Group Blog
 
All blogs
 

เล็บเป็นโรคได้

สุนทร   ตรีนันทวัน

ผู้เชี่ยวชาญสาขาเทคโนโลยีการศึกษา สสวท.
สอบถามเพิ่มเติม E-mail : strin@ipst.ac.th

เนื่องจากเล็บของคนเราทั้งเล็บมือและเล็บเท้า   มีการเจริญเติบโตงอกออกอยู่ตลอดเวลา เล็บเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว  มีส่วนประกอบหลักคือเป็นสารพวก  เคราติน (Keratin)  ด้วยเหตุนี้เองเล็บจึงสามารถบันทึกร่องรอยของโรคที่เกิดผ่านมาบนเล็บได้ เล็บที่สวยนอกจากจะบอกถึงสุขภาพที่ดีของร่างกายแล้ว  ยังบอกถึงความเอาใจใส่ต่อสุขภาพของเจ้าของเล็บด้วย  อาการผิดปกติที่เล็บ  จะพบได้บ่อย  แต่มักจะถูกมองข้ามไปโดยไม่เอาใจใส่  ปล่อยไว้นานจนเกิดปัญหาเรื้อรังกับเล็บตามมาหลายๆอย่าง


สีของเล็บ   โดยทั่วๆไปเล็บของผู้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง      เล็บจะมีสีแดงอมชมพูเรื่อๆตามธรรมชาติ  ที่ไม่ได้เกิดจากการใช้น้ำยาทาเล็บเพื่อให้ดูสวยงาม   สำหรับผู้ที่มีโรคภัยบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย  หรือถ้าร่างกายอ่อนแอ  ขาดอาหาร   เล็บจะมีสีซีดๆ  ไม่มีสีเลือด   นอกจากเนื้อเยื่อของเล็บจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว    สีของเล็บมักจะมีสีเหลืองๆ   สีม่วง  หรือสีดำ  เป็นต้น

ความอ่อนและแข็งของเล็บ เล็บที่มีความยืดหยุ่นมักจะเป็นการบ่งบอกถึงความแข็งแรงของสุขภาพที่ดี  แต่ถ้าเล็บแข็งและหักง่าย  มักจะเกิดจากโรคขาดอาหาร  เล็บบางและอ่อนแสดงว่าขาดแคลเซี่ยม   มีโรคเรื้อรังต่างๆ  มีร่างกายอ่อนแอ

โรคของเล็บที่เกิดจากเชื้อรา  เป็นโรคที่พบบ่อย  มีลักษณะคือเล็บเปลี่ยนสี  เช่น  มีสีคล้ำ  สีดำ  สีน้ำตาลเข้ม  สีเขียวคล้ำ  เล็บหนา  เล็บเปลี่ยนรูปทรง  บิดเบี้ยวไปจากทรงเดิม  เล็บโค้งงอ  มีรอยหยักเป็นคลื่น  เล็บกร่อน  พื้นผิวไม่เรียบ  นั่นคือเกิดจากเชื้อราที่เล็บ

โรคเชื้อราที่เล็บบางที่มีขอบด้านข้างริมเล็บมีสีขาวขุ่นทึบๆ  หนา  ขรุขระ  สีด้าน  เล็บเปราะ  เป็นขุยหนาสีขาวๆ  จะพบในผู้ที่มีความต้านทานต่ำ เบาหวาน  การไหลเวียนเลือดไม่ดี

การติดเชื้อราที่เล็บ ถ้าพบว่าเล็บเปราะ  หลุดร่อน แยกออกจากเนื้อใต้เล็บ  มีสีดูหม่นๆหรือสีตามที่กล่าวมาแล้ว  นั่นคือมีความเป็นไปได้ว่าเล็บติดเชื้อราเข้าแล้ว  เช่นเชื้อราที่เรียกว่าTrichophyton rubrum   ,  Trichophyton  mentagrophyte  ,  Tinea ingium เชื้อราที่เล็บเท้าจะพบมากกว่าที่เล็บนิ้วมือ  ทั้งนี้เพราะเชื้อราชอบความอับชื้น  และที่อับชื้นที่เชื้อราชอบเจริญได้ดีก็คือ  ภายในรองเท้านั่นเอง   จึงไม่แปลกที่เชื้อราจะขึ้นที่เล็บเท้ามากกว่าเล็บมือ  และเมื่อมีการติดเชื้อราดำเนินไปเรื่อยๆก็อาจจะทำให้เล็บหลุดออกไปได้ในที่สุด


