนกลางคืนร่วมด้วย และสัมผัสได้ถึงอาการปวดศีรษะเมื่อเอามือไปแตะที่หน้าผาก พร้อมทั้งเมื่ออ้าปากอาจมีเสียงดังกึ้กให้ได้ยินเบา ๆ

สาเหตุ

          เกิดจากปัญหาความผิดปกติของข้อขมับและขากรรไกรล่าง ที่ทำให้การสบฟันผิดปกติไปด้วย จนเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อที่ควรได้รับการพักผ่อนต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่า นานเข้าจึงส่งสัญญาณความเมื่อยล้ามาเป็นอาการปวดหัว

วิธีรักษา

          ทางเดียวที่จะลดอาการปวดหัวจากสาเหตุนี้ได้ คือ ต้องปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการผิดปกติและหาทางรักษาคุณต่อไป ซึ่งอาจจะต้องเอกซเรย์ข้อต่อขากรรไกร และสำรวจความผิดปกติของสัมผัสฟันที่มีปัญหาอยู่ด้วย


4. อาการปวดหัวชนิดคลัสเตอร์ (Cluster Headache)

อาการ

           อาการปวดศีรษะในแต่ละครั้งจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน ราว 5 นาที หรือสูงสุด 3 ชั่วโมง แต่จะรู้สึกปวดหัวแบบทรมานเหมือนจะตายเลยทีเดียว และอาการปวดจะเกิดขึ้นบ่อยแต่เป็นเวลาที่แน่นอน และมักจะมีอาการน้ำตาไหลข้างเดียวและมีเส้นเลือดแตกในตา ทำให้เกิดอาการตาแดง

สาเหตุ

          เกิดจากความผิดปกติของต่อมไพเนียลและนิวเคลียส (Nucleus) ของเซลล์ประสาทสมองที่ 5 ซึ่งทำให้ระบบการส่งฮอร์โมนและสารสื่อประสาทปรวนแปร ส่งผลกระทบให้ประสาทสัมผัสอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำตา และน้ำมูกทำงานผิดปกติ รวมทั้งปล่อยสารเคมีบางชนิดไปที่เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก (Dura) ทำให้เกิดอาการปวดหัวในเวลาต่อมา

วิธีรักษา

          อาการปวดหัวชนิดคลัสเตอร์สามารถรักษาและบรรเทาอาการได้โดยใช้ยากลุ่มทริปเทนต์ (Triptan) หรือยารักษาโรคไมเกรน และการสูดดมออกซิเจน ขนาด 10 ลิตรผ่านหน้ากากให้ออกซิเจนก็ได้


ไมเกรน

5. อาการปวดหัวไมเกรน (Migraine)

อาการ

          มีอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดแบบหนัก ๆ ในรายที่อาการหนักมากอาจวียนศีรษะและอาเจียนร่วมด้วย หรือบางรายอาจมีอาการปวดหัวทั้งสองข้าง แต่ปวดตุบ ๆ ติดกันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทั้งนี้อาการปวดหัวไมเกรนนับเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังชนิดหนึ่ง

สาเหตุ

          สาเหตุของโรคไมเกรนยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักจะเอนเอียงไปทางความผิดปกติชั่วคราวของหลอดเลือดสมองและสารเคมีในสมอง ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังเป็นผลพวงจากการสะสมความคเรียด พฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอติดกันเป็นเวลานานด้วยนะคะ

วิธีรักษา

          ในเบื้องต้นสามารรถรับประทานยาบรรเทาอาการปวดได้ โดยใช้ยาแก้ปวดจำพวกอะซีตะมิโนเฟน (Acetaminophen), ไอบูโพรเฟน และทริปเทนต์ (Triptan) หรือยารักษาโรคไมเกรน แต่อย่างไรก็ดีคววรเข้ารับการรักษาจากแพทย์อีกทางหนึ่ง


กาแฟ

6. อาการปวดหัวจากฤทธิ์คาเฟอีน (Caffeine headache)