น้ำมะกรูดใช้เยียวยาเล็บขึ้นรา     จาก นิตยสารสุขภาพ  ชีวจิต    ฉบับที่  211      ปีที่  6 16  กรกฎาคม   2550  เรื่องเยียวยาปัญหาเล็บ  หน้า  86 – 87 กล่าวว่า   แม้เล็บจะเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว  แต่หากปล่อยปละละเลยไม่สนใจทำความสะอาด  การสัมผัสกับความชื้นก็ทำให้เกิดเชื้อราจำพวก กลาก  ที่เล็บได้   การติดเชื้อราที่เล็บนี้มักจะเริ่มเป็นปื้นสีขาวๆที่ขอบเล็บด้านข้างหรือปลายเล็บ  แล้วขยายอย่างช้าจนกระทั่งขาวขุ่นทั่วทั้งเล็บ  เล็บจะหนาขึ้น  มีขุยสีขาวๆใต้เล็บ  ขรุขระ  เล็บเปราะ  และบางครั้งอาจจะมีหนองร่วมด้วย

การรักษาในเบื้องต้นอย่างง่ายๆ คือ ใช้มะกรูดคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เล็บเป็นโรคจากเชื้อรา

บ่อยๆ  อาการจะค่อยๆดีขึ้น  ทั้งนี้เพราะว่า  น้ำมะกรูดมีฤทธ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ดี

                 การเพิ่มภูมิค้มกันให้ร่างกายและความแข็งแก่เล็บ  มีข้อแนะนำให้กินหัวหอม  กระเทียม  อาหารที่มีสังกะสี  เช่น  ปลา  หอย  ธัญพืชไม่ขัดขาว  ได้แก่  ข้าวกล้อง  เพิ่มอาหารที่มี วิตามิน  ซี  คือ ผลไม้จำพวกส้ม  บรอกโคลี่  ผักทุกชนิด

เล็บเปราะ  บางคนเล็บเปราะ  หักง่าย  ซึ่งเกิดจากการขาดสารอาหารประเภท  วิตามิน  โปรตีน  นอกจากนั้นก็เกิดจาการทำลายของสารบางอย่างในผลซักฟอก  น้ำยาล้างจานที่ใช้อยู่ประจำ  ทำให้เล็บไม่แข็งแรง  อาการเล็บเปราะหักง่าย  โดยรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารดังต่อไปนี้

วิตามิน เอ  เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยบำรุงผิวหนังและเสริมภูมิต้านทานได้อย่างดี  วิตามิน เอ  มีมากใน   ปลาที่มีไขมันมาก  แครอท  เป็นต้น

วิตามิน  บี   ช่วยบำรุงเล็บและปรับสมดุลของร่างกาย  วิตามิน บี  มีมากใน  ข้าวไม่ขัดขาว  ปลา  ถั่วฝัก  ผักใบเขียว  ถั่วเปลือกแข็ง

แคลเซี่ยม   เพราะเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่สะสมไว้ในเล็บ  การได้แคลเซี่ยมเพียงพอกับความต้องการของร่างกายช่วยทำให้เล็บแข็งแรงได้  พบมากใน  ปลาเล็กปลาน้อย  ธัญพืชไม่ขัดขาว  ถั่วเปลือกแข็ง  กะหล่ำปีสีเขียว

ธาตุเหล็ก มีความสำคัญต่อโครงสร้างของเยื่อบุผิว  หากขาดธาตุเหล็ก  จำทำให้เล็บเปราะบาง  แบนเว้าเป็นรูปคล้ายกับช้อน  อาหารที่มีธาตุเหล็กเช่น  ธัญพืชไม่ขัดขาว  ถั่วต่างๆ   สาหร่ายทะเล

วิตามิน  หรือที่เรียกกันว่า  ไบโอติน (Biotin)  เพราะในไบโอตินเป็นวิตามินเสริมชนิดหนึ่ง  ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสุขภาพของเส้นผมและเล็บ  มีมากใน  ปลาที่มีเนื้อขาว  น้ำมันปลา  ข้าวกล้อง  ข้าวโพด  ข้าวสาลี  ผักต่างๆ  ดอกกะหล่ำ  แครอท  เป็นต้น

เมื่ออ่านเรื่องนี้จบแล้ว  ก็ลองสังเกตดูเล็บของตัวเราเองทุกๆเล็บ  รวมทั้งให้ทุกๆคนในครอบครัวสังเกตุดูเล็บด้วยก็จะดี  อย่าปล่อยปละละเลยจนเล็บมีปัญหาดังกล่าวมาแล้ว


เว็บไซต์ข้อมูล้างอิง

1. //www.healththai.com

                                                  2. //www.doctor.or.th

                                                  3. //www.vcharkarn.com

                                                  4. //www.sanook.com

                                                  5. //www.siamhealth.net/public_html





 

Create Date : 03 มกราคม 2557    
Last Update : 3 มกราคม 2557 15:09:37 น.
Counter : 1570 Pageviews.  

ฟังชัด ๆ ผู้หญิงต้องการนอนมากกว่าผู้ชาย เพราะสมองทำงานหนักกว่า

           คำพูดแต่นานมาแล้วที่บอกว่า ผู้หญิงที่เป็นแม่ศรีเรือนที่ดี ต้อง "ตื่นก่อนนอนทีหลังสามี" เสมอ แต่ผลการวิจัยชิ้นใหม่ ค้านกับคำพูดนี้แบบตรงกันข้ามเลยทีเดียว เมื่อระบุว่า ผู้หญิงต้องการเวลานอนมากกว่าผู้ชาย เพราะฉะนั้นถ้านอนพร้อมกัน ก็ควรได้ตื่นสายกว่า หรือถ้าอยากให้ตื่นพร้อมกัน ก็ต้องได้เข้านอนก่อน

    เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานถึงผลการวิจัยของดอกเตอร์ไมเคิล จากมหาวิทยาลัยดุค นอร์ธแคโรไลนา สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ว่า ตลอดทั้งวัน ผู้หญิงทำงานหลากหลายประเภทมากกว่าผู้ชาย หรือทำงานในรูปแบบ multi-tasking ซึ่งต้องใช้สมองร่วมกันหลายส่วน ทำให้ต้องการช่วงเวลาในการหลับพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสมองที่ถูกใช้งานไปเหล่านั้นนานมากขึ้น โดยกิจกรรมในแต่ละวันของผู้หญิงนั้นแม้จะดูจุกจิกจิปาถะ แต่ก็ต้องใช้งานสมองหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นส่วนความจำ ส่วนภาษา ส่วนการคิดคำนวณ ส่วนจินตนาการ ฯลฯ ต่างจากผู้ชาย ที่มักใช้งานเฉพาะส่วนหนัก ๆ ไปอย่างเดียวกับงานที่ทำในแต่ละวัน ผู้หญิงจึงต้องการเวลานอนพักผ่อนที่นานกว่า เพื่อฟื้นฟูสมองให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานในวันต่อไปนั่นเอง หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะเกิดอาการคิดช้าประมวลผลช้า ทำงานในวันต่อไปได้ไม่ราบรื่น

    นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า การนอนที่ไม่เพียงพอ ยังส่งผลต่อความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งเซลล์ในร่างกายอักเสบทรุดโทรม ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าเจ็บปวดเนื้อตัวได้อีกด้วย

    อย่างไรก็ดี หากไม่ได้นอนหลับในเวลากลางคืนอย่างเพียงพอ ก็สามารถทดแทนได้ด้วยนอนในช่วงกลางวัน แต่ไม่ควรเกิน 90 นาที เพราะจะทำให้เกิดอาการซึมและง่วงเหงาหาวนอนมากกว่าเดิม 

              แบบนี้แล้วคุณผู้หญิงจะเข้านอนแล้วตื่นสายกว่าคุณผู้ชายสักนิด ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ก็อย่าให้สายโด่งจนน่าเกลียดแล้วกันนะคะ แบบนี้ไม่เรียกว่านอนหลับพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายแล้วล่ะ อาจจะโดนหาว่านอนเก่งเป็นตัวขี้เกียจ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2556    
Last Update : 28 ธันวาคม 2556 18:24:17 น.
Counter : 816 Pageviews.  

ผีอำ หูแว่ว หลอนแบบนี้ เกี่ยวกับผีหรือสุขภาพจิตกันแน่ ?

บทความสุขภาพ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ใคร ๆ ก็บอกว่า การนอนขยับตัวไม่ได้ เป็นอาการของคนที่โดนผีอำชัด ๆ หรือบางครั้งก็จะมีเรื่องหลอน ๆ เกิดขึ้นกับเรา เช่น อยู่ดี ๆ หูก็แว่วเสียงคนเรียกชื่อตัวเอง หรือตื่นมาพร้อมกับรอยขีดข่วนเต็มตัว เสมือนว่าไปผจญภัยในความฝันมาอย่างนั้นแหละ และบางครั้งก็เหมือนกับตัวเองระลึกชาติได้ รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เราเคยเจอมาแล้ว !

  เอ๊ะ หรืออาการแปลก ๆ ที่ว่ามาทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติจริง ๆ ชนิดที่ทางการแพทย์ไม่สามารถหาเหตุผลที่มาที่ไปของมันได้ ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ อย่าเพิ่งจินตนาการไปไกลเลยขนาดนั้นเลย เพราะเรื่องแบบนี้ เว็บไซต์พรีเวนชั่น เขาก็ชี้แจงมาว่า มันไม่ใช่เรื่องผีสางอะไรหรอก เป็นแค่อาการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของเราเท่านั้น แถมยังให้ข้อมูลอาการแปลก ๆ ที่มีความสอดคล้องกับสุขภาพ และสุขภาพจิตของเรามาถึง 10 อาการดังนี้เลย