อาการ

          มีอาการปวดหัวตื้อ ๆ หนักหัวเหมือนร่างกายพักผ่อนไม่พอ บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะเพิ่มด้วยอีกอย่าง หรือไม่ก็รู้สึกปวดกระบอกตาตุบ ๆ ตลอดเวลา

สาเหตุ

          ชื่อก็บอกชัดอยู่แล้วนะคะว่าสาเหตุของอาการปวดหัวเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีน ซึ่งก็ได้มาจากกาแฟที่คุณ ๆ ชอบกินนี่ล่ะ โดยเฉพาะใครที่กินกาแฟเกินวันละ 5 แก้ว อาการปวดหัวชนิดนี้จะตามมาคุกคามคุณในอีกไม่ช้า

วิธีรักษา

          นอกจากการรับประทานยาแก้ปวดทั่วไป อีกทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ก็คือการลดปริมาณคาเฟอีน นั่นก็หมายความว่าต้องค่อย ๆ ลดปริมาณกาแฟในแต่ละวันให้เหลือแค่ 2 แก้วต่อวันเป็นอย่างมาก


7. อาการปวดหัวจากการมีเพศสัมพันธ์ (Orgasm headaches)

อาการ

          ปวดจี๊ดที่ศีรษะอย่างฉับพลัน มักจะเกิดในช่วงใกล้ถึงจุดสุดยอดหรือในบางรายอาจปวดก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นได้ โดยมีแนวโน้มเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอาการปวดจะคงตัวอยู่ได้นาน 1 ชั่วโมงถึง 1 วันเลยทีเดียว

สาเหตุ

          ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับสาเหตุของอาการปวดศีรษะชนิดนี้ แต่ที่จับสังเกตได้คืออาการปวดจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ และอาจไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

วิธีรักษา

          เนื่องจากยังไม่สามารถทราบสาเหตุของอาการได้ ในเบื้องต้นจึงทำได้เพียงกินยาบรรเทาอาการปวดไปก่อน และถ้าต้องการป้องกัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ระบุให้กินยาแก้ปวดก่อนมีเพศสัมพันธ์ราว 1-2 ชั่วโมง พร้อมกันนั้นก็พยายามอย่าเร่งจังหวะการเคลื่อนไหวรุนแรงมากนัก


ปวดหัวตอนเช้า

8. อาการปวดหัวทุกเช้า (Early morning headaches)

อาการ

          มีอาการปวดหัวตุบ ๆ ทุกเช้าหลังตื่นนอน บางรายจะรู้สึกหนักหัวเหมือนลุกไม่ไหว

สาเหตุ

           สาเหตุของโรคค่อนข้างถูกพูดถึงอย่างกว้าง ๆ เพราะอาจจะเป็นหนึ่งสัญญาณของโรคไมเกรน โรคเครียด โรคปวดศีรษะเพราะปัญหาสุขภาพฟัน หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอก็ได้

วิธีรักษา

          ทางที่ดีควรสังเกตอาการของตัวเองให้แน่ชัด ถ้าปวดหัวเป็นเวลาต้องจำเวลาไปบอกแพทย์ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์ได้วินิจฉัยได้ตรงจุดมากขึ้น และหากคุณมีอาการปวดที่รุนแรง กินยาแก้ปวดก็ไม่ช่วยอะไร อาจจะต้องเข้ารับการสแกนสมองเพื่อค้นหาว่ามีเนื้องอกในสมองด้วยหรือเปล่า


9. อาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบ (Sinus headaches)

อาการ

          อาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบมีความคล้ายคลึงกับอาการหวัดทั่วไปและอาการปวดหัวไมเกรนมากจนแทบแยกไม่ออก แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไซนัสอยู่แล้วอาจคาดเดาไปก่อนได้ว่า ตัวเองน่าจะมีอาการปวดหัวจากผลกระทบของโรคไซนัสอักเสบ ซึ่งโดยส่วนมากจะรู้สึกปวดหน่วง ๆ บริเวณหน้าผาก ร้อนผ่าวกระบอกตา ลามไปถึงโหนกแก้มเลยทีเดียว