1. ผีอำ

อาการที่เรารู้สึกตัวเวลาที่เรานอน แต่ขยับไม่ได้ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า อาการผีอำ มักจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ หรือในขณะที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ซึ่งแพทย์จากโรงพยาบาล St.Joseph ก็อธิบายง่าย ๆ ว่า อาการทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการปกติของร่างกาย ที่เมื่อเราเริ่มนอนหลับไปจนระดับ REM (Rapid Eyes Movement) หรือเป็นการนอนหลับในช่วงที่กล้ามเนื้อตา และสมองยังคงทำงานอยู่ แต่ร่างกายกลับนอนนิ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้น 3-5 ครั้งในระหว่างคืน

          เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นช่วงที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น มีโอกาสจะฝันได้สูงก็ในช่วงนี้นี่เอง และในการหลับช่วงนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าเราจะสะดุ้งตื่น หรือรู้สึกตัว (ในแบบที่ตื่นไม่เต็มที่) แต่กระบวนการ REM ในร่างกายยังคงไม่หยุดทำงาน ก็เลยบังคับร่างกายให้อยู่นิ่งอย่างนั้นก่อน จนเหมือนเป็นอัมพาตชั่วขณะ ซึ่งคุณหมอยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า อาการแบบนี้ไม่เป็นอันตรายกับร่างกายแต่อย่างใดนะจ๊ะ


หูแว่ว


2. หูแว่ว

          หลายครั้งที่เรามักจะได้ยินเสียงเพลงวนไปวนมาในหูของเราบ่อย ๆ วนไปวนมาจนน่ารำคาญ ซึ่งแพทย์จาก University of Arizona College of Medicine ก็อธิบายว่า อาการแบบนี้สอดคล้องกับอาการ Earwarm หรืออาการเสียงเพลงที่วนไปวนมาอยู่ในหัวไม่หยุด ซึ่งสามารถนำไปสู่อาการหูแว่ว หรือหลอนเสียงในจินตนาการได้ในที่สุด ซึ่งหากคุณพบว่า ตัวเองมีอาการหูแว่วบ่อย ๆ หรือชักจะเห็นภาพหลอนบ่อยขึ้นทุกที ต้องรีบปรึกษาแพทย์แล้วล่ะค่ะ

3. รอยขีดข่วน หรือรอยเกาที่ไม่ทราบสาเหตุ

          ถ้าตื่นขึ้นมาเจอกับรอยขีดข่วนในตอนเช้า หรือพบว่าผิวหนังของเราเป็นรอยแดงโดยไม่ทราบสาเหตุ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะความฝันสุดผจญภัยที่เราได้ไปเยือนมาเมื่อคืน หรือดีไม่ดีก็เป็นผีที่สิงอยู่ในบ้านนั่นแหละ มาก่อกวนจนเกิดรอยแผลแสดงหลักฐานอยู่อย่างนี้

          แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจากนิวยอร์กก็อธิบายว่า ผิวหนังของเรามีสิทธิ์จะเกิดโรคหิด หรือโรคเรื้อนกวาง ที่มีสาเหตุมาจากไรฝุ่น และเชื้อแบคทีเรียที่แฝงตัวอยู่บนเครื่องนอนของเรา หรือรอยแดง หรือรอยเกาที่อาจเกิดขึ้นกับผิวหนังของเราในตอนเช้าตรู่ อาจจะเกิดมาจากการที่คุณเผลอนอนกลิ้งไปชนกับขอบเตียง หรือวัตถุอื่น ๆ ก็ได้ ซึ่งถ้าอาการคันและผื่นแดงชักจะลุกลามใหญ่โต ก็ควรต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังกันสักหน่อยแล้วล่ะ





4. เดจาวู

          ปรากฎการณ์เดจาวู หรืออาการคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเกิดขึ้นกับชีวิตเราแล้ว เป็นอีกหนึ่งอาการลี้ลับที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยแพทย์ได้อธิบายว่า เดจาวูเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับจิตใจและสภาพแวดล้อม สิ่งที่เรารู้สึกคุ้น ๆ นั้นจริง ๆ แล้วไม่เคยเกิดขึ้นกับเราหรอก แต่เป็นแสง สี และอารมณ์ความรู้สึกของเรา ณ ขณะนั้น รวมทั้งบรรยากาศที่แสนคุ้นเคยต่างหาก ที่กระตุ้นให้จิตใต้สำนึกรำลึกถึงเหตุการณ์ และสถานที่ในความทรงจำ ซึ่งเดจาวูก็มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสภาวะที่เราเครียด กังวล หรือเหม่อลอยด้วยล่ะ

5. เหลือบเห็นเงาดำ ๆ ที่หางตา

          สำหรับคนที่มักจะเหลือบไปเห็นเงาดำ ๆ ที่หางตาบ่อย ๆ ก็อย่าเพิ่งหลอนตัวเองไปว่าเป็นผีสางที่ไหน แต่ให้รีบพาตัวเองไปเช็กระบบประสาทตา และการมองเห็นโดยด่วน เพราะจักษุแพทย์ได้ชี้แจงว่า อาการเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่มที่หางตาบ่อย ๆ อาจจะมีสาเหตุมาจากจอประสาทตาฉีกขาดก็ได้ และอาจจะร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นไปเลยด้วย

          นอกจากนี้ถ้ามักจะเห็นจุดดำ ๆ ลอยวนไปวนมาอยู่ในตา ก็ต้องรีบไปหาจักษุแพทย์เช่นกัน เพราะจุดดำ ๆ ที่เคลื่อนที่อยู่ในตาของคุณนั้น ก็คือน้ำวุ้นตา ที่จับตัวเป็นก้อน ซึ่งจักษุแพทย์ก็เพิ่มเติมอีกว่า อาการแบบนี้มักจะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ถ้าพบเจอเมื่อไรก็ต้องรีบรักษาให้ทันการณ์นะจ๊ะ


บทความสุขภาพ


6. รู้สึกล่องลอยเหมือนอยู่ในความฝัน

          อาการเหมือนตกอยู่ในภวังค์หรือความฝันในโลกของตัวเอง ถือเป็นอาการทางจิตที่ต้องได้รับการเยียวยาโดยด่วน ซึ่งจิตแพทย์ก็ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ธรรมชาติของมนุษย์ที่เจอกับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง หรือโดนทำร้ายความรู้สึกอย่างแสนสาหัส มักจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาอีกหนึ่งใบ เพื่อแอบเข้าไปหลบอยู่ในนั้น เปรียบเสมือนกลไกการป้องกันตัวเองจากเรื่องที่เลวร้ายกับจิตใจนั่นเอง

          และถ้าไม่ยอมดึงตัวเองกลับมาสู้โลกแห่งความเป็นจริงสักที ในที่สุดก็จะเผลอใช้ชีวิตอยู่ในจินตนาการของตัวเอง กลายเป็นคนที่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองกับสิ่งที่อยู่ภายนอกจินตนาการเลย หรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือกลายเป็นคนบ้าใบ้ไร้สตินั่นล่ะ

7. ผีเข้า

          อาการผีเข้าส่วนใหญ่ที่เราจะรู้จักกันก็น่าจะเป็นการทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัว แล้วก็จำสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้ แต่ในทางการแพทย์ได้อธิบายลักษณะอาการแบบนี้ว่า เป็นหนึ่งในโรคลมชัก ซึ่งแบ่งเป็นโรคลมชักชนิดซับซ้อนที่เกิดจากสมองบางส่วน (partial complex epilepsy (PCE))

          กล่าวคือ อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีการเกร็ง ชักกระตุก ศีรษะหมุนไปมาอย่างไร้ทิศทาง บางรายที่เป็นหนัก ๆ ก็อาจจะเดินไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่รู้ตัว ความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกถูกกระทบ รวมทั้งมีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้น ทั้งภาพ เสียง รส และสัมผัส ซึ่งถ้าไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคลมชักชนิดนี้ ก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่า ตัวเองถูกผีเข้า ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุประหลาดอะไรกับร่างกายและสมองของเรา ก็ควรให้แพทย์ตรวจเช็กอาการจะดีกว่า

8. เสียงกรีดร้องตอนตื่นนอน

          ฝันร้ายบางทีก็ทำให้เราสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับเหงื่อแตกพลั่ก และอาการหอบหายใจแรง ๆ แต่ถ้าเกิดอาการกรีดร้องสุดเสียงพร้อม ๆ กับรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา จะเป็นฝันร้ายชนิดที่มากกว่าฝันร้ายโดยปกติ หรือที่เรียกกันว่า ฝันร้ายระดับ Night terrors ซึ่งก็คือ การฝันร้ายแบบสุด ๆ แต่ไม่สามารถจำเรื่องเรื่องที่ฝันได้เลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกรี๊ดลั่นบ้านของตัวเอง ซึ่งอาการหลังจากนั้นก็จะมึน ๆ เบลอ ๆ ดูไร้สติอยู่สักพัก แต่จริง ๆ แล้วแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ชี้แจงว่า อาการแบบนี้ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงอะไร แค่ทำให้คนฝันตื่นตกใจ และหลอนไปบ้างเท่านั้น


ขี้ลืม

9. จำชื่อเพื่อนไม่ได้ และหลงลืมบ่อย ๆ

          อาการขี้หลงขี้ลืมขั้นรุนแรงนี้มักเกิดกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะเป็นอาการที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนคอร์ติซอล และระดับโปรเจสเทอโรนลดต่ำลง โดยเฉพาะกับผู้ที่มีความเครียด ความวิตกกังวล และคนที่ใกล้สู่สภาวะหมดประจำเดือน ก็จะมีอาการขี้หลงขี้ลืมอยู่บ่อย ๆ พูดผิดพูดถูกไปบ้างก็มี แถมบางรายยังอาการหนักถึงขั้นจำชื่อเพื่อนไม่ได้ ซึ่งถ้าพบวาคุณมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ อย่างนี้บ่อย ๆ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาปรับฮอร์โมนให้อยู่ในระดับที่ไม่กระทบกับสุขภาพร่างกายของเราด้วยนะจ๊ะ