สาเหตุ

          เกิดจากการอักเสบบริเวณเยื่อโพรงจมูก ซึ่งส่งผลกระทบให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นหดเกร็งจนอาจรู้สึกปวดศีรษะได้

วิธีรักษา

          โดยปกติแล้วหากรักษาโรคไซนัสให้หายเป็นปกติได้ อาการปวดหัวก็จะหายไปพร้อมกัน หรือบางรายที่อาการไซนัสไม่รุนแรง ร่างกายจะสามารถรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยาใด ๆ


ปวดหัว

10. อาการปวดหัวจากการดื่มอาหารเย็นจัด (Ice cream headache)

อาการ

           ปวดจี๊ดขึ้นสมองโดยทันทีเมื่อกินอาหารเย็นจัด เช่น ไอศกรีมหรือน้ำเย็นเจี๊ยบ ส่วนมากมักจะรู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณขมับ หรือบางรายอาจปวดร้าวไปทั้งหัว และในผู้ป่วยไมเกรนจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้เร็วและรุนแรงกว่าในคนปกติ

สาเหตุ

          ในร่างกายของเรามีกลไกการป้องกันสิ่งแปลกปลอมโดยอัตโนมัติ ซึ่งการรับประทานไอศกรีมเย็นจัดในขณะที่ร่างกายมีอุณหภูมิอบอุ่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นเมื่อเรากินไอศกรีมเย็นจัดเข้าไป เส้นเลือดบริเวณเพดานปากก็จะแสดงปฏิกิยาโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นจัดกระทบไปถึงสมอง เป็นสาเหตุให้เส้นเลือดที่ต่อตรงไปยังสมองสูบฉีดเลือดอย่างเร็วจนทำให้เกิดอาการปวดจี๊ดที่สมองดังกล่าว

วิธีรักษา

          เบื้องต้นให้หยุดรับประทานไอศกรีมก่อน จากนั้นดื่มน้ำอุ่นตามเพื่อคลายเส้นเลือดที่หดเกร็ง อีกทั้งค่อย ๆ เล็มไอศกรีมอย่างช้า ๆ และพักไอศกรีมไว้ที่ลิ้นสักพักเพื่อให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิก่อน ซึ่งก็สามารถช่วยบรรเทาและป้องกันอาการปวดหัวได้เหมือนกัน


11. อาการปวดหัวเรื้อรัง (Chronic daily headache)

อาการ

           ปวดหัวติดต่อกันมากกว่า 15 วันต่อเดือน และปวดอย่างนี้เรื่อย ๆ เกิน 3 เดือน ในบางรายอาจมีอาการไข้และปวดเมื่อยบริเวณคอและไหล่ร่วมด้วย

สาเหตุ

          สาเหตุของอาการปวดหัวเรื้อรังอาจเกิดจากพฤติกรรมกินยาแก้ปวดติดต่อกันนานเกินไป ทำให้ร่างกายได้รับยาปริมาณมากเกิน พร้อมกันนั้นอาจวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากโรคไมเกรนและเนื้องอกในสมองได้อีกทางหนึ่งด้วย

วิธีรักษา

          เริ่มแรกควรหยุดใช้ยาแก้ปวดที่กินเป็นประจำก่อน จากนั้นอาจรักษาโดยใช้ยาแก้อาการเศร้าซึม ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ เช่น อะทีโนลอล (Atenolol), เมโทโพรลอล (Metoprolol), โพรพาโนลอล (Propanolol) ซึ่งเป็นยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคไมเกรน หรือยาแก้อาการชัก เช่น กาบาเพนติน (Gabapentin), โทพิราเมต (Topiramate) แม้กระทั่งยาแก้ปวดอย่าง นาโพรเซน (Naproxen) และการทำโบท็อกซ์บรรเทาอาการปวด