10. ก้าวร้าว ไร้มนุษยสัมพันธ์ที่ดี

          คนบางคนก็มีนิสัยก้าวร้าวอย่างรุนแรง ดูเป็นคนขวางโลก และไม่พอใจกับอะไรบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วทางจิตวิทยาก็อธิบายว่า เหตุผลที่เขาต้องก้าวร้าว ทำนิสัยแย่ ๆ กับคนอื่น หรือพูดจาแรง ดูถูกคนรอบข้างไปทั่ว ก็เพราะเขาเจอเรื่องราวที่กระทบกระเทือนจิตใจจากการกระทำของคนมามาก จนถึงขึ้นความเลวร้ายนั้นฝังติดอยู่ในความทรงจำและสมองของเขาโดยไม่ยอมไปไหน เขาจึงแสดงพฤติกรรมร้าย ๆ ออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาทำร้ายความรู้สึกของเขาซ้ำเป็นครั้งที่สองนั่นเอง และถ้าคนรอบข้างของคุณมีพฤติกรรมแบบนี้ ก็ควรจะพาเขาไปรักษาอาการทางจิตกับจิตแพทย์โดยด่วน เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมก้าวร้าวของเขาให้อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้

บางสิ่งที่ลี้ลับก็ไม่ได้พิสูจน์ไม่ได้เสมอไป อย่าง 10 อาการที่ดูเหมือนจะเหนือธรรมชาติทั้งหมดนี้ ก็เป็นตัวอย่างของอาการหลอน ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีเรื่องน่าพิศวงเกิดขึ้นสักนิดแต่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติบบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเราเอง และสามารถแก้ไขได้ด้วยการรักษาทางการแพทย์นั่นเองจ้า





 

Create Date : 11 ธันวาคม 2556    
Last Update : 11 ธันวาคม 2556 20:22:40 น.
Counter : 944 Pageviews.  

8 สุดยอดอาหารที่คนรักสุขภาพไม่ควรพลาด

อาหารเพื่อสุขภาพ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ทฤษฎีง่าย ๆ ที่ทุกคนต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่า อาหารที่บริโภคเข้าไปล้วนมีผลต่อร่างกายของเราทั้งสิ้น ยิ่งเราบริโภคอาหารที่มีประโยชน์มากเท่าไหร่ สุขภาพของเราก็จะดีขึ้นมากเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทำได้ยากเหลือเกิน เพราะผู้คนในปัจจุบันต่างใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ จึงไม่มีเวลาดูแลสุขภาพร่างกายกันเท่าไหร่นัก ทำให้ชีวิตของเราในแต่ละวัน อยู่กับความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ งั้นเรามาดูกันดีกว่า ว่าจะมีอาหารประเภทใดบ้างที่จะช่วยยืดอายุของเรา ให้มีชีวิตอยู่กับคนที่เรารักไปได้นาน ๆ

1.ช็อกโกแลต

          เห็นแบบนี้แล้ว สาว ๆ คงยิ้มกันแก้มปริ แต่เดี๋ยวก่อน! ไม่ใช่ช็อกโกแลตที่วางขายทั่วไปในท้องตลาดนะคะ เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของช็อกโกแลตที่วางขายทั่วไปในท้องตลาดนั้น ใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ฉะนั้นช็อกโกแลตเหล่านี้จึงให้โทษมากกว่าให้คุณ ดังนั้น เราควรหันมารับประทานดาร์กช็อกโกแลตกันดีกว่า เพราะในดาร์กช็อกโกแลตมีส่วนผสมของโกโก้อยู่ถึง 70–75 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงว่า มีสารฟลาโวนอยด์อยู่มากนั่นเอง ซึ่งสารฟลาโวนอยด์ตัวนี้ จะช่วยลดความดัน คอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

2.กาแฟ

          เครื่องดื่มที่จะเปลี่ยนวันซึม ๆ ของคุณ ให้กลับมาสดชื่นขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญฝากบอกมาว่า การดื่มกาแฟนั้นไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้วต่อวัน เพราะหากดื่มมากกว่านี้ จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของคุณ โดยกาแฟที่คุณดื่มจะเลือกเป็นประเภทที่มีกาเฟอีน หรือประเภทที่ไม่มีกาเฟอีนก็ได้ เพราะทั้งสองชนิดต่างก็ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้เหมือนกัน แต่อย่าลืม ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ

3.ผักวอเตอร์เครส

          ผักที่คนส่วนใหญ่มักนำไปปรุงเป็นสลัด หรือนิยมนำไปทำแซนวิช ที่นอกจากจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งได้อีกด้วย โดยในใบผักสีเขียว ๆ ที่คุณเห็นกันนี้ อุดมไปด้วยสารที่ช่วยลด และยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งในร่างกายของคุณได้เป็นอย่างดี รู้แบบนี้แล้ว อย่าช้า! ไปหาซื้อมารับประทานกันดีกว่า

4.วอลนัท

          จริง ๆ แล้วไม่ว่าถั่วชนิดไหนก็มีผลดีต่อร่างกายของคุณทั้งสิ้น แต่วอลนัทออกจะพิเศษกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ สักหน่อย ตรงที่ถั่วชนิดนี้ มีทั้งกรดไขมัน และโอเมก้า 3 นอกจากนี้แล้วยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ นั่นหมายความว่าการรับประทานวอลนัทนั้น ไม่เพียงแค่ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักอีกด้วยนะ

5.น้ำมันมะกอก

          น้ำมันมะกอกที่เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารของชาวยุโรปมาเนิ่นนาน เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดโอเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย กรดชนิดนี้จะเข้าไปลดการสะสมไขมันในเส้นเลือด ลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น ในการปรุงอาหารครั้งต่อไป ก็ลองเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะกอกกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของคุณ  

6.แอปเปิ้ล

          แอปเปิ้ลผลสีแดงสีเขียวที่คุณรับประทานกันอยู่นี้ นอกจากความหวาน กรอบ หอม อร่อยแล้ว ในแอปเปิ้ลก็ยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน และไฟเบอร์ ที่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การรับประทานแอปเปิ้ล ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว เรียกได้ว่า เล็กพริกขี้หนู จริง ๆ

7.โฮลเกรน

          โฮลเกรน หรืออาหารซึ่งผลิตจากธัญพืช และเมล็ดพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ไม่ว่าจะเป็นขนมปังโฮลวีท ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ต่างก็เต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับอินซูลิน หรือระดับน้ำตาลในร่างกายของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปแล้ว ยังเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย   

8.ไวน์แดง

          การดื่มไวน์แดงนั้น ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า สารโพลีฟีนอลในไวน์แดง จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และยังมีแอนตี้ออกซิแดนต์ที่นอกจากจะช่วยลดสารอนุมูลอิสระในร่างกายแล้ว ยังเป็นสารที่ช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย คำแนะนำในการดื่มไวน์นั้น สำหรับผู้หญิงควรดื่มแค่วันละ 1 แก้วก็พอ ส่วนผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวันนะคะ

          โอ้โห! นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราจริง ๆ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ด้วย ทั้งโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ อาหารดี ๆ แบบนี้ คนรักสุขภาพอย่างคุณพลาดไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะร่างกายของคุณนั้น ไม่มีใครดูแลได้ดีกว่าตัวเองแน่นอน

รู้กันแบบนี้แล้ว ก็หันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรากันดีกว่า




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2556 19:16:52 น.
Counter : 929 Pageviews.  

โรคซิฟิลิส Syphilis(โรคที่ ลำยองเป็น)

ซิฟิลิส Syphilis

เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือด และไปจับตามอวัยวะต่างๆทำให้เกิดโรคตามอวัยวะและทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่

  1. Primary
  2. Secondary
  3. Latent
  4. Tertiary (or late)

คนเราติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร

การติดต่อจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัสผ่านแผล Chancre

ทางเพศสัมพันธ์

  • เชื้อโรคสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
  • เชื้อโรคจะติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการ
  • ในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะทำให้เกิดการติดต่อ

การติดต่อทางอื่น

  • เชื้อจะอ่อนแอตายง่ายดังนั้นการสัมผัสมือหรือการนั่งโถส้วมจะไม่ติดต่อ
  • หากผิวหนังที่มีแผลสัมผัสกับแผลที่มีเชื้อก็ทำให้เกิดการติดเชื้อ

จากแม่ไปลูก

  • เชื้อสามารถติดจากแม่ไปลูกขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด

อาการของโรค

1 Primary Syphilis

ในระยะ primary รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง Chancre ซึ่งจะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้

แผลซิฟิลิส

  • หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วันโดยเฉลี่ยประมาณ 21 วัน จะมีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า
  • แผลมักจะเป็นแผลเดียว ไม่เจ็บ ขอบนูน ต่อมน้ำเหลืองจะโตกดไม่เจ็บ
  • ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก
  • แผลจะอยู่ 1-5 สัปดาห์แผลจะหายไปเอง
  • แม้ว่าแผลจะหายไปแต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด
  • สำหรับผู้ที่เป็นโรคเอดส์ และมีขนาดใหญ่และมีอาการเจ็บมาก
  • การตรวจเลือกในช่วงนี้อาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ 30

2 Secondary Syphilis

  • ระยะนี้จะเกิดหลังได้รับเชื้อ 17วัน- 6 เดือน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์แล้วจะหายไปแม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษา
  • ต่อมน้ำเหลืองโต
  • ปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ

อาการที่สำคัญมีดังนี้

  • มีผื่นสีแดงน้ำตาลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่คัน
  • ผื่นนี้สามารถพบได้ทั่วตัว ทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า
  • จะพบหูด Condylomata lata บริเวณที่อับชื้น เช่นรักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ
  • จะพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก
  • ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
  • ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย
  • อาการเหล่านี้จะอยู่ได้ 1-3 เดือนหายไปได้เอง และอาจจะกลับเป็นซ้ำ
  • การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก

3 Latent Stage ระยะแฝง

  • ช่วงนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการของโรค ช่วงนี้กินเวลา 2-30 ปีหลังจากได้รับเชื้อ
  • ในช่วงนี้จะทราบได้โดยการเจาะเลือดตรวจ
  • ในระยะนี้อาจจะเกิดผื่นเหมือนในระยะ Secondary Syphilis
  • ในระยะนี้หากตั้งครรภ์ เชื้อสามารถติดไปยังลูกได้

4 Late Stage (Tertiary)

  • ระยะนี้จะกินเวลา 2-30 ปีหลังได้รับเชื้อ
  • ระยะนี้เชื้อโรคจะทำลายอวัยวะต่างๆเช่น หัวใจและหลอดเลือด สมองทำให้อ่อนแรงหรืออาจจะตาบอด กระดูกหักง่าย
  • หากไม่รักษาให้ทัน อวัยวะต่างๆจะถูกทำลายโดยที่ไม่สามารถกลับเป็นปกติ
  • การตรวจเลือดอาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30

Congenital Syphilis

หมายถึงทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กจะมีอาการดังนี้

  • เด็กจะมีอาการหลังคลอด 3-8 สัปดาห์
  • อาการอาจจะมีเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น ทำให้ไม่ได้รับการรักษา
  • เด็กโตขึ้นจะกลายเป็นระยะ Late Stage (Tertiary)

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นซิฟิลิส

การตรวจวินิจฉัยโรคนี้สามารถทำได้โดยการนำหนองจากแผล หรือเลือดไปตรวจหาตัวเชื้อ การตรวจเชื้อทำได้โดย

Darkfield Exam

  • การตรวจทำไดโดยการน้ำเหลืองจากแผลหรือผื่นที่สงสัยไปตรวจ
  • นำน้ำเหลืองนั้นไปส่องกล้องเพื่อหาตัวเชื้อ
  • การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยได้ทั้งระยะ Primary Syphilis และ Secondary Syphilis

การตรวจเลือด

  • การเจาะเลือดตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสทำได้ 2วิธีคือ
  • การเจาะเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส ได้แก่การเจาะ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) หรือ RPR (Rapid Plasma Reagent) หากให้ผลบวกต้องเจาะเลือดอีกเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
  • การเจาะเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโดยการเจาะ FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption Test) หรือ MHA-TP (Microhemagglutination-Treponema Pallidum)

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิสมาก่อนอาจจะให้ผลบวกหลอกโดยที่ไม่เป็นโรค

  • Cerebrospinal Fluid Test การตรวจน้ำไขสันหลังจะทำในรายสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อในระบบประสาท

ความสัมพันธ์ระหว่างซิฟิลิสและโรคเอดส์

หากคุณเป็นซิฟิลิสไม่ว่าจะที่ช่องคลอด อวัยวะเพศชาย หรือทวารหนักคุณจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเอดส์มากกว่าไม่มีถึง 2-5 เท่า

ใครที่ต้องตรวจหาเชื้อซิฟิลิส

  • คนตั้งครรภ์
  • เกย์
  • เป็นโรคเอดส์
  • มีคู่ครองที่ผลเลือดการตรวจพบเชื้อโรคเอดส์

การรักษาโรคนี้ต้องทำอย่างไร

  • ยาที่ใช้รักษาคือ Penicillin
  • การรักษาต้องรักษาทั้งคู่
  • หลังจากรักษา 6 เดือนต้องตรวจซ้ำหลังจากนั้นตรวจทุกปี

Stage of Disease

Preferred Treatment

Alternative Treatments

Primary infection, secondary infection, or latent infection (for less than 1 year) Benzathine penicillin injection 2.4 million units (single dose) Doxycycline 100 mg orally twice per day for 14 days or tetracycline 500 mg orally four times per day for 14 days
Late latentinfection(for>1 year),cardiovascular disease, or gumma Benzathine penicillin G injection 2.4 million units every week for 3 weeks Doxycycline 100 mg orally twice per day for 28 days or tetracycline 500 mg orally four times per day for 28 days
Neurosyphilis Aqueous crystalline penicillin G18-24 million units intravenously per day for 10-14 days Procaine penicillin injection 2.4 million units each day with probenecid 500 mg orally four times per day, both for 10-14 days

//www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/std/Syphilis.htm#.UooJ0olVPf8




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2556 19:54:23 น.
Counter : 4649 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.