12. อาการปวดหัวในช่วงรอบเดือน (Menstrual headaches)

อาการ

          อาการปวดหัวชนิดนี้สงวนสิทธิ์เพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นอาการปวดศีรษะในช่วงระหว่างมีรอบเดือน จะรู้สึกเหมือนเป็นไข้ทับระดู เป็นหนึ่งสัญญาณของอาการ PMS โดยอาการปวดหัวชนิดนี้จัดว่าเป็นไมเกรนอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดก่อนมีประจำเดือนหรือหลังเป็นประจำเดือนประมาณ 2-3 วัน

สาเหตุ

          เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นเหตุให้เกิดอาการ PMS ทั้งปวดท้องน้อย ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกาย และบางรายอาจปวดหัวร่วมด้วย

วิธีรักษา

          แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่มักเกิดอาการ PMS อย่างรุนแรงทุกครั้งที่เป็นประจำเดือนรับประทานแมกนีเซียมเยอะ ๆ โดยอาจจะเลือกรับประทานแมกนีเซียมจากอาหาร เช่น กล้วย, อะโวคาโด, ถั่ว, เม็ดมะม่วง, โยเกิร์ต, เต้าหู้, ปลาทูน่า เป็นต้น หรือใครจะเลือกกินหาแมกนีเซียมในรูปแบบวิตามินก็ได้เช่นกัน


ปวดหัว

13. อาการปวดหัววันหยุดสุดสัปดาห์ (Weekend headache)

อาการ

          ปวดหน่วง ๆ ที่ศีรษะหลังจากลุกจากที่นอน อาจปวดยาวไปทั้งวัน และมักจะเกิดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

สาเหตุ

          อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งความเครียดที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ พฤติกรรมการนอนดึกตื่นสาย รวมทั้งผลพวงจากคาเฟอีนที่คั่งค้างในร่างกายด้วย

วิธีรักษา

          การรักษาอาการปวดหัวในช่วงวันหยุดไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดใด ๆ เพียงแค่นอนหลับพักผ่อนในเวลาปกติเหมือนทุกวัน และพยายามอย่าดื่มชากาแฟเยอะเท่านั้น


14. อาการปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน (Emergency headache)

อาการ

          ปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน หน้ามืด และรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะระเบิด บางรายมีไข้และความดันโลหิตสูงร่วมด้วย หรืออาการปวดเกิดขึ้นหลังจากได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ รวมทั้งภายหลังเคลื่อนไหวศีรษะเร็วและแรง อีกทั้งยังอาจปวดคอ เกิดอาการชาที่ใบหน้า ลิ้น และปาก จนส่งผลกระทบกับการพูด พร้อมทั้งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง

สาเหตุ

          อาการปวดหัวอย่างรุนแรงไม่ใช่โรคเรื้อรัง แต่เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดอย่างสูง ซึ่งมีผลต่อระดับความดันโลหิตและการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมอง รวมทั้งอาจมีสาเหตุจากแรงกระแทกที่ค่อนข้างรุนแรงบริเวณศีรษะ และเนื้องอกที่สมองก็ได้

วิธีรักษา

          เมื่อเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงฉับพลัน วิธีที่ดีที่สุดคือรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยด่วน โดยเฉพาะคนไข้ที่หมดสติไปแล้วด้วย

ไม่ว่าจะอาการปวดศีรษะชนิดไหน ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อสุขภาพเราสักอย่างเลยว่าไหมคะ เพราะบางชนิดของอาการปวดหัวก็เป็นสัญญาณของโรคร้าย หรืออย่างน้อย ๆ อาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดก็บั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราไม่น้อยเหมือนกัน




 

Create Date : 18 มกราคม 2558    
Last Update : 18 มกราคม 2558 17:27:35 น.
Counter : 1366 Pageviews.  

ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ทานได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

    ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่

    ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ทานได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างที่มีข้อมูลแชร์ในโลกไซเบอร์


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ยัน ทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างที่มีการแชร์กันบนโซเชียลเน็ตเวิร์กแน่นอน พร้อมแจง เส้นเล็กและเส้นใหญ่ต่างก็ทำจากโรงงานเดียวกัน

              จากที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายบนโซเชียลเน็ตเวิร์กถึงข่าวลือที่ว่าการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่จะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากในเส้นใหญ่มีการใส่สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลงไปเป็นสารกันบูด พร้อมบอกให้เลี่ยงไปรับประทานเส้นเล็กและเส้นหมี่แทนนั้น

              เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ. ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant โดยยืนยันว่าสิ่งที่ถูกแชร์กันไปอย่างแพร่หลายนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่มีการบอกว่าเป็นอันตรายนั้น เป็นเพียงแค่แก๊สที่ใช้ในการยับยั้งและทำลายจุลินทรีย์ในอาหาร วิธีใช้คือนำกำมะถันมาเผาเพื่อรมควันทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในถังหมักไวน์ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ และปลาที่ต้องอบแห้ง รวมทั้งเส้นหมี่และเส้นก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ อีกด้วย

    ทั้งนี้สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์นั้นจะถูกกระบวนการเมแทบอไลต์ (Metabolite) ให้สารดังกล่าวกลายเป็นซัลเฟต และขับถ่ายออกทางปัสสาวะโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ประการใด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดปริมาณที่สามารถใช้ได้ในผักและผลไม้แห้งไม่เกิน 2,500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และสำหรับเส้นก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ อยู่ที่ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หากมากกว่านี้จะทำให้อาหารเปลี่ยนรส และมีรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ได้


    บะหมี่


    นอกจากนี้ รศ. ดร.เจษฎา ยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ที่ให้เลี่ยงการรับประทานเส้นใหญ่แล้วไปทานเส้นเล็กแทนนั้น ไม่มีประโยชน์เลย เพราะจริง ๆ แล้ว เส้นเล็กกับเส้นใหญ่ก็ทำมาจากโรงงานเดียวกัน เพียงแต่นำแป้งของเส้นใหญ่มาตากให้แห้งมากขึ้นแล้วจึงแบ่งเป็นเส้นเล็ก

              ส่วนในเรื่องของสารกันบูด เป็นเพราะเส้นก๋วยเตี๋ยวทำจากแป้งข้าวเจ้า ทำให้มีความชื้นสูง และขึ้นราง่ายอยู่แล้ว จึงทำให้ต้องผสมสารกันบูด อย่างเช่น กรดเบนโซอิก (Benzoic acid) ซึ่งเป็นวัตถุกันเสียที่มีการใช้กันมานาน เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นก๋วยเตี๋ยวบูดง่าย โดยปริมาณที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้คือไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ที่สำคัญการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขยังพบสารกันบูดชนิดนี้ในเส้นเล็กมากกว่าเส้นใหญ่เสียอีก ดังนั้นถ้าหากอยากหลีกเลี่ยงสารกันบูด ก็ควรเปลี่ยนไปรับประทานเส้นบะหมี่เหลืองหรือวุ้นเส้นแทน เนื่องจากเส้นทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้ทำจากแป้งข้าวเจ้า และใส่สารกันบูดน้อยกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดอื่น

              ได้ทราบกันแบบนี้แล้ว ก็พอจะเบาใจขึ้นกันแล้วใช่ไหมล่ะ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างในเส้นใหญ่กันแล้วล่ะเนอะ สามารถรับประทานได้ตามปกติ แต่ก็ไม่ควรทานมากเกินไปนะ เพราะเจ้าเส้นก๋วยเตี๋ยวเหล่านี้ก็ทำจากแป้งเหมือนกัน ทานเยอะไปก็อ้วนได้ค่ะ




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2557    
Last Update : 30 ธันวาคม 2557 0:20:16 น.
Counter : 802 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.